A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1614 เงามารที่โกรธเกรี้ยว

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1614 เงามารที่โกรธเกรี้ยว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

“เยี่ยมมาก เจ้าหาจุดที่คนผู้นั้นไปได้หรือไม่?” เสียงแหบแห้งเอ่ยถามอย่างเย็นชา  

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว แม้ว่าคนผู้นี้จะสำแดงเคล็ดวิชาเก็บลมปราณ แต่ภายใต้ไอมารที่ตลบอบอวลไปทั่วทุกสารทิศ กลิ่นอายของคนที่มาจากภายนอกล้วนไม่อาจปกปิดได้หมด คนผู้นั้นตรงไปทางนั้น! ทว่ากลิ่นอายเบาบางมากแล้ว พวกเขาน่าจะไปได้สักระยะแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะไอมารกลางอากาศหมุนวนเร็วเกินไป ข้าน้อยไม่มั่นใจว่าไล่ตามคนเหล่านั้นไปทางนั้นจริงๆ” หญิงสาวเอ่ยอย่างซื่อๆ  

 

 

“หึ ไร้ประโยชน์ถึงเพียงนี้!” ชายชราได้ฟังก็รู้สึกโกรธเกรี้ยว  

 

 

ส่วนหญิงสาวกลับแค่ยืนเอามือประสานกันไว้อย่างจนปัญญา   

 

 

ยามนี้บุรุษเขายักษ์อีกคนหนึ่งที่อยู่บนพื้นดินมพลันพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้งก็มาอยู่ข้างกายของหญิงสาว แล้วทำความเคารพไปบนท้องฟ้าพลางเอ่ย  

 

 

“รายงานนายท่าน ข้าได้เอาจิตวิญญาณที่หลงเหลือของนายน้อยออกมา และใช้เคล็ดวิชาลับคืนสภาพของฆาตกร”   

 

 

“ปล่อยออกมาให้ข้าดู!” ชายชราออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด   

 

 

บุรุษเขายักษ์ตอบรับคำ สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นไอสีเทากลุ่มหนึ่งและลำแสงสีดำก็พัวพันเข้าด้วยกันและบินออกมาลูกบอลลำแสง หลังจากหมุนโคจรรอบหนึ่ง ก็ลอยค้างอยู่เหนือศีรษะของบุรุษ  

 

 

ส่วนบุรุษทั้งสองพลันใช้สองมือร่ายอาคม ดีดอาคมเป็นสายๆ ไปทางลูกบอลลำแสงเหนือศีรษะ  

 

 

หลังจากเสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น ลูกบอลลำแสงพลันระเบิดออก เงาลำแสงครึ่งท่อนจางๆ ปรากฏขึ้นกลางอากาศ   

 

 

คนผู้นั้นสวมชุดคลุมสีเขียว บนเรือนร่างมีลำแสงสีทองเปล่งแสงระยิบระยับ หน้าตาธรรมดาๆ หว่างคิ้วมีลำแสงสีดำสว่างวาบ ดวงตาเป็นสีดำสนิท แค่กลอกตาไปมา ผิวก็มีลำแสงสีดำไหลวนโคจร เผยความแปลกประหลาดออกมาเป็นอย่างมาก  

 

 

แน่นอนว่าเงาร่างคนผู้นี้ก็คือหานลี่!  

 

 

หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น เงาลำแสงปรากฏแค่ชั่วอึดใจ ก็ระเบิดออกสลายหายไป  

 

 

“เนตรทำลายล้าง! เยี่ยม เยี่ยมมาก ดูแล้วคงเป็นผู้นั้นไม่ผิด มีเพียงอิทธิฤทธิ์ของเนตรทำลายล้างที่สามารถอ่านทางหนีทีไล่ของบุตรชายข้าได้ในพริบตา พวกเราออกเดินทางเดี๋ยวนี้” ชายชราเห็นดวงตาที่สามตรงหว่างคิ้วของหานลี่อย่างชัดเจน ชั่วขณะนั้นก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะเอ่ย  

