A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1923 คำถาม

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1923 คำถาม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในยามที่อรหันต์ชิงหลงพาศิษย์ยอดฝีมือของสำนักแอบใช้เขตอาคมส่งตัวลับออกจากเมืองอี่เทียน แอบเข้าไปในเมืองเทวะสวรรค์สองสามคืน หานลี่กลับตกอยู่ในอันตรายที่พบเห็นได้น้อยมากตั้งแต่เข้ามาในแดนวิญญาณ

สัมผัสได้ถึงเขตอาคมที่ใช้กักศัตรูชั่วคราว ยันต์เกราะปราณและยันต์เก้าวิมานสวรรค์สูญเสียประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความตกตะลึงของเขาก็รู้สึกจิตใจหนักอึ้ง

แม้ว่าหานลี่จะไม่ได้หวังว่าวิธีการเหล่านี้จะควบคุมและเอาชนะศัตรูได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่อาจขวางกั้นร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงได้เลยสักนิด

และยิ่งไปกว่านั้นชั่วพริบตาที่เขตอาคมและสมบัติยันต์วิเศษเพิ่งจะปล่อยออกไป ก็ถูกทำลาย

อิทธิฤทธิ์ที่มหัศจรรย์เช่นนี้ หานลี่เองก็ไม่อาจทำถึงขั้นนั้นได้

นั่นก็หมายความว่าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงที่ไล่ตามอยู่ด้านหลังพละกำลังเหนือกว่าเขาจริงๆ ต่อให้ใช้เครื่องมือสังหารสองสามชนิด อัตราการเอาชนะเขาได้ก็มีไม่ถึงห้าส่วน

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หานลี่จะยอมสู้กับอีกฝ่ายได้อย่างไร

ถึงอย่างไรเสียหากเขาล้มเหลวในการต่อสู้ ก็ต้องเพลี่ยงพล้ำไปจริงๆ  แต่หากโชคดีสังหารอีกฝ่ายได้ ก็แค่ทำให้ร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงเสียหายไปเท่านั้น

การค้าขายที่ขาดทุนเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีทางทำ

ดังนั้นเมื่อตรวจสอบเล็กน้อย หลังจากที่รู้ว่าพละกำลังของผู้ที่ตามมาอยู่ด้านหลังแข็งแกร่งกว่าที่ตนคิดไว้มาก ทันใดนั้นก็ล้มเลิกความคิดอื่น เริ่มขบคิดวิธีการหนีอย่างจริงจัง

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าร่างแยกของอีกฝ่ายมีขอบเขตการตรึงตำแหน่งกว้างแค่ไหน แต่จากความน่ากลัวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายาน นอกเสียจากเขาจะบินหนีไปได้ภายในรวดเดียวแสนลี้ มิเช่นนั้นคงไม่อาจสลัดการไล่ล่าเป้าหมายของอีกฝ่ายได้

แต่ระยะห่างเช่นนี้ นอกเสียจากความเร็วของทั้งสองจะแตกต่างกันมาก มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางทำได้ง่ายๆ

เขาที่กลายเป็นวิหคยักษ์พุ่งออกไปไม่หยุด ในหัวมีความคิดต่างๆ ทยอยกันผุดขึ้นมา พลางขบคิดไม่หยุด

หานลี่ย่อมไม่รู้ว่าชายหนุ่มที่มีกลิ่นคาวเลือดซึ่งไล่ตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่ลดละก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน!

สำเภาลำเล็กสีโลหิตที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาคือสมบัติเหาะเหินที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในแดนมาร ภายใต้การกระตุ้นเต็มอัตรา แม้กระทั่งเหนือกว่าความเร็วของผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานเท่าหนึ่ง

แม้ว่ายามนี้จะเป็นเพราะร่างแยกจึงไม่อาจกระตุ้นความเร็วของสำเภาน้อยทั้งหมดได้ แต่เปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ธรรมดาๆ ย่อมไม่อาจเทียบกับความเร็วในยามนี้ได้

และพวกเขาควบคุมสมบัติชิ้นนี้เต็มกำลังไล่ตามมาเป็นระยะเวลานาน กลับไม่ได้ทิ้งระยะห่างไปเท่าใดนัก ในใจพลันรู้สึกจนปัญญา!

