A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1954 ต้นไม้บุปผาปรากฏขึ้นอีกครั้ง

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1954 ต้นไม้บุปผาปรากฏขึ้นอีกครั้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เงาร่างสูงใหญ่นี้เรือนกายมีสายฟ้าสีเงินรายล้อมอยู่ ร่างกายหนักแน่นในเขตอาคมอัสนีเงยหน้าขึ้น เรือนผมสีแดง แต่มีเป็นชายร่างใหญ่วัยกลางคนที่มีเคราสามจุด

ชายร่างใหญ่นี้มีรูปหน้าเหลี่ยม แต่จมูกใหญ่และงุ้มงอราวกับจะงอยปากนกอินทรี แผ่นหลังมีปีกขนนกสีแดงสดคู่หนึ่ง กระพือปีกน้อยๆ สายฟ้าส่งเสียง “เปรี๊ยะๆ” ดังออกมาพลางปรากฏขึ้น ราวกับร่างแปลงของเทพอัสนีอย่างไรอย่างนั้น

แต่ชายร่างใหญ่ที่เดิมดูแล้วน่าเกรงขาม ยามนี้กลับหน้าซีดขาว เรือนร่างสวมชุดคลุมยาวสีเงินชุดหนึ่ง หลายจุดเป็นสีดำไหม้เกรียม แขนเสื้อยาวข้างหนึ่งแม้กระทั่งไล่ไปถึงหัวไหล่ถูกฉีกขาด เผยหัวไหล่เปลือยเปล่าออกมา

คาดไม่ถึงว่าชายร่างใหญ่ผู้นี้จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น แต่ดูแล้วกลับมีท่าทีจนตรอกกว่าหานลี่หลายส่วน และยิ่งไปกว่านั้นชั่วพริบตาที่ปรากฏตัว ก็หันกลับมาทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนหวาดกลัว

“เหตุใดถึงเป็นเขา เขามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร!”

ระยะห่างเช่นนี้ หานลี่มองปราดเดียวย่อมเห็นใบหน้าของชายร่างใหญ่ได้อย่างชัดเจน ภายใต้ความตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าจะร้องอุทานด้วยเสียงแหบแห้งออกมา

ส่วนชายร่างใหญ่กลับดูเหมือนจะได้ยินเสียงร้องอุทานของหานลี่ จึงหันมา ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกายพลางมองมายังตำแหน่งของหานลี่ ผลคือหลังจากที่เห็นใบหน้าของหานลี่ที่อยู่บนรถเหาะอย่างชัดเจน ก็หน้าเปลี่ยนสีเป็นแปลกประหลาดยิ่ง

หลังจากที่หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครา กลับนึกอันใดได้ หยักมุมปากขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมา

ครู่ต่อมาเขาก็ยืนอยู่บนรถเหาะ ร่างกายพลิ้วไหว มาปรากฏด้านหลังหุ่นเชิดสะท้านฟ้าราวกับภูตผี

เสียง “ปัง” ดังขึ้น หานลี่ตบไหล่ของหญิงสาวชุดขาวเบาๆ

หุ่นเชิดสะท้านฟ้าตัวนี้กลายเป็นลำแสงสีขาวถูกเขาเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ

จากนั้นใต้ฝ่าเท้าของหานลี่พลันเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นความเร็วของรถเหาะก็เพิ่มขึ้นสองสามเท่า กะพริบวาบๆ แล้วปรากฏตัวกลางอากาศห่างจากชายร่างใหญ่ไปไม่ถึงร้อยจั้งเศษ

“หานลี่ เป็นเจ้า! เจ้ามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร แล้วยังมีท่าทางจนตรอกเช่นนี้?” ชายร่างใหญ่แผ่จิตสัมผัสมาที่เรือนร่างของหานลี่ แล้วขมวดคิ้วพลางร้องตะโกนถามด้วยเสียงอันดัง

เสียงของชายร่างใหญ่ทุ้มต่ำ ท่าทางก็รู้จักหานลี่เช่นกัน

“พี่เหลย คำพูดนี้ดูเหมือนจะต้องเป็นผู้แซ่หานที่ถามนะ นายน้อยผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่า คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นดั่งวิหคที่หวาดกลัว หรือว่าเจ้าเองก็ถูกผู้ใดไล่สังหารมา?” หลังจากที่หานลี่มุมปากกระตุกสองครั้ง ก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“หึ ผู้แซ่เหลยกำลังประสบปัญหาจริงๆ ทว่าก็ดีกว่าสถานการณ์ของเจ้ามาก ไม่ได้พบกันสองสามร้อยปีเจ้าพัฒนามาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ในระดับขั้นกลาง แต่เหตุใดลมปราณภายในร่างถึงแห้งเหือดถึงขั้นนี้? เจ้าคงไม่ได้ถูกระดับมหายานสองสามคนไล่สังหารสินะ” ชายร่างใหญ่กลอกตาไปมาสองครั้ง มองใบหน้าของหานลี่ แล้วเอ่ยด้วยท่าทีประหลาดใจ

