A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1822 เงาปีศาจดินแดนรกร้าง

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1822 เงาปีศาจดินแดนรกร้าง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชายหนุ่มผู้นี้คือหานลี่ผู้ซึ่งออกมาจากงานประมูลหมื่นสมบัติ และหายตัวไปอยู่หลายปี

สำหรับเด็กหญิงที่อยู่ข้างกาย ก็คือไป๋กั่วเอ๋อร์ผู้ครอบครองร่างกายไขกระดูกน้ำแข็งอย่างแน่นอน

หญิงผู้นี้ถูกหานลี่รับไว้เป็นศิษย์ จำเป็นต้องอาศัยการร่ายอาคมของหานลี่เพื่อที่จะสะกดพิษไอเย็นตลอดร้อยปีถึงมีชีวิตรอดได้ หลายปีมานี้นางคอยติดตามข้างกายไม่ห่างจึงไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอันใด

บรรดาผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลกู่ เมื่อเห็นร่างคนปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ย่อมต้องแตกตื่นกัน ร่างกายของคนจำนวนไม่น้อยปรากฏแสงวิญญาณกระเพื่อมไหว จ้องไปยังหานลี่ด้วยความระแวดระวังอย่างไม่ละสายตา

“สหายเสี่ยวเฟิง ข้าเจอปัญหาระหว่างทางเล็กน้อย จึงมาสายสักหน่อย ทำให้สหายต้องรอนานแล้ว” หานลี่กวาดสายตามองไปที่พื้นดิน เมื่อได้เห็นหญิงสาวผิวขาวสะอาด รีบพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มบาง

จากนั้นเงาร่างของเขาก็ขยับไป ภายนอกกายเปล่งแสงสีน้ำเงินขึ้นมาชั้นหนึ่งแล้วห่อหุ้มไป๋กั่วเอ๋อร์เอาไว้ ทันใดนั้นก็กะพริบ แล้วไปปรากฏอยู่บนพื้นดินห่างจากหญิงสาวไม่ไกล

“หามิได้ เป็นเพราะพวกผู้น้อยมากันเร็วไปหน่อย ท่านผู้อาวุโสสามารถมาตามนัดได้ตรงเวลาเช่นนี้ ผู้น้อยในนามตัวแทนของตระกูลกู่รู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง ท่านผู้นี้คือผู้อาวุโสเซียวแห่งตระกูลกู่ของพวกเรา พิธีวิญญาณเที่ยงแท้ครั้งนี้ มีพวกข้าสองคนเป็นผู้นำ” หญิงสาวใบหน้าเผยให้เห็นถึงความยินดี พร้อมแนะนำผู้เฒ่าผมเหลืองที่อยู่ด้านข้างให้หานลี่ได้รู้จักอย่างรีบร้อน

“อ๋อ ที่แท้ก็คือท่านผู้เฒ่าเซียวนี่เอง!” หานลี่เห็นอีกฝ่ายผู้เป็นประมุขตระกูลกู่มีระดับการบำเพ็ญพรตไม่ได้ด้อยไปกว่าเซียนเสี่ยวเฟิง จึงไม่กล้าดูเบามากนัก จึงค้อมศีรษะลงเล็กน้อยพูดกับเขา

“มิกล้า ผู้น้อยหลายปีก่อนได้ยินชื่อเสียงของท่านผู้อาวุโสหานแล้ว คราวนี้ท่านผู้อาวุโสมาถึงที่นี่ด้วยตัวเองเพื่อเรื่องของตระกูลกู่ในครั้งนี้ พวกผู้น้อยรู้สึกโล่งใจยิ่งนัก” ผู้เฒ่าผมเหลืองถึงแม้ว่าในใจจะยังคงกังวลอยู่บ้างเกี่ยวกับเรื่องความสามารถของหานลี่ แต่ในเวลานี้เมื่อพบกับตัวจริงย่อมไม่เผยอ่านใบหน้าออกมาให้ได้เห็น แต่กลับแสดงออกด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม

ในเวลานี้ ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นของตระกูลกู่ย่อมรู้ดีว่า หานลี่ก็คือความช่วยเหลือครั้งใหญ่ที่พวกเขาเฝ้าคอย แต่ด้วยลักษณะเยาว์วัยเช่นนี้ ย่อมทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ต่างพากันซุบซิบพูดคุยกันไปทั่ว

“สหายทั้งสองท่านไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้ การที่ข้าได้มายังที่นี่ครั้งนี้ ก็เพียงเพื่อทำการแลกเปลี่ยนเพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายร่วมกับตระกูลกู่เท่านั้น แต่ท่าน ‘เซียนเทียนหลี’ ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลพวกท่านดูเหมือนจะไม่อยู่ที่นี่ เกรงว่าจะไม่เหมือนกับที่สหายเสี่ยวเฟิงเคยได้บอกก่อนหน้านี้กระมัง หรือว่าสหายเทียนหลีได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว” สายตาหานลี่กวาดมองไปยังผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลกู่คนอื่น ขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

“หมายความว่าอย่างไรกัน! พิธีวิญญาณเที่ยงแท้ครั้งนี้ เกรงว่าท่านผู้อาวุโสสูงสุดเทียนหลีคงจะไม่สามารถเป็นตัวแทนตระกูลกู่เข้าร่วมได้” หญิงสาวผิวขาวสะอาดได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าก็เผยให้เห็นถึงความรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย

“เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไรกัน!” เมื่อได้ยินว่าไม่เหมือนกับที่ตกลงกันแต่แรก หานลี่ก็สีหน้าบึ้งตึงขึ้นเล็กน้อย เขาถามขึ้นช้าๆ

“ท่านผู้อาวุโสอย่าเพิ่งโกรธ ท่านผู้อาวุโสสูงสุดไม่อาจเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ก็เป็นเรื่องคาดไม่ถึงเช่นกัน จึงได้แต่เป็นไปเช่นนี้ เรื่องราวคือว่า…” ผู้เฒ่าผมเหลืองเห็นสีหน้าหานลี่ดูแย่ จึงรีบร้อนอธิบายเรื่องราวอย่างละเอียดขึ้นมา

“ท่านเซียนเทียนหลีได้รับบาดเจ็บหนักที่ดินแดนรกร้าง กำลังอยู่ในช่วงกักตัวอย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่แปลก ผู้บำเพ็ญหลายอย่างพวกเราทั้งหลายนี้ เมื่อดวงจิตได้รับความเสียหายเป็นเรื่องยากที่จะรักษาให้คืนสภาพ แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว รายชื่อพิธีที่กำหนดไว้ในตอนแรกระหว่างข้ากับตระกูลของพวกท่าน จะไม่เกิดปัญหาขึ้นแล้วหรือ” หานลี่พยักหน้า แต่ก็พูดขึ้นด้วยความลำบากใจเล็กน้อย

“ในเมื่อท่านผู้อาวุโสสูงสุดไม่สามารถเข้าร่วม ก็ให้จัดรายชื่อตระกูลของพวกเราเลื่อนขึ้นเร็วกว่ากำหนดสักเล็กน้อย ย่อมไม่นับว่ามีผลอะไร ครั้งนี้ ขอเพียงสามารถรับประกันได้ว่ารายชื่อของตระกูลกู่ของพวกเราจะไม่ตกอันดับ ก็ถือว่าดำเนินตามข้อกำหนดแล้ว” เซียนเสี่ยวเฟิงดูเหมือนจะไตร่ตรองมาแต่แรกแล้ว จึงได้พูดขึ้นด้วยสีหน้าหนักแน่นเช่นนี้

“อ๋อ ในเมื่อพูดเช่นนี้ ความยากเกรงว่าคงไม่น้อยเลยทีเดียว ผู้น้อยเพียงเพิ่งจะขึ้นระดับผสานอินทรีย์ ไม่กล้ารับประกันอะไรใดๆ” หานลี่ได้ยินดังนั้น สีหน้าก็คลายลงทันที แต่คำพูดยังคงเจือด้วยน้ำเสียงลำบากใจอยู่เล็กน้อย

“ขอเพียงท่านผู้อาวุโสทำสุดความสามารถ นอกจากสิ่งของเหล่านั้นที่ได้ตกลงกันไว้ในตอนแรก ตระกูลกู่ของพวกเรายังได้เตรียมศิลาวิญญาณชั้นเลิศจำนวนหนึ่ง ไว้ให้ท่านผู้อาวุโสอีกต่างหากด้วย”

หานลี่ใจเต้นเบาๆ เมื่อรับกำไลเก็บของมาแล้วดวงจิตก็กวาดสำรวจเข้าไปข้างใน ความรู้สึกประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเล็กน้อย

“ดูท่าตระกูลพวกท่านจะให้ความสำคัญกับพิธีวิญญาณเที่ยงแท้ครั้งนี้อย่างมากทีเดียว ถึงกับยอมตัดใจจากศิลาวิญญาณค่ามหาศาลเช่นนี้ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะทุ่มเทสุดความสามารถในฐานะแขกของตระกูลกู่ในพิธีวิญญาณเที่ยงแท้นี้” หานลี่หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้ว ก็เอากำไลเก็บของเก็บเข้าไปในแขนเสื้ออย่างไม่เกรงใจ

หญิงสาวเมื่อได้เห็นหานลี่รับศิลาวิญญาณไปแล้วก็รู้สึกโล่งอกเช่นกัน พร้อมพูดด้วยรอยยิ้มว่า

“หากได้ท่านผู้อาวุโสมาเข้าร่วม พิธีวิญญาณเที่ยงแท้ครั้งนี้ตระกูลกู่ของพวกเราก็นับว่าวางใจได้บ้างแล้ว ที่นี่อยู่ห่างจากแท่นหมื่นวิญญาณที่จัดพิธีไปเป็นระยะทางร่วมเดือน พวกเราไม่ควรเสียเวลาอยู่ที่นี่นานจนเกินไป พวกเราออกเดินทางกันเถอะ! ส่วนเรื่องราวรายละเอียดเกี่ยวกับพิธีวิญญาณเที่ยงแท้นั้น ข้าและผู้อาวุโสเซียวจะอธิบายให้ท่านผู้อาวุโสฟังอย่างละเอียดอีกที”

“เช่นนี้ย่อมดี!” หานลี่ย่อมไม่มีทางที่จะไม่เห็นด้วย

ครั้นเมื่อหานลี่เข้าร่วมแล้ว เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลกู่ก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กลายร่างเป็นลำแสงสีต่างๆ เรียงกันเป็นขบวน แล้วลอยพุ่งไปยังขอบฟ้า

……

“ดินแดนรกร้างเทียนหม่า” เป็นดินแดนแห้งแล้งทุรกันดารกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตซึ่งตั้งอยู่ระหว่างชายแดนเทียนหยวนและชายแดนว่านเมี่ยว