โชคดีที่พวกเขามีสามคน จึงสามารถผลัดกันกระตุ้นสำเภาสีโลหิตได้ จึงไม่ต้องกลัวว่าหานลี่จะสลัดทิ้งไปเพราะลมปราณหมด ดังนั้นแม้ว่าทั้งสามคนจะรู้สึกกลัดกลุ้มแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีร้อนรน

แต่สำหรับหานลี่แล้วย่อมไม่อาจเสียเวลากับอีกฝ่ายต่อได้

แม้ว่าเขาจะมีร่างวิญญาณและเทวรูปร่างทองคอยช่วยเหลือ แต่มีเพียงแปลงกลายเป็นวิหคยักษ์แล้วถึงจะรักษาระยะห่างเช่นนี้ได้

และการใช้สมุนไพรวิญญาณนมวิญญาณหมื่นปีฟื้นฟูพลังปราณในพริบตานั้น สำหรับพวกเขาที่มีพลังปราณมหาศาลย่อมมีผลไม่มากนักตั้งนานแล้ว

จากพลังปราณของเขาหากรักษาสภาพการแปลงกลายบินไปเต็มอัตราเช่นนี้ แม้ว่าจะกินยาลูกกลอนไม่หยุด และใช้ศิลาวิญญาณระดับสูงฟื้นฟูพลันปราณไปพร้อมๆ กัน มากสุดก็ยืนหยัดไปได้แค่ห้าหกวันเท่านั้น

ดังนั้นในเวลาเดียวกันที่หานลี่กำลังขบคิดอย่างหนักนั้น ในใจพลันรู้สึกร้อนใจขึ้นมา

“ช้าก่อน บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงผู้นี้ไล่สังหารเช่นนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะป้อมผนึกมารชิ้นนั้น หากยอมทิ้งสมบัติชิ้นนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีวิธีดึงระยะห่างจากร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงด้านหลังได้!” ในที่สุดหัวใจของหานลี่ก็เปล่งแสงสว่างจ้า พลันรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมา

“ในที่สุดหัวใจของหานลี่ก็เปล่งแสงสว่างจ้า แต่สมบัติชิ้นนี้เป็นสมบัติสวรรค์ทมิฬที่ยังหลอมไม่เสร็จ และยิ่งไปกว่านั้นหากคำพูดของเชอฉีกงที่ติดอยู่ในนั้นไม่ผิดจริงๆ ไอหยินหยางที่อยู่ด้านในก็มีประโยชน์กับตนเป็นอย่างมาก หากทิ้งไปง่ายๆ เช่นนี้ จะยินยอมได้อย่างไร” หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว แต่กลับรู้สึกเสียดายทันใด

แม้ว่าเมื่อเทียบชีวิตน้อยๆ กับสมบัติ แน่นอนว่าชีวิตย่อมสำคัญที่สุด แต่ยามนี้ยังไม่เข้าตาจน จะปล่อยสมบัติชิ้นนี้ไปง่ายๆ ได้อย่างไร

หานลี่พลันมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส พลางขบคิดในใจ

ฉับพลันนั้นแววตาของเขาพลันฉายแววเย็นชา พลันนึกอันใดขึ้นมาได้

ทันใดนั้นในร่างของวิหคยักษ์พลันมีความคิดเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะมีทารกวิญญาณที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วสีทองและสีดำปรากฏขึ้น

ทารกวิญญาณสีทองดูเหมือนจะเปล่งแสงสีทองระยิบระยับ แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดจะพบว่าบางครั้งจะมีลำแสงสีเขียวอ่อนไหลวนโคจรไปมา ลำแสงที่คุ้มครองร่างอยู่ดูเหมือนจะเป็นสองสีได้ตลอดเวลา

ส่วนทารกวิญญาณสีดำพลันมีสีหน้าเย็นชา รอบกายเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก เรือนร่างมีไอมารเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง

ทันใดนั้นก็เห็นทารกวิญญาณสีทองอ้าปากออกพ่นไข่มุกทรงกลมห้าสีสิบกว่าเม็ดออกมา หมอกลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ วนล้อมรอบทารกวิญญาณสีทอง ไม่หยุด

ส่วนทารกวิญญาณสีดำกลับก้มหน้าลงสองมือร่ายอาคม และบริกรรมคาถาไม่หยุด

ไข่มุกทรงกลมห้าสีกลายเป็นดวงตาห้าสี และเปล่งแสงเจิดจ้าปล่อยเสาขนาดความหนาเท่าๆ นิ้วออกมา เปล่งแสงสว่างวาบพลางจมหายเข้าไปในทารกวิญญาณสีดำ

ทารกวิญญาณสีทองเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ดวงตาทั้งสองข้างพลันเปล่งประกาย ฝ่ามือเล็กๆ อ้วนๆ ตะปบออกไปกลางอากาศ