“ถูกพี่เหลยเดาถูกแล้ว ข้าน้อยถูกระดับมหายานไล่สังหารถึงได้ตกอยู่ในสภาพนี้ พี่เหลย จากอิทธิฤทธิ์อันน่าตกตะลึงของเขตอาคมอัสนีของท่านคงไม่ถูกระดับมหายานไล่ทันสินะ” หานลี่เลิกคิ้ว ยอมรับตามตรงแล้วกลับเอ่ยย้อนถาม

“หึๆ ดูแล้วพวกเราคงเป็นพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากกันจริงๆ ทว่า ผู้ที่สังหารเจ้าคือเทวะศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายใด? เหตุใดช่วงนี้ระดับมหายานถึงได้มากมายนัก!” ชายร่างใหญ่หาวหวอด แล้วเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“พี่เหลยรู้แล้วยังถามอีก เผ่ามนุษย์ของพวกเราและเผ่าต่างๆ ในละแวกนี้ล้วนอยู่เคราะห์มาร ผู้ที่ไล่สังหารข้าอยู่ด้านหลังย่อมมีแต่มารโบราณเท่านั้น! หรือว่าสหายไม่รู้เรื่องนี้?” หานลี่พยักหน้าด้วยความตกตะลึง แล้วเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“เคราะห์มาร? หรือว่าคนที่ไล่สังหารเจ้าคือบรรพชนศักดิ์สิทธิ์มารโบราณ! สองสามเดือนก่อนข้าเพิ่งออกจากกักตน จะไปรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร!” ถึงคราวที่ชายร่างใหญ่ต้องตกใจจนสะดุ้งโหยงแล้ว จึงตอบกลับพร้อมกับสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง

“เพิ่งออกจากการกักตน นั่นก็ไม่แปลก เคราะห์มารเริ่มมาระยะหนึ่งแล้ว ร่างแยกสองสามตนของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารที่ไล่สังหารข้าล้วนมีอิทธิฤทธิ์ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย ภายใต้การร่วมมือกันนั้น ข้าย่อมมีแต่ต้องหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น ด้านหลังพี่เหลยคงไม่ใช่ร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์มารโบราณเหมือนกันหรอกกระมัง” สีหน้าตกตะลึงของหานลี่หายวับไปพลางเอ่ยถามด้วยความฉงน

“ใช่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้ แต่พวกเขาควบคุมไอมารเที่ยงแท้ที่บริสุทธิ์มากได้ เคล็ดวิชาของคนหนึ่งในนั้นสามารถควบคุมร่างเบญจอัสนีของข้าได้ ส่วนอีกคนหนึ่งจนถึงยามนี้ข้าก็ยังดูความตื้นลึกหนาบางของพลังยุทธ์อีกฝ่ายไม่ออก ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ท่านใดสักท่านจริงๆ” ชายร่างใหญ่เอ่ยอย่างคลุมเครือ

หานลี่ขมวดคิ้วมุ่นแต่ก็คลายออกทันที

นี่คือเหลยอวิ๋นจื่อที่เขาเคยรู้จักที่ชนต่างเผ่าในอดีต เห็นได้ชัดว่ากำลังปิดบังอันใด แต่ยามนี้ย่อมขี้เกียจจะซักถามอันใดอีก จึงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยกับอีกฝ่าย

“ได้พบกับสหาย นับว่าเป็นโชคของผู้แซ่หานแล้ว ไม่ทราบว่าพี่เหลยยังจำเขตอาคมอัสนีที่ข้าเคยแนะนำในวันนั้นได้หรือไม่? หากเจ้ากับข้าร่วมมือกัน…”

“เขตอาคมอัสนีสองชั้นที่เจ้าเคยพูดถึง ข้าจะลืมเลือนได้อย่างไร ฮ่าๆ ครานี้มีโอกาสหนีรอดแล้ว” เหลยอวิ๋นจื่อดวงตาเปล่งประกาย ได้ยินแล้วพลันแสดงความยินดีออกมา

“สหาย ในเมื่อรู้ดีแก่ใจแล้ว ข้าก็รีบ…เอ๋ กลิ่นหอมนี้มาจากที่ใด?” หานลี่เผยรอยยิ้มออกมาเช่นกัน และกระแอมไอเบาๆ ยามที่จะเอ่ยอีกสองประโยค กลับสูดจมูกฟุตฟิต ฉับพลันนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี

“แย่แล้ว เจ้าสองคนนั้นไล่ตามมาแล้ว สหายหานรีบมาเร็วเข้า ข้าจะพาสหายไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เหลยอวิ๋นจื่อกลับหน้าถอดสี และร้องตะโกนอย่างรีบร้อน

หานลี่ได้ยินคำนี้ก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง ไม่สนใจจะตามหาที่มาของกลิ่นหอมลึกลับ เท้าข้างหนึ่งย่ำไปบนรถเหาะ ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งออกไป

กะพริบวาบสองครา หานลี่มาปรากฏข้างกายของชายร่างใหญ่ สะบัดแขนเสื้อไปด้านล่าง ชั่วขณะนั้นรถเหาะก็กลายเป็นลำแสงวิญญาณกลุ่มหนึ่งจมหายเข้าไปในร่างของเขา

ชายร่างใหญ่ใช้มือหนึ่งร่ายอาคมด้วยสีหน้าร้อนใจ ชั่วขณะนั้นเสียงอึกทึกพลันดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนพลันพุ่งออกมาจากปีกคู่นั้นและเรือนร่าง คาดไม่ถึงว่ารอบด้านจะกลายเป็นเขตอาคมอัสนีสีเงินระยิบระยับ

เขตอาคมอัสนีนี้ส่งเสียงอึกทึกออกมา ห่อหุ้มร่างของชายร่างใหญ่และหานลี่เอาไว้ สายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ ราวกับอสรพิษสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนเริงระบำ ชั่วพริบตาเงาร่างทั้งสองคนก็ถูกกลืนหายเข้าไปข้างใน

แต่ในยามนั้นเองระลอกคลื่นพลันปรากฏขึ้นเหนือเขตอาคมอัสนี ต้นไม้บุปผาสีชมพูต้นหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ

ต้นไม้ต้นนี้สูงประมาณร้อยจั้ง เป็นสีชมพูแวววาว และแผ่กลิ่นหอมที่ยากจะเหลือเชื่อออกมา

ต้นไม้บุปผาแค่พลิ้วไหวสองสามครา ชั่วขณะนั้นบุปผายักษ์สีชมพูจำนวนนับไม่ถ้วนก็ทยอยกันร่วงลงมาราวกับใบไม้ร่วง กะพริบวาบอีกครั้ง กลายเป็นหมอกสีชมพูกลุ่มหนึ่งม้วนวนออกไป

จะว่าไปแล้วก็แปลก หมอกลำแสงสีชมพูดูเหมือนจะเชื่องช้า แต่พอหมุนวนก็ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง มาอยู่เหนือเขตอาคมอัสนี

“ไม่ทันแล้ว รีบไปเร็ว!”

หมอกสีชมพูงดงามเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนมองปราดเดียวก็อดที่จะรู้สึกสดชื่น งดงามเป็นอย่างยิ่งไม่ได้ แต่เมื่อพบกับชายร่างใหญ่ กลับหน้าซีดเผือดราวกับเห็นแมงป่องพิษ แม้กระทั่งเกือบจะไม่สนใจจะกระตุ้นเขตอาคมอัสนีส่งตัวให้เสร็จ ปีกที่แผ่นหลังกระพือ กลายเป็นประจุไฟฟ้าสายหนึ่งพุ่งออกจากเขตอาคมอันสี เปล่งแสงสว่างวาบจมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย

แม้ว่าหานลี่จะได้พบกับต้นไม้บุปผาสีชมพูเป็นครั้งแรก แต่เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของเหลยอวิ๋นจื่อก็ใจหายวาบ ไหล่พลิ้วไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ร่างกายรางเลือน กลายเป็นเส้นไหมลำแสงสีเขียวขาวสายหนึ่งพุ่งออกไปจากเขตอาคมอัสนี

เมื่อเส้นไหมลำแสงสีเขียวขาวปรากฏขึ้นรางๆ แค่กะพริบวาบ ก็อยู่ห่างออกไปสองร้อยจั้งเศษ ปรากฏตัวกลางอากาศอีกด้าน

เขตอาคมอัสนียักษ์มีหมอกลำแสงสีชมพูม้วนวนมา ประจุไฟฟ้าทยอยกันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ทว่าแค่ชั่วลมหายใจ เขตอาคมอัสนีทั้งเขตก็มีรัศมีลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไป!

