A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1837 โลกใบน้อยบนสันเขา

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1837 โลกใบน้อยบนสันเขา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“หึๆ ครั้งนี้ศิษย์น้องหญิงไปมารวดเร็วนัก ดูแล้วคงเดินทางราบรื่น”

เมื่อร่างของไป๋กั่วเอ๋อร์มาปรากฏตัวที่หน้าประตูหินสีเขียว ก็มีเสียงหัวเราะดังออกมาจากด้านในประตู

ประตูหินเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ แล้วเปิดออกโดยทันที!

นักปราชญ์ชุดสีเหลืองคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน อายุประมาณสามสิบปีเศษ หน้าตาของเขางดงาม นั่นก็คือไห่ต้าเซ่าที่ถูกหานลี่ส่งไปยังเมืองเทวะสวรรค์เมื่อสองร้อยปีก่อน

ทว่าไม่ได้พบกันสองร้อยปี ไห่ต้าเซ่าก็ยังมีแววตาลึกลับ ผิวพลันเกลี้ยงใส คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวมคนหนึ่งแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นกายเนื้อยังแข็งแกร่งกว่าในอดีตมาก

“เอ๋ ศิษย์พี่กลับมาที่ถ้ำพำนักเมื่อใดกัน!” ไป๋กั่วเอ๋อร์เห็นไห่ต้าเซ่าก็ตกตะลึง ทันใดนั้นก็เผยสีหน้ายินดีออกมา

“หึๆ สองสามวันก่อนข้าเพิ่งเสร็จงานที่เมืองเทวะสวรรค์ จนเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้ง ถึงได้กลับมาพักผ่อนสักครึ่งปี แล้วก็กลับมารอดูว่าท่านอาจารย์ออกจากการกักตนหรือไม่ที่ถ้ำพำนัก” ไห่ต้าเซ่ายิ้มจนตาหยีขณะตอบกลับ

“เช่นนั้นศิษย์พี่ได้พบท่านอาจารย์แล้วหรือ!” ไป๋กั่วเอ๋อร์อดที่จะถามไม่ได้

“แน่นอนว่าข้าย่อมไม่ได้พบท่านอาจารย์ กลับไปขอยาลูกกลอนสองสามขวดจากทารกวิญญาณที่สองของท่านอาจารย์ หากไม่มีอันใดผิดพลาด อีกสองปีศิษย์พี่ก็จะเริ่มทะลวงระดับหลอมรวมขั้นกลางแล้ว จะว่าไปแล้วก็น่าละอายใจจริงๆ พลังยุทธ์ของศิษย์พี่อย่างข้ายังสู้ศิษย์น้องไม่ได้ ไม่กล้าเงยหน้าต่อหน้าศิษย์น้องหญิงจริงๆ” ไห่ต้าเซ่าหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยอย่างทีเล่นทีจริง

“จุ๊ๆ ศิษย์พี่ชอบล้อเล่นจริงๆ ศิษย์พี่เป็นผู้ฝึกตนคู่บำเพ็ญเพียร หากว่ากันตามพละกำลังไหนเลยที่กั่วเอ๋อร์จะเทียบเทียมได้ และยิ่งไปกว่านั้นท่านอาจารย์ก็เป็นผู้ฝึกตนคู่บำเพ็ญเพียรเช่นกัน กว่าครึ่งศิษย์พี่ไห่ถึงจะมีคุณสมบัติในการรับการสืบทอดจากท่านอาจารย์ น่าจะเป็นศิษย์น้องหญิงที่อิจฉาศิษย์พี่เสียมากกว่า และยิ่งไปกว่านั้นหากพูดถึงพลังปราณ น้องหญิงจะพัฒนาอย่างรวดเร็วเทียบกับศิษย์พี่ชี่หลิงจื่อได้อย่างไร คาดไม่ถึงว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ สองร้อยปีก็อยู่ในระดับหลอมรวมแล้ว คงจะเตรียมผนึกทารกวิญญาณทันทีสินะ” ไป๋กั่วเอ๋อร์กลับตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ

“มีพลังปราณมากกว่านี้แล้วจะมีประโยชน์อันใด ในเมืองเทวะสวรรค์ ข้าก็ทำได้เพียงแต่งกายเป็นผู้ฝึกตนธรรมดาๆ แม้กระทั่งไม่กล้าให้ผู้ใดรู้ความสัมพันธ์ของข้ากับท่านอาจารย์ เพราะกลัวว่าจะถูกคนนึกถึง ศิษย์น้องชี่หลิงจื่อของเจ้าก็เป็นเช่นนั้น ทุกครั้งที่ข้าสองคนออกจากเมืองเทวะสวรรค์มาหาท่านอาจารย์ ก็ต้องทำลับๆ ล่อๆ ไหนเลยจะใช้ฐานะศิษย์ของท่านอาจารย์เข้าออกเมืองเทวะสวรรค์ได้อย่างศิษย์น้องหญิง” ไห่ต้าเซ่าได้ยินคำนี้ กลับเปลี่ยนเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวด แล้วเอ่ยอย่างรู้สึกอิจฉา