ว่ากันว่ามีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่กลายเป็นเทพแล้วหากคิดจะผ่านดินแดนรกร้างแห่งนี้ ยังต้องบินตลอดวันตลอดคืนไม่หยุดเป็นเดือนๆ

นอกจากนี้ดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยพายุฝุ่นทราย ต้นไม้ใบหญ้าแม้เพียงน้อยนิดก็ไม่มีให้เห็น เป็นดินแดนของซากวิญญาณที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่ง ดังนั้นน้อยนักที่จะมีผู้บำเพ็ญเพียรมายังที่แห่งนี้

ต่อให้บังเอิญมีผู้บำเพ็ญเพียรที่จำเป็นต้องผ่านดินแดนรกร้างแห่งนี้ ก็จะบินผ่านไปตลอดทาง ไม่หยุดอยู่ยังที่แห่งนี้แม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว

แต่ในวันนี้ ณ ที่แห่งหนึ่งลึกลงไปในดินแดนรกร้างแห่งนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรในตระกูลหลายสิบคนรวมเป็นขบวน หันหลังไปชิดกันเรียงเป็นค่ายอาคมรูปวงกลมวงหนึ่ง ลอยต่ำอยู่กลางอากาศ

พวกเขาเอาสมบัติวิเศษออกมาจนหมดสิ้น หลอมรวมเป็นแสงสว่างปกคลุมร่างกาย แต่ทุกคนกลับมีสีหน้าตื่นกังวล

ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ ระดับการบำเพ็ญพรตสูงสุดคือชายฉกรรจ์ในชุดผ้าแพรระดับหลอมสุญตาผู้หนึ่ง มือข้างหนึ่งถือดวงแก้วสีน้ำเงินลูกหนึ่ง อีกข้างก็ถือด้ามธงตั้งสีขาวขุ่นหนึ่งด้าม อยู่ตรงกลางค่ายอาคม แต่สีหน้าดูโกรธเกรี้ยวกังวลยิ่งกว่าคนอื่น สายตาคอยสอดส่องไปรอบทิศยังไม่หยุด

และในเวลานั้นเอง ทันใดนั้นลมพัดทรายเหลืองลูกหนึ่งพัดผ่านข้างกายของผู้บำเพ็ญเพียรชายผู้หนึ่ง

ผู้บำเพ็ญเพียรชายผู้นั้นกะพริบตาโดยสัญชาตญาณ และในชั่วพริบตานั้นเอง ฝ่ามือขาวบริสุทธิ์ดั่งหยกข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากฝุ่นทรายรวดเร็วราวกับสายฟ้า

เสียงดังขึ้น “เพี๊ยะ” แสงสว่างที่ปกป้องผู้บำเพ็ญเพียรชายคนนั้นก็ถูกฉีกขาดทันทีราวกับเศษกระดาษ ฝ่ามือขาวดั่งหยกพุ่งทะลุกลางอกของผู้บำเพ็ญเพียรชายคนนั้นอย่างง่ายดาย

จากนั้น ผู้บำเพ็ญชายผู้นั้นยังไม่ทันได้กรีดร้องออกมา ดอกเกล็ดน้ำแข็งสีขาวก็บานขึ้นกลางอก เพียงชั่วพริบตาก็เปลี่ยนร่างนั้นกลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งใสบริสุทธิ์ไป

และมือสีขาวนั้นก็กะพริบหนึ่งที แล้วหายวับไร้ร่องรอยไปจากหน้าอกของผู้บำเพ็ญเพียรชาย

ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นที่อยู่ใกล้ๆ ได้เห็นเช่นนั้น ต่างก็รู้สึกตื่นตระหนกคว้าสมบัติวิเศษแต่ละอย่างขึ้นมาออกไปอย่างคลุ้มคลั่งพร้อมกัน

แปลว่านอกเสียจากเพียงทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรชายที่กลายร่างเป็นรูปสลักน้ำแข็งแตกละเอียด ก็ไม่เห็นร่องรอยของศัตรูแต่อย่างใด

แต่ทว่าในเวลานั้นเอง ชายฉกรรจ์ในชุดผ้าแพรระดับหลอมสุญตาผู้นั้นก็ร้องขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว ดวงแก้วสีน้ำเงินในมือส่องแสงสว่างจ้าตา จากนั้นลำแสงสีน้ำเงินบินก็พุ่งออกไปทันที

ความเร็วของลำแสงลูกนี้ ชั่วพริบตาเดียวก็โจมตีเข้ากลางความว่างเปล่าสักที่ในพายุทรายลูกนั้น ทันใดนั้นแสงสีขาวก็ส่องกะพริบ เงาร่างเลือนรางร่างหนึ่งชั่วพริบตาเดียวก็ถูกลำแสงสีน้ำเงินล้อมเอาไว้จนปรากฏรูปร่างขึ้นกลางสายลม

ได้เห็นภาพเช่นนี้ ไม่ต้องรอคำสั่งจากชายฉกรรจ์ในชุดผ้าแพร ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นที่เหลือก็ฮึดสู้ขึ้นมา สมบัติวิเศษจำนวนมากถูกใช้งาน กลายเป็นแสงสว่างหลากสีม้วนพุ่งเข้าไป

เสียงกระแทกดัง “ปัง” เงาร่างนั้นถูกแสงสีตรังต่างเป็นชิ้นๆ ราวกับว่าไม่เหลือแรงที่จะต้านทานใดๆ

เสียงโห่ร้องยินดีดังขึ้นจากปากเราผู้บำเพ็ญเพียรขึ้นมาทันที ทุกคนสีหน้าดูตื่นเต้นยินดี