 

 

“โปรดอภัยที่ข้าน้อยไร้มารยาท นายท่านคิดจะไปสังหารคนผู้นั้นด้วยตนเอง?” บุรุษเขายักษ์ได้ยินพลันลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามขึ้น  

 

 

“อันใด เจ้าคิดว่าคำสั่งของข้าไม่ชัดเจนหรือ?” น้ำเสียงของชายชราเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก  

 

 

“ข้าน้อยมิกล้า! แต่นายท่านลืมสาเหตุการออกจากการกักตนครั้งนี้ไปแล้วหรือ ร่างแยกของนายท่านบรรพบุรุษต้องอาศัยไอมารที่ระเบิดออกครั้งนี้ ถึงได้สติขึ้นมาในทันที หากนายท่านปล่อยให้เวลามันสายไป ถูกพวกมารเหล็กพูดจาใส่ร้ายต่อหน้านายท่านบรรพบุรุษ เกรงว่านายท่านคงเกิดปัญหา” บุรุษมังกรวารียักษ์ลังเลเล็กน้อยขณะเอ่ย   

 

 

“หึ มารเหล็ก!” ชายชราแค่นเสียงด้วยความเย็นชา แม้ว่าจะดูไม่เหมือนไม่แยแส แต่เห็นได้ชัดว่าลังเลแล้ว  

 

 

“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน จิ่วเยี่ย เจ้าเชี่ยวชาญการแกะรอย ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีอะไรต้องตามคนเหล่านั้นมาให้ได้ และยิ่งไปกว่านั้นต้องขังพวกมันเอาไว้ ส่วนข้าจะไปต้อนรับนายท่านบรรพบุรุษที่ออกจากการกักตน แล้วค่อยมารวมตัวกับเจ้า แก้แค้นแทนบุตรชายข้า หากวันที่ข้ามาเจ้ายังหาคนผู้นั้นไม่พบ จะมีจุดจบอะไร เจ้าก็น่าจะรู้ดีสินะ” ชายชรามีสีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใสเล็กน้อย แล้วถึงได้ตัดสินใจอย่างไม่ค่อยยินยอมนัก   

 

 

“รับคำบัญชา!” หญิงสาวหน้าเปลี่ยนสี แต่ก็ก้มหน้าตอบรับในทันที  

 

 

“อู่ชี่ พวกเราไปกันเถิด” ชายชราไม่ได้พูดอะไรกับหญิงสาวอีก แต่ออกคำสั่งกับบุรุษเขายักษ์ จากนั้นมือยักษ์ที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีเขียวก็ยื่นออกมาจากก้อนเมฆ แค่กะพริบวาบก็ตะปบลงไปที่ซากศพกลางทะเลหมอกด้านล่างและหดเล็กลงท่ามกลางกลุ่มหมอกราวกับสายฟ้าด้วยเหตุใดก็สุดจะรู้ได้  

 

 

“ขอรับนายท่าน!” บุรุษเขายักษ์รับคำสั่งอย่างนอบน้อม กลายเป็นลำแสงสีแดงกลุ่มหนึ่งบินออกไป เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปในหมอกสีดำ  

 

 

จากนั้นหลังจากที่เมฆสีดำเปล่งเสียงอึกทึกออกมา ก็พุ่งไปอีกด้านอย่างรวดเร็ว  

 

 

ชั่วพริบตาที่นี่ก็เหลือเพียงหญิงสาวหูแหลมคนหนึ่งเท่านั้น  

 

 

เมื่อเมฆาสีดำที่อยู่ไกลออกไปหายวับไปจากขอบฟ้า หางเล็กๆ ด้านหลังของหญิงสาวก็ม้วนไปมา แล้วเงยหน้าขึ้น  

 

 

หญิงสาวผู้นี้ขมวดคิ้วดำขลับแน่น เผยให้เห็นว่ารู้สึกว่าคำสั่งของชายชรามันยุ่งยากไปหน่อย  

 

 