เสียงเพรียกอันไพเราะดังขึ้น ‘อิฐทอง’ สีทองเรืองรองปรากฏขึ้น

นิ้วของทารกวิญญาณสีทองชี้ไปที่อิฐสีทองเบาๆ

ชั่วขณะนั้นเสียง “เปรี๊ยะๆ” พลันดังขึ้น สายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ สายฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนทยอยกันปริแตกเป็นเสี่ยงๆ ตรงผิวของอิฐสีทอง

ชั่วพริบตาอักขระยันต์สีทองเงินที่ถูกเหลี่ยมเอาไว้บนผิวกล่องไม้สีขาวก็เผยออกมา

นั่นก็คือ ‘ป้อมผนึกมาร’ ที่ถูกหานลี่เก็บเอาไว้

ภายใต้การผนึกสมบัติชิ้นนี้อย่างระมัดระวัง เขาก็ไม่ได้พบปัญหาใดๆ

เมื่อเห็นป้อมผนึกมารเผยออกมา

ร่างของทารกวิญญาณสีดำพลันสั่นเทา แล้วกลายเป็นเงาลวงตาจางๆ สายหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในกล่องไม้

ครู่ต่อมากลางอากาศเหนือทุ่งหญ้าที่ดูราวกับทะเลสีเขียว เงาลวงตาของหานลี่พลันปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ

“ที่นี่ดังคาด!” แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ กวาดมองไปรอบๆ สองแวบแล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเอง

“อันใด หรือว่าสหายคิดว่าครั้งที่แล้วตาเฒ่าพูดเท็จ? หากสหายทำลายเขตอาคมสองสามชั้นสุดท้ายได้จริงๆ ตาเฒ่าก็จะยอมให้มีคนอยู่เป็นเพื่อนตาแก่อย่างข้า”

สิ้นเสียงบรรยากาศรอบๆ ด้านพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เหนือทุ่งหญ้ามีชายชราสวมชุดคลุมยาวสีเขียวดำปรากฏขึ้น พลางเอ่ยแล้วส่งยิ้มบางๆ ให้หานลี่

“หากไม่ได้เข้าไปข้างใน อาจจะสูญเสียเสี้ยวจิตสัมผัสไปตลอดกาล ข้าน้อยสนใจสิ่งที่อยู่ในป้อมผนึกมารจริงๆ” หานลี่ตอบกลับชายชราที่ปรากฏร่างประหลาดๆ ขึ้นมาอย่างราบเรียบ

“แม้แต่ตาเฒ่ายังติดมาหลายปี เสี้ยวจิตสัมผัสของนายท่านเข้าไปข้างใน แน่นอนว่าย่อมไม่อาจออกมาได้ เอาล่ะ ที่สหายมาในครั้งนี้เพราะคิดเรื่องการร่วมมือที่คุยกันตาเฒ่าครั้งที่แล้วได้แล้วหรือ?” เชอฉีกงหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยเข้าประเด็นหลัก

“ข้าน้อยย่อมสนใจไอพลังหยินหยางอยู่แล้ว! ทว่าผู้แซ่หานมาพบกับสหายในครั้งนี้ กลับไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น มีเรื่องอื่นอยากจะซักถามสหายสักหน่อย” หานลี่เอ่ยพร้อมกับสั่นศีรษะ

“นอกจากป้อมผนึกมารแล้ว ตาเฒ่าไม่อยากคุยเรื่องอื่นแล้ว” ชายชราได้ยินคำนี้ของหานลี่ก็รู้สึกสิ้นหวัง แล้วมีสีหน้าเคร่งขรึม

“อ๋อ หรือว่าแม้แต่เรื่องของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวง ท่านอาวุโสก็ไม่อยากคุยแล้วงั้นหรือ?” หานลี่ไม่ได้โกรธ กลับเอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา

“เจ้าเด็กเซวี่ยกวงนั่น! เจ้าหมายความว่าอย่างไร? หรือว่าเจ้าพบเจ้าคนทรยศนั่น!” ชายชราพลันตะลึงงัน เผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมา

“ผู้แซ่หานไม่เคยพบร่างเดิม แต่ยามนี้ร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงกำลังไล่ตามข้าน้อยอย่างไม่ลดละ? ร่างแยกมีอิทธิฤทธิ์ไม่น้อย ผู้แซ่หานมั่นใจว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ ดังนั้นจึงอยากหาวิธีรับมือกับท่านอาวุโส” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ

“ที่แท้ก็เป็นแค่ร่างแยกเท่านั้น แต่เหตุใดตาเฒ่าต้องช่วยเจ้า!” เชอฉีกงประหลาดใจเล็กน้อย แต่จากนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชา

“แน่นอนว่าท่านอาวุโสจะนั่งดูเฉยๆ ก็ได้ แต่เพื่อรักษาชีวิตชนรุ่นหลัง ไม่แน่ว่าก็อาจจะสนใจป้อมผนึกมาร บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงผู้นั้นส่งร่างแยกมาเอง แปดเก้าส่วนก็เพื่อสิ่งนี้ หากสมบัติชิ้นนี้ไม่อยู่ที่ข้าน้อย คิดดูแล้วอันตรายครั้งนี้คงจัดการได้” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วตอบกลับอย่างราบเรียบ

“เจ้ากำลังข่มขู่ข้า! อย่าลืมล่ะ ป้อมผนึกมารเป็นสิ่งที่เจ้าชิงมาจากสมุนสามคนของเซวี่ยกวง และยิ่งไปกว่านั้นเจ้าคิดว่าเจ้าเด็กนั่นจะปล่อยชนนอกเผ่าที่สัมผัสกับสมบัติชิ้นนี้ไปหรือ? ต่อให้เจ้ามอบสมบัติให้ ก็ไม่อาจรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ได้” เชอฉีกงรู้สึกโกรธเกรี้ยว

“จะสำเร็จหรือไม่ นั่นก็ต้องลองดูถึงจะรู้ แน่นอนว่าหากท่านอาวุโสชี้แนะ ชนรุ่นหลังย่อมไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ จากความแค้นของท่านอาวุโสและบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวง คิดดูแล้วคงไม่อยากกลับไปอยู่ในมือของอีกฝ่ายมากกว่าสินะ” หานลี่ตอบกลับพร้อมกับอมยิ้ม

เห็นท่าทางไร้ความรู้สึกของหานลี่ เชอฉีกงก็มีสีหน้าปั้นยาก แต่แววตาพลันเปล่งประกาย คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้โต้แย้งอันใดออกมา

หานลี่ใช้สองมือกอดกดยืนอยู่กลางอากาศ กลับไม่มีเจตนาจะรบเร้า

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หลังจากที่ชายชราพิจารณาหานลี่ลึกๆ แวบหนึ่ง ถึงได้แค่นเสียงด้วยความเย็นชาแล้วเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง

“หึ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตาเฒ่ามีวิธีจัดการกับร่างแยกของเซวี่ยกวง ตาเฒ่าและเจ้าเด็กเซวี่ยกวงไม่ได้พบกันหลายปี แม้ว่าก่อนหน้านี้จะรู้ฝีมือของเขา ยามนี้ก็อาจจะมองไม่ออก”

“บางทีอิทธิฤทธิ์ของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงผู้นั้นจะเปลี่ยนไป แต่ถึงอย่างไรเสียก็เป็นแค่ร่างแยกเท่านั้น ชนรุ่นหลังก็ไม่ได้หวาดกลัวร่างแยกนั้นจริงๆ แค่กลัวสมบัติสองชิ้นในมือของเขา จึงไม่รู้จะรับมืออย่างไร ขอแค่บอกว่าจะจัดการกับสมบัติสองชิ้นนั้นอย่างไร ชนรุ่นหลังย่อมมั่นใจว่าจะสู้กับอีกฝ่ายได้” หานลี่ได้ยินพลันรู้สึกตื่นเต้น มุมปากเผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ยถาม

“สมบัติสองชิ้น หรือว่าจะเป็นสมบัติสวรรค์ทมิฬชำรุดสองชิ้นนั้น หม้อคำพูดสีม่วงและหอคอยหลากสี!” เชอฉีกงกะพริบตาปริบๆ แล้วย้อนถาม

“หม้อคำพูดสีม่วง? หอคอยหลากสี? เป็นสมบัติหม้อสีม่วงและหอคอยเจ็ดสีจริงๆ เป็นสมบัติสวรรค์ทมิฬชำรุดสองชิ้น!”

