A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1806 เกาะศักดิ์สิทธิ์

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1806 เกาะศักดิ์สิทธิ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ลี่เหนียง เจ้าเด็กสาวที่แต่งงานกับคนนอกเผ่าไปเล่า? นางจะมาถึงเมื่อใดกันแน่? ช่างเถอะ อีกประเดี๋ยวค่อยมาพูดกับข้าให้ละเอียด” เกิดประกายพาดผ่านแววตาของชายวัยกลางคนหน้าสีทอง ก่อนออกคำสั่งกำชับด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ดูไม่น่าสงสัย

ผู้นำตระกูลหล่งลอบประหวั่นในใจ ก่อนรีบร้อนรับคำด้วยความเคารพ

แม้ว่าเขาจะเป็นผู้นำตระกูลหล่ง และยังเป็นถึงเลือดเนื้อเชื้อไขของผู้อาวุโสท่านนี้ก็ตาม แต่หลังจากที่ผู้อาวุโสของตนฝึกวิชาอิทธิฤทธิ์ไร้เยื่อใยที่อานุภาพแรงกล้าแล้ว เลือดเนื้อเชื้อไขก้อนนี้ก็ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงอีกต่อไป

หากให้ผู้นำตระกูลหล่งผู้นี้อยู่กับผู้อาวุโสตระกูลหล่งล่ะก็ วันคืนปกติก็คงระมัดระวังเป็นอย่างมาก ไม่กล้าชักช้าโอ้เอ้แต่อย่างใด

“นี่คือร่างครึ่งโลหิตมังกรเที่ยงแท้หรือ สามารถรวมร่างกับปีศาจได้อย่างไม่มีที่ติ นี่มันทำให้ข้าเปิดหูเปิดตาเสียจริง” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าอาวุธวิญญาณค่อยๆ บินลงมาอย่างช้าๆ ทั้งยังเอ่ยออกมาจากไกลๆ โดยยังไม่ได้ยกยิ้มเลยด้วยซ้ำ

“ข้าเองเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์รุ่นหลัง ยังมิอาจรับมือกับปีศาจรุ่นเยาว์ มีอะไรน่ายินดีหรือ? สตรีศักดิ์สิทธิ์มิได้กำลังหัวเราะเยาะข้าหรอกหรือ” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งเมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ สีหน้าไม่เพียงไม่มีความยินดี แต่กลับเอ่ยออกมาอย่างไร้ความรู้สึก”

“ฮ่าๆ สหายหล่ง เหตุใดรู้แล้วยังต้องถามอีกเล่า เดิมทีการบำเพ็ญเพียรของปีศาจก็เป็นที่รู้จักดีในด้านความแข็งแกร่งทางกายภาพอยู่แล้ว วานรนั้นก็ถือว่าอยู่ในกลุ่มที่ดีที่สุด สหายมิได้ใช้อาวุธใดๆ ใช้เพียงเลือดเนื้อก็สามารถต่อกรกับวานรที่บำเพ็ญเพียรแบบรวมร่างได้ นั่นหมายถึงอะไรคงไม่ต้องให้ข้าเอ่ยออกมากระมัง สหายหากใช้อิทธิฤทธิ์อื่น อย่างนั้นวานรนี้คงไม่ได้ยืนหยัดอยู่นานแน่” สตรีศักดิ์สิทธิ์มิได้สนใจในสีหน้าของผู้อาวุโสของตระกูลหล่ง เพียงแต่กลับตอบด้วยอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“เหอะๆ ยืนหยัดไม่ได้นานหรือ หากสตรีศักดิ์สิทธิ์คิดอย่างนี้จริงๆ ล่ะก็ อย่างนั้นก็เข้าใจผิดไปกันยกใหญ่แล้ว” ผู้อาวุโสเมื่อได้ฟังสีหน้าก็เปิดเผยรอยยิ้มเย็นชาที่ดูประหลาดออกมา

“เอ๋ หรือว่าท่านสหายพบเจอเรื่องอะไรเข้าหรือ” เด็กสาวในอาภรณ์สีเหลืองกะพริบตาถี่ ปรากฏสีหน้าตกตะลึงออกมา

“พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าขอสนทนากับสหายเชียนชิวตามลำพังสักครู่” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งมิได้ตอบคำถามเด็กสาวในทันที แต่กลับสะบัดแขนเสื้อแล้วหันไปตะคอกใส่เหล่านักพรตตระกูลหล่งที่อยู่ใกล้เคียง

ในเวลาเดียวกัน เขามังกรบนศีรษะของเขาและเกล็ดสีทองบนใบหน้าก็จางหายไปในทันที และดวงตาสีทองพลันกลับกลายเป็นดวงตาสีดำของคนธรรมดา

เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งต่างทำตามคำสั่งอย่างนอบน้อม ก่อนทยอยกันเหาะออกนอกปราสาทไป

ชั่วพริบตา อากาศรอบด้านก็เหลือเพียงชายวัยกลางคนและเด็กสาวในอาภรณ์สีเหลืองแล้ว

“ท่านนักพรตระมัดระวังถึงเพียงนี้ หรือวานรปีศาจนั้นจะมีที่มาน่ากลัวกระนั้นหรือ” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวมิได้ทัดทานการจากไปของผู้อื่น กลับเอ่ยถามออกมาด้วยท่าทีสบายๆ