“ข้าทำเพราะธุระของท่านอาจารย์ ต้องเข้าออกเมืองเทวะสวรรค์ ท่านอาจารย์ถึงได้ให้ข้าไม่ต้องปิดบังฐานะ ไม่เหมือนกับศิษย์พี่ทั้งสองที่ต้องซ่อนตัวฝึกฝนอยู่ในเมืองเทวะสวรรค์ ทว่าจะว่าไปแล้ว! อิทธิฤทธิ์นักพรตที่ศิษย์พี่ชี่หลิงจื่อได้รับถ่ายทอดมาและพรสวรรค์ในการฝึกฝน แม้แต่ท่านอาจารย์ก็ยังชื่นชมไม่หยุดปาก หนทางในการฝึกบำเพ็ญเพียรวันข้างหน้าอาจจะเดินไปได้ไกลกว่าข้าอีกนะ” ไป๋กั่วเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ทว่าตั้งแต่ที่ท่านอาจารย์พาเจ้ากลับมายังเผ่ามนุษย์เมื่อสองร้อยปีก่อน และสร้างถ้ำพำนักขึ้นใหม่นั้น ก็กักตนทันที ปกติแล้วการฝึกฝนของพวกเราก็ให้ทารกวิญญาณที่สองและท่านอาจารย์อาน้ำแข็งสวรรค์คอยชี้แนะ ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์กำลังฝึกฝนอันใดอยู่กันแน่!” เมื่อพูดถึงท่านอาจารย์ ไห่ต้าเซ่าก็หน้าเปลี่ยนสีเป็นเคร่งขรึม และมีท่าทีกังวลใจเล็กน้อย

“วางใจเถิด ตอนนั้นท่านอาจารย์เสียเวลาไปเกือบร้อยปี ตามหาคนที่ยังหาไม่พบในทั้งเผ่ามนุษย์และปีศาจ ก็คงพักเรื่องตามหาคนไปชั่วคราว ถึงได้กักตนเตรียมทะลวงระดับขั้นกลาง หากข้าคิดไม่ผิดล่ะก็ ถ้าท่านอาจารย์ยังทะลวงระดับขึ้นไประดับขั้นกลางในรวดเดียวไม่ได้ เดาว่าก็คงไม่ออกจากการกักตน” ไป๋กั่วเอ๋อร์เอียงศีรษะ มุมปากหยักขึ้นเล็กน้อยขณะเอ่ย

“ทะลวงระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง แม้ว่าท่านอาจารย์จะมีอิทธิฤทธิ์มากมาย แต่เกรงว่าคงต้องฝึกฝนอย่างหนักเป็นพักปีถึงจะมีโอกาสสำเร็จสินะ หรือว่าท่านอาจารย์คิดจะกักตนเป็นพันปี?” ไห่ต้าเซ่าได้ยินเช่นนั้น สองตาก็เบิกโพลง

“ท่านอาวุโสระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ ฝึกฝนอย่างไรข้าไม่รู้ แต่ท่านอาจารย์ของพวกเราเคยต้านทานกับศัตรูระดับขั้นปลาย อิทธิฤทธิ์ย่อมไม่ด้อยไปกว่าระดับขั้นกลาง น่าจะมีวิธีอื่นในการเพิ่มความเร็วในการฝึกฝน คิดดูแล้วคงไม่ถึงพันปี ก่อนที่เคราะห์มารจะปะทุ ก็คงออกจากการกักตนได้แล้ว” ไป๋กั่วเอ๋อร์ครุ่นคิด แต่กลับเอ่ยอย่างมั่นใจออกมา

“นั่นมันก็ใช่! คิดดูแล้วท่านอาจารย์คงเห็นว่าเคราะห์มารใกล้เข้ามา ถึงได้ตัดสินใจทะลวงระดับขั้นกลาง” ไห่ต้าเซ่าพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

ไม่ว่าเขาหรือไป๋กั่วเอ๋อร์ ล้วนมีท่าทีเชื่อมั่นในตัวของหานลี่ว่าจะบรรลุระดับขั้นกลางได้

นั่นก็โทษพวกเขาไม่ได้

สองสามปีนี้หานลี่ไม่เพียงถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับให้ ในขณะที่ฝึกฝนที่ติดอยู่ตรงจุดคอขวดต่างๆ ก็มักจะชี้แนะหรือไม่ก็มอบยาลูกกลอนล้ำค่าขวดสองขวดให้พวกเขาทะลวงจุดคอขวดได้ทันที และทำการฝึกฝนต่อไป นี่จึงเป็นสาเหตุที่พวกเขาสามคนบรรลุระดับขั้นได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้

การกระทำเช่นนี้ศิษย์ทั้งสามของหานลี่จึงรู้สึกซาบซึ้งใจต่อท่านอาจารย์ของตนเองมาก ในสายตาของพวกเขาย่อมหยั่งรากลึกเข้าไปและแทบจะรู้สึกว่าไม่มีอันใดที่เป็นไปไม่ได้แล้ว