หานลี่หน้าเปลี่ยนสี แม้ว่าจะคาดเดาได้รางๆ แต่ได้ยินชายชราพูดกับหูตัวเองเช่นนี้ ก็ยังคงอดที่จะตกตะลึงไม่ได้

“ดูแล้วคงเป็นสมบัติสองชิ้นนี้จริงๆ เยี่ยม เยี่ยมมาก ตาเฒ่ามีวิธีต่อกรกับสมบัติสองชิ้นนั้น แม้กระทั่งหากโชคดี เจ้าก็อาจจะชิงหนึ่งในนั้นมาได้” เชอฉีกงเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาขณะเอ่ย

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1923 คำถาม

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1923 คำถาม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในยามที่อรหันต์ชิงหลงพาศิษย์ยอดฝีมือของสำนักแอบใช้เขตอาคมส่งตัวลับออกจากเมืองอี่เทียน แอบเข้าไปในเมืองเทวะสวรรค์สองสามคืน หานลี่กลับตกอยู่ในอันตรายที่พบเห็นได้น้อยมากตั้งแต่เข้ามาในแดนวิญญาณ

สัมผัสได้ถึงเขตอาคมที่ใช้กักศัตรูชั่วคราว ยันต์เกราะปราณและยันต์เก้าวิมานสวรรค์สูญเสียประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความตกตะลึงของเขาก็รู้สึกจิตใจหนักอึ้ง

แม้ว่าหานลี่จะไม่ได้หวังว่าวิธีการเหล่านี้จะควบคุมและเอาชนะศัตรูได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่อาจขวางกั้นร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงได้เลยสักนิด

และยิ่งไปกว่านั้นชั่วพริบตาที่เขตอาคมและสมบัติยันต์วิเศษเพิ่งจะปล่อยออกไป ก็ถูกทำลาย

อิทธิฤทธิ์ที่มหัศจรรย์เช่นนี้ หานลี่เองก็ไม่อาจทำถึงขั้นนั้นได้

นั่นก็หมายความว่าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงที่ไล่ตามอยู่ด้านหลังพละกำลังเหนือกว่าเขาจริงๆ ต่อให้ใช้เครื่องมือสังหารสองสามชนิด อัตราการเอาชนะเขาได้ก็มีไม่ถึงห้าส่วน

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หานลี่จะยอมสู้กับอีกฝ่ายได้อย่างไร

ถึงอย่างไรเสียหากเขาล้มเหลวในการต่อสู้ ก็ต้องเพลี่ยงพล้ำไปจริงๆ  แต่หากโชคดีสังหารอีกฝ่ายได้ ก็แค่ทำให้ร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงเสียหายไปเท่านั้น

การค้าขายที่ขาดทุนเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีทางทำ

ดังนั้นเมื่อตรวจสอบเล็กน้อย หลังจากที่รู้ว่าพละกำลังของผู้ที่ตามมาอยู่ด้านหลังแข็งแกร่งกว่าที่ตนคิดไว้มาก ทันใดนั้นก็ล้มเลิกความคิดอื่น เริ่มขบคิดวิธีการหนีอย่างจริงจัง

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าร่างแยกของอีกฝ่ายมีขอบเขตการตรึงตำแหน่งกว้างแค่ไหน แต่จากความน่ากลัวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายาน นอกเสียจากเขาจะบินหนีไปได้ภายในรวดเดียวแสนลี้ มิเช่นนั้นคงไม่อาจสลัดการไล่ล่าเป้าหมายของอีกฝ่ายได้

แต่ระยะห่างเช่นนี้ นอกเสียจากความเร็วของทั้งสองจะแตกต่างกันมาก มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางทำได้ง่ายๆ

เขาที่กลายเป็นวิหคยักษ์พุ่งออกไปไม่หยุด ในหัวมีความคิดต่างๆ ทยอยกันผุดขึ้นมา พลางขบคิดไม่หยุด

หานลี่ย่อมไม่รู้ว่าชายหนุ่มที่มีกลิ่นคาวเลือดซึ่งไล่ตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่ลดละก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน!

สำเภาลำเล็กสีโลหิตที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาคือสมบัติเหาะเหินที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในแดนมาร ภายใต้การกระตุ้นเต็มอัตรา แม้กระทั่งเหนือกว่าความเร็วของผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานเท่าหนึ่ง

แม้ว่ายามนี้จะเป็นเพราะร่างแยกจึงไม่อาจกระตุ้นความเร็วของสำเภาน้อยทั้งหมดได้ แต่เปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ธรรมดาๆ ย่อมไม่อาจเทียบกับความเร็วในยามนี้ได้

และพวกเขาควบคุมสมบัติชิ้นนี้เต็มกำลังไล่ตามมาเป็นระยะเวลานาน กลับไม่ได้ทิ้งระยะห่างไปเท่าใดนัก ในใจพลันรู้สึกจนปัญญา!

