A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1802 ไล่ตามศัตรู

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1802 ไล่ตามศัตรู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในเมื่อตัดสินใจแล้วทั้งสองคนก็ไม่มีเจตนาจะรอช้าอีก แยกย้ายกันไปจัดการทันที

ฮูหยินชราสาวเท้าอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็ผ่านทางเดินสายหนึ่งเข้ามาในห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย

ภายในห้องนี้ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีขาวแต่หน้าแกมเหลืองร่างกายผ่ายผอมกำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินตัวหนึ่ง กำลังรวบรวมสมาธิอ่านคัมภีร์สีเงินระยิบระยับ

“ท่านแม่ เหตุใดถึงมาที่นี่” เมื่อเห็นฮูหยินชราเดินเข้ามา ชายหนุ่มก็วางคัมภีร์ในมือลงแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“หมิงเอ๋อร์เก็บสัมภาระ พวกเราจะไปพักที่วังต้อนรับเซียนของตระกูลหล่ง” ฮูหยินเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม ก็เปลี่ยนจากสีหน้ามืดมนเป็นสีหน้ารักใคร่เอ็นดูขณะเอ่ย

“ตระกูลหล่ง! ดูแล้วคนที่พวกท่านจับมา คงจะจัดการยากสินะ” ชายหนุ่มได้ยินพลันขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างจนปัญญา

“อันใด เจ้าก็รู้เรื่องนี้หรือ” ฮูหยินชรามีท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย

“ท่านแม่ท่านลืมไปแล้วหรือ แม้ว่าจะพลังยุทธ์ไม่สูง แต่ก็กระตุ้นโลหิตมังกรเที่ยงแท้จนได้รับอิทธิฤทธิ์หูทิพย์ แม้ว่าจะไม่ออกจากห้อง แต่กลับได้ยินบทสนทนาของพวกท่านอยู่บ้าง” ชายหนุ่มฉีกยิ้มขณะเอ่ย

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ทว่าหมิงเอ๋อร์วางใจ ไม่ว่าอย่างไร ข้าและบิดาของเจ้าก็จะย้ายอาวุธที่สืบทอดมาในร่างของคนผู้นั้นมาอยู่ในร่างของเจ้าให้ได้ เช่นนั้นไม่เพียงจะรักษาโรคเก่าได้ ยังสามารถอาศัยพลังที่ถ่ายทอดมาทะลวงจุดคอขวดได้ มีโอกาสในการผนึกระดับจิตวิญญาณสีทอง ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลังเจ้าเด็กนั้น ขอแค่เข้าไปในตระกูลหล่ง เขาก็ไม่กล้ามาหาเรื่องแน่” ฮูหยินชราเอ่ยอย่างปลอบโยน

“หลังจากที่ท่านเทียนจิ้งหาวิธีรักษาโรคร้ายด้วยการใช้ของที่ถ่ายทอดมาให้ในปีนั้น ท่านสองคนก็เอาแต่ตามหาผู้บำเพ็ญเพียรที่มีอาวุธที่ถ่ายทอดมาและยังไม่เปิดผนึก ข้ามีลางสังหรณ์เกรงว่าจะก่อปัญหาไม่น้อย ในที่สุดยามนี้ก็หาพบคนหนึ่ง คิดดูแล้วต่อให้ข้าชักจูง ท่านแม่ก็คงไม่ล้มเลิกง่ายๆ สินะ” หลังจากที่ชายหนุ่มเงียบขรึมก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

“เจ้าพูดจาซี้ซั้วอันใด ข้าและท่านพ่อของเจ้าเห็นว่าไม่อาจผ่านเคราะห์สวรรค์ครั้งหน้าได้ ถึงได้ตัดสินใจให้กำเนิดเจ้ามาอย่างยากลำบาก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้คนผมขาวส่งคนผมดำ[1]ได้ ขอแค่คนผู้นั้นไม่ใช่สามจักรพรรดิเจ็ดราชาปีศาจ มีท่านลุงและท่านปู่อยู่ ก็ต้องปกป้องเจ้าได้อย่างปลอดภัยแน่ และยิ่งไปกว่านั้นยามนี้เจ้ากระตุ้นโลหิตมังกรเที่ยงแท้แล้ว ก็จะกลายเป็นศิษย์ตระกูลหล่งโดยเฉพาะ หากตระกูลหล่งไม่คุ้มครองเจ้า จะได้ชื่อว่าเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ได้อย่างไร” ฮูหยินชรามีสีหน้าเคร่งขรึม ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ

“เอาละ ในเมื่อท่านแม่ตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ออกเดินทางกันดีกว่า ไม่แน่ว่าตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์ผู้นั้นอาจจะใกล้มาถึงแล้วก็ได้” ชายหนุ่มสั่นศีรษะ แต่ฉับพลันนั้นก็เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงเร่งรัด

“เป็นไปไม่ได้กระมัง ข้าตรวจสอบร่างกายของเจ้าเด็กนั้นแล้ว ไม่ได้มีสัญลักษณ์อันใด” ฮูหยินชราได้ยินพลันตกตะลึง ท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

“ถึงอย่างไรเสียท่านแม่ก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ จากที่ข้ารู้มาผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์มีวิธีลงสัญลักษณ์อาคมอยู่อย่างน้อยสามสี่วิธี สามารถบดบังจิตสัมผัสของผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาได้อย่างง่ายดาย สองสามปีที่ผ่านมาแม้ว่าข้าจะไม่ได้ฝึกฝนพลังปราณ แต่ได้อ่านคัมภีร์เคล็ดวิชาต่างๆ มามากมาย” ชายหนุ่มหัวเราะขมขื่นขณะเอ่ย

“หมิงเอ๋อร์ เจ้าพูดมีเหตุผล เช่นนั้นพวกเราก็อย่าเก็บของเลย รีบไปกันเถิด บิดาของเจ้าไปหาเจ้าเด็กผู้นั้นแล้ว” ฮูหยินหน้าเปลี่ยนสีเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

ในเวลาเดียวกันภายในห้องลับอีกห้องหนึ่ง ชายชราคิ้วดำเห็นผู้ที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน ก็มีสีหน้าสลับซับซ้อน

“นักพรตน้อยอย่าโทษว่าเราสองสามีภรรยาโหดร้ายเลย หากอยากรักษาอาการป่วยของหมิงเอ๋อร์ ก็มีเพียงต้องเอาอาวุธที่ถ่ายทอดมาจากร่างของเจ้า และเจ้าที่ไม่มีอาวุธที่ถ่ายทอดมา ก็จะกลายเป็นคนพิการ ตายทั้งเป็น ถึงยามนั้นตาเฒ่าจะส่งเจ้าไปสู่ความสงบโดยไร้ซึ่งความเจ็บปวด” ชายชราเอ่ยพึมพำ ใบหน้ามีสีหน้าโหดเหี้ยม

ส่วนผู้ที่นอนอยู่บนพื้นนั่นก็คือนักพรตน้อยนามว่าชี่หลิงจื่อผู้นั้น

แต่ไม่รู้ว่าถูกฮูหยินชราและพวกทั้งสองทำอันใดไว้ ทำให้เขาสลบไสลไม่ได้สติ

ชายชราคิ้วดำพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง หว่างนิ้วเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ยันต์สีดำสนิทราวกับน้ำหมึกปรากฏออกมา

สะบัดข้อมือ ยันต์วิเศษกลายเป็นลำแสงสีเทาสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วจมหายเข้าไปในร่างของชี่หลิงจื่ออย่างไร้ร่องรอย

จากนั้นชายชราพลันอ้าปากอีกครั้ง พ่นไอสีดำที่ด้านในมีระฆังทองแดงสีเขียวหมุนเคว้งออกมา

ชายชราคิ้วดำยกมือขึ้น แล้วงอนิ้วเล็กน้อย

เสียง “เคร๊ง” ดังออกมาจากไอสีดำ

ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น

ชี่หลิงจื่อที่แต่เดิมนอนนิ่งอยู่บนพื้น พลันร่างกายสั่นเทิ้ม คาดไม่ถึงว่าจะกลิ้งหลุนๆ แล้วลุกขึ้นมาจากพื้น ยืนเผชิญหน้ากับชายชราด้วยดวงตาที่ปิดสนิท

นักพรตน้อยในยามนี้มีสีหน้าไร้ความรู้สึก ราวกับหุ่นเชิดก็ไม่ปาน

ชายชราบริกรรมคาถา อาคมดีดออกมาจากมืออย่างต่อเนื่อง ชั่วขณะนั้นระฆังสีเขียวพลันเปล่งเสียงสั่นยาวแตกต่างกันออกมา

แต่ฟังดูเหมือนเสียงระฆังธรรมดา เมื่อเข้ามาในโสตของชี่หลิงจื่อกลับทำให้เขาลืมตาทั้งสองข้างขึ้น

เห็นเพียงแววตาของเขางงงวย แต่ก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น แค่ใบหน้ายังคงไร้ซึ่งความรู้สึก

ชายชราคิ้วดำเห็นเหตุการณ์เช่นนี้กลับผ่อนคลายลง ยกมือข้างหนึ่งตะปบออกไป แล้วดูดระฆังทองแดงเข้ามาในแขนเสื้อ พลิกตัวเดินจากไปโดยไม่พูดจาอันใด!