ทว่ายามนี้ไห่ต้าเซ่าไม่ได้พูดคุยอันใดกับไป๋กั่วเอ๋อร์อีก หลังจากพูดคุยอีกสองสามประโยคก็ขอตัวกล่าวลาออกไปจากถ้ำพำนักกลายเป็นสายรุ้งสีฟ้าพุ่งแหวกอากาศไป

ส่วนไป๋กั่วเอ๋อร์หลังจากที่เข้าไปในประตูหินสีเขียว ก็เดินไปตามทางเดินที่ทอดไปยังสวนด้านหลังของถ้ำพำนัก

หลังจากผ่านเขตอาคมต้องห้ามที่แน่นหนามาสองสามชั้น เบื้องหน้าก็เปล่งแสงเจิดจ้า คาดไม่ถึงว่าจะมีทุ่งหญ้าราบเรียบขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น เมฆสีขาวกลางอากาศลอยวนเวียนไปมา ต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ มีไอวิญญาณตลบอบอวล

ส่วนใจกลางของทุ่งหญ้า ทั้งซ้ายและขวาคาดไม่ถึงว่าจะภูเขาขนาดย่อมสูงร้อยจั้งเศษอยู่ฝั่งละลูก

ลูกหนึ่งเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก ลูกหนึ่งเป็นสีเขียวขจี!

ใจกลางของยอดเขาทั้งสองกลับมีหอคอยหยกสีขาวโปร่งแสงอยู่หลังหนึ่ง มีทั้งหมดสามชั้นถูกม่านลำแสงห้าสีปกคลุมเอาไว้

ถ้ำพำนักด้านหลังคาดไม่ถึงว่าจะถูกคนใช้พลังปราณมหาศาลสร้างโลกใบเล็กๆ ที่ดูเหมือนอยู่ในภูเขาโดดๆ เอาไว้ ดูแล้วไม่ต่างจากโลกภายนอกเลยสักนิด

ทว่ายามนี้บนยอดเขาทั้งสองลูกทั้งซ้ายและขวากลับมีเงาร่างคนนั่งสมาธิอยู่

คนหนึ่งสูงสองจั้งผิวสีเขียวมรกต เปล่งแสงสีม่วงออกมาไม่หยุด คนหนึ่งกลับมีผิวสีทองเรืองรอง ปากพ่นไอสีดำออกมาโคจรรอบกาย

มองจากไกลๆ ทั้งสองมีหน้าตาคล้ายคลึงกับหานลี่มาก และสองตาก็กำลังปิดสนิท ท่าทางกำลังอยู่ในภวังค์สมาธิ

ทว่าเมื่อไป๋กั่วเอ๋อร์เดินเข้ามาในสวน ‘หานลี่’ ที่กำลังพ่นไอสีดำออกมาก็หน้าเปลี่ยนสี แล้วลืมตาทั้งสองข้างขึ้นช้าๆ

ชั่วพริบตาสายตาสดใสสองสายก็กวาดมาที่หญิงสาวสวมชุดสีเงิน

“คารวะท่านอาจารย์ ศิษย์เดินทางราบรื่น นำของกลับมาได้อย่างปลอดภัย” ไป๋กั่วเอ๋อร์เห็นเงาร่างนี้ ก็คารวะเงาร่างคนสีทองด้วยท่าทีนอบน้อมขณะเอ่ย จากนั้นมือหนึ่งก็พลิกฝ่ามือหยิบกล่องไม้สีม่วงออกมา ส่งให้ด้วยมือทั้งสองมือทันที

“ลำบากเจ้าแล้ว กั่วเอ๋อร์! ข้าจะดูของหน่อยว่ามีประโยชน์หรือไม่” เงาร่างคนสีทองหัวเราะน้อยๆ ออกมา และเอ่ยอย่างใจดี น้ำเสียงเหมือนกับหานลี่อย่างไรอย่างนั้น

จากนั้นเงาร่างสีทองก็ใช้มือหนึ่งกวักไปทางไป๋กั่วเอ๋อร์!

ครู่ต่อมากล่องไม้สีม่วงก็ส่งเสียง “สวบ” พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ ถูกเงาสีทองดูดเข้ามาอยู่ในมือ

มือหนึ่งปัดไปทางกล่องไม้ ชั่วขณะนั้นฝากล่องพลันเปิดออกโดยทันที

ด้านในคาดไม่ถึงว่าจะมีแก่นปีศาจสีดำเขียวอยู่สองสามลูก ทุกลูกล้วนมีขนาดเท่าไข่ไก่ และแผ่กลิ่นคาวประหลาดๆ ออกมา ทำให้ผู้คนได้กลิ่นแล้วรู้สึกคลื่นไส้

มองแก่นปีศาจประหลาดๆ เหล่านี้ เงาร่างคนสีทองกลับพยักหน้าอย่างพึงพอใจมาก ปิดฝากล่องแล้วเอ่ยกับไป๋กั่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านล่างด้วยรอยยิ้มบางๆ