หมอกสีชมพูนั้นดูเหมือนจะมีพลังในการควบคุมสายฟ้าอัสนีโดยเฉพาะ

ลำแสงหลีกหนีสีเขียวขาวหม่นแสงลง ร่างของหานลี่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เมื่อหันกลับมามองเห็นฉากนี้ ย่อมสูดลมหายใจเข้าด้วยความเย็นเยียบ

“พี่เหลย หรือว่าคือ…” เขาอดที่จะเอ่ยถามเหลยอวิ๋นจื่อด้วยความตกตะลึงไม่ได้

“ใช่แล้ว ผู้ที่ไล่ตามข้ามาๆ ถึงแล้ว ความเร็วที่เจ้าสองคนนี้ไล่ตามข้ารวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ” เหลยอวิ๋นจื่อที่อยู่อีกด้านมีสีหน้าเคร่งขรึมดุจสายธาร ได้ยินแล้วก็แค่ฝืนยิ้มออกมา

หานลี่ได้ฟังย่อมร้องอุทานว่าแย่แล้วในใจ ทำได้เพียงฝืนกระตุ้นจิตใจให้มีชีวิตชีวา สายตาจับจ้องไปที่เงาลวงตาของต้นไม้บุปผาด้วยความเคร่งขรึมอีกครั้ง!

แต่นอกจากเงาลวงตาของต้นไม้บุปผาแล้ว บรรยากาศรอบๆ ก็ยังคงว่างเปล่า เงียบสงัด และไม่มีสิ่งที่สองปรากฏตัวขึ้น

ไม่ว่าเหลยอวิ๋นจื่อหรือว่าหานลี่ล้วนไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ ย่อมไม่มีทางถูกลูกไม้ตื้นๆ หลอกลวงได้ ไม่เพียงจะไม่ได้กระทำการอันใดที่บุ่มบ่าม กลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ปริปาก

“หึๆ ครั้งนี้จะหนีได้อย่างไร? หรือว่ายอมจำนนแล้ว ส่งสิ่งนั้นมาให้ข้า”

สิ้นเสียงบรรยากาศรอบๆ ก็พลิ้วไหวเล็กน้อย บุรุษหน้าตาอัปลักษณ์สวมชุดคลุมยาวสีดำคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ยักคอกวาดสายตามา ชั่วขณะนั้นพลันพบการดำรงอยู่ของเหลยอวิ๋นจื่อและหานลี่

“เอ๋ ยังมีอีกคน เจ้าคือผู้ใด” แววตาของบุรุษหน้าตาอัปลักษณ์ฉายแววโหดเหี้ยม ร้องตะโกนถามด้วยความเหี้ยมเกรียม

“คนผู้นี้ ไล่สังหารเจ้ามาหรือ!?” หานลี่ชักสีหน้า พลางเอ่ยถามเหลยอวิ๋นจื่อที่อยู่อีกด้าน

“แน่นอนว่าไม่ใช่ นอกจากเขาแล้วยังมี…”

“ยังมีข้า!”

เสียงของสตรีอันราบเรียบ ดังมาจากภาพลวงตาต้นไม้บุปผา

จากนั้นผิวของต้นไม้บุปผาก็มีรัศมีลำแสงสีชมพูเปล่งแสงสว่างวาบ หลังจากส่งเสียงดังปังก็แตกออกเป็นหลายชุ่น

หลังจากสายลมพัดหอบมา เงาลวงตาก็กลายเป็นดวงลำแสงสลายหายไป แต่ระลอกคลื่นพลันปรากฏขึ้นที่เดิม แต่กลับมีหญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีขาวเท้าเปลือยเปล่าคนหนึ่งปรากฏขึ้น

หญิงสาวผู้นี้มีสีหน้างดงามไม่เป็นสองรองใคร สีหน้าราบเรียบ ด้านล่างสองเท้าที่เปลือยเปล่ามีดอกไม้ยักษ์สีชมพูปรากฏขึ้น

ชั่วพริบตาที่หานลี่มองเห็นสตรีผู้นี้ ก็รู้สึกเพียงลมหายใจติดขัด คาดไม่ถึงว่าจะมีความรู้สึกที่ทำให้เขากั้นลมหายใจปรากฏขึ้นในหัวใจ สีหน้าเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้

ชั่วพริบตานั้นหานลี่ก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ใช่สิ่งมีชีวิตระดับมหายาน ก็ต้องเป็นร่างแยกของสิ่งมีชีวิตระดับมหายาน มิเช่นนั้นคงไม่อาจทำให้เขารู้สึกว่าน่ากลัวเพียงนี้ได้

หลังจากที่หญิงสาวที่อยู่บนบุปผายักษ์ปรากฏตัว สายตาก็มองมายังใบหน้าของหานลี่และเหลยอวิ๋นจื่อ มุมปากหยักขึ้น เผยรอยยิ้มลึกลับออกมา