ท่ามกลางเสียงระฆังที่ดังแว่วมาจากแขนเสื้อ คาดไม่ถึงว่าชี่หลิงจื่อจะออกเดินอย่างแข็งๆ ตามติดเขาไม่ยอมห่างแม้แต่ก้าวเดียว

หลังจากผ่านไปชั่วครู่สายรุ้งสีดำและเทาก็พวยพุ่งขึ้นจากภูเขาลูกเล็กๆ หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็พุ่งตรงไปยังภูเขาเก้าเซียน

ในลำแสงหลีกหนีสองสายชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอมและชี่หลิงจื่ออยู่ในนั้น

หลังจากกะพริบวาบๆ สายรุ้งสองสายก็หายวับไปจากขอบฟ้า

แทบจะในเวลาหนึ่งมื้ออาหาร สายรุ้งสีเขียวเจิดจ้าสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากอีกด้าน หลังจากลำแสงหม่นแสงลง ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าบุรุษทั้งสองคน

คนหนึ่งมีใบหน้างดงาม คนหนึ่งมีหน้าตาธรรมดาๆ ไม่สะดุดตาเลยสักนิด

นั่นคือก็คือไห่ต้าเซ่าและหานลี่

“คาดไม่ถึงว่าจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว!” หานลี่แผ่จิตสัมผัสไปที่เมฆหมอกในภูเขา แล้วเอ่ยพึมพำกับตนเองอย่างประหลาดใจ

“อันใด พวกเขาพาศิษย์น้องไปที่อื่นแล้วหรือ! ท่านอาจารย์มีวิธีตามหาพวกเขาหรือไม่ขอรับ?” ไห่ต้าเซ่าได้ยินคำพูดของหานลี่ก็เอ่ยถามอย่างตึงเครียด

“วางใจ ข้าร่ายอาคมไว้ในร่างของชี่หลิงจื่อ แม้ว่าจะเบาบางมาก แต่ทุกๆ ช่วงเวลาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงครั้งหนึ่ง ยามนั้นข้าจะรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ใด” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ

“เยี่ยมจริงๆ ขอรับ! ทว่าคนผู้นี้ช่างอาจหาญนัก คาดไม่ถึงว่าจะกล้าทำเรื่องชิงตัวคนอื่นในงานหมื่นสมบัติเช่นนี้ ผู้ดูแลเหล่านั้นไม่สนใจเลยสักนิดเลยหรือ?” ไห่ต้าเซ่าพลันมีสีหน้าผ่อนคลายลง แต่จากนั้นก็เอ่ยด้วยความโกรธขึ้ง

“หึๆ! หากผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ ทำเรื่องเช่นนี้ ย่อมไม่มีผู้ดูแลมาขวางกั้น แต่หากเป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขึ้นไป ผู้ดูแลเหล่านั้นก็จะตรวจสอบอย่างละเอียด หากเป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาผู้ดูแลเหล่านั้นเห็นเข้า ก็จะทำเป็นมองไม่เห็นแล้วจากไป” หานลี่หัวเราะหึๆ อย่างเย็นชา

“หรือว่าฮูหยินชราผู้นั้นคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์!” ไห่ต้าเซ่าได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสี

“น่าจะไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ มิเช่นนั้นคงไม่หลบหลีกไม่ยอมพบหน้าเช่นนี้” หานลี่สั่นศีรษะ

“นั่นมันก็จริง” ไห่ต้าเซ่าครุ่นคิด แล้วพยักหน้าอย่างอดที่จะเห็นด้วยไม่ได้

ทั้งสองคนรั้งรออยู่กลางอากาศอีกครึ่งชั่วยาม ฉับพลันนั้นหานลี่ก็เลิกคิ้ว

“หาพบแล้ว พวกเขาไปที่ภูเขาเก้าเซียน พวกเราไปกันเถิด!”