แต่ชายฉกรรจ์ในชุดผ้าแพรผู้นั้น กลับมีสีหน้าหวาดระแวงตื่นกลัว ทันใดนั้นก็ยื่นมือข้างหนึ่งขึ้นไปกลางอากาศ คว้าเศษซากที่กระจัดกระจายของเงาร่างนั้นไว้ในมือ กลับพบว่าเป็นเพียงเกล็ดแข็งสีขาวดั่งหยกชิ้นหนึ่งเท่านั้น เย็นยะเยือกถึงที่สุด แล้วละลายกลายเป็นหยดน้ำใสในมือของเขาอย่างรวดเร็ว

“แย่แล้ว เจ้าเดรัจฉานนั้นยังไม่ตาย!” ชายฉกรรจ์เห็นเช่นนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นการใหญ่ พร้อมกับตะโกนขึ้นอย่างเต็มเสียง หลังจากนั้นก็ขยับธงตั้งสีขาวในมือนั้นโดยไม่ต้องคิด เพื่อที่จะใช้พลังคุ้มกันตัวก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง

แต่การกระทำนั้น เห็นได้ชัดว่าช้าไปเสียแล้ว

 ชายฉกรรจ์ในชุดผ้าแพรได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องที่เสียบหูเสียงหนึ่งดังขึ้นมาฉับพลัน จากนั้นก็รู้สึกเย็นเยือกขึ้นมาบริเวณลำคอ ทั้งศีรษะถูกเขี้ยวยาวสีขาวดังหิมะที่ยาวราวกับดาบเล่มโตสองเล่มกัดขาดในทันที

จากนั้นร่างจำแลงตะขาบยักษ์สีขาวดังหิมะทั้งตัวตัวหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นหลังร่างไร้ศีรษะนั้นโดยไม่มีเค้าลางเลยแม้สักนิด

ตะขาบตัวนี้ร่างกายยาวใหญ่ถึงห้าหกศอก อีกทั้งบนหลังยังมีปีกบางใสโปร่งแสงหกข้างงอกอยู่กลางหลัง ดวงตาทั้งคู่แดงกับราวกับเลือดสด แผ่ไออำมหิตเย็นยะเยือก และทันทีที่มันปรากฏตัว ปากขนาดยักษ์ก็อ้าขึ้นอีกครั้ง ไอเย็นขุ่นมัวถูกพ่นออกมาอย่างแรงอีกครั้ง

ผู้บำเพ็ญห้าหกคนที่อยู่ใกล้สุดไม่ทันได้ตั้งตัว ถูกไอเย็นสีขาวนั้นห่อหุ้มในพริบตา ไม่ว่าจะสมบัติวิเศษป้องกันตัวหรือเครื่องรางประจำตัว ล้วนแต่ถูกแสงสีขาวแช่แข็งกลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งที่ดูมีชีวิต

ผู้บำเพ็ญเพียรที่เหลือได้เห็นเช่นนั้น ต่างพากันตื่นตระหนกไม่อาจประคองสติ มีคนผู้หนึ่งร้องขึ้นอย่างคลุ้มคลั่งว่า “หนี” ชั่วพริบตาเดียวก็หนีกระจัดกระจาย กลายร่างเป็นลำแสงหลายลูกพุ่งออกไปทั่วทุกทิศ

เมื่อตะขาบสีขาวดั่งหิมะเห็นเช่นนั้น มันกลับไม่ได้ใส่ใจแม้สักนิด เพียงแต่ขยับปีกบางใสทั้งหกอันขึ้นพร้อมกัน ทันใดนั้นก็กลายร่างเป็นเงาเลือนรางหกร่างหายวับไปในพริบตา

ชั่วครู่เดียว ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นที่เหลือซึ่งเพิ่งบินออกไปยังไม่เกินร้อยจั้งก็กรีดร้องขึ้นมาพร้อมกัน ถูกแสงสีขาวแต่ละลำผ่าขาดเป็นสองส่วน ไม่อาจต้านทานได้เลยแม้เพียงสักกระผีก

จากนั้นลำแสงสีขาวเหล่านั้นก็บิดม้วน  จิตก่อกำเนิดผสานรวมในร่างของผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นแตกสลายไปในพริบตา

เงาจำแลงตะขาบสีขาวดั่งหิมะเห็นเช่นนั้น ร่างกายอันใหญ่มหึมานั้นก็ขยับไหว ลำแสงสีขาวหกลูกก็กะพริบพุ่งกลับคืนมาอีกครั้ง วินาทีถัดมาปีกบางใสทั้งหกข้างก็ปรากฏขึ้นบนหลังอีกครั้ง

ภายนอกร่างจำแลงตะขาบในเวลานี้ส่องประกายสีขาวสว่าง ร่างกายหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อแสงขาวทั้งหมดเลือนลางไป ชายหนุ่มในชุดสีขาวใบหน้าสลักด้วยลวดลายสีเงินสลับทองดูน่าหวาดกลัว ก็ปรากฏขึ้นยังที่แห่งนั้นด้วยสีหน้านิ่งเฉย

สายตาของเขากวาดมองไปรอบด้านอย่างเยือกเย็น มือข้างหนึ่งของเขาทันใดนั้นก็กดไปบนกลางอากาศ

 ไอสีขาวลำหนึ่งพวยพุ่งออกมา ห่อหุ้มศีรษะของชายฉกรรจ์ในชุดผ้าแพรไว้ภายใน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1822 เงาปีศาจดินแดนรกร้าง