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1954 ต้นไม้บุปผาปรากฏขึ้นอีกครั้ง

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1954 ต้นไม้บุปผาปรากฏขึ้นอีกครั้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เงาร่างสูงใหญ่นี้เรือนกายมีสายฟ้าสีเงินรายล้อมอยู่ ร่างกายหนักแน่นในเขตอาคมอัสนีเงยหน้าขึ้น เรือนผมสีแดง แต่มีเป็นชายร่างใหญ่วัยกลางคนที่มีเคราสามจุด

ชายร่างใหญ่นี้มีรูปหน้าเหลี่ยม แต่จมูกใหญ่และงุ้มงอราวกับจะงอยปากนกอินทรี แผ่นหลังมีปีกขนนกสีแดงสดคู่หนึ่ง กระพือปีกน้อยๆ สายฟ้าส่งเสียง “เปรี๊ยะๆ” ดังออกมาพลางปรากฏขึ้น ราวกับร่างแปลงของเทพอัสนีอย่างไรอย่างนั้น

แต่ชายร่างใหญ่ที่เดิมดูแล้วน่าเกรงขาม ยามนี้กลับหน้าซีดขาว เรือนร่างสวมชุดคลุมยาวสีเงินชุดหนึ่ง หลายจุดเป็นสีดำไหม้เกรียม แขนเสื้อยาวข้างหนึ่งแม้กระทั่งไล่ไปถึงหัวไหล่ถูกฉีกขาด เผยหัวไหล่เปลือยเปล่าออกมา

คาดไม่ถึงว่าชายร่างใหญ่ผู้นี้จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น แต่ดูแล้วกลับมีท่าทีจนตรอกกว่าหานลี่หลายส่วน และยิ่งไปกว่านั้นชั่วพริบตาที่ปรากฏตัว ก็หันกลับมาทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนหวาดกลัว

“เหตุใดถึงเป็นเขา เขามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร!”

ระยะห่างเช่นนี้ หานลี่มองปราดเดียวย่อมเห็นใบหน้าของชายร่างใหญ่ได้อย่างชัดเจน ภายใต้ความตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าจะร้องอุทานด้วยเสียงแหบแห้งออกมา

ส่วนชายร่างใหญ่กลับดูเหมือนจะได้ยินเสียงร้องอุทานของหานลี่ จึงหันมา ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกายพลางมองมายังตำแหน่งของหานลี่ ผลคือหลังจากที่เห็นใบหน้าของหานลี่ที่อยู่บนรถเหาะอย่างชัดเจน ก็หน้าเปลี่ยนสีเป็นแปลกประหลาดยิ่ง

หลังจากที่หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครา กลับนึกอันใดได้ หยักมุมปากขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมา

ครู่ต่อมาเขาก็ยืนอยู่บนรถเหาะ ร่างกายพลิ้วไหว มาปรากฏด้านหลังหุ่นเชิดสะท้านฟ้าราวกับภูตผี

เสียง “ปัง” ดังขึ้น หานลี่ตบไหล่ของหญิงสาวชุดขาวเบาๆ

หุ่นเชิดสะท้านฟ้าตัวนี้กลายเป็นลำแสงสีขาวถูกเขาเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ

จากนั้นใต้ฝ่าเท้าของหานลี่พลันเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นความเร็วของรถเหาะก็เพิ่มขึ้นสองสามเท่า กะพริบวาบๆ แล้วปรากฏตัวกลางอากาศห่างจากชายร่างใหญ่ไปไม่ถึงร้อยจั้งเศษ

“หานลี่ เป็นเจ้า! เจ้ามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร แล้วยังมีท่าทางจนตรอกเช่นนี้?” ชายร่างใหญ่แผ่จิตสัมผัสมาที่เรือนร่างของหานลี่ แล้วขมวดคิ้วพลางร้องตะโกนถามด้วยเสียงอันดัง

เสียงของชายร่างใหญ่ทุ้มต่ำ ท่าทางก็รู้จักหานลี่เช่นกัน

“พี่เหลย คำพูดนี้ดูเหมือนจะต้องเป็นผู้แซ่หานที่ถามนะ นายน้อยผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่า คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นดั่งวิหคที่หวาดกลัว หรือว่าเจ้าเองก็ถูกผู้ใดไล่สังหารมา?” หลังจากที่หานลี่มุมปากกระตุกสองครั้ง ก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“หึ ผู้แซ่เหลยกำลังประสบปัญหาจริงๆ ทว่าก็ดีกว่าสถานการณ์ของเจ้ามาก ไม่ได้พบกันสองสามร้อยปีเจ้าพัฒนามาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ในระดับขั้นกลาง แต่เหตุใดลมปราณภายในร่างถึงแห้งเหือดถึงขั้นนี้? เจ้าคงไม่ได้ถูกระดับมหายานสองสามคนไล่สังหารสินะ” ชายร่างใหญ่กลอกตาไปมาสองครั้ง มองใบหน้าของหานลี่ แล้วเอ่ยด้วยท่าทีประหลาดใจ

