A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1800 คำเชิญของว่านกู่

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1800 คำเชิญของว่านกู่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ลำแสงหลีกหนีจำนวนนับไม่ถ้วนและรถอสูรสำเภาเหาะต่างๆ พลันพวยพุ่งขึ้นไปในทะเลหมอก แล้วพุ่งไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน

สายรุ้งสีเขียวหนึ่งในนั้นดูไม่สะดุดตาเลยสักนิด หลังจากกะพริบวาบๆ กลับหายวับไปจากยอดเขาเซียนเหินอย่างไรร่องรอย

ท่ามกลางลำแสงสีเขียวหานลี่ยืนอยู่ในลำแสงหลีกหนีด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ด้านหลังของเขาไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

การประมูลสมบัติสองชิ้นสุดท้ายช่างแปลกประหลาดยิ่ง!

หลังจากผ่านการแย่งชิงโดยผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ยี่สิบสามสิบคน จานหมื่นพฤกษาก็ตกเป็นของราชาหงส์ดำเสียวก่วน

ส่วนแผนภาพสำเภาสงครามค้ำฟ้าของเผ่าเถี่ยเลยกลับตกเป็นของตระกูลหล่ง ที่เลื่องชื่อว่าเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้

เมื่อนึกถึงตระกูลหล่ง หานลี่ก็อดที่จะหรี่ตาทั้งสองข้างลงไม่ได้ ชั่วขณะนั้นในหัวพลันมีภาพผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนใบหน้าสีทองอ่อนคนหนึ่งปรากฏขึ้น

บรรพชนตระกูลหล่งที่ขึ้นไปทำการแลกเปลี่ยนแผนภาพสำเภาสงครามด้านบนเป็นคนสุดท้าย คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายคนหนึ่ง ไม่เพียงจะมีพลังปราณลึกล้ำยากจะคาดเดา ยังมีไอเย็นเยียบที่ไม่ธรรมดาพันรัดรอบร่างกายอยู่

มองจากไกลๆ ปราดหนึ่งก็ทำให้คนรู้สึกตกตะลึงหวาดผวาอย่างหาสาเหตุไม่ได้

บรรพชนตระกูลหล่งผู้นี้ดูเหมือนว่าจะมีพลังยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าสามจักรพรรดิและเจ็ดราชาปีศาจ มิน่าล่ะถึงได้ทำให้ตระกูลหล่งครองตำแหน่งตระกูลอันดับหนึ่งในตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ได้

ยามนี้พลังของตระกูลหล่งคาดไม่ถึงว่าจะกดสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดของเผ่ามนุษย์และปีศาจอย่างจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนได้ เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าพลังของตระกูลหล่งจะไม่ถึงกับปกคลุมขุมอำนาจเหล่านี้ได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะไม่ต่างกันมาก

เมื่อคิดว่าตนไปล่วงเกินขุมอำนาจนี้ หานลี่ก็อดที่จะรู้สึกปวดหัวไม่ได้

ทว่าโชคดีที่ก่อนหน้านี้คบค้าสมาคมกับตระกูลกู่และตระกูลเยี่ยจึงรู้ว่าตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ตระกูลอื่นๆ ไม่ค่อยถูกกับตระกูลหล่ง ยามนี้เขามีความสัมพันธ์กับสองตระกูลนี้ ตนก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อยู่แล้ว จึงไม่ต้องหวาดกลัวอีกฝ่าย

หรือว่าบรรพชนตระกูลหล่งผู้นี้กล้าพาอาวุโสแขกผู้มีเกียรติตระกูลหล่งมาล้อมโจมตีเขาคนเดียวหรือ?

หานลี่ขบคิดในใจ แล้วก็ลดลงความกังวลใจลงไปมาก

และในยามนั้นด้านหลังของเขาก็มีเสียงร้องทักที่คุ้นหูดังแว่วมา

“สหายหาน ช้าก่อน”

หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ลำแสงหลีกหนีสีเขียวก็หม่นแสงลง คาดไม่ถึงว่าจะหยุดลงจริงๆ และหันหน้ามาประสานมือคารวะ

“ข้าก็ว่าผู้ใด! ที่แท้ก็พี่ว่านกู่ ไม่ทราบว่าพี่ได้ประโยชน์อันใดจากงานประมูลเมื่อครู่หรือไม่?”

ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง เมฆสีเทากลุ่มหนึ่งก็บินออกมา นักพรตคนหนึ่งยืนอยู่บนก้อนเมฆ นั่นก็คืออรหันต์ว่านกู่ของสำนักกระดูกขาว

“ในงานประมูลเช่นนี้จะมีของดีจริงๆ อันใด แม้แต่สมบัติสองชิ้นสุดท้ายก็ยังไม่เข้าตา!” นักพรตควบคุมเมฆสีเทามาอยู่ตรงหน้าของหานลี่ได้ยินก็อดที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาไม่ได้

“หึๆ ใต้เท้าพูดถูกใจข้า ไม่ว่าจานหมื่นพฤกษาหรือว่าแผนภาพสำเภาสงครามค้ำฟ้าก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษอย่างพวกเราจะประมูลได้ โดยเฉพาะอย่างหลัง ยิ่งเป็นของร้อนใหญ่” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา

“ฮ่าๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่หานเป็นคนชาญ ไม่เหมือนกับผู้ที่กักตนฝึกตนเป็นเวลานานจนสมองเลอะเลือน คาดไม่ถึงว่าจะไปแย่งชิงของร้อนนั่นตาปริบๆ” นักพรตได้ยินพลันหัวเราะร่าออกมา

“ทว่าอรหันต์เรียกข้าไว้ มีเรื่องอันใดหรือ” หานลี่กะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบางๆ

“เรื่องนี้ สหายหานรู้หรือยังว่างานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬจะจัดขึ้นในอีกสามวันให้หลัง หลังจากที่อาตมาได้รับข่าวมาก็ได้ขอแผ่นป้ายนำทางมาให้สหายแผ่นหนึ่ง ถึงยามนั้นสหายถือสิ่งนี้เอาไว้ก็เข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนนี้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องหาทางอื่นอีก” อรหันต์ว่านกู่หุบยิ้มบนใบหน้า แล้วควักสิ่งที่เหมือนกันออกมาขณะเอ่ย

หานลี่รับไว้ด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วก้มหน้าลงกวาดตามองแวบหนึ่ง

เห็นเพียงแผ่นป้ายสามเหลี่ยมสีดำสนิทแผ่นหนึ่ง ด้านบนมีลวดลายง่ายๆ แม้แต่สัญลักษณ์สักแห่งก็ยังไม่มี ไม่สะดุดตาเลยสักนิด หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายบอกก่อนว่าคือแผ่นป้าย เขาก็แทบจะคิดว่าเป็นแค่แผ่นเหล็กสีดำเท่านั้น

“นี่คือแผ่นป้ายนำทาง!?” หานลี่แววตาฉายแววฉงนสนเท่ห์

“สหายไม่ต้องสงสัยสิ่งนี้ แผ่นป้ายนำทางในงานแลกเปลี่ยนสีดำครั้งที่แล้วก็เป็นแค่ไม้กระบองธรรมดาๆ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าผู้จัดงานทำได้อย่างไร แต่ของเหล่านี้เป็นของแทนตัวในการเข้าร่วมงานแดนทมิฬจริงๆ สหายหานอย่าทำหายล่ะ” อรหันต์ว่านกู่กำชับ

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ดูแล้วสหายที่อยู่เบื้องหลังงานแลกเปลี่ยนครั้งนี้เป็นผู้ที่น่าสนใจจริงๆ ผู้แซ่หานต้องขอบคุณอรหันต์ที่นำแผ่นป้ายมาให้” หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยขอบคุณนักพรตชรา

“หึๆ นี่แค่เรื่องเล็กเท่านั้น จะพอให้พูดถึงได้อย่างไร! ความจริงแล้วนักพรตไม่มีฝีมืออันใดหรอก แต่รู้ข่าวสารมากมายนัก ไม่ทราบว่าสหายหานเคยได้ยินหรือไม่ ภายในร้อยปีนี้เผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจของพวกเราจะเกิดภัยพิบัติ เจ้ากับข้าไม่อาจปลีกตัวได้” อรหันต์ว่านกู่เอ่ยไปพลางก็เปลี่ยนเป็นมีสีหน้าเคร่งขรึม

“ภัยพิบัติ! อรหันต์หมายถึงเคราะห์มารหรือ!” หานลี่หน้าเปลี่ยนสี พลางตอบอย่างแช่มช้า