“กั่วเอ๋อร์ ทำได้ไม่เลว ของเหล่านี้มีประโยชน์กับข้าจริงๆ จนถึงยามนี้วัตถุดิบทางฝั่งเผ่าปีศาจ ก็น่าจะนับได้ว่ารวบรวมได้ครบแล้ว! วันข้างหน้าข้าจะเก็บทารกวิญญาณที่สอง และกระตุ้นเขตอาคมปิดผนึกที่นี่ ตัดขาดจากโลกภายนอก ขอแค่พวกเจ้าไม่พบกับอันตรายถึงชีวิตหรือเคราะห์มารปะทุล่วงหน้าก็อย่ารบกวนข้า จากนี้อีกหนึ่งถึงสองร้อยปีเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในการฝึกฝนของข้า ห้ามขาดสมาธิเด็ดขาด อีกอย่างข้าจะมอบยาลูกกลอนและศิลาวิญญาณที่พวกเจ้าต้องใช้ในการฝึกฝนไว้กับท่านอาจารย์อาน้ำแข็งสวรรค์ของพวกเจ้า วันข้างหน้าหากต้องใช้ก็ให้มาขอที่นาง หึๆ หวังว่ายามที่ท่านอาจารย์ออกจากการกักตน จะได้เห็นพวกเจ้าศิษย์พี่ศิษย์น้องบรรลุระดับอีกขั้น”

“อันใด ท่านอาจารย์จะกักตนปิดตาย ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์จะกักตนนานเท่าไหร่” ไป๋กั่วเอ๋อร์ได้ยินคำพูดของเงาร่างสีทอง ชั่วขณะนั้นพลันเอ่ยถามด้วยเสียงตกตะลึง

“พูดยาก สั้นหน่อยก็ยี่สิบสามสิบปี ยาวหน่อยก็สองสามร้อยปีกระมัง!” เงาร่างสีเหลืองขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ

“เช่นนั้นกั่วเอ๋อร์ก็ทำได้เพียงน้อมส่งท่านอาจารย์แล้ว หวังว่ายามที่ท่านอาจารย์ออกจากการกักตนจะเป็นวันที่พลังยุทธ์เพิ่มขึ้น!” ไป๋กั่วเอ๋อร์มีสีหน้าอาลัยอาวรณ์ แต่ก็รู้ว่าหานลี่ตัดสินใจแล้ว จึงทำได้เพียงก้มหน้าคารวะอีกครั้งขณะเอ่ย

“ฮ่าๆ ขอยืมคำอวยพรของกั่วเอ๋อร์ หวังว่าถึงยามนั้นจะเป็นเช่นนั้น”

เสียงหัวเราะครั้งนี้ ไม่ได้ออกมาจากเงาร่างสีทอง แต่ดังออกมาจากด้านในหอคอยหยกที่มีม่านลำแสงห้าสีปกคลุมอยู่

จากนั้นเงาร่างคนที่นั่งอยู่บนยอดเขาทั้งสองลูกก็ยืนขึ้น และร่ายอาคมพร้อมกัน พลางรางเลือนและสลายหายไป

ครู่ต่อมายอดเขาสองลูกก็เกิดเสียงอึกทึกขึ้น เขตอาคมขนาดยักษ์ทั้งสองปรากฏขึ้นกลางอากาศ และแผ่ออกไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านอย่างรวดเร็ว

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ทั้งท้องหญ้าก็ถูกม่านลำแสงของเขตอาคมปกคลุม เกิดเป็นลำแสงวิญญาณห้าสี

ทุกอย่างเริ่มบิดเบี้ยวผิดรูป สุดท้ายลำแสงก็หม่นลง กลายเป็นทะเลหมอกห้าสี ปกคลุมทุกอย่างเอาไว้ข้างใน

ยามนี้ไป๋กั่วเอ๋อร์พลันถอยออกมาจากทุ่งหญ้าก้าวหนึ่ง และมองทะเลหมอกด้วยท่าทีตกตะลึงไม่ปริปาก

หลังจากผ่านไปนานเท่าไหร่ก็สุดจะรู้ได้ หญิงสาวสวมชุดสีเงินถึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วหันกายเดินไปจากที่นี่

แทบจะในเวลาเดียวกัน ตรงชั้นหนึ่งของหอคอยหยกสีขาวในทะเลหมอกห้าสี หานลี่นั่งสมาธิอยู่บนฟูกสีเหลืองอ่อน ดวงตาทั้งสองหรี่ลงขณะมองหม้อใบยักษ์สีทองเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามจั้งสูงประมาณสองสามจั้งตรงหน้า

เปลวเพลิงสีเงินด้านล่างหม้อล้อมรอบหม้อใบยักษ์เอาไว้อย่างรุนแรง ในเวลาเดียวกันกลิ่นคละคลุ้งก็โชยมาจากด้านในหม้อ

หากมองลงไปจากด้านบนก็จะพบของเหลวลึกลับที่เดือดพล่านอยู่ภายในหม้อใบยักษ์ ไม่เพียงจะมีห้าสี และยิ่งไปกว่านั้นฟองน้ำฟ้าสีที่ทะลักออกมาจากในหม้อ ก็ปริแตกไม่หยุด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1837 โลกใบน้อยบนสันเขา

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1837 โลกใบน้อยบนสันเขา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“หึๆ ครั้งนี้ศิษย์น้องหญิงไปมารวดเร็วนัก ดูแล้วคงเดินทางราบรื่น”

เมื่อร่างของไป๋กั่วเอ๋อร์มาปรากฏตัวที่หน้าประตูหินสีเขียว ก็มีเสียงหัวเราะดังออกมาจากด้านในประตู

ประตูหินเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ แล้วเปิดออกโดยทันที!