แต่สุดท้ายนางก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หลังจากกวาดสายตาไปรอบด้าน ยืนยันตำแหน่งแล้ว ก็เคลื่อนไหว กลายเป็นลำแสงสีเงินสายหนึ่งพุ่งออกไป  

 

 

แต่หลังจากลำแสงสีเงินพุ่งออกไปได้ร้อยจั้งเศษ ฉับพลันนั้นลำแสงวิญญาณพลันสั่นเทา ลำแสงหลีกหนีเริ่มรางเลือน  

 

 

สุดท้ายพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงสีเงินสลายหายไปจากกลางอากาศ  

 

 

……  

 

 

อีกแห่งของเทือกเขามารสีทอง ชนต่างเผ่าระดับเทพแปลงและระดับสูญสุญตา กำลังบินอยู่กลางอากาศต่ำๆ อย่างแช่มช้า  

 

 

ในมือของทั้งสองถือจานอาคมขนาดเท่าฝ่ามือเอาไว้ บางครั้งก็บินๆ หยุดๆ จ้องมองปฏิกิริยาต่างๆ บนจานอาคม   

 

 

“ผ่านมาสองสามวันแล้ว น่าจะไม่พบเงาเห็ดเซียนแล้ว ท่านอาจารย์อาวัง พวกเรามาผิดทางหรือไม่” ชายหนุ่มพลังยุทธ์ระดับเทพแปลง อายุสามสิบกว่าปี อดไม่ไหวจนต้องเอ่ยถามอีกคน  

 

 

“เคล็ดวิชาทำนายของข้า แม้ว่าจะไม่อาจกล่าวได้ว่าแม่นยำเต็มร้อย แต่อย่างน้อยที่สุดก็มีอัตราแม่นยำอยู่หนึ่งในห้า ทำนายสองสามครั้งติดกัน ล้วนชี้ไปทิศทางนี้ไม่ผิดพลาด” ชายวัยกลางคนร่างกายซูบผอมอีกคนหนึ่ง กลับแค่มองจานอาคมในมือ และตอบกลับโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา  

 

 

“หนึ่งในห้า อัตราไม่มากนัก” ชายหนุ่มกลับถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเศร้าซึมไม่น้อย  

 

 

“หึ นี่มัน”  

 

 

ยามนี้ทั้งสองคนกำลังบินผ่านยอดเขาสูงใหญ่สองลูกไป  

 

 

พวกมันเหมือนกับยอดเขาที่เคยพบเห็นอย่างไรอย่างนั้น ล้วนเป็นสีดำสนิท แต่ผิวเรียบลื่น ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นสักต้น ล้วนเป็นเหมือนกองหิน  

 

 

ดังนั้นขณะที่ทั้งสองไม่ทันได้สังเกต กำลังจะเปล่งแสงสว่างวาบผ่านหว่างยอดเขาไป ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น  

 

 

ยอดเขาลูกหนึ่งระเบิดออกตรงหน้าของทั้งสองคน มีดลำแสงสีดำยักษ์ขนาดยี่สิบสามสิบจั้งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับลงมา  

 

 

“เหวอ”  

 

 

ชายวัยกลางคนร่างกายผ่ายผอมพลันตกตะลึง รีบร้อนอ้าปากออกพ่นโล่สีขาวออกมา  

 

 

โล่ใบนี้แค่พลิ้วไหว ก็มีขนาดสองสามจั้ง ต้านทานอยู่เบื้องหน้า  

 

 

แต่ครู่ต่อมาลำแสงสีดำก็กวาดผ่านไป  

 

 

หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้น ชายวัยกลางคนและโล่ตรงหน้าถูกสับออกแล้วสลายหายไปราวกับกลุ่มควันสีเขียว ไม่อาจต้านทานลำแสงสีดำเลยสักนิดกระผีกริ้น  

 

 

แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ ลำแสงสีดำที่ดุดันนี้กลับไม่ได้เข้าใกล้ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างเลยสักนิด  

 

 