โชคดีที่พวกเขามีสามคน จึงสามารถผลัดกันกระตุ้นสำเภาสีโลหิตได้ จึงไม่ต้องกลัวว่าหานลี่จะสลัดทิ้งไปเพราะลมปราณหมด ดังนั้นแม้ว่าทั้งสามคนจะรู้สึกกลัดกลุ้มแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีร้อนรน

แต่สำหรับหานลี่แล้วย่อมไม่อาจเสียเวลากับอีกฝ่ายต่อได้

แม้ว่าเขาจะมีร่างวิญญาณและเทวรูปร่างทองคอยช่วยเหลือ แต่มีเพียงแปลงกลายเป็นวิหคยักษ์แล้วถึงจะรักษาระยะห่างเช่นนี้ได้

และการใช้สมุนไพรวิญญาณนมวิญญาณหมื่นปีฟื้นฟูพลังปราณในพริบตานั้น สำหรับพวกเขาที่มีพลังปราณมหาศาลย่อมมีผลไม่มากนักตั้งนานแล้ว

จากพลังปราณของเขาหากรักษาสภาพการแปลงกลายบินไปเต็มอัตราเช่นนี้ แม้ว่าจะกินยาลูกกลอนไม่หยุด และใช้ศิลาวิญญาณระดับสูงฟื้นฟูพลันปราณไปพร้อมๆ กัน มากสุดก็ยืนหยัดไปได้แค่ห้าหกวันเท่านั้น

ดังนั้นในเวลาเดียวกันที่หานลี่กำลังขบคิดอย่างหนักนั้น ในใจพลันรู้สึกร้อนใจขึ้นมา

“ช้าก่อน บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงผู้นี้ไล่สังหารเช่นนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะป้อมผนึกมารชิ้นนั้น หากยอมทิ้งสมบัติชิ้นนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีวิธีดึงระยะห่างจากร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงด้านหลังได้!” ในที่สุดหัวใจของหานลี่ก็เปล่งแสงสว่างจ้า พลันรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมา

“ในที่สุดหัวใจของหานลี่ก็เปล่งแสงสว่างจ้า แต่สมบัติชิ้นนี้เป็นสมบัติสวรรค์ทมิฬที่ยังหลอมไม่เสร็จ และยิ่งไปกว่านั้นหากคำพูดของเชอฉีกงที่ติดอยู่ในนั้นไม่ผิดจริงๆ ไอหยินหยางที่อยู่ด้านในก็มีประโยชน์กับตนเป็นอย่างมาก หากทิ้งไปง่ายๆ เช่นนี้ จะยินยอมได้อย่างไร” หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว แต่กลับรู้สึกเสียดายทันใด

แม้ว่าเมื่อเทียบชีวิตน้อยๆ กับสมบัติ แน่นอนว่าชีวิตย่อมสำคัญที่สุด แต่ยามนี้ยังไม่เข้าตาจน จะปล่อยสมบัติชิ้นนี้ไปง่ายๆ ได้อย่างไร

หานลี่พลันมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส พลางขบคิดในใจ

ฉับพลันนั้นแววตาของเขาพลันฉายแววเย็นชา พลันนึกอันใดขึ้นมาได้

ทันใดนั้นในร่างของวิหคยักษ์พลันมีความคิดเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะมีทารกวิญญาณที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วสีทองและสีดำปรากฏขึ้น

ทารกวิญญาณสีทองดูเหมือนจะเปล่งแสงสีทองระยิบระยับ แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดจะพบว่าบางครั้งจะมีลำแสงสีเขียวอ่อนไหลวนโคจรไปมา ลำแสงที่คุ้มครองร่างอยู่ดูเหมือนจะเป็นสองสีได้ตลอดเวลา

ส่วนทารกวิญญาณสีดำพลันมีสีหน้าเย็นชา รอบกายเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก เรือนร่างมีไอมารเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง

ทันใดนั้นก็เห็นทารกวิญญาณสีทองอ้าปากออกพ่นไข่มุกทรงกลมห้าสีสิบกว่าเม็ดออกมา หมอกลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ วนล้อมรอบทารกวิญญาณสีทอง ไม่หยุด

ส่วนทารกวิญญาณสีดำกลับก้มหน้าลงสองมือร่ายอาคม และบริกรรมคาถาไม่หยุด

ไข่มุกทรงกลมห้าสีกลายเป็นดวงตาห้าสี และเปล่งแสงเจิดจ้าปล่อยเสาขนาดความหนาเท่าๆ นิ้วออกมา เปล่งแสงสว่างวาบพลางจมหายเข้าไปในทารกวิญญาณสีดำ

ทารกวิญญาณสีทองเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ดวงตาทั้งสองข้างพลันเปล่งประกาย ฝ่ามือเล็กๆ อ้วนๆ ตะปบออกไปกลางอากาศ