นักปราชญ์ชุดสีเหลืองคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน อายุประมาณสามสิบปีเศษ หน้าตาของเขางดงาม นั่นก็คือไห่ต้าเซ่าที่ถูกหานลี่ส่งไปยังเมืองเทวะสวรรค์เมื่อสองร้อยปีก่อน

ทว่าไม่ได้พบกันสองร้อยปี ไห่ต้าเซ่าก็ยังมีแววตาลึกลับ ผิวพลันเกลี้ยงใส คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวมคนหนึ่งแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นกายเนื้อยังแข็งแกร่งกว่าในอดีตมาก

“เอ๋ ศิษย์พี่กลับมาที่ถ้ำพำนักเมื่อใดกัน!” ไป๋กั่วเอ๋อร์เห็นไห่ต้าเซ่าก็ตกตะลึง ทันใดนั้นก็เผยสีหน้ายินดีออกมา

“หึๆ สองสามวันก่อนข้าเพิ่งเสร็จงานที่เมืองเทวะสวรรค์ จนเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้ง ถึงได้กลับมาพักผ่อนสักครึ่งปี แล้วก็กลับมารอดูว่าท่านอาจารย์ออกจากการกักตนหรือไม่ที่ถ้ำพำนัก” ไห่ต้าเซ่ายิ้มจนตาหยีขณะตอบกลับ

“เช่นนั้นศิษย์พี่ได้พบท่านอาจารย์แล้วหรือ!” ไป๋กั่วเอ๋อร์อดที่จะถามไม่ได้

“แน่นอนว่าข้าย่อมไม่ได้พบท่านอาจารย์ กลับไปขอยาลูกกลอนสองสามขวดจากทารกวิญญาณที่สองของท่านอาจารย์ หากไม่มีอันใดผิดพลาด อีกสองปีศิษย์พี่ก็จะเริ่มทะลวงระดับหลอมรวมขั้นกลางแล้ว จะว่าไปแล้วก็น่าละอายใจจริงๆ พลังยุทธ์ของศิษย์พี่อย่างข้ายังสู้ศิษย์น้องไม่ได้ ไม่กล้าเงยหน้าต่อหน้าศิษย์น้องหญิงจริงๆ” ไห่ต้าเซ่าหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยอย่างทีเล่นทีจริง

“จุ๊ๆ ศิษย์พี่ชอบล้อเล่นจริงๆ ศิษย์พี่เป็นผู้ฝึกตนคู่บำเพ็ญเพียร หากว่ากันตามพละกำลังไหนเลยที่กั่วเอ๋อร์จะเทียบเทียมได้ และยิ่งไปกว่านั้นท่านอาจารย์ก็เป็นผู้ฝึกตนคู่บำเพ็ญเพียรเช่นกัน กว่าครึ่งศิษย์พี่ไห่ถึงจะมีคุณสมบัติในการรับการสืบทอดจากท่านอาจารย์ น่าจะเป็นศิษย์น้องหญิงที่อิจฉาศิษย์พี่เสียมากกว่า และยิ่งไปกว่านั้นหากพูดถึงพลังปราณ น้องหญิงจะพัฒนาอย่างรวดเร็วเทียบกับศิษย์พี่ชี่หลิงจื่อได้อย่างไร คาดไม่ถึงว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ สองร้อยปีก็อยู่ในระดับหลอมรวมแล้ว คงจะเตรียมผนึกทารกวิญญาณทันทีสินะ” ไป๋กั่วเอ๋อร์กลับตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ

“มีพลังปราณมากกว่านี้แล้วจะมีประโยชน์อันใด ในเมืองเทวะสวรรค์ ข้าก็ทำได้เพียงแต่งกายเป็นผู้ฝึกตนธรรมดาๆ แม้กระทั่งไม่กล้าให้ผู้ใดรู้ความสัมพันธ์ของข้ากับท่านอาจารย์ เพราะกลัวว่าจะถูกคนนึกถึง ศิษย์น้องชี่หลิงจื่อของเจ้าก็เป็นเช่นนั้น ทุกครั้งที่ข้าสองคนออกจากเมืองเทวะสวรรค์มาหาท่านอาจารย์ ก็ต้องทำลับๆ ล่อๆ ไหนเลยจะใช้ฐานะศิษย์ของท่านอาจารย์เข้าออกเมืองเทวะสวรรค์ได้อย่างศิษย์น้องหญิง” ไห่ต้าเซ่าได้ยินคำนี้ กลับเปลี่ยนเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวด แล้วเอ่ยอย่างรู้สึกอิจฉา