ลำแสงแทบจะเฉียดผ่านร่างของชายหนุ่มไป แล้วจมหายเข้าไปในทะเลหมอกด้านล่าง  

 

 

ชั่วขณะนั้นหลังจากที่ทะเลหมอกเกิดเสียงอึกทึกขึ้น ก็แยกออกเป็นสองส่วนราวกับถูกใบมีดยักษ์สับท้องฟ้าออก เผยหุบเขายักษ์กว้างสิบจั้งเศษที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาออกมา  

 

 

ด้านในเป็นสีดำทะมึน ราวกับลึกล้ำจนไม่อาจคาดเดาได้  

 

 

แม้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับเทพแปลงแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าต่อสู้กับผู้คนมาไม่มากนัก จนถึงตอนนี้ใบหน้าถึงได้เผยแววหวาดกลัวออกมา ทันใดนั้นก็ร่ายอาคมมือเป็นระวิง กลายเป็นสายรุ้งสีขาว ตรงไปยังทางที่มา  

 

 

แต่ในตอนนั้นเองบนกำแพงหินเรียบลื่นของยอดเขาอีกด้าน พลันมีลำแสงสีเทาปรากฏขึ้นชั้นหนึ่ง จากนั้นใบหน้าโหดเ**้ยมขนาดสิบจั้งเศษใบหน้าหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเหรือกำแพงหิน  

 

 

ใบหน้านี้แค่อ้าปาก ม่านลำแสงสีเหลืองก็ทะลักออกมา ม้วนวนอย่างรวดเร็วราวกับทางช้างเผือกที่ไหลย้อนกลับ ดูดสายรุ้งสีขาวเข้าไปในปาก  

 

 

ทันใดนั้นใบหน้าบนกำแพงหินก็ปิดปาก จากนั้นร่างอันใหญ่ยักษ์สูงสองสามชั้นก็ทะลักออกมาจากยอดเขา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นมารอสูรรูปร่างคล้ายคางคกขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง  

 

 

มารอสูรตัวนี้มีเรือนกายสีเทาขาวเรียบลื่น ส่วนหัวแทบจะกินพื้นที่หนึ่งในสามของร่างกายไป  

 

 

ดูแล้วช่างน่าแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง  

 

 

ทว่าต่อให้แปลกประหลาดอย่างไร มารอสูรตัวใหญ่ขนาดนี้ขวางอยู่ตรงกลางระหว่างภูเขา แน่นอนว่าย่อมน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง  

 

 

ส่วนยอดเขาลำแสงสีดำยักษ์ที่ปล่อยออกมาในตอนแรก ก็มีเงาร่างคนสูงสามสี่จั้งบินออกมาอย่างเชื่องช้า  

 

 

เมื่อเข้ามาประชิดก็มองเห็นอย่างชัดเจน เงาร่างคนคาดไม่ถึงว่าจะเป็นบุรุษที่ดูเหมือนซื่อสัตย์คิ้วหนาตาโต บนร่างสวมเกราะสงครามสีเขียว แต่แผ่นหลังกลับมีปีกเนื้อสีดำสนิทคู่หนึ่งกระพือไปมาเบาๆ  

 

 

ปีกคู่นี้ช่างใหญ่โตมโหฬาร เมื่อกางออกมาเต็มที่ก็แทบจะมีขนาดสองสามจั้ง ผิวของมันไม่มีขนเลยสักเส้น กลับมีอักขระสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบไปมาไม่หยุด   

 

 

มองจากไกลๆ ปีกคู่นี้ดูเหมือนดาวตกอย่างไรอย่างนั้น เผยความลึกลับออกมาเป็นอย่างยิ่ง  

 

 

“นายท่านมารเหล็ก แค่สองคนจากแดนวิญญาณ เหตุใดต้องไปซุ่มดูพวกมัน” มารอสูรยักษ์ตัวนั้นพาคนติดปีกบินออกมา แล้วคาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยคำถามภาษามนุษย์ออกมา  

 

 