“ข้าสงสัยว่ามันจะเป็นคนจากหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์” ท่านผู้อาวุโสแห่งตระกูลหล่งเอ่ยปาก กลับทำให้สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวชะงักไป ต่อมาจึงปรากฏสีหน้าประหลาดใจออกมา

“หมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์รึ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์และปีศาจครอบครองร่วมกันน่ะหรือ “สตรีศักดิ์สิทธิ์พึมพำถามออกมา

“ไม่ผิดแน่ หากไม่เป็นอย่างนี้ ก็ยากจะอธิบายว่าเหตุใดจู่ๆ ในเผ่าปีศาจจึงมีปีศาจวานรระดับผสานอินทรีย์ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน หมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์ทุกหนึ่งพันปีจะต้องคัดเลือกเหล่าศิษย์ที่คุณสมบัติเพียบพร้อมไปเติมเต็มหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์ หลายหมื่นปีผ่านไปเยี่ยงนี้ แน่นอนว่าผู้ใดก็มิอาจทราบได้ว่าบนหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์นั้นจะมีปีศาจระดับผสานอินทรีย์มากขึ้นเท่าใดแล้ว แต่ข้าเดาว่าบนหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์อย่างน้อยก็มีปีศาจระดับผสานอินทรีย์ประมาณยี่สิบถึงสามสิบคน นอกจากเรื่องคอขาดบาดตายที่เกี่ยวข้องกับพวกเราสองเผ่าแล้ว การมีอยู่ของระดับผสานอินทรีย์บนหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์นั้น ล้วนไม่อาจจะออกมาจากหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์ง่ายๆ ก็เนื่องจากมีเกาะแห่งนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์และปีศาจทั้งสองเมื่อพบเจอศัตรูมโหฬารเข้าจึงได้ร่วมมือกันเอาชนะได้” ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสแห่งตระกูลหล่งสีหน้าจะยังคงแข็งทื่ออย่างผิดปกติ แต่กลับมีความหนักใจพาดผ่านในแววตา

“เหอะๆ ฟังดูแล้ว หมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์ของพวกท่านทั้งสองเผ่ากับวัดศักดิ์สิทธิ์เผ่าวิญญาณช่างเหมือนกันเหลือเกิน ข้าเองก็ไม่ทราบได้ว่าวัดศักดิ์สิทธิ์ในเผ่าวิญญาณ มีการมีอยู่ของระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่เท่าใด” เด็กสาวในอาภรณ์สีเหลืองเมื่อฟังคำกล่าวของผู้อาวุโสตระกูลหล่งก็ลอบถอนหายใจ

“ที่ข้ารู้สึกว่าวานรปีศาจเหล่านี้มาจากหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์ยังมีเหตุผลอีกข้อหนึ่ง ข้าได้รู้มาว่าทหารปีศาจที่ปกป้องหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์มาหลายปีนั้น ก็คือเผ่าวานรทองที่น่ากลัวมากดังคำร่ำลือ แต่วานรยักษ์ตัวที่วิ่งมาถึงถึงที่นี่นั่น รูปกายภายนอกดูราวกับวานรนี้ ยังมิใช่ปีศาจบำเพ็ญระดับผสานอินทรีย์ตอนต้นที่น่ากลัวธรรมดาๆ ข้าจึงมิใช่ใช้อิทธิฤทธิ์อื่นๆ วานรตัวนี้ต้องมิได้มีเพียงวิธีเหล่านั้นก่อนหน้า ต่อให้ใช้พลังทั้งหมดจริง ก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถรั้งวานรตนนี้เอาไว้ได้ หากเป็นอย่างนั้น ข้าจะไม่ทำอะไรที่เป็นการยั่วยุหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งเงียบไปครู่ใหญ่ ในที่สุดก็เอ่ยความกลัวในใจออกมา

“เจ้าวานรปีศาจนี้น่ากลัวอย่างนั้นจริงหรือ ข้ามิได้ลงมือเองเลยมิอาจคาดเดาออกมาได้อย่างชัดแจ้ง แต่ประกายไฟสีเงินสายนั้นที่ออกมาจากร่างก่อนมันจากไป มันสามารถละลายความว่างเปล่าลงได้ นี่ให้ความรู้สึกหวั่นเกรงกับข้าไม่น้อย” ในที่สุดรอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กสาวในอาภรณ์สีเหลืองก็จางหายไป และค่อยๆ เอ่ยขึ้นมาว่า

“ตามที่ข้าทราบมา ท่ามกลางอิทธิฤทธิ์พรสวรรค์ของเผ่าวานรทองนั้นมีเพียงอัคคีแท้เก้าทารก มีเพียงอิทธิฤทธิ์พรสวรรค์นี้ที่เก่งกาจหาใดเทียบได้ แต่ท่ามกลางเผ่าวานรทองนั้นแทบจะไม่มีใครเปิดขุมพลังนี้ออกมาและฝึกฝนบำเพ็ญจนสำเร็จได้ ต้องเป็นวิญญาณเที่ยงแท้อย่างไร ก็ไม่มีใครทราบได้จริงๆ” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งเอ่ยด้วยสายตาวาววับ