“ข้าทำเพราะธุระของท่านอาจารย์ ต้องเข้าออกเมืองเทวะสวรรค์ ท่านอาจารย์ถึงได้ให้ข้าไม่ต้องปิดบังฐานะ ไม่เหมือนกับศิษย์พี่ทั้งสองที่ต้องซ่อนตัวฝึกฝนอยู่ในเมืองเทวะสวรรค์ ทว่าจะว่าไปแล้ว! อิทธิฤทธิ์นักพรตที่ศิษย์พี่ชี่หลิงจื่อได้รับถ่ายทอดมาและพรสวรรค์ในการฝึกฝน แม้แต่ท่านอาจารย์ก็ยังชื่นชมไม่หยุดปาก หนทางในการฝึกบำเพ็ญเพียรวันข้างหน้าอาจจะเดินไปได้ไกลกว่าข้าอีกนะ” ไป๋กั่วเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ทว่าตั้งแต่ที่ท่านอาจารย์พาเจ้ากลับมายังเผ่ามนุษย์เมื่อสองร้อยปีก่อน และสร้างถ้ำพำนักขึ้นใหม่นั้น ก็กักตนทันที ปกติแล้วการฝึกฝนของพวกเราก็ให้ทารกวิญญาณที่สองและท่านอาจารย์อาน้ำแข็งสวรรค์คอยชี้แนะ ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์กำลังฝึกฝนอันใดอยู่กันแน่!” เมื่อพูดถึงท่านอาจารย์ ไห่ต้าเซ่าก็หน้าเปลี่ยนสีเป็นเคร่งขรึม และมีท่าทีกังวลใจเล็กน้อย

“วางใจเถิด ตอนนั้นท่านอาจารย์เสียเวลาไปเกือบร้อยปี ตามหาคนที่ยังหาไม่พบในทั้งเผ่ามนุษย์และปีศาจ ก็คงพักเรื่องตามหาคนไปชั่วคราว ถึงได้กักตนเตรียมทะลวงระดับขั้นกลาง หากข้าคิดไม่ผิดล่ะก็ ถ้าท่านอาจารย์ยังทะลวงระดับขึ้นไประดับขั้นกลางในรวดเดียวไม่ได้ เดาว่าก็คงไม่ออกจากการกักตน” ไป๋กั่วเอ๋อร์เอียงศีรษะ มุมปากหยักขึ้นเล็กน้อยขณะเอ่ย

“ทะลวงระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง แม้ว่าท่านอาจารย์จะมีอิทธิฤทธิ์มากมาย แต่เกรงว่าคงต้องฝึกฝนอย่างหนักเป็นพักปีถึงจะมีโอกาสสำเร็จสินะ หรือว่าท่านอาจารย์คิดจะกักตนเป็นพันปี?” ไห่ต้าเซ่าได้ยินเช่นนั้น สองตาก็เบิกโพลง

“ท่านอาวุโสระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ ฝึกฝนอย่างไรข้าไม่รู้ แต่ท่านอาจารย์ของพวกเราเคยต้านทานกับศัตรูระดับขั้นปลาย อิทธิฤทธิ์ย่อมไม่ด้อยไปกว่าระดับขั้นกลาง น่าจะมีวิธีอื่นในการเพิ่มความเร็วในการฝึกฝน คิดดูแล้วคงไม่ถึงพันปี ก่อนที่เคราะห์มารจะปะทุ ก็คงออกจากการกักตนได้แล้ว” ไป๋กั่วเอ๋อร์ครุ่นคิด แต่กลับเอ่ยอย่างมั่นใจออกมา

“นั่นมันก็ใช่! คิดดูแล้วท่านอาจารย์คงเห็นว่าเคราะห์มารใกล้เข้ามา ถึงได้ตัดสินใจทะลวงระดับขั้นกลาง” ไห่ต้าเซ่าพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

ไม่ว่าเขาหรือไป๋กั่วเอ๋อร์ ล้วนมีท่าทีเชื่อมั่นในตัวของหานลี่ว่าจะบรรลุระดับขั้นกลางได้

นั่นก็โทษพวกเขาไม่ได้

สองสามปีนี้หานลี่ไม่เพียงถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับให้ ในขณะที่ฝึกฝนที่ติดอยู่ตรงจุดคอขวดต่างๆ ก็มักจะชี้แนะหรือไม่ก็มอบยาลูกกลอนล้ำค่าขวดสองขวดให้พวกเขาทะลวงจุดคอขวดได้ทันที และทำการฝึกฝนต่อไป นี่จึงเป็นสาเหตุที่พวกเขาสามคนบรรลุระดับขั้นได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้

การกระทำเช่นนี้ศิษย์ทั้งสามของหานลี่จึงรู้สึกซาบซึ้งใจต่อท่านอาจารย์ของตนเองมาก ในสายตาของพวกเขาย่อมหยั่งรากลึกเข้าไปและแทบจะรู้สึกว่าไม่มีอันใดที่เป็นไปไม่ได้แล้ว

