A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1858 วานรเปลวสีทอง

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1858 วานรเปลวสีทอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“นี่คือที่พักของอาวุโสท่านนี้ ดูเหมือนจะเป็นเอกลักษณ์มาก!” หานลี่มองเกาะสีทองเรืองรอง แล้วมีท่าทีตกตะลึงเล็กๆ

“หึๆ นี่เป็นแค่ความชอบเล็กๆ เท่านั้น ยามที่สหายน้อยหานพบเขา ย่อมรู้เหตุผล” ชิงหยวนจื่อมุมปากกระตุก แล้วเผยท่าทีแปลกประหลาดออกมาขณะเอ่ย

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ชนรุ่นหลังเองก็สนใจแล้ว!” หานลี่ได้ฟัง ก็อดที่จะเผยท่าทีขบคิดออกมาไม่ได้

ส่วนชิงหยวนจื่อในยามนี้ กลับสะบัดแขนเสื้อไปทางม่านลำแสงสีขาวตรงหน้าเบาๆ

ชั่วขณะนั้นหมอกสีทองก็ทะลักออกมา หมุนเคว้งอยู่ตรงหน้า แล้วกลายเป็นกระบี่ยักษ์สีทองความยาวสิบจั้งเศษเล่มหนึ่งได้อย่างง่ายดายแล้วตวัดลงมาที่ม่านลำแสงตรงหน้าอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

เสียง “ตูม” ดังขึ้น!

ม่านลำแสงสีขาวมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ผิวเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด ท่าทางเหมือนจะพังทลาย

และแทบจะในเวลาเดียวกันที่ม่านลำแสงเกิดความเปลี่ยนแปลง บนเกาะก็มีเสียงคำรามด้วยความตกตะลึงระคนโกรธขึ้งดังมาสองสามครั้ง

“ผู้ใดบังอาจนัก มาโจมตีเกาะเปลวสีทองของข้า!”

“ไม่ทราบว่าใต้เท้าจินเยี่ยนอยู่หรือไม่?”

……

ชั่วพริบตานั้นในม่านลำแสงก็มีเงาร่างคนสว่างวาบ ลำแสงหลีกหนีสองสามสายพุ่งออกมา กะพริบวาบๆ ผู้คุ้มกันชุดสวมเกราะสีทองสี่คนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าชิงหยวนจื่อและพวกทั้งสอง และใช้สายตาโกรธเกรี้ยวมองมา

“เอ๋ เป็นใต้เท้าชิง!”

แต่หลังจากที่มองเห็นใบหน้าของชิงหยวนจื่อ ผู้คุ้มกันชุดเกราะสีทองสี่คนกลับอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ แล้วคารวะอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องขบคิด

เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้รู้จักชิงหยวนจื่อ และไม่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวเหมือนก่อนหน้า

สายตาของหานลี่แค่กวาดมองเรือนร่างของนักรบชุดเกราะหยาบๆ สี่คน แล้วมองเห็นทั้งสี่คนล้วนมีพลังยุทธ์ในระดับหลอมสุญตา แต่ในร่างกลับมีกลิ่นอายดุร้ายแผ่ออกมาจางๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดา

“จินเยี่ยนโหว ผู้แซ่เจียงมีธุระจึงมาเยี่ยมเยียน ยังไม่ออกมาพบหน้าอีก” ชิงหยวนจื่อกลับไม่สนใจผู้คุ้มกันชุดเกราะสีทองทั้งสี่คน แต่ตะโกนไปทางตำหนักสีทอง

และไม่รู้ว่าชิงหยวนจื่อใช้เคล็ดวิชาลับอันใด แม้ว่าน้ำเสียงจะไม่ดังนัก แต่กลับสะท้อนไปมาภายในเกาะทันที

เสียงอึกทึกดังขึ้น ทั่วทุกมุมของเกาะล้วนได้ยินเสียงนี้

“ชิงหยวนจื่อ ในเมื่อเจ้ามาแล้วก็เข้ามาเถิด หรือว่าต้องให้ข้าออกไปต้อนรับ?” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ก็มีเสียงบุรุษราบเรียบดังออกมาจากตำหนักสีทอง แม้ว่าจะอยู่ห่างกัน แต่เมื่อเข้าโสตของหานลี่ กลับชัดเจนนัก

“หึๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ตาเฒ่าก็ไม่เกรงใจแล้ว! พวกเจ้านำทางเถิด!” ชิงหยวนจื่อได้ฟัง ก็ฉีกยิ้มน้อยๆ แล้วออกคำสั่งกับนักรบชุดเกราะทั้งสี่