สิ้นเสียงหานลี่ไม่รอแม้กระทั่งให้ไห่ต้าเซ่าเผยสีหน้ายินดี ก็ร่างกายหมุนคว้าง พัดหมอกลำแสงสีเขียวออกมาห่อหุ้มร่างทั้งสองเอาไว้

สายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งปรากฏขึ้นอีกครั้งและบินไปทางภูเขาเก้าเซียน

……

สามชั่วยามต่อมา เงาร่างของหานลี่และไห่ต้าเซ่าก็ปรากฏอยู่เหนือวังขนาดใหญ่สีทองมรกต

วังนี้แบ่งออกเป็นสิบชั้น นั่นคือหนึ่งในวังต้อนรับเซียน

หานลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยจ้องเขม็งไปยังชั้นใดชั้นหนึ่งของวังด้วยแววตาเคร่งขรึม

“ท่านอาจารย์ไม่ได้เข้าใจผิดใช่หรือไม่ ชี่หลิงจื่อถูกพามาที่นี่จริงหรือ” ไห่ต้าเซ่าหน้าซีดขาวเอ่ยถามอย่างกินแรง

เห็นได้ชัดว่าเขาเข้าใจแล้วว่าหากชี่หลิงจื่อมาปรากฏตัวที่นี่นั้นหมายความว่าอย่างไร

“ไม่ผิด ระยะใกล้แค่นี้เขตอาคมจิ๊บจ๊อยแค่นี้ย่อมปิดบังความรู้สึกข้าไม่ได้” หานลี่เอ่ยด้วยแววตาเปล่งประกาย

“หรือว่าคนผู้นั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์จริงๆ หากเป็นเช่นนั้นเหตุใดศิษย์น้องไปปรากฏตัวนอกภูเขาเก้าเซียนในยามแรก” ไห่ต้าเซ่าเอ่ยพึมพำ

“ง่ายมาก! หากฮูหยินชราผู้นั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์จริงๆ ถ้ำพำนักของภูเขาเก้าเซียนเป็นแค่ถ้ำพำนักชั่วคราวของนาง เพื่อใช้ทำเรื่องที่ไม่อาจเปิดเผยได้ ไม่ก็คนผู้นั้นไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ แต่ก็มีที่มาเดียวกันกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่อยู่ที่นี่ จึงมาหาที่พึ่งโดยเฉพาะ อยากใช้สิ่งนี้ขู่พวกเรา!” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ

“เช่นนั้นท่านอาจารย์คิดว่าจะทำอย่างไร?” ไห่ต้าเซ่าลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วถึงได้เอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา

“เจ้าลงไปก่อน ไปลองถามมาสิว่าผู้ที่พักอยู่ที่ชั้นเก้าของที่นี่คือผู้ใด” หานลี่ไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ กลับออกคำสั่งแทน

“ขอรับท่านอาจารย์!” ไห่ต้าเซ่าได้ยินคำพูดของหานลี่ก็รีบตอบรับอย่างนอบน้อม

“ข้าส่งเจ้าลงไป รอให้เจ้าสอบถามให้ละเอียดแล้วให้มาหาข้าที่ภูเขาลูกนั้นข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นั่น” หานลี่ออกคำสั่งแล้วสะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวพลันแยกออกห่อหุ้มไห่ต้าเซ่าเอาไว้ แล้วส่งลงไปบนพื้นดิน

ส่วนเขาก็เปลี่ยนทิศทางบินไปทางภูเขาลูกเตี้ยๆ ที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบสามสิบลี้

แม้ว่าภูเขาเก้าเซียนจะประกอบไปด้วยยอดเขาทั้งหมดเก้าลูก แต่นอกจากนี้ย่อมมียอดเขานิรนามที่ไม่สะดุดตาอยู่ระหว่างเทือกเขาด้วย

เมื่อสองเท้าของไห่ต้าเซ่าแตะถึงพื้น ก็กวาดตามองวังเก้าเซียนแวบหนึ่ง แต่กลับไม่ได้เดินเข้าไปในทันทีหลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ก็วิ่งไปยังจุดที่คึกคักที่สุด

[1] คนผมขาวส่งคนผมดำ เป็นสำนวนหมายถึงคนเป็นพ่อแม่ต้องมาจัดงานศพลูกที่ตายก่อนตัวเอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1802 ไล่ตามศัตรู