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1822 เงาปีศาจดินแดนรกร้าง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชายหนุ่มผู้นี้คือหานลี่ผู้ซึ่งออกมาจากงานประมูลหมื่นสมบัติ และหายตัวไปอยู่หลายปี

สำหรับเด็กหญิงที่อยู่ข้างกาย ก็คือไป๋กั่วเอ๋อร์ผู้ครอบครองร่างกายไขกระดูกน้ำแข็งอย่างแน่นอน

หญิงผู้นี้ถูกหานลี่รับไว้เป็นศิษย์ จำเป็นต้องอาศัยการร่ายอาคมของหานลี่เพื่อที่จะสะกดพิษไอเย็นตลอดร้อยปีถึงมีชีวิตรอดได้ หลายปีมานี้นางคอยติดตามข้างกายไม่ห่างจึงไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอันใด

บรรดาผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลกู่ เมื่อเห็นร่างคนปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ย่อมต้องแตกตื่นกัน ร่างกายของคนจำนวนไม่น้อยปรากฏแสงวิญญาณกระเพื่อมไหว จ้องไปยังหานลี่ด้วยความระแวดระวังอย่างไม่ละสายตา

“สหายเสี่ยวเฟิง ข้าเจอปัญหาระหว่างทางเล็กน้อย จึงมาสายสักหน่อย ทำให้สหายต้องรอนานแล้ว” หานลี่กวาดสายตามองไปที่พื้นดิน เมื่อได้เห็นหญิงสาวผิวขาวสะอาด รีบพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มบาง

จากนั้นเงาร่างของเขาก็ขยับไป ภายนอกกายเปล่งแสงสีน้ำเงินขึ้นมาชั้นหนึ่งแล้วห่อหุ้มไป๋กั่วเอ๋อร์เอาไว้ ทันใดนั้นก็กะพริบ แล้วไปปรากฏอยู่บนพื้นดินห่างจากหญิงสาวไม่ไกล

“หามิได้ เป็นเพราะพวกผู้น้อยมากันเร็วไปหน่อย ท่านผู้อาวุโสสามารถมาตามนัดได้ตรงเวลาเช่นนี้ ผู้น้อยในนามตัวแทนของตระกูลกู่รู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง ท่านผู้นี้คือผู้อาวุโสเซียวแห่งตระกูลกู่ของพวกเรา พิธีวิญญาณเที่ยงแท้ครั้งนี้ มีพวกข้าสองคนเป็นผู้นำ” หญิงสาวใบหน้าเผยให้เห็นถึงความยินดี พร้อมแนะนำผู้เฒ่าผมเหลืองที่อยู่ด้านข้างให้หานลี่ได้รู้จักอย่างรีบร้อน

“อ๋อ ที่แท้ก็คือท่านผู้เฒ่าเซียวนี่เอง!” หานลี่เห็นอีกฝ่ายผู้เป็นประมุขตระกูลกู่มีระดับการบำเพ็ญพรตไม่ได้ด้อยไปกว่าเซียนเสี่ยวเฟิง จึงไม่กล้าดูเบามากนัก จึงค้อมศีรษะลงเล็กน้อยพูดกับเขา

“มิกล้า ผู้น้อยหลายปีก่อนได้ยินชื่อเสียงของท่านผู้อาวุโสหานแล้ว คราวนี้ท่านผู้อาวุโสมาถึงที่นี่ด้วยตัวเองเพื่อเรื่องของตระกูลกู่ในครั้งนี้ พวกผู้น้อยรู้สึกโล่งใจยิ่งนัก” ผู้เฒ่าผมเหลืองถึงแม้ว่าในใจจะยังคงกังวลอยู่บ้างเกี่ยวกับเรื่องความสามารถของหานลี่ แต่ในเวลานี้เมื่อพบกับตัวจริงย่อมไม่เผยอ่านใบหน้าออกมาให้ได้เห็น แต่กลับแสดงออกด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม

ในเวลานี้ ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นของตระกูลกู่ย่อมรู้ดีว่า หานลี่ก็คือความช่วยเหลือครั้งใหญ่ที่พวกเขาเฝ้าคอย แต่ด้วยลักษณะเยาว์วัยเช่นนี้ ย่อมทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ต่างพากันซุบซิบพูดคุยกันไปทั่ว

“สหายทั้งสองท่านไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้ การที่ข้าได้มายังที่นี่ครั้งนี้ ก็เพียงเพื่อทำการแลกเปลี่ยนเพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายร่วมกับตระกูลกู่เท่านั้น แต่ท่าน ‘เซียนเทียนหลี’ ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลพวกท่านดูเหมือนจะไม่อยู่ที่นี่ เกรงว่าจะไม่เหมือนกับที่สหายเสี่ยวเฟิงเคยได้บอกก่อนหน้านี้กระมัง หรือว่าสหายเทียนหลีได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว” สายตาหานลี่กวาดมองไปยังผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลกู่คนอื่น ขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

“หมายความว่าอย่างไรกัน! พิธีวิญญาณเที่ยงแท้ครั้งนี้ เกรงว่าท่านผู้อาวุโสสูงสุดเทียนหลีคงจะไม่สามารถเป็นตัวแทนตระกูลกู่เข้าร่วมได้” หญิงสาวผิวขาวสะอาดได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าก็เผยให้เห็นถึงความรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย

“เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไรกัน!” เมื่อได้ยินว่าไม่เหมือนกับที่ตกลงกันแต่แรก หานลี่ก็สีหน้าบึ้งตึงขึ้นเล็กน้อย เขาถามขึ้นช้าๆ

“ท่านผู้อาวุโสอย่าเพิ่งโกรธ ท่านผู้อาวุโสสูงสุดไม่อาจเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ก็เป็นเรื่องคาดไม่ถึงเช่นกัน จึงได้แต่เป็นไปเช่นนี้ เรื่องราวคือว่า…” ผู้เฒ่าผมเหลืองเห็นสีหน้าหานลี่ดูแย่ จึงรีบร้อนอธิบายเรื่องราวอย่างละเอียดขึ้นมา

“ท่านเซียนเทียนหลีได้รับบาดเจ็บหนักที่ดินแดนรกร้าง กำลังอยู่ในช่วงกักตัวอย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่แปลก ผู้บำเพ็ญหลายอย่างพวกเราทั้งหลายนี้ เมื่อดวงจิตได้รับความเสียหายเป็นเรื่องยากที่จะรักษาให้คืนสภาพ แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว รายชื่อพิธีที่กำหนดไว้ในตอนแรกระหว่างข้ากับตระกูลของพวกท่าน จะไม่เกิดปัญหาขึ้นแล้วหรือ” หานลี่พยักหน้า แต่ก็พูดขึ้นด้วยความลำบากใจเล็กน้อย

“ในเมื่อท่านผู้อาวุโสสูงสุดไม่สามารถเข้าร่วม ก็ให้จัดรายชื่อตระกูลของพวกเราเลื่อนขึ้นเร็วกว่ากำหนดสักเล็กน้อย ย่อมไม่นับว่ามีผลอะไร ครั้งนี้ ขอเพียงสามารถรับประกันได้ว่ารายชื่อของตระกูลกู่ของพวกเราจะไม่ตกอันดับ ก็ถือว่าดำเนินตามข้อกำหนดแล้ว” เซียนเสี่ยวเฟิงดูเหมือนจะไตร่ตรองมาแต่แรกแล้ว จึงได้พูดขึ้นด้วยสีหน้าหนักแน่นเช่นนี้

“อ๋อ ในเมื่อพูดเช่นนี้ ความยากเกรงว่าคงไม่น้อยเลยทีเดียว ผู้น้อยเพียงเพิ่งจะขึ้นระดับผสานอินทรีย์ ไม่กล้ารับประกันอะไรใดๆ” หานลี่ได้ยินดังนั้น สีหน้าก็คลายลงทันที แต่คำพูดยังคงเจือด้วยน้ำเสียงลำบากใจอยู่เล็กน้อย

“ขอเพียงท่านผู้อาวุโสทำสุดความสามารถ นอกจากสิ่งของเหล่านั้นที่ได้ตกลงกันไว้ในตอนแรก ตระกูลกู่ของพวกเรายังได้เตรียมศิลาวิญญาณชั้นเลิศจำนวนหนึ่ง ไว้ให้ท่านผู้อาวุโสอีกต่างหากด้วย”

หานลี่ใจเต้นเบาๆ เมื่อรับกำไลเก็บของมาแล้วดวงจิตก็กวาดสำรวจเข้าไปข้างใน ความรู้สึกประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเล็กน้อย

“ดูท่าตระกูลพวกท่านจะให้ความสำคัญกับพิธีวิญญาณเที่ยงแท้ครั้งนี้อย่างมากทีเดียว ถึงกับยอมตัดใจจากศิลาวิญญาณค่ามหาศาลเช่นนี้ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะทุ่มเทสุดความสามารถในฐานะแขกของตระกูลกู่ในพิธีวิญญาณเที่ยงแท้นี้” หานลี่หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้ว ก็เอากำไลเก็บของเก็บเข้าไปในแขนเสื้ออย่างไม่เกรงใจ

หญิงสาวเมื่อได้เห็นหานลี่รับศิลาวิญญาณไปแล้วก็รู้สึกโล่งอกเช่นกัน พร้อมพูดด้วยรอยยิ้มว่า

“หากได้ท่านผู้อาวุโสมาเข้าร่วม พิธีวิญญาณเที่ยงแท้ครั้งนี้ตระกูลกู่ของพวกเราก็นับว่าวางใจได้บ้างแล้ว ที่นี่อยู่ห่างจากแท่นหมื่นวิญญาณที่จัดพิธีไปเป็นระยะทางร่วมเดือน พวกเราไม่ควรเสียเวลาอยู่ที่นี่นานจนเกินไป พวกเราออกเดินทางกันเถอะ! ส่วนเรื่องราวรายละเอียดเกี่ยวกับพิธีวิญญาณเที่ยงแท้นั้น ข้าและผู้อาวุโสเซียวจะอธิบายให้ท่านผู้อาวุโสฟังอย่างละเอียดอีกที”

“เช่นนี้ย่อมดี!” หานลี่ย่อมไม่มีทางที่จะไม่เห็นด้วย

ครั้นเมื่อหานลี่เข้าร่วมแล้ว เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลกู่ก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กลายร่างเป็นลำแสงสีต่างๆ เรียงกันเป็นขบวน แล้วลอยพุ่งไปยังขอบฟ้า

……

“ดินแดนรกร้างเทียนหม่า” เป็นดินแดนแห้งแล้งทุรกันดารกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตซึ่งตั้งอยู่ระหว่างชายแดนเทียนหยวนและชายแดนว่านเมี่ยว