“ขอรับ เชิญท่านอาวุโสตามชนรุ่นหลังมาได้เลยขอรับ!” ผู้คุ้มกันชุดเกราะสีทองทั้งสี่ได้ยินเสียงถ่ายทอดเสียงของคนในตำหนักก็รู้สึกผ่อนคลายลง หนึ่งในนั้นจึงตอบด้วยความนอบน้อม

ดังนั้นหานลี่และชิงหยวนจื่อจึงผ่านม่านลำแสงตรงไปยังตำหนักบนเกาะโดยมีผู้คุ้มกันชุดเกราะสี่คนเป็นผู้นำทาง

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ชิงหยวนจื่อก็นั่งอยู่ในห้องโถงกว้างใหญ่ด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย

หานลี่พลันนั่งลงด้านข้างอย่างนอบน้อม

ตำแหน่งหลักของห้องโถง มีบุรุษวัยกลางคนสวมรัดเกล้าสีทอง และชุดคลุมสีทองนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าราบเรียบ

“สหายเจียง คาดไม่ถึงว่าสหายผู้นี้จะมีพลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง หรือว่าเจ้าใกล้จะถึงจุดจบแล้ว เลยรับศิษย์เพื่อถ่ายทอดวิชา? อายุน้อยก็พัฒนามาอยู่ในระดับนี้ได้ ก็เพียงพอจะรับการสืบทอดจากเจ้าแล้ว ทว่าครั้งที่แล้วที่เจอกัน ฟังดูแล้ว ดูเหมือนเจ้าจะรับศิษย์หญิงคนหนึ่ง!” ผู้สวมรัดเกล้าสีทองเอ่ยปาก

คนผู้นี้มีสีหน้าขาวผ่อง ไว้เคราสีดำยาวครึ่งฉื่อ ท่าทางสง่างาม

นั่นก็คือสิ่งมีชีวิตระดับมหายานเหมือนกับชิงหยวนจื่อนามว่า ‘จินเยี่ยนโหว’ ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของที่นี่

หานลี่มองคนผู้นี้ไอกระบี่ปกคลุมทั่วร่าง หลังจากที่เปล่งแสงสีทองอย่างไม่ปิดบังออกมา ก็อดที่จะรู้สึกหมดคำพูดไม่ได้ ในที่สุดก็เข้าใจความหมายของชิงหยวนจื่อก่อนหน้านี้แล้ว

“สหายจิน เจ้าเข้าใจผิดแล้ว สหายน้อยหานไม่ใช่ศิษย์ของข้า แต่เป็นสหายเก่าคนหนึ่งเท่านั้น สหายน่าจะจำได้เมื่อสองสามร้อยปีก่อนผู้อ่อนอาวุโสสองสามคนได้พาลูกน้องเข้ามาที่นี่และยังไปสังหารคนของเผ่าแมลงเม่า ข้าก็ได้รู้จักสหายน้อยหานตอนนั้น ส่วนศิษย์ที่ข้ารับไว้ก็กลายเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว แม้ว่าคุณสมบัติอาจจะล้ำเลิศ แต่ยามนี้ก็มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับหลอมสุญตาเท่านั้น” ชิงหยวนจื่อหัวเราะแล้วอธิบายอย่างตรงไปตรงมา

“สองสามร้อยปีก่อน! คือคนนอกที่ล่ออสูรอัสนีที่คิดจะขโมยนมของแม่น้ำยมโลกสินะ! เอ๋ ข้าจำได้ว่าผู้นำสองสามคนนั้นถูกคนของเผ่าแมลงเม่าจับเป็นไปแล้วมิใช่หรือ สหายน้อยหานผู้นี้ทั้งเข้าร่วมและยังโชคดีไม่เป็นอันใดหรือว่าเป็นเพราะสหายลงมือช่วยเหลือ” ผู้สวมรัดเกล้าสีทองได้ยินก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

“แม้ว่าสหายจะพูดไม่ถูกทั้งหมดแต่ก็ถูกต้องอยู่สองสามส่วน ที่สหายน้อยหานออกจากแม่น้ำยมโลกได้ปลอดภัยก็เพราะตาเฒ่าเป็นคนจัดการ ทว่าสหายอย่าเข้าใจผิด สาเหตุที่ทำเช่นนี้ประการแรกก็เพราะสหายน้อยหานเป็นคนเผ่าเดียวกันกับข้า อีกประการหนึ่งก็คือข้าน้อยมีเรื่องที่ต้องให้เขาช่วยจัดการที่โลกภายนอก” ชิงหยวนจื่อเอ่ยอย่างราบเรียบ