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1802 ไล่ตามศัตรู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในเมื่อตัดสินใจแล้วทั้งสองคนก็ไม่มีเจตนาจะรอช้าอีก แยกย้ายกันไปจัดการทันที

ฮูหยินชราสาวเท้าอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็ผ่านทางเดินสายหนึ่งเข้ามาในห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย

ภายในห้องนี้ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีขาวแต่หน้าแกมเหลืองร่างกายผ่ายผอมกำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินตัวหนึ่ง กำลังรวบรวมสมาธิอ่านคัมภีร์สีเงินระยิบระยับ

“ท่านแม่ เหตุใดถึงมาที่นี่” เมื่อเห็นฮูหยินชราเดินเข้ามา ชายหนุ่มก็วางคัมภีร์ในมือลงแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“หมิงเอ๋อร์เก็บสัมภาระ พวกเราจะไปพักที่วังต้อนรับเซียนของตระกูลหล่ง” ฮูหยินเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม ก็เปลี่ยนจากสีหน้ามืดมนเป็นสีหน้ารักใคร่เอ็นดูขณะเอ่ย

“ตระกูลหล่ง! ดูแล้วคนที่พวกท่านจับมา คงจะจัดการยากสินะ” ชายหนุ่มได้ยินพลันขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างจนปัญญา

“อันใด เจ้าก็รู้เรื่องนี้หรือ” ฮูหยินชรามีท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย

“ท่านแม่ท่านลืมไปแล้วหรือ แม้ว่าจะพลังยุทธ์ไม่สูง แต่ก็กระตุ้นโลหิตมังกรเที่ยงแท้จนได้รับอิทธิฤทธิ์หูทิพย์ แม้ว่าจะไม่ออกจากห้อง แต่กลับได้ยินบทสนทนาของพวกท่านอยู่บ้าง” ชายหนุ่มฉีกยิ้มขณะเอ่ย

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ทว่าหมิงเอ๋อร์วางใจ ไม่ว่าอย่างไร ข้าและบิดาของเจ้าก็จะย้ายอาวุธที่สืบทอดมาในร่างของคนผู้นั้นมาอยู่ในร่างของเจ้าให้ได้ เช่นนั้นไม่เพียงจะรักษาโรคเก่าได้ ยังสามารถอาศัยพลังที่ถ่ายทอดมาทะลวงจุดคอขวดได้ มีโอกาสในการผนึกระดับจิตวิญญาณสีทอง ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลังเจ้าเด็กนั้น ขอแค่เข้าไปในตระกูลหล่ง เขาก็ไม่กล้ามาหาเรื่องแน่” ฮูหยินชราเอ่ยอย่างปลอบโยน

“หลังจากที่ท่านเทียนจิ้งหาวิธีรักษาโรคร้ายด้วยการใช้ของที่ถ่ายทอดมาให้ในปีนั้น ท่านสองคนก็เอาแต่ตามหาผู้บำเพ็ญเพียรที่มีอาวุธที่ถ่ายทอดมาและยังไม่เปิดผนึก ข้ามีลางสังหรณ์เกรงว่าจะก่อปัญหาไม่น้อย ในที่สุดยามนี้ก็หาพบคนหนึ่ง คิดดูแล้วต่อให้ข้าชักจูง ท่านแม่ก็คงไม่ล้มเลิกง่ายๆ สินะ” หลังจากที่ชายหนุ่มเงียบขรึมก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

“เจ้าพูดจาซี้ซั้วอันใด ข้าและท่านพ่อของเจ้าเห็นว่าไม่อาจผ่านเคราะห์สวรรค์ครั้งหน้าได้ ถึงได้ตัดสินใจให้กำเนิดเจ้ามาอย่างยากลำบาก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้คนผมขาวส่งคนผมดำ[1]ได้ ขอแค่คนผู้นั้นไม่ใช่สามจักรพรรดิเจ็ดราชาปีศาจ มีท่านลุงและท่านปู่อยู่ ก็ต้องปกป้องเจ้าได้อย่างปลอดภัยแน่ และยิ่งไปกว่านั้นยามนี้เจ้ากระตุ้นโลหิตมังกรเที่ยงแท้แล้ว ก็จะกลายเป็นศิษย์ตระกูลหล่งโดยเฉพาะ หากตระกูลหล่งไม่คุ้มครองเจ้า จะได้ชื่อว่าเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ได้อย่างไร” ฮูหยินชรามีสีหน้าเคร่งขรึม ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ

“เอาละ ในเมื่อท่านแม่ตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ออกเดินทางกันดีกว่า ไม่แน่ว่าตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์ผู้นั้นอาจจะใกล้มาถึงแล้วก็ได้” ชายหนุ่มสั่นศีรษะ แต่ฉับพลันนั้นก็เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงเร่งรัด

“เป็นไปไม่ได้กระมัง ข้าตรวจสอบร่างกายของเจ้าเด็กนั้นแล้ว ไม่ได้มีสัญลักษณ์อันใด” ฮูหยินชราได้ยินพลันตกตะลึง ท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

“ถึงอย่างไรเสียท่านแม่ก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ จากที่ข้ารู้มาผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์มีวิธีลงสัญลักษณ์อาคมอยู่อย่างน้อยสามสี่วิธี สามารถบดบังจิตสัมผัสของผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาได้อย่างง่ายดาย สองสามปีที่ผ่านมาแม้ว่าข้าจะไม่ได้ฝึกฝนพลังปราณ แต่ได้อ่านคัมภีร์เคล็ดวิชาต่างๆ มามากมาย” ชายหนุ่มหัวเราะขมขื่นขณะเอ่ย

“หมิงเอ๋อร์ เจ้าพูดมีเหตุผล เช่นนั้นพวกเราก็อย่าเก็บของเลย รีบไปกันเถิด บิดาของเจ้าไปหาเจ้าเด็กผู้นั้นแล้ว” ฮูหยินหน้าเปลี่ยนสีเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

ในเวลาเดียวกันภายในห้องลับอีกห้องหนึ่ง ชายชราคิ้วดำเห็นผู้ที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน ก็มีสีหน้าสลับซับซ้อน

“นักพรตน้อยอย่าโทษว่าเราสองสามีภรรยาโหดร้ายเลย หากอยากรักษาอาการป่วยของหมิงเอ๋อร์ ก็มีเพียงต้องเอาอาวุธที่ถ่ายทอดมาจากร่างของเจ้า และเจ้าที่ไม่มีอาวุธที่ถ่ายทอดมา ก็จะกลายเป็นคนพิการ ตายทั้งเป็น ถึงยามนั้นตาเฒ่าจะส่งเจ้าไปสู่ความสงบโดยไร้ซึ่งความเจ็บปวด” ชายชราเอ่ยพึมพำ ใบหน้ามีสีหน้าโหดเหี้ยม

ส่วนผู้ที่นอนอยู่บนพื้นนั่นก็คือนักพรตน้อยนามว่าชี่หลิงจื่อผู้นั้น

แต่ไม่รู้ว่าถูกฮูหยินชราและพวกทั้งสองทำอันใดไว้ ทำให้เขาสลบไสลไม่ได้สติ

ชายชราคิ้วดำพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง หว่างนิ้วเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ยันต์สีดำสนิทราวกับน้ำหมึกปรากฏออกมา

สะบัดข้อมือ ยันต์วิเศษกลายเป็นลำแสงสีเทาสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วจมหายเข้าไปในร่างของชี่หลิงจื่ออย่างไร้ร่องรอย

จากนั้นชายชราพลันอ้าปากอีกครั้ง พ่นไอสีดำที่ด้านในมีระฆังทองแดงสีเขียวหมุนเคว้งออกมา

ชายชราคิ้วดำยกมือขึ้น แล้วงอนิ้วเล็กน้อย

เสียง “เคร๊ง” ดังออกมาจากไอสีดำ

ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น

ชี่หลิงจื่อที่แต่เดิมนอนนิ่งอยู่บนพื้น พลันร่างกายสั่นเทิ้ม คาดไม่ถึงว่าจะกลิ้งหลุนๆ แล้วลุกขึ้นมาจากพื้น ยืนเผชิญหน้ากับชายชราด้วยดวงตาที่ปิดสนิท

นักพรตน้อยในยามนี้มีสีหน้าไร้ความรู้สึก ราวกับหุ่นเชิดก็ไม่ปาน

ชายชราบริกรรมคาถา อาคมดีดออกมาจากมืออย่างต่อเนื่อง ชั่วขณะนั้นระฆังสีเขียวพลันเปล่งเสียงสั่นยาวแตกต่างกันออกมา

แต่ฟังดูเหมือนเสียงระฆังธรรมดา เมื่อเข้ามาในโสตของชี่หลิงจื่อกลับทำให้เขาลืมตาทั้งสองข้างขึ้น

เห็นเพียงแววตาของเขางงงวย แต่ก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น แค่ใบหน้ายังคงไร้ซึ่งความรู้สึก

ชายชราคิ้วดำเห็นเหตุการณ์เช่นนี้กลับผ่อนคลายลง ยกมือข้างหนึ่งตะปบออกไป แล้วดูดระฆังทองแดงเข้ามาในแขนเสื้อ พลิกตัวเดินจากไปโดยไม่พูดจาอันใด!