ทว่ายามนี้ไห่ต้าเซ่าไม่ได้พูดคุยอันใดกับไป๋กั่วเอ๋อร์อีก หลังจากพูดคุยอีกสองสามประโยคก็ขอตัวกล่าวลาออกไปจากถ้ำพำนักกลายเป็นสายรุ้งสีฟ้าพุ่งแหวกอากาศไป

ส่วนไป๋กั่วเอ๋อร์หลังจากที่เข้าไปในประตูหินสีเขียว ก็เดินไปตามทางเดินที่ทอดไปยังสวนด้านหลังของถ้ำพำนัก

หลังจากผ่านเขตอาคมต้องห้ามที่แน่นหนามาสองสามชั้น เบื้องหน้าก็เปล่งแสงเจิดจ้า คาดไม่ถึงว่าจะมีทุ่งหญ้าราบเรียบขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น เมฆสีขาวกลางอากาศลอยวนเวียนไปมา ต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ มีไอวิญญาณตลบอบอวล

ส่วนใจกลางของทุ่งหญ้า ทั้งซ้ายและขวาคาดไม่ถึงว่าจะภูเขาขนาดย่อมสูงร้อยจั้งเศษอยู่ฝั่งละลูก

ลูกหนึ่งเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก ลูกหนึ่งเป็นสีเขียวขจี!

ใจกลางของยอดเขาทั้งสองกลับมีหอคอยหยกสีขาวโปร่งแสงอยู่หลังหนึ่ง มีทั้งหมดสามชั้นถูกม่านลำแสงห้าสีปกคลุมเอาไว้

ถ้ำพำนักด้านหลังคาดไม่ถึงว่าจะถูกคนใช้พลังปราณมหาศาลสร้างโลกใบเล็กๆ ที่ดูเหมือนอยู่ในภูเขาโดดๆ เอาไว้ ดูแล้วไม่ต่างจากโลกภายนอกเลยสักนิด

ทว่ายามนี้บนยอดเขาทั้งสองลูกทั้งซ้ายและขวากลับมีเงาร่างคนนั่งสมาธิอยู่

คนหนึ่งสูงสองจั้งผิวสีเขียวมรกต เปล่งแสงสีม่วงออกมาไม่หยุด คนหนึ่งกลับมีผิวสีทองเรืองรอง ปากพ่นไอสีดำออกมาโคจรรอบกาย

มองจากไกลๆ ทั้งสองมีหน้าตาคล้ายคลึงกับหานลี่มาก และสองตาก็กำลังปิดสนิท ท่าทางกำลังอยู่ในภวังค์สมาธิ

ทว่าเมื่อไป๋กั่วเอ๋อร์เดินเข้ามาในสวน ‘หานลี่’ ที่กำลังพ่นไอสีดำออกมาก็หน้าเปลี่ยนสี แล้วลืมตาทั้งสองข้างขึ้นช้าๆ

ชั่วพริบตาสายตาสดใสสองสายก็กวาดมาที่หญิงสาวสวมชุดสีเงิน

“คารวะท่านอาจารย์ ศิษย์เดินทางราบรื่น นำของกลับมาได้อย่างปลอดภัย” ไป๋กั่วเอ๋อร์เห็นเงาร่างนี้ ก็คารวะเงาร่างคนสีทองด้วยท่าทีนอบน้อมขณะเอ่ย จากนั้นมือหนึ่งก็พลิกฝ่ามือหยิบกล่องไม้สีม่วงออกมา ส่งให้ด้วยมือทั้งสองมือทันที

“ลำบากเจ้าแล้ว กั่วเอ๋อร์! ข้าจะดูของหน่อยว่ามีประโยชน์หรือไม่” เงาร่างคนสีทองหัวเราะน้อยๆ ออกมา และเอ่ยอย่างใจดี น้ำเสียงเหมือนกับหานลี่อย่างไรอย่างนั้น

จากนั้นเงาร่างสีทองก็ใช้มือหนึ่งกวักไปทางไป๋กั่วเอ๋อร์!

ครู่ต่อมากล่องไม้สีม่วงก็ส่งเสียง “สวบ” พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ ถูกเงาสีทองดูดเข้ามาอยู่ในมือ

มือหนึ่งปัดไปทางกล่องไม้ ชั่วขณะนั้นฝากล่องพลันเปิดออกโดยทันที

ด้านในคาดไม่ถึงว่าจะมีแก่นปีศาจสีดำเขียวอยู่สองสามลูก ทุกลูกล้วนมีขนาดเท่าไข่ไก่ และแผ่กลิ่นคาวประหลาดๆ ออกมา ทำให้ผู้คนได้กลิ่นแล้วรู้สึกคลื่นไส้

มองแก่นปีศาจประหลาดๆ เหล่านี้ เงาร่างคนสีทองกลับพยักหน้าอย่างพึงพอใจมาก ปิดฝากล่องแล้วเอ่ยกับไป๋กั่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านล่างด้วยรอยยิ้มบางๆ