“อย่าบอกนะว่า ท่านคิดว่าวานรยักษ์ขนสีทองตัวนั้นก็คือวานรทองยักษ์ภูเขา” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวขมวดคิ้วทันที

“มิใช่ข้ามั่นใจ แต่แปดเก้าในสิบส่วนไม่ผิดแน่” เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสตระกูลหล่งเป็นคนมีความมั่นใจ เขาเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจผิดปกติ

“อืม ในเมื่อเป็นคนจากหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์ ข้อเสียเปรียบนี้ก็คงต้องยอมรับไว้เองแล้ว” หลังจากที่เด็กสาวในอาภรณ์สีเหลืองจดจ้องไปยังผู้อาวุโสตระกูลหล่งพักใหญ่ก็หัวเราะพรืดออกมา

“หึ ข้าไม่กลัวเผ่าวานรทองหรอกนะ แต่ให้เกียรติหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์หรอก และเมื่อได้ฟังคำพูดของวานรตัวนี้ก่อนจะจากไป มีเรื่องอื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าจะต้องตรวจสอบออกมาให้ชัดเจนก่อนค่อยว่ากัน” อาวุโสตระกูลหล่งพึมพำเสียงเบา ๆ และเอ่ยออกมาด้วยแสงเย็บวาบในดวงตาของเขา

“ในเมื่อสหายหล่งมีข้อสรุปแล้ว ผู้น้อยคงไม่ต้องเอ่ยให้มากความอีก แต่เรื่องนั้นที่เกี่ยวข้อง เราสองตระกูลเองก็เจรจามาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ยังคงไม่สามารถหาเงื่อนไขที่เป็นหนึ่งเดียวกันได้ นี่เราจะต้องลากยาวต่อไปอีกหรือ ผู้น้อยเสี่ยงอันตรายมาหาท่านทั้งสองนี่ มิได้มาเพื่อเสวนากับตระกูลหล่งเท่านั้น ยังมีเรื่องสำคัญอีกหลายเรื่องที่ต้องไปทำ” เด็กสาวในอาภรณ์สีเหลืองเอ่ย ก่อนสีหน้าจะเย็นเยือกอย่างฉับพลัน

“เงื่อนไขของตระกูลหล่งเรามิได้ง่ายมากหรอกหรือ ขอเพียงสำเภาทุกลำได้มอบวิญญาณไร้ค่าไร้สมองสิบตนให้ตระกูลหล่ง ตระกูลหล่งก็จะนำสำเภารบค้ำฟ้าที่หลอมออกมาได้ แบ่งให้พวกท่านหนึ่งในสาม เงื่อนไขนี้มิได้มากมายเพียงพอหรือ ตามที่ข้ารู้มา เผ่าอาวุธวิญญาณของพวกเจ้ามิได้มองวิญญาณไร้ค่าไร้สมองว่าเป็นพวกเดียวกันกับเผ่าเจ้านี่นา เอาพวกมันมาแลกกับสำเภารบค้ำฟ้านี้ น่าจะเป็นเรื่องที่กำไรมากกระมัง” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“เหอะ สิบตนคงไม่ได้แน่ แม้ว่าเผ่าอาวุธวิญญาณจะไม่ได้มองว่าวิญญาณไร้ค่าเป็นพวกเดียวกัน แต่ตามกฎของทั้งเผ่าวิญญาณแล้ว หากนำวิญญาณไร้ค่ามามอบแต่คนเผ่าอื่นตามอำเภอใจ นี่เท่ากับมีโทษกบฏ สำเภาทุกลำอย่างมากก็แลกกับวิญญาณไร้ค่าห้าตน และที่พวกเราเสี่ยงมาเจรจาตกลงกับตระกูลหล่งนี้ ก็ยังได้สำเภามาแค่หนึ่งในสาม ความเสี่ยงและกำไรมันเทียบกันไม่ได้เลยเสียด้วยซ้ำ ขออภัยที่ต้องเอ่ยคำไม่น่าฟัง หากรู้ก่อนว่าตระกูลหล่งตระหนี่ถึงเพียงนี้ ข้ากลับปรารถนาให้แผนที่สำเภารบค้ำฟ้าในครานั้นตกอยู่ในมือของสามจักรพรรดิ์และราชาปีศาจเสีย เมื่อคิดถึงอำนาจยิ่งใหญ่เหล่านี้ น่าจะใจกว้างกว่าตระกูลหล่งมากนัก” เด็กสาวในอาภรณ์สีเหลืองเอ่ยออกมาเสียงเบาก่อนใช้ข้อมือนวลผ่องม้วนผมหน้าม้าเล่น

“สหายเชียนชิวเหตุใดต้องใช้วิธียั่วยุเล่า เจ้าควรจะทราบดีว่าวิชาไร้เยื่อใยที่ข้าฝึกฝนนั้น แทบจะไม่ใช้จุดอ่อนใดในความรู้สึกเลย แต่ในเมื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์เอ่ยมาเยี่ยงนี้แล้ว อย่างนั้นข้าเองก็คงต้องตัดสินใจยอมถอยเสียหนึ่งก้าว เมื่อถึงตอนนั้นพวกท่านจงนำวิญญาณไร้ค่าแปดตนมาแลกเรือวิญญาณ และข้าจะมอบสี่ส่วนของจำนวนทั้งหมดให้แก่เผ่าอาวุธวิญญาณ” ผู้อาวุโสมองไปยังสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยออกมาเสียงหนักแน่น

“สี่ส่วน กับวิญญาณไร้ค่าแปดตนรึ! ไม่ได้ ถ้าเป็นจำนวนนี้ก็ถือว่าเป็นโมฆะเถิด แต่ที่ข้าสามารถตัดสินใจได้ก็คือรับปากว่าทุกสำเภาจะแลกกับวิญญาณไร้ค่าได้เจ็ดตน” เด็กสาวในอาภรณ์สีเหลือง นางเองก็เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าระมัดระวังเช่นกัน

“เจ็ดตนก็เจ็ดตนเถิด ข้ารับปากก็ได้ ต่อไปพวกเราต้องมาเจรจากันสักหน่อย ถึงความร่วมมือหลายอย่างในด้านอื่นก่อนที่เคราะห์มารจะลงมาจุติ” บรรพบุรุษของตระกูลหลงคร่ำครวญอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ตกปากรับคำในเวลาต่อมา

“นี่เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว ขอเพียงการแลกเปลี่ยนดำเนินการไปอย่างราบรื่นในคราแรก เผ่าอาวุธวิญญาณยินดีมากที่จะมีความร่วมมือด้านอื่นกับตระกูลหล่ง” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวที่เห็นว่าอีกฝ่ายได้ตกปากรับคำเงื่อนไขของตนแล้ว จึงเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มดุจบุปผา

“อย่างนั้นก็เชิญสตรีศักดิ์สิทธิ์กลับเถอะ ที่นี่ไม่ใคร่เหมาะจะสนทนานานเท่าใดนัก ไปสนทนากับข้าต่อในหอคอยเถิด” หลังจากที่ผู้อาวุโสตระกูลหล่งพยักหน้า ขยับมือเพียงข้างเดียว ทำท่าทางเชิญด้วยความเคารพ

ท่านผู้อาวุโสในตระกูลหล่งนี้ ราวกับได้โยนเรื่องวานรยักษ์ขนทองเมื่อครู่ไปไว้หลังสมองเสียแล้ว

ก็จริง การก่อกวนของวานรปีศาจระดับผสานอินทรีย์ตอนต้น จะเทียบกับการร่วมมือกับเผ่าอาวุธวิญญาณได้อย่างไร ฝ่ายหลังนั่นเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของตระกูลหล่งเมื่อเคราะห์มารมาถึง

และแทบจะในเวลาเดียวกัน วานรยักษ์ขนทองตนนั้นกลับถลาลงบนยอดเขาที่ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้แล้ว

เมื่อครู่วานรตนนี้เพิ่งจะใช้เพลิงสีเงินเพื่อเจาะทะลุชั้นนอกของวังต้อนรับเซียนแล้วบินออกไป แน่นอนว่านี่ต้องทำให้องครักษ์ที่อยู่รอบด้านตกใจเป็นแน่ แต่ด้วยความเร็วในการหลบหนีที่แปลกประหลาดของวานรตัวนี้ เวลาชั่วแสงพาดผ่าน หายไปไม่เหลือแม้เงา เหล่าองครักษ์เทพแปลงหรือแม้แต่ในระดับหลอมสูญ ก็แทบไม่สามารถติดตามไปได้ทัน

และองครักษ์เหล่านี้ เมื่อเห็นว่าไม่สามารถติดตามไปได้ แน่นอนว่าก็จะไม่มีทางตั้งใจติดตามไปแน่

พวกเขาส่งคนไปสอบถามตระกูลหล่งที่ชั้นเก้า ได้ทราบว่าคนที่หลบหนีไปนั้นคือปีศาจระดับผสานอินทรีย์ แน่นอนว่าต่างก็ตกตะลึง เร่งรุดไปซ่อมแซมเขตต้องห้ามทันที และก็แสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอดกับเรื่องนี้ไปเสีย

แต่อย่างไรก็ตามเรื่องของวานรยักษ์ขนทองระดับผสานอินทรีย์ที่มาก่อกวนตระกูลหล่งนั้น ยังคงลอยไปเข้าเข้าหูของตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์อย่างรวดเร็ว

มีคนไม่น้อยท่ามกลางพวกเขาที่ตกตะลึง และเร่งส่งคนออกไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้ละเอียด

แต่วานรยักษ์ขนทองที่ไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องมันมาก่อนนั้น กลับหายไปอย่างนั้น ไม่มีข่าวคราวใดอีก

นี่ทำให้หลายคนรู้สึกหดหู่ แต่ก็มีคนไม่น้อยที่นึกถึงเรื่องของหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้

แต่เรื่องทั้งหมดนี้ แน่นอนว่าวานรยักษ์ขนทองนั้นต้องไม่รู้เรื่อง

เวลานี้ปรากฏอยู่บนยอดเขา ดวงตาทั้งมองข้างกวาดมองไป ทั่วทั้งร่างก็เปล่งประกายด้วยแสงสีทอง และกลายเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าธรรมดาในชั่วพริบตา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1806 เกาะศักดิ์สิทธิ์