“สหายรู้เรื่องนี้แล้วดังคาด ไม่ทราบว่าสหายหานรู้ข่าวนี้มาเท่าใด?” อรหันต์ว่านกู่ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจมากนัก

หลังจากผ่านไปการพูดคุยกับผู้บำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกันก่อนจะถึงงานหมื่นสมบัติ ยามนี้สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ที่ไม่รู้เรื่องเคราะห์มาร เกรงว่าคงจะมีอยู่แค่ไม่กี่คน

มิเช่นนั้นงานประมูลครั้งนี้คงไม่มีผู้คนมากมายไม่สนใจว่าตระกูลจะรับไหวหรือไม่ พยายามแย่งชิงแผนภาพสำเภาสงครามค้ำฟ้า ล้วนทำเพื่อเป้าหมายเดียวกัน ก็คืออยากเตรียมการป้องกันก่อนที่เคราะห์มารจะมาถึง

“แม้จะไม่มาก แต่ก็รู้ว่าเคราะห์มารครั้งนี้รุนแรงมาก ไม่ได้ผ่านไปได้ง่ายๆ แน่” หานลี่มุมปากกระตุก แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

“ดูแล้วสหายคงรู้ความลับมาบ้าง ก็ดี อาตมาจะไม่อ้อมค้อมอีก หลังจากงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬ สหายหานสนใจจะไปงานรวมตัวผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษในระดับเดียวกันกับอาตมาเพื่อปรึกษากันว่าผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษอย่างพวกเราจะข้ามเคราะห์มารครั้งนี้ไปได้อย่างไรหรือไม่” อรหันต์ว่านกู่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แล้วเอ่ยเป้าหมายที่แท้จริงออกมาเสียเลย

“ผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษ? แค่เผ่ามนุษย์ของพวกเราหรือ?” หานลี่ได้ยินก็ไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนสี แต่หลังจากขบคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยถามขึ้น

“ผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษระดับผสานอินทรีย์ในเผ่ามนุษย์ของพวกเรามีอยู่แค่ไม่กี่คน จะไปปรึกษาอันใดกันได้ ไม่ปิดสหาย สหายร่วมวิถีที่จะไปพบครั้งนี้กลับมีฝั่งเผ่าปีศาจมากกว่า” อรหันต์ว่านกู่พลันตกตะลึง แต่ก็เอ่ยอธิบายออกมา

“อรหันต์ไม่ต้องอธิบายอันใด ข้าไม่ได้มีความเห็นอันใดกับเผ่าปีศาจ แต่อยากเข้าใจสถานการณ์ของการรวมตัวครั้งนี้เท่านั้น ในเมื่อเผ่าปีศาจจะเข้าร่วม ดูแล้วคงต้องไปสักครั้งแล้ว รอจนงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬเสร็จสิ้น ข้าจะตามสหายไปเข้าร่วม” และไม่รู้ว่าหานลี่คิดอย่างไร คาดไม่ถึงว่าจะตอบรับอย่างไม่คิดอันใดมาก

“สหายช่างตัดสินใจได้ชาญฉลาดนัก!” นักพรตเชื้อเชิญได้อย่างราบรื่น ก็อดที่จะเอ่ยด้วยความดีใจไม่ได้

จากนั้นทั้งสองย่อมไม่อาจพูดคุยกันต่อได้อีก หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อย อรหันต์ว่านกู่ก็ขอตัวลา

เห็นเมฆสีเทาใต้ฝ่าเท้าของเขาหมุนวน กลายเป็นลำแสงสีเทาพุ่งออกไป

ยามนั้นนักพรตชราก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

หานลี่มองลำแสงหลีกหนีของนักพรตชราสลายหายไป แววตาก็เปล่งประกายไม่หยุด

“ท่านอาจารย์ พวกเราควรกลับกันได้แล้วหรือไม่ขอรับ” ชี่หลิงจื่อเห็นหานลี่นิ่งงันอยู่นาน ก็อดไม่ไหวเอ่ยเตือนขึ้น

“ชี่หลิงจื่อ เย่ว์เทียน พวกเจ้าอย่าเพิ่งกลับไปที่พัก พวกเจ้าช่วยกันตามหาคนคนหนึ่งก่อน อีกฝ่ายเป็นสตรีเผ่าปีศาจคนหนึ่ง” หานลี่เอ่ยโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา

“ขอรับ! ท่านอาจารย์!” ชี่หลิงจื่อและไห่ต้าเซ่าประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ตอบรับพร้อมกันอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

“นี่คือของแทนตน วิธีการติดต่อ พวกเจ้าตั้งใจฟังให้ละเอียด…” หานลี่พลิกฝ่ามือโยนแผ่นป้ายหยกครึ่งท่อนออกไป ริมฝีปากขยับเล็กน้อยถ่ายทอดเสียงไป

ศิษย์ทั้งสองย่อมตั้งใจฟังอย่างละเอียด แล้วก็ตอบรับไม่หยุด

“เยี่ยม เท่านี้แหละ หลังจากที่พวกเจ้าหาคนพบแล้ว ก็ให้กลับมารายงานข้า” หานลี่เอ่ยประโยคสุดท้ายเสร็จ ก็สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวลอยอยู่ใกล้ๆ กับทั้งสามคนแล้วแบ่งออกเป็นส่วนเล็กๆ ห่อหุ้มไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อเอาไว้ พลางร่อนลงมาที่พื้นอย่างแช่มช้า

หานลี่เองก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่ง พุ่งไปยังที่พัก

หานลี่ที่กลับมาถึงวังต้อนรับเซียนก็ไม่ได้เข้าไปฝึกฝนต่อในห้องลับทันที แต่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลักในตำหนักใหญ่พลางหยิบพฤกษาหยาดน้ำตาโลหิตที่เพิ่งประมูลมาได้ออกมาควงเล่นในมือ ใบหน้าเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา

หุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์มีชื่อเสียงไม่น้อยในเผ่ามนุษย์ และด้วยเหตุนี้วิธีการหลอมหุ่นเชิดชนิดนี้ก็ไม่ใช่ความลับอันใด จึงมีขายอยู่ทั่วไปในย่านร้านค้า

ปีนั้นยามที่เขารวบรวมตำราต่างๆ ก็ได้ตำราที่มีวิธีการหลอมสมบัติชิ้นนี้มาเช่นกัน ยามนี้จึงได้นำออกมาใช้แล้ว!

ปัญหาเดียวกันก็คือหุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์ไม่เพียงจะต้องใช้โลหิตบริสุทธิ์ในยามที่หลอมจำนวนมาก แม้แต่ยามที่หลอมสำเร็จแล้วก็ต้องใช้โลหิตบริสุทธิ์หลอมอีกระยะหนึ่ง มิเช่นนั้นก็จะสูญเสียประสิทธิภาพในการเปลี่ยนเคราะห์

แน่นอนว่าปัญหานี้และการสูญเสียโลหิตบริสุทธิ์ย่อมเทียบกับประสิทธิภาพของหุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์ไม่ได้ แน่นอนว่าจึงไม่มีค่าอันใด

หานลี่เริ่มขบคิดวิธีหลอมหุ่นเชิดในใจ และวัตถุดิบที่ต้องใช้

ผลคือหลังจากขบคิดอย่างรวดเร็ว ใบหน้าก็เผยสีหน้ายินดีออกมา

คาดไม่ถึงว่าจะมีวัตถุดิบทั้งหมดของหุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์แล้ว

นี่เพราะก่อนหน้านี้เขาได้รวบรวมวัตถุดิบมาจำนวนมากถึงได้รวบรวมครบได้พอดี

หานลี่ตัดสินใจว่าช่วงนี้จะหาเวลาว่างหลอมหุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์ ในมือพลันเปล่งแสงสว่างวาบ พฤกษาโลหิตพลันสลายหายไป

เวลาต่อมาเขาก็นั่งหลับตาทำสมาธิ เริ่มขบคิดขั้นตอนการหลอมหุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดยามหลอม

ผลคือการรอครั้งนี้กินเวลาไปหนึ่งวันหนึ่งคืน

เช้าตรู่วันที่สองในที่สุดไห่ต้าเซ่าก็กลับมาจากด้านนอก แต่เมื่อเห็นหานลี่กลับร้องตะโกนด้วยท่าทีร้อนรน

“ท่านอาจารย์ แย่แล้ว ศิษย์น้องชี่หลิงจื่อเกิดเรื่องแล้ว!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1800 คำเชิญของว่านกู่