“กั่วเอ๋อร์ ทำได้ไม่เลว ของเหล่านี้มีประโยชน์กับข้าจริงๆ จนถึงยามนี้วัตถุดิบทางฝั่งเผ่าปีศาจ ก็น่าจะนับได้ว่ารวบรวมได้ครบแล้ว! วันข้างหน้าข้าจะเก็บทารกวิญญาณที่สอง และกระตุ้นเขตอาคมปิดผนึกที่นี่ ตัดขาดจากโลกภายนอก ขอแค่พวกเจ้าไม่พบกับอันตรายถึงชีวิตหรือเคราะห์มารปะทุล่วงหน้าก็อย่ารบกวนข้า จากนี้อีกหนึ่งถึงสองร้อยปีเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในการฝึกฝนของข้า ห้ามขาดสมาธิเด็ดขาด อีกอย่างข้าจะมอบยาลูกกลอนและศิลาวิญญาณที่พวกเจ้าต้องใช้ในการฝึกฝนไว้กับท่านอาจารย์อาน้ำแข็งสวรรค์ของพวกเจ้า วันข้างหน้าหากต้องใช้ก็ให้มาขอที่นาง หึๆ หวังว่ายามที่ท่านอาจารย์ออกจากการกักตน จะได้เห็นพวกเจ้าศิษย์พี่ศิษย์น้องบรรลุระดับอีกขั้น”

“อันใด ท่านอาจารย์จะกักตนปิดตาย ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์จะกักตนนานเท่าไหร่” ไป๋กั่วเอ๋อร์ได้ยินคำพูดของเงาร่างสีทอง ชั่วขณะนั้นพลันเอ่ยถามด้วยเสียงตกตะลึง

“พูดยาก สั้นหน่อยก็ยี่สิบสามสิบปี ยาวหน่อยก็สองสามร้อยปีกระมัง!” เงาร่างสีเหลืองขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ

“เช่นนั้นกั่วเอ๋อร์ก็ทำได้เพียงน้อมส่งท่านอาจารย์แล้ว หวังว่ายามที่ท่านอาจารย์ออกจากการกักตนจะเป็นวันที่พลังยุทธ์เพิ่มขึ้น!” ไป๋กั่วเอ๋อร์มีสีหน้าอาลัยอาวรณ์ แต่ก็รู้ว่าหานลี่ตัดสินใจแล้ว จึงทำได้เพียงก้มหน้าคารวะอีกครั้งขณะเอ่ย

“ฮ่าๆ ขอยืมคำอวยพรของกั่วเอ๋อร์ หวังว่าถึงยามนั้นจะเป็นเช่นนั้น”

เสียงหัวเราะครั้งนี้ ไม่ได้ออกมาจากเงาร่างสีทอง แต่ดังออกมาจากด้านในหอคอยหยกที่มีม่านลำแสงห้าสีปกคลุมอยู่

จากนั้นเงาร่างคนที่นั่งอยู่บนยอดเขาทั้งสองลูกก็ยืนขึ้น และร่ายอาคมพร้อมกัน พลางรางเลือนและสลายหายไป

ครู่ต่อมายอดเขาสองลูกก็เกิดเสียงอึกทึกขึ้น เขตอาคมขนาดยักษ์ทั้งสองปรากฏขึ้นกลางอากาศ และแผ่ออกไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านอย่างรวดเร็ว

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ทั้งท้องหญ้าก็ถูกม่านลำแสงของเขตอาคมปกคลุม เกิดเป็นลำแสงวิญญาณห้าสี

ทุกอย่างเริ่มบิดเบี้ยวผิดรูป สุดท้ายลำแสงก็หม่นลง กลายเป็นทะเลหมอกห้าสี ปกคลุมทุกอย่างเอาไว้ข้างใน

ยามนี้ไป๋กั่วเอ๋อร์พลันถอยออกมาจากทุ่งหญ้าก้าวหนึ่ง และมองทะเลหมอกด้วยท่าทีตกตะลึงไม่ปริปาก

หลังจากผ่านไปนานเท่าไหร่ก็สุดจะรู้ได้ หญิงสาวสวมชุดสีเงินถึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วหันกายเดินไปจากที่นี่

แทบจะในเวลาเดียวกัน ตรงชั้นหนึ่งของหอคอยหยกสีขาวในทะเลหมอกห้าสี หานลี่นั่งสมาธิอยู่บนฟูกสีเหลืองอ่อน ดวงตาทั้งสองหรี่ลงขณะมองหม้อใบยักษ์สีทองเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามจั้งสูงประมาณสองสามจั้งตรงหน้า

เปลวเพลิงสีเงินด้านล่างหม้อล้อมรอบหม้อใบยักษ์เอาไว้อย่างรุนแรง ในเวลาเดียวกันกลิ่นคละคลุ้งก็โชยมาจากด้านในหม้อ

หากมองลงไปจากด้านบนก็จะพบของเหลวลึกลับที่เดือดพล่านอยู่ภายในหม้อใบยักษ์ ไม่เพียงจะมีห้าสี และยิ่งไปกว่านั้นฟองน้ำฟ้าสีที่ทะลักออกมาจากในหม้อ ก็ปริแตกไม่หยุด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+