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1806 เกาะศักดิ์สิทธิ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ลี่เหนียง เจ้าเด็กสาวที่แต่งงานกับคนนอกเผ่าไปเล่า? นางจะมาถึงเมื่อใดกันแน่? ช่างเถอะ อีกประเดี๋ยวค่อยมาพูดกับข้าให้ละเอียด” เกิดประกายพาดผ่านแววตาของชายวัยกลางคนหน้าสีทอง ก่อนออกคำสั่งกำชับด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ดูไม่น่าสงสัย

ผู้นำตระกูลหล่งลอบประหวั่นในใจ ก่อนรีบร้อนรับคำด้วยความเคารพ

แม้ว่าเขาจะเป็นผู้นำตระกูลหล่ง และยังเป็นถึงเลือดเนื้อเชื้อไขของผู้อาวุโสท่านนี้ก็ตาม แต่หลังจากที่ผู้อาวุโสของตนฝึกวิชาอิทธิฤทธิ์ไร้เยื่อใยที่อานุภาพแรงกล้าแล้ว เลือดเนื้อเชื้อไขก้อนนี้ก็ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงอีกต่อไป

หากให้ผู้นำตระกูลหล่งผู้นี้อยู่กับผู้อาวุโสตระกูลหล่งล่ะก็ วันคืนปกติก็คงระมัดระวังเป็นอย่างมาก ไม่กล้าชักช้าโอ้เอ้แต่อย่างใด

“นี่คือร่างครึ่งโลหิตมังกรเที่ยงแท้หรือ สามารถรวมร่างกับปีศาจได้อย่างไม่มีที่ติ นี่มันทำให้ข้าเปิดหูเปิดตาเสียจริง” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าอาวุธวิญญาณค่อยๆ บินลงมาอย่างช้าๆ ทั้งยังเอ่ยออกมาจากไกลๆ โดยยังไม่ได้ยกยิ้มเลยด้วยซ้ำ

“ข้าเองเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์รุ่นหลัง ยังมิอาจรับมือกับปีศาจรุ่นเยาว์ มีอะไรน่ายินดีหรือ? สตรีศักดิ์สิทธิ์มิได้กำลังหัวเราะเยาะข้าหรอกหรือ” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งเมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ สีหน้าไม่เพียงไม่มีความยินดี แต่กลับเอ่ยออกมาอย่างไร้ความรู้สึก”

“ฮ่าๆ สหายหล่ง เหตุใดรู้แล้วยังต้องถามอีกเล่า เดิมทีการบำเพ็ญเพียรของปีศาจก็เป็นที่รู้จักดีในด้านความแข็งแกร่งทางกายภาพอยู่แล้ว วานรนั้นก็ถือว่าอยู่ในกลุ่มที่ดีที่สุด สหายมิได้ใช้อาวุธใดๆ ใช้เพียงเลือดเนื้อก็สามารถต่อกรกับวานรที่บำเพ็ญเพียรแบบรวมร่างได้ นั่นหมายถึงอะไรคงไม่ต้องให้ข้าเอ่ยออกมากระมัง สหายหากใช้อิทธิฤทธิ์อื่น อย่างนั้นวานรนี้คงไม่ได้ยืนหยัดอยู่นานแน่” สตรีศักดิ์สิทธิ์มิได้สนใจในสีหน้าของผู้อาวุโสของตระกูลหล่ง เพียงแต่กลับตอบด้วยอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“เหอะๆ ยืนหยัดไม่ได้นานหรือ หากสตรีศักดิ์สิทธิ์คิดอย่างนี้จริงๆ ล่ะก็ อย่างนั้นก็เข้าใจผิดไปกันยกใหญ่แล้ว” ผู้อาวุโสเมื่อได้ฟังสีหน้าก็เปิดเผยรอยยิ้มเย็นชาที่ดูประหลาดออกมา

“เอ๋ หรือว่าท่านสหายพบเจอเรื่องอะไรเข้าหรือ” เด็กสาวในอาภรณ์สีเหลืองกะพริบตาถี่ ปรากฏสีหน้าตกตะลึงออกมา

“พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าขอสนทนากับสหายเชียนชิวตามลำพังสักครู่” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งมิได้ตอบคำถามเด็กสาวในทันที แต่กลับสะบัดแขนเสื้อแล้วหันไปตะคอกใส่เหล่านักพรตตระกูลหล่งที่อยู่ใกล้เคียง

ในเวลาเดียวกัน เขามังกรบนศีรษะของเขาและเกล็ดสีทองบนใบหน้าก็จางหายไปในทันที และดวงตาสีทองพลันกลับกลายเป็นดวงตาสีดำของคนธรรมดา

เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งต่างทำตามคำสั่งอย่างนอบน้อม ก่อนทยอยกันเหาะออกนอกปราสาทไป

ชั่วพริบตา อากาศรอบด้านก็เหลือเพียงชายวัยกลางคนและเด็กสาวในอาภรณ์สีเหลืองแล้ว

“ท่านนักพรตระมัดระวังถึงเพียงนี้ หรือวานรปีศาจนั้นจะมีที่มาน่ากลัวกระนั้นหรือ” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวมิได้ทัดทานการจากไปของผู้อื่น กลับเอ่ยถามออกมาด้วยท่าทีสบายๆ