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ทว่าสหายชิงไม่มาหาข้าเป็นพันปี ยามนี้มาหาถึงที่แล้วยังพาสหายน้อยในเผ่าเดียวกันมาด้วย คงไม่ใช่แค่มาเยี่ยมสินะ” จินเยี่ยนโหวหรี่ตาทั้งสองข้างพิจารณาหานลี่อย่างละเอียดสองแวบแล้วพลันทำหน้าบึ้ง

“สหายจินเดาถูกแล้วที่ตาเฒ่ามาในครั้งนี้ก็เพราะมีเรื่องหนึ่งต้องปรึกษากับสหาย” หลังจากที่ชิงหยวนจื่อหัวเราะหึๆ ก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา

“หึ ข้ารู้อยู่แล้วแม้ว่าเจ้ากับข้าจะไปมาหาสู่กันบ่อยกว่าคนอื่น แต่ก็ไม่ถึงกับต้องมาเยี่ยมข้าทันทีที่ออกจากการกักตน เรื่องอันใดลองบอกมาก่อนเถิด” จินเยี่ยนโหวเอ่ยด้วยสีหน้าและความรู้สึก

“พี่จินพูดผิดแล้ว ที่ตาเฒ่ามาในครั้งนี้ไม่ได้มาขอความช่วยเหลือสหายแต่อยากทำการแลกเปลี่ยนที่เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่ายเท่านั้น หากสหายไม่พอใจปฏิเสธตาเฒ่า ตาเฒ่าก็จะไม่ฝืนใจ” ชิงหยวนจื่อมีสีหน้าเคร่งขรึมน้ำเสียงไม่พอใจหลายส่วน

“ฮ่าๆ เมื่อครู่แค่ล้อเล่นเท่านั้น จากความสัมพันธ์ของสหายและข้าที่คบค้ากันมาหลายปีขอแค่ไม่ใช่เรื่องที่ลำบากใจ ข้าจะไม่ตอบรับได้อย่างไร” จินเยี่ยนโหวมองลึกเข้าไปในแววตาของชิงหยวนจื่อแล้วฉีกยิ้มเบิกบานอีกครั้ง

“สหายจินกล่าวเช่นนี้ตาเฒ่าก็จะพูดตามตรง จำที่มาเยี่ยมครั้งที่แล้วได้หรือไม่ พี่จินเคยสนใจ ‘ไข่มุกนัยน์ตาทั้งเก้า’ ของข้าน้อยมากและยิ่งไปกว่านั้นยังยอมใช้สมบัติอาคมมาแลกเปลี่ยน แต่เป็นเพราะตอนนั้นผู้แซ่เจียงต้องใช้สมบัติชิ้นนั้นหลอมเช่นกันจึงไม่ได้ตอบรับชั่วคราว ครั้งนี้ตาเฒ่านำไข่มุกนี้มาด้วยอยากจะแลกเปลี่ยนกับสหายไม่ทราบว่าพี่จินจะคิดอย่างไร?” ชิงหยวนจื่อเอ่ยจบก็สะบัดแขนเสื้อไปบนโต๊ะ

ชั่วขณะนั้นลำแสงสีทองพลันเปล่งแสงสว่างวาบกล่องหยกสีเขียวมรกตปรากฏขึ้นตรงนั้น

“ไข่มุกนัยน์ตาทั้งเก้า”

เมื่อได้ยินคำพูดของชิงหยวนจื่อ จินเยี่ยนโหวที่เดิมทีมีสีหน้าราบเรียบรูม่านตาพลันหดเล็กลงสายตาพลันตกอยู่บนกล่องหยกบนโต๊ะ สุดท้ายก็เลื่อนสายตาออกด้วยท่าทางที่ดูเหมือนจะต้องใช้กำลังเป็นอย่างมาก

“สหายเจียงเอาสิ่งนี้ออกมาผู้แซ่จินก็ไม่มีอันใดต้องพูด สหายอยากแลกเปลี่ยนกับสิ่งใด? ขอแค่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ข้าน้อยตัดใจไม่ได้ก็ได้ทั้งนั้น” เห็นได้ชัดว่าจินเยี่ยนโหวให้ความสำคัญกับของที่อยู่ในกล่องมาก เขาแทบจะถามกลับอย่างไม่ต้องขบคิด

หานลี่ที่อยู่ด้านข้างเห็นสถานการณ์เช่นนั้นพลันรู้สึกดีใจ

พอเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็น่าจะมีหวังที่จะเอานมของแม่น้ำยมโลกมาได้

“นมของแม่น้ำยมโลกสามขวดและดินแห่งลมหายใจก้อนหนึ่ง!” ชิงหยวนจื่อเอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา

“เป็นไปไม่ได้! แม้ว่านัยน์ตาทั้งเก้าจะมีประสิทธิภาพในการหลอมอาวุธที่ยอดเยี่ยมแต่หากจะแลกกับของเหล่านี้ทั้งหมดก็มากเกินไป นมของแม่น้ำยมโลกนั้นไม่ต้องพูดถึง ดินแห่งลมหายใจเหล่านั้นแทบจะเป็นวัตถุดิบขั้นสุดยอดในการหลอมอาวุธธาตุดิน หากนำเจ้าสิ่งนี้ไปเทียบกับวัตถุดิบธาตุดินอื่นๆ ก็แทบจะไม่ตกเป็นรองและยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าข้าจะได้ดินชนิดนี้มานิดหน่อยแต่ก็เอาไปใช้หลอมสมบัติป้องกันตัวในยามเคราะห์สวรรค์ครั้งต่อไป ไหนเลยจะเอาไปแลกเปลี่ยนกับคนอื่นง่ายๆ!” ผู้สวมรัดเกล้าสีทองเพิ่งได้ฟังก็สะบัดศีรษะรัวๆ ราวกับตีกลอง

“ที่สหายพูดตาเฒ่าย่อมรู้ดี หากข้ายอมเพิ่มของอีกสามอย่างพี่จินจะคิดเห็นอย่างไร!” ชิงหยวนจื่อไม่แปลกใจกับการปฏิเสธกับจินเยี่ยนโหว ทว่ากลับหัวเราะอย่างมีแผนการ สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง อาวุธประหลาดทรงกรวยสามชิ้นปรากฏขึ้นบนโต๊ะ

ของทั้งสามชิ้นนี้ดูเหมือนหัวหอกก็ไม่ปานมีขนาดเท่ากำปั้นสีทองเรืองรองราวกับหัวหอกสีทองขนาดเล็ก

ภายนอกของอาวุธเหล่านี้มีอักขระประหลาดสีแดงสดสลักอยู่เต็มไปหมดดูลึกลับเป็นอย่างมาก

จินเยี่ยนโหวเห็นทั้งสามสิ่งก็ตกตะลึงไปเล็กน้อยเมื่อพิจารณาอย่างละเอียดก็เหมือนจะมองอันใดออกจึงยกมือขึ้นตะปบออกไป

เสียง “สวบ” ดังขึ้น อาวุธหนึ่งในนั้นพุ่งขึ้นไปกลางอากาศถูกบุรุษสวมรัดเกล้าสีทองดูดเข้ามาในมือจากนั้นก็ก้มหน้าลงพลิกไปพลิกมาพิจารณาอย่างละเอียด

“หรือว่าคือ…”

แทบจะในเวลาเดียวกันหานลี่มองอาวุธสีทองอีกสองชิ้นที่เหลืออยู่บนโต๊ะก็สัมผัสกลิ่นอายที่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่งได้เช่นกันจึงรู้สึกตกตะลึงระคนสงสัย

เมื่อตรวจสอบอาวุธสีทองในมืออยู่ชั่วครู่ใบหน้าของจินเยี่ยนโหวก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

“ข้าไม่มั่นใจนักแต่ดูแล้วน่าจะเป็นอัสนีวัชระสังหารมารในตำนาน!” ในที่สุดจินเยี่ยนโหวก็เงยหน้าขึ้นเอ่ยถามชิงหยวนจื่ออย่างไม่มั่นใจนัก

“ตามีแววยิ่ง! ตอนนั้นตาเฒ่าได้ใบไผ่ของไผ่อัสนีสีทองมา จากนั้นจึงนำไปผสมกับวัตถุดิบธาตุอัสนีอื่นๆ และใช้เวลาสองสามร้อยปีอาศัยพลังของอัสนีสวรรค์หลอมออกมาได้เจ็ดแปดชิ้น ยามนี้ผู้แซ่เจียงเอาออกมาให้ครึ่งหนึ่งก็แสดงได้ถึงความจริงใจของข้าน้อยแล้ว อีกนานกว่าพี่จินจะฟาดเคราะห์สวรรค์ครั้งต่อไปสินะ อัสนีสวรรค์สังหารมารคืออาวุธที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการต่อกรกับมารสวรรค์ที่โลกภายนอกและยามที่เคราะห์สวรรค์และเคราะห์มารจากโลกภายนอกมาถึงก็ไม่อาจต้านทานได้ สมบัติทั่วไปย่อมมีผลต่อพวกมันเพียงเล็กน้อย หากมีอัสนีนี้อยู่กับตัวจะไม่ดีกว่าการหลอมสมบัติป้องกันตัวใดๆ หรือ มันแข็งแกร่งกว่าเป็นร้อยเท่า ข้าน้อยมีหลอมพอ มิเช่นนั้นคงไม่เอาออกมาแลกเปลี่ยน” ชิงหยวนจื่อตอบกลับพร้อมกับอมยิ้ม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1858 วานรเปลวสีทอง