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1800 คำเชิญของว่านกู่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ลำแสงหลีกหนีจำนวนนับไม่ถ้วนและรถอสูรสำเภาเหาะต่างๆ พลันพวยพุ่งขึ้นไปในทะเลหมอก แล้วพุ่งไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน

สายรุ้งสีเขียวหนึ่งในนั้นดูไม่สะดุดตาเลยสักนิด หลังจากกะพริบวาบๆ กลับหายวับไปจากยอดเขาเซียนเหินอย่างไรร่องรอย

ท่ามกลางลำแสงสีเขียวหานลี่ยืนอยู่ในลำแสงหลีกหนีด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ด้านหลังของเขาไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

การประมูลสมบัติสองชิ้นสุดท้ายช่างแปลกประหลาดยิ่ง!

หลังจากผ่านการแย่งชิงโดยผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ยี่สิบสามสิบคน จานหมื่นพฤกษาก็ตกเป็นของราชาหงส์ดำเสียวก่วน

ส่วนแผนภาพสำเภาสงครามค้ำฟ้าของเผ่าเถี่ยเลยกลับตกเป็นของตระกูลหล่ง ที่เลื่องชื่อว่าเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้

เมื่อนึกถึงตระกูลหล่ง หานลี่ก็อดที่จะหรี่ตาทั้งสองข้างลงไม่ได้ ชั่วขณะนั้นในหัวพลันมีภาพผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนใบหน้าสีทองอ่อนคนหนึ่งปรากฏขึ้น

บรรพชนตระกูลหล่งที่ขึ้นไปทำการแลกเปลี่ยนแผนภาพสำเภาสงครามด้านบนเป็นคนสุดท้าย คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายคนหนึ่ง ไม่เพียงจะมีพลังปราณลึกล้ำยากจะคาดเดา ยังมีไอเย็นเยียบที่ไม่ธรรมดาพันรัดรอบร่างกายอยู่

มองจากไกลๆ ปราดหนึ่งก็ทำให้คนรู้สึกตกตะลึงหวาดผวาอย่างหาสาเหตุไม่ได้

บรรพชนตระกูลหล่งผู้นี้ดูเหมือนว่าจะมีพลังยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าสามจักรพรรดิและเจ็ดราชาปีศาจ มิน่าล่ะถึงได้ทำให้ตระกูลหล่งครองตำแหน่งตระกูลอันดับหนึ่งในตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ได้

ยามนี้พลังของตระกูลหล่งคาดไม่ถึงว่าจะกดสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดของเผ่ามนุษย์และปีศาจอย่างจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนได้ เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าพลังของตระกูลหล่งจะไม่ถึงกับปกคลุมขุมอำนาจเหล่านี้ได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะไม่ต่างกันมาก

เมื่อคิดว่าตนไปล่วงเกินขุมอำนาจนี้ หานลี่ก็อดที่จะรู้สึกปวดหัวไม่ได้

ทว่าโชคดีที่ก่อนหน้านี้คบค้าสมาคมกับตระกูลกู่และตระกูลเยี่ยจึงรู้ว่าตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ตระกูลอื่นๆ ไม่ค่อยถูกกับตระกูลหล่ง ยามนี้เขามีความสัมพันธ์กับสองตระกูลนี้ ตนก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อยู่แล้ว จึงไม่ต้องหวาดกลัวอีกฝ่าย

หรือว่าบรรพชนตระกูลหล่งผู้นี้กล้าพาอาวุโสแขกผู้มีเกียรติตระกูลหล่งมาล้อมโจมตีเขาคนเดียวหรือ?

หานลี่ขบคิดในใจ แล้วก็ลดลงความกังวลใจลงไปมาก

และในยามนั้นด้านหลังของเขาก็มีเสียงร้องทักที่คุ้นหูดังแว่วมา

“สหายหาน ช้าก่อน”

หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ลำแสงหลีกหนีสีเขียวก็หม่นแสงลง คาดไม่ถึงว่าจะหยุดลงจริงๆ และหันหน้ามาประสานมือคารวะ

“ข้าก็ว่าผู้ใด! ที่แท้ก็พี่ว่านกู่ ไม่ทราบว่าพี่ได้ประโยชน์อันใดจากงานประมูลเมื่อครู่หรือไม่?”

ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง เมฆสีเทากลุ่มหนึ่งก็บินออกมา นักพรตคนหนึ่งยืนอยู่บนก้อนเมฆ นั่นก็คืออรหันต์ว่านกู่ของสำนักกระดูกขาว

“ในงานประมูลเช่นนี้จะมีของดีจริงๆ อันใด แม้แต่สมบัติสองชิ้นสุดท้ายก็ยังไม่เข้าตา!” นักพรตควบคุมเมฆสีเทามาอยู่ตรงหน้าของหานลี่ได้ยินก็อดที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาไม่ได้

“หึๆ ใต้เท้าพูดถูกใจข้า ไม่ว่าจานหมื่นพฤกษาหรือว่าแผนภาพสำเภาสงครามค้ำฟ้าก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษอย่างพวกเราจะประมูลได้ โดยเฉพาะอย่างหลัง ยิ่งเป็นของร้อนใหญ่” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา

“ฮ่าๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่หานเป็นคนชาญ ไม่เหมือนกับผู้ที่กักตนฝึกตนเป็นเวลานานจนสมองเลอะเลือน คาดไม่ถึงว่าจะไปแย่งชิงของร้อนนั่นตาปริบๆ” นักพรตได้ยินพลันหัวเราะร่าออกมา

“ทว่าอรหันต์เรียกข้าไว้ มีเรื่องอันใดหรือ” หานลี่กะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบางๆ

“เรื่องนี้ สหายหานรู้หรือยังว่างานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬจะจัดขึ้นในอีกสามวันให้หลัง หลังจากที่อาตมาได้รับข่าวมาก็ได้ขอแผ่นป้ายนำทางมาให้สหายแผ่นหนึ่ง ถึงยามนั้นสหายถือสิ่งนี้เอาไว้ก็เข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนนี้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องหาทางอื่นอีก” อรหันต์ว่านกู่หุบยิ้มบนใบหน้า แล้วควักสิ่งที่เหมือนกันออกมาขณะเอ่ย

หานลี่รับไว้ด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วก้มหน้าลงกวาดตามองแวบหนึ่ง

เห็นเพียงแผ่นป้ายสามเหลี่ยมสีดำสนิทแผ่นหนึ่ง ด้านบนมีลวดลายง่ายๆ แม้แต่สัญลักษณ์สักแห่งก็ยังไม่มี ไม่สะดุดตาเลยสักนิด หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายบอกก่อนว่าคือแผ่นป้าย เขาก็แทบจะคิดว่าเป็นแค่แผ่นเหล็กสีดำเท่านั้น

“นี่คือแผ่นป้ายนำทาง!?” หานลี่แววตาฉายแววฉงนสนเท่ห์

“สหายไม่ต้องสงสัยสิ่งนี้ แผ่นป้ายนำทางในงานแลกเปลี่ยนสีดำครั้งที่แล้วก็เป็นแค่ไม้กระบองธรรมดาๆ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าผู้จัดงานทำได้อย่างไร แต่ของเหล่านี้เป็นของแทนตัวในการเข้าร่วมงานแดนทมิฬจริงๆ สหายหานอย่าทำหายล่ะ” อรหันต์ว่านกู่กำชับ

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ดูแล้วสหายที่อยู่เบื้องหลังงานแลกเปลี่ยนครั้งนี้เป็นผู้ที่น่าสนใจจริงๆ ผู้แซ่หานต้องขอบคุณอรหันต์ที่นำแผ่นป้ายมาให้” หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยขอบคุณนักพรตชรา

“หึๆ นี่แค่เรื่องเล็กเท่านั้น จะพอให้พูดถึงได้อย่างไร! ความจริงแล้วนักพรตไม่มีฝีมืออันใดหรอก แต่รู้ข่าวสารมากมายนัก ไม่ทราบว่าสหายหานเคยได้ยินหรือไม่ ภายในร้อยปีนี้เผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจของพวกเราจะเกิดภัยพิบัติ เจ้ากับข้าไม่อาจปลีกตัวได้” อรหันต์ว่านกู่เอ่ยไปพลางก็เปลี่ยนเป็นมีสีหน้าเคร่งขรึม

“ภัยพิบัติ! อรหันต์หมายถึงเคราะห์มารหรือ!” หานลี่หน้าเปลี่ยนสี พลางตอบอย่างแช่มช้า