“ข้าสงสัยว่ามันจะเป็นคนจากหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์” ท่านผู้อาวุโสแห่งตระกูลหล่งเอ่ยปาก กลับทำให้สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวชะงักไป ต่อมาจึงปรากฏสีหน้าประหลาดใจออกมา

“หมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์รึ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์และปีศาจครอบครองร่วมกันน่ะหรือ “สตรีศักดิ์สิทธิ์พึมพำถามออกมา

“ไม่ผิดแน่ หากไม่เป็นอย่างนี้ ก็ยากจะอธิบายว่าเหตุใดจู่ๆ ในเผ่าปีศาจจึงมีปีศาจวานรระดับผสานอินทรีย์ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน หมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์ทุกหนึ่งพันปีจะต้องคัดเลือกเหล่าศิษย์ที่คุณสมบัติเพียบพร้อมไปเติมเต็มหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์ หลายหมื่นปีผ่านไปเยี่ยงนี้ แน่นอนว่าผู้ใดก็มิอาจทราบได้ว่าบนหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์นั้นจะมีปีศาจระดับผสานอินทรีย์มากขึ้นเท่าใดแล้ว แต่ข้าเดาว่าบนหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์อย่างน้อยก็มีปีศาจระดับผสานอินทรีย์ประมาณยี่สิบถึงสามสิบคน นอกจากเรื่องคอขาดบาดตายที่เกี่ยวข้องกับพวกเราสองเผ่าแล้ว การมีอยู่ของระดับผสานอินทรีย์บนหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์นั้น ล้วนไม่อาจจะออกมาจากหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์ง่ายๆ ก็เนื่องจากมีเกาะแห่งนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์และปีศาจทั้งสองเมื่อพบเจอศัตรูมโหฬารเข้าจึงได้ร่วมมือกันเอาชนะได้” ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสแห่งตระกูลหล่งสีหน้าจะยังคงแข็งทื่ออย่างผิดปกติ แต่กลับมีความหนักใจพาดผ่านในแววตา

“เหอะๆ ฟังดูแล้ว หมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์ของพวกท่านทั้งสองเผ่ากับวัดศักดิ์สิทธิ์เผ่าวิญญาณช่างเหมือนกันเหลือเกิน ข้าเองก็ไม่ทราบได้ว่าวัดศักดิ์สิทธิ์ในเผ่าวิญญาณ มีการมีอยู่ของระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่เท่าใด” เด็กสาวในอาภรณ์สีเหลืองเมื่อฟังคำกล่าวของผู้อาวุโสตระกูลหล่งก็ลอบถอนหายใจ

“ที่ข้ารู้สึกว่าวานรปีศาจเหล่านี้มาจากหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์ยังมีเหตุผลอีกข้อหนึ่ง ข้าได้รู้มาว่าทหารปีศาจที่ปกป้องหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์มาหลายปีนั้น ก็คือเผ่าวานรทองที่น่ากลัวมากดังคำร่ำลือ แต่วานรยักษ์ตัวที่วิ่งมาถึงถึงที่นี่นั่น รูปกายภายนอกดูราวกับวานรนี้ ยังมิใช่ปีศาจบำเพ็ญระดับผสานอินทรีย์ตอนต้นที่น่ากลัวธรรมดาๆ ข้าจึงมิใช่ใช้อิทธิฤทธิ์อื่นๆ วานรตัวนี้ต้องมิได้มีเพียงวิธีเหล่านั้นก่อนหน้า ต่อให้ใช้พลังทั้งหมดจริง ก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถรั้งวานรตนนี้เอาไว้ได้ หากเป็นอย่างนั้น ข้าจะไม่ทำอะไรที่เป็นการยั่วยุหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งเงียบไปครู่ใหญ่ ในที่สุดก็เอ่ยความกลัวในใจออกมา

“เจ้าวานรปีศาจนี้น่ากลัวอย่างนั้นจริงหรือ ข้ามิได้ลงมือเองเลยมิอาจคาดเดาออกมาได้อย่างชัดแจ้ง แต่ประกายไฟสีเงินสายนั้นที่ออกมาจากร่างก่อนมันจากไป มันสามารถละลายความว่างเปล่าลงได้ นี่ให้ความรู้สึกหวั่นเกรงกับข้าไม่น้อย” ในที่สุดรอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กสาวในอาภรณ์สีเหลืองก็จางหายไป และค่อยๆ เอ่ยขึ้นมาว่า

“ตามที่ข้าทราบมา ท่ามกลางอิทธิฤทธิ์พรสวรรค์ของเผ่าวานรทองนั้นมีเพียงอัคคีแท้เก้าทารก มีเพียงอิทธิฤทธิ์พรสวรรค์นี้ที่เก่งกาจหาใดเทียบได้ แต่ท่ามกลางเผ่าวานรทองนั้นแทบจะไม่มีใครเปิดขุมพลังนี้ออกมาและฝึกฝนบำเพ็ญจนสำเร็จได้ ต้องเป็นวิญญาณเที่ยงแท้อย่างไร ก็ไม่มีใครทราบได้จริงๆ” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งเอ่ยด้วยสายตาวาววับ