“ถูกพี่เหลยเดาถูกแล้ว ข้าน้อยถูกระดับมหายานไล่สังหารถึงได้ตกอยู่ในสภาพนี้ พี่เหลย จากอิทธิฤทธิ์อันน่าตกตะลึงของเขตอาคมอัสนีของท่านคงไม่ถูกระดับมหายานไล่ทันสินะ” หานลี่เลิกคิ้ว ยอมรับตามตรงแล้วกลับเอ่ยย้อนถาม

“หึๆ ดูแล้วพวกเราคงเป็นพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากกันจริงๆ ทว่า ผู้ที่สังหารเจ้าคือเทวะศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายใด? เหตุใดช่วงนี้ระดับมหายานถึงได้มากมายนัก!” ชายร่างใหญ่หาวหวอด แล้วเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“พี่เหลยรู้แล้วยังถามอีก เผ่ามนุษย์ของพวกเราและเผ่าต่างๆ ในละแวกนี้ล้วนอยู่เคราะห์มาร ผู้ที่ไล่สังหารข้าอยู่ด้านหลังย่อมมีแต่มารโบราณเท่านั้น! หรือว่าสหายไม่รู้เรื่องนี้?” หานลี่พยักหน้าด้วยความตกตะลึง แล้วเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“เคราะห์มาร? หรือว่าคนที่ไล่สังหารเจ้าคือบรรพชนศักดิ์สิทธิ์มารโบราณ! สองสามเดือนก่อนข้าเพิ่งออกจากกักตน จะไปรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร!” ถึงคราวที่ชายร่างใหญ่ต้องตกใจจนสะดุ้งโหยงแล้ว จึงตอบกลับพร้อมกับสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง

“เพิ่งออกจากการกักตน นั่นก็ไม่แปลก เคราะห์มารเริ่มมาระยะหนึ่งแล้ว ร่างแยกสองสามตนของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารที่ไล่สังหารข้าล้วนมีอิทธิฤทธิ์ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย ภายใต้การร่วมมือกันนั้น ข้าย่อมมีแต่ต้องหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น ด้านหลังพี่เหลยคงไม่ใช่ร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์มารโบราณเหมือนกันหรอกกระมัง” สีหน้าตกตะลึงของหานลี่หายวับไปพลางเอ่ยถามด้วยความฉงน

“ใช่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้ แต่พวกเขาควบคุมไอมารเที่ยงแท้ที่บริสุทธิ์มากได้ เคล็ดวิชาของคนหนึ่งในนั้นสามารถควบคุมร่างเบญจอัสนีของข้าได้ ส่วนอีกคนหนึ่งจนถึงยามนี้ข้าก็ยังดูความตื้นลึกหนาบางของพลังยุทธ์อีกฝ่ายไม่ออก ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ท่านใดสักท่านจริงๆ” ชายร่างใหญ่เอ่ยอย่างคลุมเครือ

หานลี่ขมวดคิ้วมุ่นแต่ก็คลายออกทันที

นี่คือเหลยอวิ๋นจื่อที่เขาเคยรู้จักที่ชนต่างเผ่าในอดีต เห็นได้ชัดว่ากำลังปิดบังอันใด แต่ยามนี้ย่อมขี้เกียจจะซักถามอันใดอีก จึงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยกับอีกฝ่าย

“ได้พบกับสหาย นับว่าเป็นโชคของผู้แซ่หานแล้ว ไม่ทราบว่าพี่เหลยยังจำเขตอาคมอัสนีที่ข้าเคยแนะนำในวันนั้นได้หรือไม่? หากเจ้ากับข้าร่วมมือกัน…”

“เขตอาคมอัสนีสองชั้นที่เจ้าเคยพูดถึง ข้าจะลืมเลือนได้อย่างไร ฮ่าๆ ครานี้มีโอกาสหนีรอดแล้ว” เหลยอวิ๋นจื่อดวงตาเปล่งประกาย ได้ยินแล้วพลันแสดงความยินดีออกมา

“สหาย ในเมื่อรู้ดีแก่ใจแล้ว ข้าก็รีบ…เอ๋ กลิ่นหอมนี้มาจากที่ใด?” หานลี่เผยรอยยิ้มออกมาเช่นกัน และกระแอมไอเบาๆ ยามที่จะเอ่ยอีกสองประโยค กลับสูดจมูกฟุตฟิต ฉับพลันนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี

“แย่แล้ว เจ้าสองคนนั้นไล่ตามมาแล้ว สหายหานรีบมาเร็วเข้า ข้าจะพาสหายไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เหลยอวิ๋นจื่อกลับหน้าถอดสี และร้องตะโกนอย่างรีบร้อน

หานลี่ได้ยินคำนี้ก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง ไม่สนใจจะตามหาที่มาของกลิ่นหอมลึกลับ เท้าข้างหนึ่งย่ำไปบนรถเหาะ ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งออกไป

กะพริบวาบสองครา หานลี่มาปรากฏข้างกายของชายร่างใหญ่ สะบัดแขนเสื้อไปด้านล่าง ชั่วขณะนั้นรถเหาะก็กลายเป็นลำแสงวิญญาณกลุ่มหนึ่งจมหายเข้าไปในร่างของเขา

ชายร่างใหญ่ใช้มือหนึ่งร่ายอาคมด้วยสีหน้าร้อนใจ ชั่วขณะนั้นเสียงอึกทึกพลันดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนพลันพุ่งออกมาจากปีกคู่นั้นและเรือนร่าง คาดไม่ถึงว่ารอบด้านจะกลายเป็นเขตอาคมอัสนีสีเงินระยิบระยับ

เขตอาคมอัสนีนี้ส่งเสียงอึกทึกออกมา ห่อหุ้มร่างของชายร่างใหญ่และหานลี่เอาไว้ สายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ ราวกับอสรพิษสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนเริงระบำ ชั่วพริบตาเงาร่างทั้งสองคนก็ถูกกลืนหายเข้าไปข้างใน

แต่ในยามนั้นเองระลอกคลื่นพลันปรากฏขึ้นเหนือเขตอาคมอัสนี ต้นไม้บุปผาสีชมพูต้นหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ

ต้นไม้ต้นนี้สูงประมาณร้อยจั้ง เป็นสีชมพูแวววาว และแผ่กลิ่นหอมที่ยากจะเหลือเชื่อออกมา

ต้นไม้บุปผาแค่พลิ้วไหวสองสามครา ชั่วขณะนั้นบุปผายักษ์สีชมพูจำนวนนับไม่ถ้วนก็ทยอยกันร่วงลงมาราวกับใบไม้ร่วง กะพริบวาบอีกครั้ง กลายเป็นหมอกสีชมพูกลุ่มหนึ่งม้วนวนออกไป

จะว่าไปแล้วก็แปลก หมอกลำแสงสีชมพูดูเหมือนจะเชื่องช้า แต่พอหมุนวนก็ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง มาอยู่เหนือเขตอาคมอัสนี

“ไม่ทันแล้ว รีบไปเร็ว!”

หมอกสีชมพูงดงามเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนมองปราดเดียวก็อดที่จะรู้สึกสดชื่น งดงามเป็นอย่างยิ่งไม่ได้ แต่เมื่อพบกับชายร่างใหญ่ กลับหน้าซีดเผือดราวกับเห็นแมงป่องพิษ แม้กระทั่งเกือบจะไม่สนใจจะกระตุ้นเขตอาคมอัสนีส่งตัวให้เสร็จ ปีกที่แผ่นหลังกระพือ กลายเป็นประจุไฟฟ้าสายหนึ่งพุ่งออกจากเขตอาคมอันสี เปล่งแสงสว่างวาบจมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย

แม้ว่าหานลี่จะได้พบกับต้นไม้บุปผาสีชมพูเป็นครั้งแรก แต่เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของเหลยอวิ๋นจื่อก็ใจหายวาบ ไหล่พลิ้วไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ร่างกายรางเลือน กลายเป็นเส้นไหมลำแสงสีเขียวขาวสายหนึ่งพุ่งออกไปจากเขตอาคมอัสนี

เมื่อเส้นไหมลำแสงสีเขียวขาวปรากฏขึ้นรางๆ แค่กะพริบวาบ ก็อยู่ห่างออกไปสองร้อยจั้งเศษ ปรากฏตัวกลางอากาศอีกด้าน

เขตอาคมอัสนียักษ์มีหมอกลำแสงสีชมพูม้วนวนมา ประจุไฟฟ้าทยอยกันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ทว่าแค่ชั่วลมหายใจ เขตอาคมอัสนีทั้งเขตก็มีรัศมีลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไป!

หมอกสีชมพูนั้นดูเหมือนจะมีพลังในการควบคุมสายฟ้าอัสนีโดยเฉพาะ

ลำแสงหลีกหนีสีเขียวขาวหม่นแสงลง ร่างของหานลี่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เมื่อหันกลับมามองเห็นฉากนี้ ย่อมสูดลมหายใจเข้าด้วยความเย็นเยียบ

“พี่เหลย หรือว่าคือ…” เขาอดที่จะเอ่ยถามเหลยอวิ๋นจื่อด้วยความตกตะลึงไม่ได้

“ใช่แล้ว ผู้ที่ไล่ตามข้ามาๆ ถึงแล้ว ความเร็วที่เจ้าสองคนนี้ไล่ตามข้ารวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ” เหลยอวิ๋นจื่อที่อยู่อีกด้านมีสีหน้าเคร่งขรึมดุจสายธาร ได้ยินแล้วก็แค่ฝืนยิ้มออกมา

หานลี่ได้ฟังย่อมร้องอุทานว่าแย่แล้วในใจ ทำได้เพียงฝืนกระตุ้นจิตใจให้มีชีวิตชีวา สายตาจับจ้องไปที่เงาลวงตาของต้นไม้บุปผาด้วยความเคร่งขรึมอีกครั้ง!

แต่นอกจากเงาลวงตาของต้นไม้บุปผาแล้ว บรรยากาศรอบๆ ก็ยังคงว่างเปล่า เงียบสงัด และไม่มีสิ่งที่สองปรากฏตัวขึ้น

ไม่ว่าเหลยอวิ๋นจื่อหรือว่าหานลี่ล้วนไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ ย่อมไม่มีทางถูกลูกไม้ตื้นๆ หลอกลวงได้ ไม่เพียงจะไม่ได้กระทำการอันใดที่บุ่มบ่าม กลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ปริปาก

“หึๆ ครั้งนี้จะหนีได้อย่างไร? หรือว่ายอมจำนนแล้ว ส่งสิ่งนั้นมาให้ข้า”

สิ้นเสียงบรรยากาศรอบๆ ก็พลิ้วไหวเล็กน้อย บุรุษหน้าตาอัปลักษณ์สวมชุดคลุมยาวสีดำคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ยักคอกวาดสายตามา ชั่วขณะนั้นพลันพบการดำรงอยู่ของเหลยอวิ๋นจื่อและหานลี่

“เอ๋ ยังมีอีกคน เจ้าคือผู้ใด” แววตาของบุรุษหน้าตาอัปลักษณ์ฉายแววโหดเหี้ยม ร้องตะโกนถามด้วยความเหี้ยมเกรียม

“คนผู้นี้ ไล่สังหารเจ้ามาหรือ!?” หานลี่ชักสีหน้า พลางเอ่ยถามเหลยอวิ๋นจื่อที่อยู่อีกด้าน

“แน่นอนว่าไม่ใช่ นอกจากเขาแล้วยังมี…”

“ยังมีข้า!”

เสียงของสตรีอันราบเรียบ ดังมาจากภาพลวงตาต้นไม้บุปผา

จากนั้นผิวของต้นไม้บุปผาก็มีรัศมีลำแสงสีชมพูเปล่งแสงสว่างวาบ หลังจากส่งเสียงดังปังก็แตกออกเป็นหลายชุ่น

หลังจากสายลมพัดหอบมา เงาลวงตาก็กลายเป็นดวงลำแสงสลายหายไป แต่ระลอกคลื่นพลันปรากฏขึ้นที่เดิม แต่กลับมีหญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีขาวเท้าเปลือยเปล่าคนหนึ่งปรากฏขึ้น

หญิงสาวผู้นี้มีสีหน้างดงามไม่เป็นสองรองใคร สีหน้าราบเรียบ ด้านล่างสองเท้าที่เปลือยเปล่ามีดอกไม้ยักษ์สีชมพูปรากฏขึ้น

ชั่วพริบตาที่หานลี่มองเห็นสตรีผู้นี้ ก็รู้สึกเพียงลมหายใจติดขัด คาดไม่ถึงว่าจะมีความรู้สึกที่ทำให้เขากั้นลมหายใจปรากฏขึ้นในหัวใจ สีหน้าเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้

ชั่วพริบตานั้นหานลี่ก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ใช่สิ่งมีชีวิตระดับมหายาน ก็ต้องเป็นร่างแยกของสิ่งมีชีวิตระดับมหายาน มิเช่นนั้นคงไม่อาจทำให้เขารู้สึกว่าน่ากลัวเพียงนี้ได้

หลังจากที่หญิงสาวที่อยู่บนบุปผายักษ์ปรากฏตัว สายตาก็มองมายังใบหน้าของหานลี่และเหลยอวิ๋นจื่อ มุมปากหยักขึ้น เผยรอยยิ้มลึกลับออกมา

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+