ว่ากันว่ามีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่กลายเป็นเทพแล้วหากคิดจะผ่านดินแดนรกร้างแห่งนี้ ยังต้องบินตลอดวันตลอดคืนไม่หยุดเป็นเดือนๆ

นอกจากนี้ดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยพายุฝุ่นทราย ต้นไม้ใบหญ้าแม้เพียงน้อยนิดก็ไม่มีให้เห็น เป็นดินแดนของซากวิญญาณที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่ง ดังนั้นน้อยนักที่จะมีผู้บำเพ็ญเพียรมายังที่แห่งนี้

ต่อให้บังเอิญมีผู้บำเพ็ญเพียรที่จำเป็นต้องผ่านดินแดนรกร้างแห่งนี้ ก็จะบินผ่านไปตลอดทาง ไม่หยุดอยู่ยังที่แห่งนี้แม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว

แต่ในวันนี้ ณ ที่แห่งหนึ่งลึกลงไปในดินแดนรกร้างแห่งนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรในตระกูลหลายสิบคนรวมเป็นขบวน หันหลังไปชิดกันเรียงเป็นค่ายอาคมรูปวงกลมวงหนึ่ง ลอยต่ำอยู่กลางอากาศ

พวกเขาเอาสมบัติวิเศษออกมาจนหมดสิ้น หลอมรวมเป็นแสงสว่างปกคลุมร่างกาย แต่ทุกคนกลับมีสีหน้าตื่นกังวล

ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ ระดับการบำเพ็ญพรตสูงสุดคือชายฉกรรจ์ในชุดผ้าแพรระดับหลอมสุญตาผู้หนึ่ง มือข้างหนึ่งถือดวงแก้วสีน้ำเงินลูกหนึ่ง อีกข้างก็ถือด้ามธงตั้งสีขาวขุ่นหนึ่งด้าม อยู่ตรงกลางค่ายอาคม แต่สีหน้าดูโกรธเกรี้ยวกังวลยิ่งกว่าคนอื่น สายตาคอยสอดส่องไปรอบทิศยังไม่หยุด

และในเวลานั้นเอง ทันใดนั้นลมพัดทรายเหลืองลูกหนึ่งพัดผ่านข้างกายของผู้บำเพ็ญเพียรชายผู้หนึ่ง

ผู้บำเพ็ญเพียรชายผู้นั้นกะพริบตาโดยสัญชาตญาณ และในชั่วพริบตานั้นเอง ฝ่ามือขาวบริสุทธิ์ดั่งหยกข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากฝุ่นทรายรวดเร็วราวกับสายฟ้า

เสียงดังขึ้น “เพี๊ยะ” แสงสว่างที่ปกป้องผู้บำเพ็ญเพียรชายคนนั้นก็ถูกฉีกขาดทันทีราวกับเศษกระดาษ ฝ่ามือขาวดั่งหยกพุ่งทะลุกลางอกของผู้บำเพ็ญเพียรชายคนนั้นอย่างง่ายดาย

จากนั้น ผู้บำเพ็ญชายผู้นั้นยังไม่ทันได้กรีดร้องออกมา ดอกเกล็ดน้ำแข็งสีขาวก็บานขึ้นกลางอก เพียงชั่วพริบตาก็เปลี่ยนร่างนั้นกลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งใสบริสุทธิ์ไป

และมือสีขาวนั้นก็กะพริบหนึ่งที แล้วหายวับไร้ร่องรอยไปจากหน้าอกของผู้บำเพ็ญเพียรชาย

ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นที่อยู่ใกล้ๆ ได้เห็นเช่นนั้น ต่างก็รู้สึกตื่นตระหนกคว้าสมบัติวิเศษแต่ละอย่างขึ้นมาออกไปอย่างคลุ้มคลั่งพร้อมกัน

แปลว่านอกเสียจากเพียงทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรชายที่กลายร่างเป็นรูปสลักน้ำแข็งแตกละเอียด ก็ไม่เห็นร่องรอยของศัตรูแต่อย่างใด

แต่ทว่าในเวลานั้นเอง ชายฉกรรจ์ในชุดผ้าแพรระดับหลอมสุญตาผู้นั้นก็ร้องขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว ดวงแก้วสีน้ำเงินในมือส่องแสงสว่างจ้าตา จากนั้นลำแสงสีน้ำเงินบินก็พุ่งออกไปทันที

ความเร็วของลำแสงลูกนี้ ชั่วพริบตาเดียวก็โจมตีเข้ากลางความว่างเปล่าสักที่ในพายุทรายลูกนั้น ทันใดนั้นแสงสีขาวก็ส่องกะพริบ เงาร่างเลือนรางร่างหนึ่งชั่วพริบตาเดียวก็ถูกลำแสงสีน้ำเงินล้อมเอาไว้จนปรากฏรูปร่างขึ้นกลางสายลม

ได้เห็นภาพเช่นนี้ ไม่ต้องรอคำสั่งจากชายฉกรรจ์ในชุดผ้าแพร ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นที่เหลือก็ฮึดสู้ขึ้นมา สมบัติวิเศษจำนวนมากถูกใช้งาน กลายเป็นแสงสว่างหลากสีม้วนพุ่งเข้าไป

เสียงกระแทกดัง “ปัง” เงาร่างนั้นถูกแสงสีตรังต่างเป็นชิ้นๆ ราวกับว่าไม่เหลือแรงที่จะต้านทานใดๆ

เสียงโห่ร้องยินดีดังขึ้นจากปากเราผู้บำเพ็ญเพียรขึ้นมาทันที ทุกคนสีหน้าดูตื่นเต้นยินดี