“อย่าบอกนะว่า ท่านคิดว่าวานรยักษ์ขนสีทองตัวนั้นก็คือวานรทองยักษ์ภูเขา” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวขมวดคิ้วทันที

“มิใช่ข้ามั่นใจ แต่แปดเก้าในสิบส่วนไม่ผิดแน่” เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสตระกูลหล่งเป็นคนมีความมั่นใจ เขาเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจผิดปกติ

“อืม ในเมื่อเป็นคนจากหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์ ข้อเสียเปรียบนี้ก็คงต้องยอมรับไว้เองแล้ว” หลังจากที่เด็กสาวในอาภรณ์สีเหลืองจดจ้องไปยังผู้อาวุโสตระกูลหล่งพักใหญ่ก็หัวเราะพรืดออกมา

“หึ ข้าไม่กลัวเผ่าวานรทองหรอกนะ แต่ให้เกียรติหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์หรอก และเมื่อได้ฟังคำพูดของวานรตัวนี้ก่อนจะจากไป มีเรื่องอื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าจะต้องตรวจสอบออกมาให้ชัดเจนก่อนค่อยว่ากัน” อาวุโสตระกูลหล่งพึมพำเสียงเบา ๆ และเอ่ยออกมาด้วยแสงเย็บวาบในดวงตาของเขา

“ในเมื่อสหายหล่งมีข้อสรุปแล้ว ผู้น้อยคงไม่ต้องเอ่ยให้มากความอีก แต่เรื่องนั้นที่เกี่ยวข้อง เราสองตระกูลเองก็เจรจามาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ยังคงไม่สามารถหาเงื่อนไขที่เป็นหนึ่งเดียวกันได้ นี่เราจะต้องลากยาวต่อไปอีกหรือ ผู้น้อยเสี่ยงอันตรายมาหาท่านทั้งสองนี่ มิได้มาเพื่อเสวนากับตระกูลหล่งเท่านั้น ยังมีเรื่องสำคัญอีกหลายเรื่องที่ต้องไปทำ” เด็กสาวในอาภรณ์สีเหลืองเอ่ย ก่อนสีหน้าจะเย็นเยือกอย่างฉับพลัน

“เงื่อนไขของตระกูลหล่งเรามิได้ง่ายมากหรอกหรือ ขอเพียงสำเภาทุกลำได้มอบวิญญาณไร้ค่าไร้สมองสิบตนให้ตระกูลหล่ง ตระกูลหล่งก็จะนำสำเภารบค้ำฟ้าที่หลอมออกมาได้ แบ่งให้พวกท่านหนึ่งในสาม เงื่อนไขนี้มิได้มากมายเพียงพอหรือ ตามที่ข้ารู้มา เผ่าอาวุธวิญญาณของพวกเจ้ามิได้มองวิญญาณไร้ค่าไร้สมองว่าเป็นพวกเดียวกันกับเผ่าเจ้านี่นา เอาพวกมันมาแลกกับสำเภารบค้ำฟ้านี้ น่าจะเป็นเรื่องที่กำไรมากกระมัง” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“เหอะ สิบตนคงไม่ได้แน่ แม้ว่าเผ่าอาวุธวิญญาณจะไม่ได้มองว่าวิญญาณไร้ค่าเป็นพวกเดียวกัน แต่ตามกฎของทั้งเผ่าวิญญาณแล้ว หากนำวิญญาณไร้ค่ามามอบแต่คนเผ่าอื่นตามอำเภอใจ นี่เท่ากับมีโทษกบฏ สำเภาทุกลำอย่างมากก็แลกกับวิญญาณไร้ค่าห้าตน และที่พวกเราเสี่ยงมาเจรจาตกลงกับตระกูลหล่งนี้ ก็ยังได้สำเภามาแค่หนึ่งในสาม ความเสี่ยงและกำไรมันเทียบกันไม่ได้เลยเสียด้วยซ้ำ ขออภัยที่ต้องเอ่ยคำไม่น่าฟัง หากรู้ก่อนว่าตระกูลหล่งตระหนี่ถึงเพียงนี้ ข้ากลับปรารถนาให้แผนที่สำเภารบค้ำฟ้าในครานั้นตกอยู่ในมือของสามจักรพรรดิ์และราชาปีศาจเสีย เมื่อคิดถึงอำนาจยิ่งใหญ่เหล่านี้ น่าจะใจกว้างกว่าตระกูลหล่งมากนัก” เด็กสาวในอาภรณ์สีเหลืองเอ่ยออกมาเสียงเบาก่อนใช้ข้อมือนวลผ่องม้วนผมหน้าม้าเล่น

“สหายเชียนชิวเหตุใดต้องใช้วิธียั่วยุเล่า เจ้าควรจะทราบดีว่าวิชาไร้เยื่อใยที่ข้าฝึกฝนนั้น แทบจะไม่ใช้จุดอ่อนใดในความรู้สึกเลย แต่ในเมื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์เอ่ยมาเยี่ยงนี้แล้ว อย่างนั้นข้าเองก็คงต้องตัดสินใจยอมถอยเสียหนึ่งก้าว เมื่อถึงตอนนั้นพวกท่านจงนำวิญญาณไร้ค่าแปดตนมาแลกเรือวิญญาณ และข้าจะมอบสี่ส่วนของจำนวนทั้งหมดให้แก่เผ่าอาวุธวิญญาณ” ผู้อาวุโสมองไปยังสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยออกมาเสียงหนักแน่น

“สี่ส่วน กับวิญญาณไร้ค่าแปดตนรึ! ไม่ได้ ถ้าเป็นจำนวนนี้ก็ถือว่าเป็นโมฆะเถิด แต่ที่ข้าสามารถตัดสินใจได้ก็คือรับปากว่าทุกสำเภาจะแลกกับวิญญาณไร้ค่าได้เจ็ดตน” เด็กสาวในอาภรณ์สีเหลือง นางเองก็เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าระมัดระวังเช่นกัน

“เจ็ดตนก็เจ็ดตนเถิด ข้ารับปากก็ได้ ต่อไปพวกเราต้องมาเจรจากันสักหน่อย ถึงความร่วมมือหลายอย่างในด้านอื่นก่อนที่เคราะห์มารจะลงมาจุติ” บรรพบุรุษของตระกูลหลงคร่ำครวญอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ตกปากรับคำในเวลาต่อมา

“นี่เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว ขอเพียงการแลกเปลี่ยนดำเนินการไปอย่างราบรื่นในคราแรก เผ่าอาวุธวิญญาณยินดีมากที่จะมีความร่วมมือด้านอื่นกับตระกูลหล่ง” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวที่เห็นว่าอีกฝ่ายได้ตกปากรับคำเงื่อนไขของตนแล้ว จึงเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มดุจบุปผา

“อย่างนั้นก็เชิญสตรีศักดิ์สิทธิ์กลับเถอะ ที่นี่ไม่ใคร่เหมาะจะสนทนานานเท่าใดนัก ไปสนทนากับข้าต่อในหอคอยเถิด” หลังจากที่ผู้อาวุโสตระกูลหล่งพยักหน้า ขยับมือเพียงข้างเดียว ทำท่าทางเชิญด้วยความเคารพ

ท่านผู้อาวุโสในตระกูลหล่งนี้ ราวกับได้โยนเรื่องวานรยักษ์ขนทองเมื่อครู่ไปไว้หลังสมองเสียแล้ว

ก็จริง การก่อกวนของวานรปีศาจระดับผสานอินทรีย์ตอนต้น จะเทียบกับการร่วมมือกับเผ่าอาวุธวิญญาณได้อย่างไร ฝ่ายหลังนั่นเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของตระกูลหล่งเมื่อเคราะห์มารมาถึง

และแทบจะในเวลาเดียวกัน วานรยักษ์ขนทองตนนั้นกลับถลาลงบนยอดเขาที่ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้แล้ว

เมื่อครู่วานรตนนี้เพิ่งจะใช้เพลิงสีเงินเพื่อเจาะทะลุชั้นนอกของวังต้อนรับเซียนแล้วบินออกไป แน่นอนว่านี่ต้องทำให้องครักษ์ที่อยู่รอบด้านตกใจเป็นแน่ แต่ด้วยความเร็วในการหลบหนีที่แปลกประหลาดของวานรตัวนี้ เวลาชั่วแสงพาดผ่าน หายไปไม่เหลือแม้เงา เหล่าองครักษ์เทพแปลงหรือแม้แต่ในระดับหลอมสูญ ก็แทบไม่สามารถติดตามไปได้ทัน

และองครักษ์เหล่านี้ เมื่อเห็นว่าไม่สามารถติดตามไปได้ แน่นอนว่าก็จะไม่มีทางตั้งใจติดตามไปแน่

พวกเขาส่งคนไปสอบถามตระกูลหล่งที่ชั้นเก้า ได้ทราบว่าคนที่หลบหนีไปนั้นคือปีศาจระดับผสานอินทรีย์ แน่นอนว่าต่างก็ตกตะลึง เร่งรุดไปซ่อมแซมเขตต้องห้ามทันที และก็แสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอดกับเรื่องนี้ไปเสีย

แต่อย่างไรก็ตามเรื่องของวานรยักษ์ขนทองระดับผสานอินทรีย์ที่มาก่อกวนตระกูลหล่งนั้น ยังคงลอยไปเข้าเข้าหูของตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์อย่างรวดเร็ว

มีคนไม่น้อยท่ามกลางพวกเขาที่ตกตะลึง และเร่งส่งคนออกไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้ละเอียด

แต่วานรยักษ์ขนทองที่ไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องมันมาก่อนนั้น กลับหายไปอย่างนั้น ไม่มีข่าวคราวใดอีก

นี่ทำให้หลายคนรู้สึกหดหู่ แต่ก็มีคนไม่น้อยที่นึกถึงเรื่องของหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้

แต่เรื่องทั้งหมดนี้ แน่นอนว่าวานรยักษ์ขนทองนั้นต้องไม่รู้เรื่อง

เวลานี้ปรากฏอยู่บนยอดเขา ดวงตาทั้งมองข้างกวาดมองไป ทั่วทั้งร่างก็เปล่งประกายด้วยแสงสีทอง และกลายเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าธรรมดาในชั่วพริบตา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+