เสียงเพรียกอันไพเราะดังขึ้น ‘อิฐทอง’ สีทองเรืองรองปรากฏขึ้น

นิ้วของทารกวิญญาณสีทองชี้ไปที่อิฐสีทองเบาๆ

ชั่วขณะนั้นเสียง “เปรี๊ยะๆ” พลันดังขึ้น สายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ สายฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนทยอยกันปริแตกเป็นเสี่ยงๆ ตรงผิวของอิฐสีทอง

ชั่วพริบตาอักขระยันต์สีทองเงินที่ถูกเหลี่ยมเอาไว้บนผิวกล่องไม้สีขาวก็เผยออกมา

นั่นก็คือ ‘ป้อมผนึกมาร’ ที่ถูกหานลี่เก็บเอาไว้

ภายใต้การผนึกสมบัติชิ้นนี้อย่างระมัดระวัง เขาก็ไม่ได้พบปัญหาใดๆ

เมื่อเห็นป้อมผนึกมารเผยออกมา

ร่างของทารกวิญญาณสีดำพลันสั่นเทา แล้วกลายเป็นเงาลวงตาจางๆ สายหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในกล่องไม้

ครู่ต่อมากลางอากาศเหนือทุ่งหญ้าที่ดูราวกับทะเลสีเขียว เงาลวงตาของหานลี่พลันปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ

“ที่นี่ดังคาด!” แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ กวาดมองไปรอบๆ สองแวบแล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเอง

“อันใด หรือว่าสหายคิดว่าครั้งที่แล้วตาเฒ่าพูดเท็จ? หากสหายทำลายเขตอาคมสองสามชั้นสุดท้ายได้จริงๆ ตาเฒ่าก็จะยอมให้มีคนอยู่เป็นเพื่อนตาแก่อย่างข้า”

สิ้นเสียงบรรยากาศรอบๆ ด้านพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เหนือทุ่งหญ้ามีชายชราสวมชุดคลุมยาวสีเขียวดำปรากฏขึ้น พลางเอ่ยแล้วส่งยิ้มบางๆ ให้หานลี่

“หากไม่ได้เข้าไปข้างใน อาจจะสูญเสียเสี้ยวจิตสัมผัสไปตลอดกาล ข้าน้อยสนใจสิ่งที่อยู่ในป้อมผนึกมารจริงๆ” หานลี่ตอบกลับชายชราที่ปรากฏร่างประหลาดๆ ขึ้นมาอย่างราบเรียบ

“แม้แต่ตาเฒ่ายังติดมาหลายปี เสี้ยวจิตสัมผัสของนายท่านเข้าไปข้างใน แน่นอนว่าย่อมไม่อาจออกมาได้ เอาล่ะ ที่สหายมาในครั้งนี้เพราะคิดเรื่องการร่วมมือที่คุยกันตาเฒ่าครั้งที่แล้วได้แล้วหรือ?” เชอฉีกงหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยเข้าประเด็นหลัก

“ข้าน้อยย่อมสนใจไอพลังหยินหยางอยู่แล้ว! ทว่าผู้แซ่หานมาพบกับสหายในครั้งนี้ กลับไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น มีเรื่องอื่นอยากจะซักถามสหายสักหน่อย” หานลี่เอ่ยพร้อมกับสั่นศีรษะ

“นอกจากป้อมผนึกมารแล้ว ตาเฒ่าไม่อยากคุยเรื่องอื่นแล้ว” ชายชราได้ยินคำนี้ของหานลี่ก็รู้สึกสิ้นหวัง แล้วมีสีหน้าเคร่งขรึม

“อ๋อ หรือว่าแม้แต่เรื่องของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวง ท่านอาวุโสก็ไม่อยากคุยแล้วงั้นหรือ?” หานลี่ไม่ได้โกรธ กลับเอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา

“เจ้าเด็กเซวี่ยกวงนั่น! เจ้าหมายความว่าอย่างไร? หรือว่าเจ้าพบเจ้าคนทรยศนั่น!” ชายชราพลันตะลึงงัน เผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมา

“ผู้แซ่หานไม่เคยพบร่างเดิม แต่ยามนี้ร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงกำลังไล่ตามข้าน้อยอย่างไม่ลดละ? ร่างแยกมีอิทธิฤทธิ์ไม่น้อย ผู้แซ่หานมั่นใจว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ ดังนั้นจึงอยากหาวิธีรับมือกับท่านอาวุโส” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ

“ที่แท้ก็เป็นแค่ร่างแยกเท่านั้น แต่เหตุใดตาเฒ่าต้องช่วยเจ้า!” เชอฉีกงประหลาดใจเล็กน้อย แต่จากนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชา

“แน่นอนว่าท่านอาวุโสจะนั่งดูเฉยๆ ก็ได้ แต่เพื่อรักษาชีวิตชนรุ่นหลัง ไม่แน่ว่าก็อาจจะสนใจป้อมผนึกมาร บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงผู้นั้นส่งร่างแยกมาเอง แปดเก้าส่วนก็เพื่อสิ่งนี้ หากสมบัติชิ้นนี้ไม่อยู่ที่ข้าน้อย คิดดูแล้วอันตรายครั้งนี้คงจัดการได้” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วตอบกลับอย่างราบเรียบ

“เจ้ากำลังข่มขู่ข้า! อย่าลืมล่ะ ป้อมผนึกมารเป็นสิ่งที่เจ้าชิงมาจากสมุนสามคนของเซวี่ยกวง และยิ่งไปกว่านั้นเจ้าคิดว่าเจ้าเด็กนั่นจะปล่อยชนนอกเผ่าที่สัมผัสกับสมบัติชิ้นนี้ไปหรือ? ต่อให้เจ้ามอบสมบัติให้ ก็ไม่อาจรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ได้” เชอฉีกงรู้สึกโกรธเกรี้ยว

“จะสำเร็จหรือไม่ นั่นก็ต้องลองดูถึงจะรู้ แน่นอนว่าหากท่านอาวุโสชี้แนะ ชนรุ่นหลังย่อมไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ จากความแค้นของท่านอาวุโสและบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวง คิดดูแล้วคงไม่อยากกลับไปอยู่ในมือของอีกฝ่ายมากกว่าสินะ” หานลี่ตอบกลับพร้อมกับอมยิ้ม

เห็นท่าทางไร้ความรู้สึกของหานลี่ เชอฉีกงก็มีสีหน้าปั้นยาก แต่แววตาพลันเปล่งประกาย คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้โต้แย้งอันใดออกมา

หานลี่ใช้สองมือกอดกดยืนอยู่กลางอากาศ กลับไม่มีเจตนาจะรบเร้า

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หลังจากที่ชายชราพิจารณาหานลี่ลึกๆ แวบหนึ่ง ถึงได้แค่นเสียงด้วยความเย็นชาแล้วเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง

“หึ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตาเฒ่ามีวิธีจัดการกับร่างแยกของเซวี่ยกวง ตาเฒ่าและเจ้าเด็กเซวี่ยกวงไม่ได้พบกันหลายปี แม้ว่าก่อนหน้านี้จะรู้ฝีมือของเขา ยามนี้ก็อาจจะมองไม่ออก”

“บางทีอิทธิฤทธิ์ของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงผู้นั้นจะเปลี่ยนไป แต่ถึงอย่างไรเสียก็เป็นแค่ร่างแยกเท่านั้น ชนรุ่นหลังก็ไม่ได้หวาดกลัวร่างแยกนั้นจริงๆ แค่กลัวสมบัติสองชิ้นในมือของเขา จึงไม่รู้จะรับมืออย่างไร ขอแค่บอกว่าจะจัดการกับสมบัติสองชิ้นนั้นอย่างไร ชนรุ่นหลังย่อมมั่นใจว่าจะสู้กับอีกฝ่ายได้” หานลี่ได้ยินพลันรู้สึกตื่นเต้น มุมปากเผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ยถาม

“สมบัติสองชิ้น หรือว่าจะเป็นสมบัติสวรรค์ทมิฬชำรุดสองชิ้นนั้น หม้อคำพูดสีม่วงและหอคอยหลากสี!” เชอฉีกงกะพริบตาปริบๆ แล้วย้อนถาม

“หม้อคำพูดสีม่วง? หอคอยหลากสี? เป็นสมบัติหม้อสีม่วงและหอคอยเจ็ดสีจริงๆ เป็นสมบัติสวรรค์ทมิฬชำรุดสองชิ้น!”

หานลี่หน้าเปลี่ยนสี แม้ว่าจะคาดเดาได้รางๆ แต่ได้ยินชายชราพูดกับหูตัวเองเช่นนี้ ก็ยังคงอดที่จะตกตะลึงไม่ได้

“ดูแล้วคงเป็นสมบัติสองชิ้นนี้จริงๆ เยี่ยม เยี่ยมมาก ตาเฒ่ามีวิธีต่อกรกับสมบัติสองชิ้นนั้น แม้กระทั่งหากโชคดี เจ้าก็อาจจะชิงหนึ่งในนั้นมาได้” เชอฉีกงเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาขณะเอ่ย

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+