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1858 วานรเปลวสีทอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“นี่คือที่พักของอาวุโสท่านนี้ ดูเหมือนจะเป็นเอกลักษณ์มาก!” หานลี่มองเกาะสีทองเรืองรอง แล้วมีท่าทีตกตะลึงเล็กๆ

“หึๆ นี่เป็นแค่ความชอบเล็กๆ เท่านั้น ยามที่สหายน้อยหานพบเขา ย่อมรู้เหตุผล” ชิงหยวนจื่อมุมปากกระตุก แล้วเผยท่าทีแปลกประหลาดออกมาขณะเอ่ย

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ชนรุ่นหลังเองก็สนใจแล้ว!” หานลี่ได้ฟัง ก็อดที่จะเผยท่าทีขบคิดออกมาไม่ได้

ส่วนชิงหยวนจื่อในยามนี้ กลับสะบัดแขนเสื้อไปทางม่านลำแสงสีขาวตรงหน้าเบาๆ

ชั่วขณะนั้นหมอกสีทองก็ทะลักออกมา หมุนเคว้งอยู่ตรงหน้า แล้วกลายเป็นกระบี่ยักษ์สีทองความยาวสิบจั้งเศษเล่มหนึ่งได้อย่างง่ายดายแล้วตวัดลงมาที่ม่านลำแสงตรงหน้าอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

เสียง “ตูม” ดังขึ้น!

ม่านลำแสงสีขาวมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ผิวเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด ท่าทางเหมือนจะพังทลาย

และแทบจะในเวลาเดียวกันที่ม่านลำแสงเกิดความเปลี่ยนแปลง บนเกาะก็มีเสียงคำรามด้วยความตกตะลึงระคนโกรธขึ้งดังมาสองสามครั้ง

“ผู้ใดบังอาจนัก มาโจมตีเกาะเปลวสีทองของข้า!”

“ไม่ทราบว่าใต้เท้าจินเยี่ยนอยู่หรือไม่?”

……

ชั่วพริบตานั้นในม่านลำแสงก็มีเงาร่างคนสว่างวาบ ลำแสงหลีกหนีสองสามสายพุ่งออกมา กะพริบวาบๆ ผู้คุ้มกันชุดสวมเกราะสีทองสี่คนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าชิงหยวนจื่อและพวกทั้งสอง และใช้สายตาโกรธเกรี้ยวมองมา

“เอ๋ เป็นใต้เท้าชิง!”

แต่หลังจากที่มองเห็นใบหน้าของชิงหยวนจื่อ ผู้คุ้มกันชุดเกราะสีทองสี่คนกลับอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ แล้วคารวะอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องขบคิด

เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้รู้จักชิงหยวนจื่อ และไม่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวเหมือนก่อนหน้า

สายตาของหานลี่แค่กวาดมองเรือนร่างของนักรบชุดเกราะหยาบๆ สี่คน แล้วมองเห็นทั้งสี่คนล้วนมีพลังยุทธ์ในระดับหลอมสุญตา แต่ในร่างกลับมีกลิ่นอายดุร้ายแผ่ออกมาจางๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดา

“จินเยี่ยนโหว ผู้แซ่เจียงมีธุระจึงมาเยี่ยมเยียน ยังไม่ออกมาพบหน้าอีก” ชิงหยวนจื่อกลับไม่สนใจผู้คุ้มกันชุดเกราะสีทองทั้งสี่คน แต่ตะโกนไปทางตำหนักสีทอง

และไม่รู้ว่าชิงหยวนจื่อใช้เคล็ดวิชาลับอันใด แม้ว่าน้ำเสียงจะไม่ดังนัก แต่กลับสะท้อนไปมาภายในเกาะทันที

เสียงอึกทึกดังขึ้น ทั่วทุกมุมของเกาะล้วนได้ยินเสียงนี้

“ชิงหยวนจื่อ ในเมื่อเจ้ามาแล้วก็เข้ามาเถิด หรือว่าต้องให้ข้าออกไปต้อนรับ?” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ก็มีเสียงบุรุษราบเรียบดังออกมาจากตำหนักสีทอง แม้ว่าจะอยู่ห่างกัน แต่เมื่อเข้าโสตของหานลี่ กลับชัดเจนนัก

“หึๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ตาเฒ่าก็ไม่เกรงใจแล้ว! พวกเจ้านำทางเถิด!” ชิงหยวนจื่อได้ฟัง ก็ฉีกยิ้มน้อยๆ แล้วออกคำสั่งกับนักรบชุดเกราะทั้งสี่