ท่ามกลางเสียงระฆังที่ดังแว่วมาจากแขนเสื้อ คาดไม่ถึงว่าชี่หลิงจื่อจะออกเดินอย่างแข็งๆ ตามติดเขาไม่ยอมห่างแม้แต่ก้าวเดียว

หลังจากผ่านไปชั่วครู่สายรุ้งสีดำและเทาก็พวยพุ่งขึ้นจากภูเขาลูกเล็กๆ หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็พุ่งตรงไปยังภูเขาเก้าเซียน

ในลำแสงหลีกหนีสองสายชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอมและชี่หลิงจื่ออยู่ในนั้น

หลังจากกะพริบวาบๆ สายรุ้งสองสายก็หายวับไปจากขอบฟ้า

แทบจะในเวลาหนึ่งมื้ออาหาร สายรุ้งสีเขียวเจิดจ้าสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากอีกด้าน หลังจากลำแสงหม่นแสงลง ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าบุรุษทั้งสองคน

คนหนึ่งมีใบหน้างดงาม คนหนึ่งมีหน้าตาธรรมดาๆ ไม่สะดุดตาเลยสักนิด

นั่นคือก็คือไห่ต้าเซ่าและหานลี่

“คาดไม่ถึงว่าจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว!” หานลี่แผ่จิตสัมผัสไปที่เมฆหมอกในภูเขา แล้วเอ่ยพึมพำกับตนเองอย่างประหลาดใจ

“อันใด พวกเขาพาศิษย์น้องไปที่อื่นแล้วหรือ! ท่านอาจารย์มีวิธีตามหาพวกเขาหรือไม่ขอรับ?” ไห่ต้าเซ่าได้ยินคำพูดของหานลี่ก็เอ่ยถามอย่างตึงเครียด

“วางใจ ข้าร่ายอาคมไว้ในร่างของชี่หลิงจื่อ แม้ว่าจะเบาบางมาก แต่ทุกๆ ช่วงเวลาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงครั้งหนึ่ง ยามนั้นข้าจะรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ใด” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ

“เยี่ยมจริงๆ ขอรับ! ทว่าคนผู้นี้ช่างอาจหาญนัก คาดไม่ถึงว่าจะกล้าทำเรื่องชิงตัวคนอื่นในงานหมื่นสมบัติเช่นนี้ ผู้ดูแลเหล่านั้นไม่สนใจเลยสักนิดเลยหรือ?” ไห่ต้าเซ่าพลันมีสีหน้าผ่อนคลายลง แต่จากนั้นก็เอ่ยด้วยความโกรธขึ้ง

“หึๆ! หากผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ ทำเรื่องเช่นนี้ ย่อมไม่มีผู้ดูแลมาขวางกั้น แต่หากเป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขึ้นไป ผู้ดูแลเหล่านั้นก็จะตรวจสอบอย่างละเอียด หากเป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาผู้ดูแลเหล่านั้นเห็นเข้า ก็จะทำเป็นมองไม่เห็นแล้วจากไป” หานลี่หัวเราะหึๆ อย่างเย็นชา

“หรือว่าฮูหยินชราผู้นั้นคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์!” ไห่ต้าเซ่าได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสี

“น่าจะไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ มิเช่นนั้นคงไม่หลบหลีกไม่ยอมพบหน้าเช่นนี้” หานลี่สั่นศีรษะ

“นั่นมันก็จริง” ไห่ต้าเซ่าครุ่นคิด แล้วพยักหน้าอย่างอดที่จะเห็นด้วยไม่ได้

ทั้งสองคนรั้งรออยู่กลางอากาศอีกครึ่งชั่วยาม ฉับพลันนั้นหานลี่ก็เลิกคิ้ว

“หาพบแล้ว พวกเขาไปที่ภูเขาเก้าเซียน พวกเราไปกันเถิด!”