แต่ชายฉกรรจ์ในชุดผ้าแพรผู้นั้น กลับมีสีหน้าหวาดระแวงตื่นกลัว ทันใดนั้นก็ยื่นมือข้างหนึ่งขึ้นไปกลางอากาศ คว้าเศษซากที่กระจัดกระจายของเงาร่างนั้นไว้ในมือ กลับพบว่าเป็นเพียงเกล็ดแข็งสีขาวดั่งหยกชิ้นหนึ่งเท่านั้น เย็นยะเยือกถึงที่สุด แล้วละลายกลายเป็นหยดน้ำใสในมือของเขาอย่างรวดเร็ว

“แย่แล้ว เจ้าเดรัจฉานนั้นยังไม่ตาย!” ชายฉกรรจ์เห็นเช่นนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นการใหญ่ พร้อมกับตะโกนขึ้นอย่างเต็มเสียง หลังจากนั้นก็ขยับธงตั้งสีขาวในมือนั้นโดยไม่ต้องคิด เพื่อที่จะใช้พลังคุ้มกันตัวก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง

แต่การกระทำนั้น เห็นได้ชัดว่าช้าไปเสียแล้ว

 ชายฉกรรจ์ในชุดผ้าแพรได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องที่เสียบหูเสียงหนึ่งดังขึ้นมาฉับพลัน จากนั้นก็รู้สึกเย็นเยือกขึ้นมาบริเวณลำคอ ทั้งศีรษะถูกเขี้ยวยาวสีขาวดังหิมะที่ยาวราวกับดาบเล่มโตสองเล่มกัดขาดในทันที

จากนั้นร่างจำแลงตะขาบยักษ์สีขาวดังหิมะทั้งตัวตัวหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นหลังร่างไร้ศีรษะนั้นโดยไม่มีเค้าลางเลยแม้สักนิด

ตะขาบตัวนี้ร่างกายยาวใหญ่ถึงห้าหกศอก อีกทั้งบนหลังยังมีปีกบางใสโปร่งแสงหกข้างงอกอยู่กลางหลัง ดวงตาทั้งคู่แดงกับราวกับเลือดสด แผ่ไออำมหิตเย็นยะเยือก และทันทีที่มันปรากฏตัว ปากขนาดยักษ์ก็อ้าขึ้นอีกครั้ง ไอเย็นขุ่นมัวถูกพ่นออกมาอย่างแรงอีกครั้ง

ผู้บำเพ็ญห้าหกคนที่อยู่ใกล้สุดไม่ทันได้ตั้งตัว ถูกไอเย็นสีขาวนั้นห่อหุ้มในพริบตา ไม่ว่าจะสมบัติวิเศษป้องกันตัวหรือเครื่องรางประจำตัว ล้วนแต่ถูกแสงสีขาวแช่แข็งกลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งที่ดูมีชีวิต

ผู้บำเพ็ญเพียรที่เหลือได้เห็นเช่นนั้น ต่างพากันตื่นตระหนกไม่อาจประคองสติ มีคนผู้หนึ่งร้องขึ้นอย่างคลุ้มคลั่งว่า “หนี” ชั่วพริบตาเดียวก็หนีกระจัดกระจาย กลายร่างเป็นลำแสงหลายลูกพุ่งออกไปทั่วทุกทิศ

เมื่อตะขาบสีขาวดั่งหิมะเห็นเช่นนั้น มันกลับไม่ได้ใส่ใจแม้สักนิด เพียงแต่ขยับปีกบางใสทั้งหกอันขึ้นพร้อมกัน ทันใดนั้นก็กลายร่างเป็นเงาเลือนรางหกร่างหายวับไปในพริบตา

ชั่วครู่เดียว ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นที่เหลือซึ่งเพิ่งบินออกไปยังไม่เกินร้อยจั้งก็กรีดร้องขึ้นมาพร้อมกัน ถูกแสงสีขาวแต่ละลำผ่าขาดเป็นสองส่วน ไม่อาจต้านทานได้เลยแม้เพียงสักกระผีก

จากนั้นลำแสงสีขาวเหล่านั้นก็บิดม้วน  จิตก่อกำเนิดผสานรวมในร่างของผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นแตกสลายไปในพริบตา

เงาจำแลงตะขาบสีขาวดั่งหิมะเห็นเช่นนั้น ร่างกายอันใหญ่มหึมานั้นก็ขยับไหว ลำแสงสีขาวหกลูกก็กะพริบพุ่งกลับคืนมาอีกครั้ง วินาทีถัดมาปีกบางใสทั้งหกข้างก็ปรากฏขึ้นบนหลังอีกครั้ง

ภายนอกร่างจำแลงตะขาบในเวลานี้ส่องประกายสีขาวสว่าง ร่างกายหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อแสงขาวทั้งหมดเลือนลางไป ชายหนุ่มในชุดสีขาวใบหน้าสลักด้วยลวดลายสีเงินสลับทองดูน่าหวาดกลัว ก็ปรากฏขึ้นยังที่แห่งนั้นด้วยสีหน้านิ่งเฉย

สายตาของเขากวาดมองไปรอบด้านอย่างเยือกเย็น มือข้างหนึ่งของเขาทันใดนั้นก็กดไปบนกลางอากาศ

 ไอสีขาวลำหนึ่งพวยพุ่งออกมา ห่อหุ้มศีรษะของชายฉกรรจ์ในชุดผ้าแพรไว้ภายใน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+