“ขอรับ เชิญท่านอาวุโสตามชนรุ่นหลังมาได้เลยขอรับ!” ผู้คุ้มกันชุดเกราะสีทองทั้งสี่ได้ยินเสียงถ่ายทอดเสียงของคนในตำหนักก็รู้สึกผ่อนคลายลง หนึ่งในนั้นจึงตอบด้วยความนอบน้อม

ดังนั้นหานลี่และชิงหยวนจื่อจึงผ่านม่านลำแสงตรงไปยังตำหนักบนเกาะโดยมีผู้คุ้มกันชุดเกราะสี่คนเป็นผู้นำทาง

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ชิงหยวนจื่อก็นั่งอยู่ในห้องโถงกว้างใหญ่ด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย

หานลี่พลันนั่งลงด้านข้างอย่างนอบน้อม

ตำแหน่งหลักของห้องโถง มีบุรุษวัยกลางคนสวมรัดเกล้าสีทอง และชุดคลุมสีทองนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าราบเรียบ

“สหายเจียง คาดไม่ถึงว่าสหายผู้นี้จะมีพลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง หรือว่าเจ้าใกล้จะถึงจุดจบแล้ว เลยรับศิษย์เพื่อถ่ายทอดวิชา? อายุน้อยก็พัฒนามาอยู่ในระดับนี้ได้ ก็เพียงพอจะรับการสืบทอดจากเจ้าแล้ว ทว่าครั้งที่แล้วที่เจอกัน ฟังดูแล้ว ดูเหมือนเจ้าจะรับศิษย์หญิงคนหนึ่ง!” ผู้สวมรัดเกล้าสีทองเอ่ยปาก

คนผู้นี้มีสีหน้าขาวผ่อง ไว้เคราสีดำยาวครึ่งฉื่อ ท่าทางสง่างาม

นั่นก็คือสิ่งมีชีวิตระดับมหายานเหมือนกับชิงหยวนจื่อนามว่า ‘จินเยี่ยนโหว’ ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของที่นี่

หานลี่มองคนผู้นี้ไอกระบี่ปกคลุมทั่วร่าง หลังจากที่เปล่งแสงสีทองอย่างไม่ปิดบังออกมา ก็อดที่จะรู้สึกหมดคำพูดไม่ได้ ในที่สุดก็เข้าใจความหมายของชิงหยวนจื่อก่อนหน้านี้แล้ว

“สหายจิน เจ้าเข้าใจผิดแล้ว สหายน้อยหานไม่ใช่ศิษย์ของข้า แต่เป็นสหายเก่าคนหนึ่งเท่านั้น สหายน่าจะจำได้เมื่อสองสามร้อยปีก่อนผู้อ่อนอาวุโสสองสามคนได้พาลูกน้องเข้ามาที่นี่และยังไปสังหารคนของเผ่าแมลงเม่า ข้าก็ได้รู้จักสหายน้อยหานตอนนั้น ส่วนศิษย์ที่ข้ารับไว้ก็กลายเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว แม้ว่าคุณสมบัติอาจจะล้ำเลิศ แต่ยามนี้ก็มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับหลอมสุญตาเท่านั้น” ชิงหยวนจื่อหัวเราะแล้วอธิบายอย่างตรงไปตรงมา

“สองสามร้อยปีก่อน! คือคนนอกที่ล่ออสูรอัสนีที่คิดจะขโมยนมของแม่น้ำยมโลกสินะ! เอ๋ ข้าจำได้ว่าผู้นำสองสามคนนั้นถูกคนของเผ่าแมลงเม่าจับเป็นไปแล้วมิใช่หรือ สหายน้อยหานผู้นี้ทั้งเข้าร่วมและยังโชคดีไม่เป็นอันใดหรือว่าเป็นเพราะสหายลงมือช่วยเหลือ” ผู้สวมรัดเกล้าสีทองได้ยินก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

“แม้ว่าสหายจะพูดไม่ถูกทั้งหมดแต่ก็ถูกต้องอยู่สองสามส่วน ที่สหายน้อยหานออกจากแม่น้ำยมโลกได้ปลอดภัยก็เพราะตาเฒ่าเป็นคนจัดการ ทว่าสหายอย่าเข้าใจผิด สาเหตุที่ทำเช่นนี้ประการแรกก็เพราะสหายน้อยหานเป็นคนเผ่าเดียวกันกับข้า อีกประการหนึ่งก็คือข้าน้อยมีเรื่องที่ต้องให้เขาช่วยจัดการที่โลกภายนอก” ชิงหยวนจื่อเอ่ยอย่างราบเรียบ