สิ้นเสียงหานลี่ไม่รอแม้กระทั่งให้ไห่ต้าเซ่าเผยสีหน้ายินดี ก็ร่างกายหมุนคว้าง พัดหมอกลำแสงสีเขียวออกมาห่อหุ้มร่างทั้งสองเอาไว้

สายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งปรากฏขึ้นอีกครั้งและบินไปทางภูเขาเก้าเซียน

……

สามชั่วยามต่อมา เงาร่างของหานลี่และไห่ต้าเซ่าก็ปรากฏอยู่เหนือวังขนาดใหญ่สีทองมรกต

วังนี้แบ่งออกเป็นสิบชั้น นั่นคือหนึ่งในวังต้อนรับเซียน

หานลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยจ้องเขม็งไปยังชั้นใดชั้นหนึ่งของวังด้วยแววตาเคร่งขรึม

“ท่านอาจารย์ไม่ได้เข้าใจผิดใช่หรือไม่ ชี่หลิงจื่อถูกพามาที่นี่จริงหรือ” ไห่ต้าเซ่าหน้าซีดขาวเอ่ยถามอย่างกินแรง

เห็นได้ชัดว่าเขาเข้าใจแล้วว่าหากชี่หลิงจื่อมาปรากฏตัวที่นี่นั้นหมายความว่าอย่างไร

“ไม่ผิด ระยะใกล้แค่นี้เขตอาคมจิ๊บจ๊อยแค่นี้ย่อมปิดบังความรู้สึกข้าไม่ได้” หานลี่เอ่ยด้วยแววตาเปล่งประกาย

“หรือว่าคนผู้นั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์จริงๆ หากเป็นเช่นนั้นเหตุใดศิษย์น้องไปปรากฏตัวนอกภูเขาเก้าเซียนในยามแรก” ไห่ต้าเซ่าเอ่ยพึมพำ

“ง่ายมาก! หากฮูหยินชราผู้นั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์จริงๆ ถ้ำพำนักของภูเขาเก้าเซียนเป็นแค่ถ้ำพำนักชั่วคราวของนาง เพื่อใช้ทำเรื่องที่ไม่อาจเปิดเผยได้ ไม่ก็คนผู้นั้นไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ แต่ก็มีที่มาเดียวกันกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่อยู่ที่นี่ จึงมาหาที่พึ่งโดยเฉพาะ อยากใช้สิ่งนี้ขู่พวกเรา!” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ

“เช่นนั้นท่านอาจารย์คิดว่าจะทำอย่างไร?” ไห่ต้าเซ่าลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วถึงได้เอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา

“เจ้าลงไปก่อน ไปลองถามมาสิว่าผู้ที่พักอยู่ที่ชั้นเก้าของที่นี่คือผู้ใด” หานลี่ไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ กลับออกคำสั่งแทน

“ขอรับท่านอาจารย์!” ไห่ต้าเซ่าได้ยินคำพูดของหานลี่ก็รีบตอบรับอย่างนอบน้อม

“ข้าส่งเจ้าลงไป รอให้เจ้าสอบถามให้ละเอียดแล้วให้มาหาข้าที่ภูเขาลูกนั้นข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นั่น” หานลี่ออกคำสั่งแล้วสะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวพลันแยกออกห่อหุ้มไห่ต้าเซ่าเอาไว้ แล้วส่งลงไปบนพื้นดิน

ส่วนเขาก็เปลี่ยนทิศทางบินไปทางภูเขาลูกเตี้ยๆ ที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบสามสิบลี้

แม้ว่าภูเขาเก้าเซียนจะประกอบไปด้วยยอดเขาทั้งหมดเก้าลูก แต่นอกจากนี้ย่อมมียอดเขานิรนามที่ไม่สะดุดตาอยู่ระหว่างเทือกเขาด้วย

เมื่อสองเท้าของไห่ต้าเซ่าแตะถึงพื้น ก็กวาดตามองวังเก้าเซียนแวบหนึ่ง แต่กลับไม่ได้เดินเข้าไปในทันทีหลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ก็วิ่งไปยังจุดที่คึกคักที่สุด

[1] คนผมขาวส่งคนผมดำ เป็นสำนวนหมายถึงคนเป็นพ่อแม่ต้องมาจัดงานศพลูกที่ตายก่อนตัวเอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+