“สหายรู้เรื่องนี้แล้วดังคาด ไม่ทราบว่าสหายหานรู้ข่าวนี้มาเท่าใด?” อรหันต์ว่านกู่ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจมากนัก

หลังจากผ่านไปการพูดคุยกับผู้บำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกันก่อนจะถึงงานหมื่นสมบัติ ยามนี้สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ที่ไม่รู้เรื่องเคราะห์มาร เกรงว่าคงจะมีอยู่แค่ไม่กี่คน

มิเช่นนั้นงานประมูลครั้งนี้คงไม่มีผู้คนมากมายไม่สนใจว่าตระกูลจะรับไหวหรือไม่ พยายามแย่งชิงแผนภาพสำเภาสงครามค้ำฟ้า ล้วนทำเพื่อเป้าหมายเดียวกัน ก็คืออยากเตรียมการป้องกันก่อนที่เคราะห์มารจะมาถึง

“แม้จะไม่มาก แต่ก็รู้ว่าเคราะห์มารครั้งนี้รุนแรงมาก ไม่ได้ผ่านไปได้ง่ายๆ แน่” หานลี่มุมปากกระตุก แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

“ดูแล้วสหายคงรู้ความลับมาบ้าง ก็ดี อาตมาจะไม่อ้อมค้อมอีก หลังจากงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬ สหายหานสนใจจะไปงานรวมตัวผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษในระดับเดียวกันกับอาตมาเพื่อปรึกษากันว่าผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษอย่างพวกเราจะข้ามเคราะห์มารครั้งนี้ไปได้อย่างไรหรือไม่” อรหันต์ว่านกู่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แล้วเอ่ยเป้าหมายที่แท้จริงออกมาเสียเลย

“ผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษ? แค่เผ่ามนุษย์ของพวกเราหรือ?” หานลี่ได้ยินก็ไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนสี แต่หลังจากขบคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยถามขึ้น

“ผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษระดับผสานอินทรีย์ในเผ่ามนุษย์ของพวกเรามีอยู่แค่ไม่กี่คน จะไปปรึกษาอันใดกันได้ ไม่ปิดสหาย สหายร่วมวิถีที่จะไปพบครั้งนี้กลับมีฝั่งเผ่าปีศาจมากกว่า” อรหันต์ว่านกู่พลันตกตะลึง แต่ก็เอ่ยอธิบายออกมา

“อรหันต์ไม่ต้องอธิบายอันใด ข้าไม่ได้มีความเห็นอันใดกับเผ่าปีศาจ แต่อยากเข้าใจสถานการณ์ของการรวมตัวครั้งนี้เท่านั้น ในเมื่อเผ่าปีศาจจะเข้าร่วม ดูแล้วคงต้องไปสักครั้งแล้ว รอจนงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬเสร็จสิ้น ข้าจะตามสหายไปเข้าร่วม” และไม่รู้ว่าหานลี่คิดอย่างไร คาดไม่ถึงว่าจะตอบรับอย่างไม่คิดอันใดมาก

“สหายช่างตัดสินใจได้ชาญฉลาดนัก!” นักพรตเชื้อเชิญได้อย่างราบรื่น ก็อดที่จะเอ่ยด้วยความดีใจไม่ได้

จากนั้นทั้งสองย่อมไม่อาจพูดคุยกันต่อได้อีก หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อย อรหันต์ว่านกู่ก็ขอตัวลา

เห็นเมฆสีเทาใต้ฝ่าเท้าของเขาหมุนวน กลายเป็นลำแสงสีเทาพุ่งออกไป

ยามนั้นนักพรตชราก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

หานลี่มองลำแสงหลีกหนีของนักพรตชราสลายหายไป แววตาก็เปล่งประกายไม่หยุด

“ท่านอาจารย์ พวกเราควรกลับกันได้แล้วหรือไม่ขอรับ” ชี่หลิงจื่อเห็นหานลี่นิ่งงันอยู่นาน ก็อดไม่ไหวเอ่ยเตือนขึ้น

“ชี่หลิงจื่อ เย่ว์เทียน พวกเจ้าอย่าเพิ่งกลับไปที่พัก พวกเจ้าช่วยกันตามหาคนคนหนึ่งก่อน อีกฝ่ายเป็นสตรีเผ่าปีศาจคนหนึ่ง” หานลี่เอ่ยโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา

“ขอรับ! ท่านอาจารย์!” ชี่หลิงจื่อและไห่ต้าเซ่าประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ตอบรับพร้อมกันอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

“นี่คือของแทนตน วิธีการติดต่อ พวกเจ้าตั้งใจฟังให้ละเอียด…” หานลี่พลิกฝ่ามือโยนแผ่นป้ายหยกครึ่งท่อนออกไป ริมฝีปากขยับเล็กน้อยถ่ายทอดเสียงไป

ศิษย์ทั้งสองย่อมตั้งใจฟังอย่างละเอียด แล้วก็ตอบรับไม่หยุด

“เยี่ยม เท่านี้แหละ หลังจากที่พวกเจ้าหาคนพบแล้ว ก็ให้กลับมารายงานข้า” หานลี่เอ่ยประโยคสุดท้ายเสร็จ ก็สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวลอยอยู่ใกล้ๆ กับทั้งสามคนแล้วแบ่งออกเป็นส่วนเล็กๆ ห่อหุ้มไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อเอาไว้ พลางร่อนลงมาที่พื้นอย่างแช่มช้า

หานลี่เองก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่ง พุ่งไปยังที่พัก

หานลี่ที่กลับมาถึงวังต้อนรับเซียนก็ไม่ได้เข้าไปฝึกฝนต่อในห้องลับทันที แต่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลักในตำหนักใหญ่พลางหยิบพฤกษาหยาดน้ำตาโลหิตที่เพิ่งประมูลมาได้ออกมาควงเล่นในมือ ใบหน้าเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา

หุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์มีชื่อเสียงไม่น้อยในเผ่ามนุษย์ และด้วยเหตุนี้วิธีการหลอมหุ่นเชิดชนิดนี้ก็ไม่ใช่ความลับอันใด จึงมีขายอยู่ทั่วไปในย่านร้านค้า

ปีนั้นยามที่เขารวบรวมตำราต่างๆ ก็ได้ตำราที่มีวิธีการหลอมสมบัติชิ้นนี้มาเช่นกัน ยามนี้จึงได้นำออกมาใช้แล้ว!

ปัญหาเดียวกันก็คือหุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์ไม่เพียงจะต้องใช้โลหิตบริสุทธิ์ในยามที่หลอมจำนวนมาก แม้แต่ยามที่หลอมสำเร็จแล้วก็ต้องใช้โลหิตบริสุทธิ์หลอมอีกระยะหนึ่ง มิเช่นนั้นก็จะสูญเสียประสิทธิภาพในการเปลี่ยนเคราะห์

แน่นอนว่าปัญหานี้และการสูญเสียโลหิตบริสุทธิ์ย่อมเทียบกับประสิทธิภาพของหุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์ไม่ได้ แน่นอนว่าจึงไม่มีค่าอันใด

หานลี่เริ่มขบคิดวิธีหลอมหุ่นเชิดในใจ และวัตถุดิบที่ต้องใช้

ผลคือหลังจากขบคิดอย่างรวดเร็ว ใบหน้าก็เผยสีหน้ายินดีออกมา

คาดไม่ถึงว่าจะมีวัตถุดิบทั้งหมดของหุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์แล้ว

นี่เพราะก่อนหน้านี้เขาได้รวบรวมวัตถุดิบมาจำนวนมากถึงได้รวบรวมครบได้พอดี

หานลี่ตัดสินใจว่าช่วงนี้จะหาเวลาว่างหลอมหุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์ ในมือพลันเปล่งแสงสว่างวาบ พฤกษาโลหิตพลันสลายหายไป

เวลาต่อมาเขาก็นั่งหลับตาทำสมาธิ เริ่มขบคิดขั้นตอนการหลอมหุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดยามหลอม

ผลคือการรอครั้งนี้กินเวลาไปหนึ่งวันหนึ่งคืน

เช้าตรู่วันที่สองในที่สุดไห่ต้าเซ่าก็กลับมาจากด้านนอก แต่เมื่อเห็นหานลี่กลับร้องตะโกนด้วยท่าทีร้อนรน

“ท่านอาจารย์ แย่แล้ว ศิษย์น้องชี่หลิงจื่อเกิดเรื่องแล้ว!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+