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ทว่าสหายชิงไม่มาหาข้าเป็นพันปี ยามนี้มาหาถึงที่แล้วยังพาสหายน้อยในเผ่าเดียวกันมาด้วย คงไม่ใช่แค่มาเยี่ยมสินะ” จินเยี่ยนโหวหรี่ตาทั้งสองข้างพิจารณาหานลี่อย่างละเอียดสองแวบแล้วพลันทำหน้าบึ้ง

“สหายจินเดาถูกแล้วที่ตาเฒ่ามาในครั้งนี้ก็เพราะมีเรื่องหนึ่งต้องปรึกษากับสหาย” หลังจากที่ชิงหยวนจื่อหัวเราะหึๆ ก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา

“หึ ข้ารู้อยู่แล้วแม้ว่าเจ้ากับข้าจะไปมาหาสู่กันบ่อยกว่าคนอื่น แต่ก็ไม่ถึงกับต้องมาเยี่ยมข้าทันทีที่ออกจากการกักตน เรื่องอันใดลองบอกมาก่อนเถิด” จินเยี่ยนโหวเอ่ยด้วยสีหน้าและความรู้สึก

“พี่จินพูดผิดแล้ว ที่ตาเฒ่ามาในครั้งนี้ไม่ได้มาขอความช่วยเหลือสหายแต่อยากทำการแลกเปลี่ยนที่เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่ายเท่านั้น หากสหายไม่พอใจปฏิเสธตาเฒ่า ตาเฒ่าก็จะไม่ฝืนใจ” ชิงหยวนจื่อมีสีหน้าเคร่งขรึมน้ำเสียงไม่พอใจหลายส่วน

“ฮ่าๆ เมื่อครู่แค่ล้อเล่นเท่านั้น จากความสัมพันธ์ของสหายและข้าที่คบค้ากันมาหลายปีขอแค่ไม่ใช่เรื่องที่ลำบากใจ ข้าจะไม่ตอบรับได้อย่างไร” จินเยี่ยนโหวมองลึกเข้าไปในแววตาของชิงหยวนจื่อแล้วฉีกยิ้มเบิกบานอีกครั้ง

“สหายจินกล่าวเช่นนี้ตาเฒ่าก็จะพูดตามตรง จำที่มาเยี่ยมครั้งที่แล้วได้หรือไม่ พี่จินเคยสนใจ ‘ไข่มุกนัยน์ตาทั้งเก้า’ ของข้าน้อยมากและยิ่งไปกว่านั้นยังยอมใช้สมบัติอาคมมาแลกเปลี่ยน แต่เป็นเพราะตอนนั้นผู้แซ่เจียงต้องใช้สมบัติชิ้นนั้นหลอมเช่นกันจึงไม่ได้ตอบรับชั่วคราว ครั้งนี้ตาเฒ่านำไข่มุกนี้มาด้วยอยากจะแลกเปลี่ยนกับสหายไม่ทราบว่าพี่จินจะคิดอย่างไร?” ชิงหยวนจื่อเอ่ยจบก็สะบัดแขนเสื้อไปบนโต๊ะ

ชั่วขณะนั้นลำแสงสีทองพลันเปล่งแสงสว่างวาบกล่องหยกสีเขียวมรกตปรากฏขึ้นตรงนั้น

“ไข่มุกนัยน์ตาทั้งเก้า”

เมื่อได้ยินคำพูดของชิงหยวนจื่อ จินเยี่ยนโหวที่เดิมทีมีสีหน้าราบเรียบรูม่านตาพลันหดเล็กลงสายตาพลันตกอยู่บนกล่องหยกบนโต๊ะ สุดท้ายก็เลื่อนสายตาออกด้วยท่าทางที่ดูเหมือนจะต้องใช้กำลังเป็นอย่างมาก

“สหายเจียงเอาสิ่งนี้ออกมาผู้แซ่จินก็ไม่มีอันใดต้องพูด สหายอยากแลกเปลี่ยนกับสิ่งใด? ขอแค่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ข้าน้อยตัดใจไม่ได้ก็ได้ทั้งนั้น” เห็นได้ชัดว่าจินเยี่ยนโหวให้ความสำคัญกับของที่อยู่ในกล่องมาก เขาแทบจะถามกลับอย่างไม่ต้องขบคิด

หานลี่ที่อยู่ด้านข้างเห็นสถานการณ์เช่นนั้นพลันรู้สึกดีใจ

พอเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็น่าจะมีหวังที่จะเอานมของแม่น้ำยมโลกมาได้

“นมของแม่น้ำยมโลกสามขวดและดินแห่งลมหายใจก้อนหนึ่ง!” ชิงหยวนจื่อเอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา

“เป็นไปไม่ได้! แม้ว่านัยน์ตาทั้งเก้าจะมีประสิทธิภาพในการหลอมอาวุธที่ยอดเยี่ยมแต่หากจะแลกกับของเหล่านี้ทั้งหมดก็มากเกินไป นมของแม่น้ำยมโลกนั้นไม่ต้องพูดถึง ดินแห่งลมหายใจเหล่านั้นแทบจะเป็นวัตถุดิบขั้นสุดยอดในการหลอมอาวุธธาตุดิน หากนำเจ้าสิ่งนี้ไปเทียบกับวัตถุดิบธาตุดินอื่นๆ ก็แทบจะไม่ตกเป็นรองและยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าข้าจะได้ดินชนิดนี้มานิดหน่อยแต่ก็เอาไปใช้หลอมสมบัติป้องกันตัวในยามเคราะห์สวรรค์ครั้งต่อไป ไหนเลยจะเอาไปแลกเปลี่ยนกับคนอื่นง่ายๆ!” ผู้สวมรัดเกล้าสีทองเพิ่งได้ฟังก็สะบัดศีรษะรัวๆ ราวกับตีกลอง

“ที่สหายพูดตาเฒ่าย่อมรู้ดี หากข้ายอมเพิ่มของอีกสามอย่างพี่จินจะคิดเห็นอย่างไร!” ชิงหยวนจื่อไม่แปลกใจกับการปฏิเสธกับจินเยี่ยนโหว ทว่ากลับหัวเราะอย่างมีแผนการ สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง อาวุธประหลาดทรงกรวยสามชิ้นปรากฏขึ้นบนโต๊ะ

ของทั้งสามชิ้นนี้ดูเหมือนหัวหอกก็ไม่ปานมีขนาดเท่ากำปั้นสีทองเรืองรองราวกับหัวหอกสีทองขนาดเล็ก

ภายนอกของอาวุธเหล่านี้มีอักขระประหลาดสีแดงสดสลักอยู่เต็มไปหมดดูลึกลับเป็นอย่างมาก

จินเยี่ยนโหวเห็นทั้งสามสิ่งก็ตกตะลึงไปเล็กน้อยเมื่อพิจารณาอย่างละเอียดก็เหมือนจะมองอันใดออกจึงยกมือขึ้นตะปบออกไป

เสียง “สวบ” ดังขึ้น อาวุธหนึ่งในนั้นพุ่งขึ้นไปกลางอากาศถูกบุรุษสวมรัดเกล้าสีทองดูดเข้ามาในมือจากนั้นก็ก้มหน้าลงพลิกไปพลิกมาพิจารณาอย่างละเอียด

“หรือว่าคือ…”

แทบจะในเวลาเดียวกันหานลี่มองอาวุธสีทองอีกสองชิ้นที่เหลืออยู่บนโต๊ะก็สัมผัสกลิ่นอายที่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่งได้เช่นกันจึงรู้สึกตกตะลึงระคนสงสัย

เมื่อตรวจสอบอาวุธสีทองในมืออยู่ชั่วครู่ใบหน้าของจินเยี่ยนโหวก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

“ข้าไม่มั่นใจนักแต่ดูแล้วน่าจะเป็นอัสนีวัชระสังหารมารในตำนาน!” ในที่สุดจินเยี่ยนโหวก็เงยหน้าขึ้นเอ่ยถามชิงหยวนจื่ออย่างไม่มั่นใจนัก

“ตามีแววยิ่ง! ตอนนั้นตาเฒ่าได้ใบไผ่ของไผ่อัสนีสีทองมา จากนั้นจึงนำไปผสมกับวัตถุดิบธาตุอัสนีอื่นๆ และใช้เวลาสองสามร้อยปีอาศัยพลังของอัสนีสวรรค์หลอมออกมาได้เจ็ดแปดชิ้น ยามนี้ผู้แซ่เจียงเอาออกมาให้ครึ่งหนึ่งก็แสดงได้ถึงความจริงใจของข้าน้อยแล้ว อีกนานกว่าพี่จินจะฟาดเคราะห์สวรรค์ครั้งต่อไปสินะ อัสนีสวรรค์สังหารมารคืออาวุธที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการต่อกรกับมารสวรรค์ที่โลกภายนอกและยามที่เคราะห์สวรรค์และเคราะห์มารจากโลกภายนอกมาถึงก็ไม่อาจต้านทานได้ สมบัติทั่วไปย่อมมีผลต่อพวกมันเพียงเล็กน้อย หากมีอัสนีนี้อยู่กับตัวจะไม่ดีกว่าการหลอมสมบัติป้องกันตัวใดๆ หรือ มันแข็งแกร่งกว่าเป็นร้อยเท่า ข้าน้อยมีหลอมพอ มิเช่นนั้นคงไม่เอาออกมาแลกเปลี่ยน” ชิงหยวนจื่อตอบกลับพร้อมกับอมยิ้ม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+