“ไม่มีอะไร แค่ไม่มีใครกล้าเข้ามาในส่วนลึกของเทือกเขามานานแล้ว คิดไม่ถึงว่าสองคนนี้จะมาปรากฏตัวที่นี่ ช่างแปลกประหลาดจริงๆ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะปลุกนายท่านบรรพบุรุษขึ้นมา ข้าไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายที่คาดไม่ถึงขึ้น หากเป็นไปได้ก็จัดมันซะ” มนุษย์ประหลาดปีกยักษ์เอ่ยอย่างราบเรียบ   

 

 

“นายท่านกังวลเกินไปแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่บรรพชนของพวกเราทำสัญญากับพวกแดนวิญญาณระดับสุดยอดว่าจะอนุญาตให้คนของแดนวิญญาณเข้ามาที่นี่ได้ มีคนมาปรากฏตัวที่นี่ ก็ไม่แปลกอะไร” มารอสูรยักษ์เอ่ยด้วยเสียงอู้อี้ออกมา  

 

 

“เอาล่ะ คางคกยักษ์! รีบใช้เคล็ดวิชาดูดวิญญาณของเจ้าสิ กินเศษเสี้ยววิญญาณของคนผู้นั้นเข้าไป ข้าอยากรู้ว่าพวกเขาเป็นแค่นักล่ามารอสูรธรรมดาจริงๆ หรือไม่!” บุรุษปีกยักษ์ออกคำสั่งอย่างเย็นชา  

 

 

“ขอรับ นายท่าน!” มารอสูรยักษ์เห็นบุรุษมีท่าทีจะหมดความอดทน ทันใดนั้นก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก กลอกตาไปมาแล้วหลับตาลง  

 

 

ชั่วขณะนั้นลำแสงห้าก็ไหลเวียนไปมาบนร่างของอสูร ในเวลาเดียวกันบรรยากาศรอบๆ ก็มีอักขระสีดำปรากฏขึ้น วนล้อมรอบร่างอันใหญ่โตไปมาอย่างรวดเร็ว   

 

 

ผลคือหลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ปากของคางคกยักษ์ก็ร้องตะโกนออกมา อักขระสีดำทั้งหมดจมหายเข้าไปในร่างของมัน ดวงตาอันใหญ่โตทั้งสองเบิกตาขึ้นอีกครั้ง  

 

 

”รายงานนายท่าน หาสาเหตุที่พวกเขาเข้ามาที่นี่ได้แล้ว คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเห็ดเซียนที่ได้รับบาดเจ็บตัวหนึ่ง!” เสียงของคางคกยักษ์แปลกใจไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าคำตอบนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของมัน  

 

 

“เห็ดเซียน! นั่นคืออะไร?” บุรุษปีกยักษ์กลับรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย  

 

 

“ก็คือสมุนไพรสะท้านฟ้าต้นหนึ่งที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้!” คางคกยักษ์อธิบาย  

 

 

“เห็ดเซียนที่แปลงเป็นมนุษย์ได้! มีเรื่องนี้จริงๆ หรือ เจ้าไม่ได้เข้าใจผิดหรอกนะ?” บุรุษได้ยินคำนี้ ร่างกายพลันสั่นสะท้าน จากนั้นก็เผยสีหน้ายินดีออกมาขณะเอ่ยถาม  

 

 

“ข้าดูดซับจิตวิญญาณดั้งเดิมของคนผู้นี้จนหมดแล้ว ไม่ผิดแน่ อันใดนายท่านสนใจสิ่งนี้หรือ?” คางคกยักษ์ใช้มือหยาบๆ ลูบไปที่ศีรษะ แล้วกลับรู้สึกฉงนขึ้นมา  

 

 

“หึๆ มารลิงแปลงกายในแดนมารโบราณของพวกเรา เจ้าน่าจะรู้จักสินะ เห็ดเซียนนี้มีประโยชน์เช่นเดียวกันกับสิ่งนั้น! หากข้าได้มันมาล่ะก็…” บุรุษปีกยักษ์ดวงตาทองทั้งสองข้างเปล่งประกาย  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด