A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1976 เขตอาคมดวงดารา

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1976 เขตอาคมดวงดารา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“สหายกู้ เจ้าน่าจะมีลานประลองโดยเฉพาะสินะ เกรงว่าต้องขอยืมสักหน่อย” หานลี่หันกายไปเอ่ยกับชายชราชุดคลุมสีเทา

“มีอยู่แล้ว หอคอยโตวหยวนมีห้วงมิติเวลาที่เปิดเพื่อการส่วนตัวได้ ในนั้นแม้ว่าจะเป็นการต่อสู้ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ก็ไม่มีผลกระทบต่อโลกภายนอก สหายทั้งสองอยากประลองกัน ย่อมไม่มีปัญหา” ชายชราแซ่กู้พลันตกตะลึงแล้วตอบกลับทันใด

ภิกษุจินเย่ว์เห็นหานลี่พูดสองสามคำ ก็ตกลง ‘สามการโจมตี’ ได้แล้ว มุมปากก็อดที่จะกระตุกไม่ได้

แม้ว่าอาวุโสอย่างพวกเขาล้วนรู้มาจากปากของเซียนหยินกวงว่าหานลี่มีอิทธิฤทธิ์เหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกัน แม้แต่จอมมารเผ่ามารก็สามารถสังหารได้อย่างต่อเนื่องสองสามตน แต่หากแค่การโจมตีสามครั้ง อรหันต์ชิงหลงก็น่าจะรับได้

มิเช่นนั้นอาวุโสพรรคเก้าดาราที่เพิ่งมาในเมืองเทวะสวรรค์ใหม่ผู้นี้คงทำได้เพียงกล่าวได้ว่ามีชื่อเสียงจอมปลอม ดูเหมือนว่าสภาอาวุโสไม่มีความจำเป็นต้องยอมเสี่ยงล่วงเกินหานลี่ เพื่อปกป้องเขาอีกต่อไป

ชั่วพริบตาภิกษุจินเย่ว์ก็มองความได้เปรียบเสียเปรียบออกอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงเอ่ยปากชักจูงอีกสองสามประโยค เมื่อเห็นว่าไม่มีผล ก็ทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วไม่ได้เอ่ยปากอันใดอีก

ส่วนเซียนหยินกวงและชายชราแซ่กู้ คนหนึ่งก็ค่อนข้างเข้าข้างหานลี่ คนหนึ่งก็ไม่คิดจะล่วงเกินทั้งสองฝ่าย จึงไม่ได้ไม่เห็นด้วยอันใด

ดังนั้นกลุ่มคนจึงเดินตามชายชราแซ่กู้ออกไป

ทว่าชั่วพริบตาที่มาอยู่ด้านนอกประตูหานลี่ก็หันไปกวาดตามองเสี่ยวหงและพวกแวบหนึ่งพลางอย่างราบเรียบ

“พรุ่งนี้หากข้าไม่พบพวกเจ้าที่ที่พัก หึๆ ผลจะเป็นอย่างไรพวกเจ้าก็รู้ดีสินะ!”

เอ่ยจบเขาก็เดินออกนอกประตูไปอย่างไม่สนใจอันใด

ส่วนเสี่ยวหงและพวกก็รู้สึกตัวสั่นสะท้าน แต่ผู้ใดก็ไม่กล้าส่งเสียงใดอันใด

ส่วนภิกษุจินเย่ว์และพวกกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน จากไปโดยไม่แม้แต่จะมองคนพวกนั้นเลยสักแวบ

แม้ว่าอรหันต์ชิงหลงจะหันกลับมามองพวกเขาแวบหนึ่งด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่สุดท้ายก็เดินออกจากห้องโถงไปโดยไม่ได้พูดจาอันใดสักคำ

“เซียนหง พวกเราจะทำอย่างไรดี ท่านอาวุโสชิงหลงดูเหมือนจะไม่ออกหน้าให้พวกเรา จะทำอย่างไรดี!” ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่าปีศาจที่มีขนสีดำทั่วใบหน้า รอจนเงาร่างของหานลี่และพวกหายวับไปจากประตู ก็เอ่ยกับสตรีนามว่าเสี่ยงหงด้วยใบหน้าโศกเศร้า

“ใช่แล้ว นี่ไม่เหมือนกับที่พูดกับสหายในยามนั้น ตอนนั้นเซียนช่วยชักจูงพวกเราแทนอาวุโสชิงหลง ก็ได้รับการรับประกันว่า ท่านอาวุโสหานเพลี่ยงพล้ำไปแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังกลับมาโดยไม่เป็นอันใด ทุกอย่างนี้ล้วนต้องให้ท่านอาวุโสชิงหลงเป็นผู้ตัดสิน ว่าจะเกี่ยวข้องกับพวกเราหรือไม่ ยามนี้ต้องพูดให้เราถึงจะถูก” มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรอีกคนหนึ่งเอ่ยอย่างร้อนใจ

แม้ว่าคนอื่นๆ จะไม่ได้เอ่ยอันใด แต่ก็มองมายังเสี่ยวหงเช่นกัน ดูเหมือนว่าเดิมในบรรดาคนเหล่านี้สตรีผู้นี้ก็เป็นผู้นำ

“หึ พวกเจ้าคิดว่าข้าจัดการได้หรือ! ตอนแรกท่านอาวุโสชิงหลงเองก็ใช้คำพูดเหล่านี้รับประกันกับข้าเหมือนกัน ข้าแค่ถ่ายทอดคำพูดของเขาเท่านั้น ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะหวาดกลัวผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันเพียงนี้ แม้แต่ปกป้องพวกเราก็ยังไม่กล้า โชคดีที่พวกเราล้วนเป็นผู้ที่มีที่มาที่ไป คนผู้นั้นแม้ว่าจะมีอิทธิฤทธิ์ร้ายกาจ แต่ก็ไม่อาจสังหารพวกเราทิ้งได้ แต่หากเป็นพรุ่งนี้คงหลีกเลี่ยงความทุกข์ยากได้ยากแล้ว สีหน้าของเสี่ยวหงฟื้นฟูขึ้นมาสองส่วน เมื่อได้ยินคนอื่นๆ ซักถาม ใบหน้าเรียวก็เคร่งขรึม ตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์

“เช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเราก็ต้องไปหาท่านอาวุโสหานที่ถ้ำพำนัก!” คนหนึ่งมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส เอ่ยถามอย่างลังเลเล็กเลย

“หึ ข้าว่าพวกเจ้าอย่าคิดหนีเลย หากทำเช่นนั้นจริงๆ คนผู้นั้นอาจจะมีเหตุผลให้ลงมือกับพวกเราอย่างเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม ถึงยามนั้นแม้ว่าจะเป็นท่านอาวุโสของพวกเรา เกรงว่าก็คงไม่อาจปกป้องพวกเราได้” เสี่ยวหงแค่นเสียง ยังคงเอ่ยเตือน

“สหายเสี่ยวพูดถูก ในเมื่อเขาวางใจให้พวกเราจากไป เกรงว่าคงลงผนึกอันใดไว้ที่ตัวของพวกเราแล้ว หากคิดหนีย่อมเป็นการรนหาที่ตาย และยิ่งไปกว่านั้นเมืองเทวะสวรรค์ก็ถูกกองทัพเผ่ามารล้อมเอาไว้หมดแล้ว ต่อให้อยากหนีจะหนีไปไหนได้ พรุ่งนี้ก็รับผิดดีๆ เถิด! ข้าน้อยต้องบอกเรื่องนี้กับท่านอาวุโส ขอตัวลาก่อน” ผู้บำเพ็ญเพียรที่ค่อนข้างชราคนหนึ่งถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ประสานกำปั้นแล้วจากไปอย่างกังวลใจ

คนที่เหลือมองสบตากันสองสามแวบ รู้สึกว่าไม่มีทางเลือกที่สอง ก็ทำได้เพียงทยอยกันจากไปอย่างกังวลใจ

ชั่วพรบิตาในห้องโถงก็เหลือเพียงสตรีนามว่าเสี่ยวหงเพียงลำพัง

หลังจากที่นั่งตะลึงงันอยู่ที่เดิมชั่วครู่ มีสีหน้าบัดเดี๋ยวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบัดเดี๋ยวโกรธเกรี้ยวอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็ย่ำเท้า แล้วจากไปอย่างจนปัญญา

ส่วนหลังจากที่คนเหล่านั้นกลับไป ก็ไปเตรียมของขวัญมากมาย ไม่ก็ไปขอร้องผู้อื่น แน่นอนว่าต่างพากันหาแผนการกันเอง

……

ยามนี้กลุ่มของหานลี่ที่มีชายชราชุดคลุมสีเทาเป็นผู้นำ ก็มาถึงชั้นสูงสุดที่มีขนาดใหญ่มากของหอคอย

มองเห็นเขตอาคมขนาดเล็กที่วางอยู่ตรงใจกลางของห้องโถง หานลี่พลันแววตาเปล่งประกาย

ชายชราแซ่กู้เดินไปอยู่หน้าเขตอาคมอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด สองมือพลันร่ายอาคม ปล่อยอาคมลึกลับโจมตีออกไปอย่างต่อเนื่องสองสามสาย

อาคมกลายเป็นลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายวับไปในเขตอาคม

ครู่ต่อมาเสียงอึกทึกพลันดังขึ้น เขตอาคมทั้งเขตถูกกระตุ้น

ชายชราแซ่กู้ถึงได้หันหน้ามาสองยิ้มให้กับทุกคน

“ใช้เขตอาคมส่งตัวนี้เข้าไปในแดนประลอง เหล่าสหายเข้าไปเถิด เขตอาคมนี้เพียงพอที่จะบรรจุพวกเราเข้าไปพร้อมกัน”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้แซ่หานก็ไม่เกรงใจแล้ว” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ร่างกายเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วยืนอยู่ตรงใจกลางของเขตอาคม

จากอิทธิฤทธิ์ของเขาในยามนี้ห้วงมิติเวลาเล็กๆ แค่นี้ย่อมไม่อาจกักเขาเอาไว้ได้ แน่นอนว่าจึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอันใด

อรหันต์ชิงหลงราวกับไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมา แม้ว่าจะมีสีหน้าเคร่งขรึมแต่ก็ไม่ได้พูดอันใด พลันสะบัดแขนเสื้อ หมอกลำแสงม้วนวนออกมาจากผิวกลายเป็นลำแสงสีเขียวจมหายเข้าไปในเขตอาคม

เมื่อเห็นการกระทำของหานลี่และพวกทั้งสอง ภิกษุจินเย่ว์ก็สั่นศีรษะแล้วเดินตามไป หงส์น้ำแข็งขมวดคิ้วแล้วเดินตามไป

ชายชราชุดสีเทาและเซียนหยินกวงเป็นผู้ที่เหยียบเข้าไปในเขตอาคมเป็นคนสุดท้าย

ชั่วพริบตาที่ชายชราเข้าไป ก็กระตุ้นอาคมทันที

ชั่วขณะนั้นเขตอาคมพลันเปล่งแสงห้าสีออกมา และหมุนวน ห่อหุ้มทุกคนเอาไว้อย่างรวดเร็ว

หานลี่รู้สึกเพียงว่าทัศนียภาพรอบด้านรางเลือน คนมาปรากฏตัวในที่ที่ไม่คุ้นเคย

กวาดสายตาไปรอบด้าน ทุกอย่างในบริเวณรอบพลันเข้าสู้ครรลองสายตา

ห้วงมิติเวลาตรงหน้านับว่าค่อนข้างเล็ก มีขนาดแค่สองสามพันหมู่ รอบด้านเหมือนกับมิติเวลาทั่วๆ ไป เป็นกำแพงสีเทา แต่ตรงใจกลางกลับมีแท่นสูงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางร้อยจั้งเศษ

ผิวของแท่นสูงเปล่งแสงวาววับ แค่มองก็รู้ว่ามีเขตอาคมพิเศษ และมีเสาหินสูงสิบจั้งเศษตั้งตระหง่านอยู่รอบๆ แท่นหินสิบกว่าต้น

ผิวของเสาหินเหล่านี้สลักลวดลายที่วิจิตรงดงามเอาไว้ และฝังศิลาวิญญาณระดับสูงเอาไว้ เผยความงดงามเป็นอย่างยิ่งออกมา!

“เขตอาคมดวงดารา! พี่กู้ ฝีมือของเจ้าช่างไม่ธรรมดาเลย มีเขตอาคมนี้คุ้มกันอยู่ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับพวกเราต่อสู้กันในนั้น ก็ส่งกระทบต่อคนที่อยู่นอกแท่นบูชาได้ยาก” เซียนหยินกวงมองไปรอบๆ ปราดเดียวก็เอ่ยด้วยความตกตะลึง

ภิกษุจินเย่ว์เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

“หึๆ ทำให้เหล่าสหายเห็นเรื่องน่าขบขันแล้ว บางครั้งข้าน้อยต้องทดสอบเคล็ดวิชาต่างๆ ถึงได้สร้างที่นี่ขึ้น” แม้ว่าชายชราชุดคลุมสีเทาจะเอ่ยปากอย่างถ่อมตน แต่แววตาก็อดที่จะเผยสีหน้าพึงพอใจออกมาไม่ได้

เขตอาคมต้องห้ามของที่นี่ ทำให้เขาเสียแรงไปไม่น้อยจริงๆ

หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงชั่วครู่ มือหนึ่งร่ายอาคมโดยไม่ปริปาก กลายเป็นลำแสงหลีกหนี แล้วกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวเจิดจ้าบินไปที่แท่นสูง

ลำแสงวิญญาณที่อยู่กลางอากาศหม่นแสงลง ร่างของหานลี่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง และเอ่ยกับอรหันต์ชิงหลงอย่างเย็นชาและไม่รีบร้อน

“สหายชิงหลง ในเมื่อมาถึงแล้ว ยังไม่ขึ้นมาบนเวทีอีก?”

อรหันต์ชิงหลงมีสีหน้าเคร่งขรึม แค่นเสียงหึงอย่างเย็นชา ตบเท้าข้างหนึ่งไปข้างหน้าไอสีเขียวกลุ่มหนึ่งรองร่างของเขาเอาไว้ แล้วพลิ้วไหวบินขึ้นไปบนเวที จากนั้นก็หยุดอยู่กลางอากาศตรงข้ามกับหานลี่

หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าเขามีสีหน้าเคร่งขรึมดุจสายตา ก็มีความรู้ราวกับเทพเซียนที่โบยบินออกมา

ชายชราแซ่กู้ที่อยู่ด้านข้างเห็นสถานการณ์เช่นนี้ กลับมิกล้าดูแคลน มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ จานหยกสีเงินปรากฏขึ้น และโยนไปยังแท่นสูง

ชั่วขณะนั้นจานหยกพลันพลิ้วไหว กลายเป็นดวงแสงสีเงินลอยอยู่กลางเขตอาคม

ยามนี้ชายชราถึงได้ใช้นิ้วชี้ออกไป ในเวลาเดียวกันพลันบริกรรมคาถา

เสียงอึกทึก “ปังๆ” พลันดังสนั่นขึ้น ศิลาวิญญาณที่ฝังอยู่บนเสาหินรอบด้านเปล่งแสงเจิดจ้า ในเวลาเดียวกันเหนือเสาหินก็มีลำแสงสว่างวาบ พ่นเสาลำแสงต่างๆ ออกมา รวมตัวกันที่จานหยกที่กลายเป็นดวงแสงสีเงินอย่างพอดิบพอดี

ครู่ต่อมาดวงแสงสีเงินพลันระเบิดออก ดวงลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นม่านลำแสงหนาๆ ห่อหุ้มแท่นศิลาเอาไว้

ผิวของม่านลำแสงไม่เพียงจะเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับ ยังมีอักขระยันต์สีขาวโพลนจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมา สะท้อนแท่นหินจนเป็นสีขาวโพลน เผยความลึกลับเป็นอย่างยิ่งออกมา

“เอาล่ะ เขตอาคมเสร็จแล้ว ยามนี้ต่อให้สหายทั้งสองพลิกฟ้าถล่มดิน ก็ไม่มีผลกระทบกับพวกเรา” ชายชราสวมชุดคลุมสีเทาถอนหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง หลังจากเก็บอาคม ก็หันหน้าไปเอ่ยกับภิกษุจินเย่ว์

“รบกวนประสกกู้แล้ว หวังว่าสหายทั้งสองจะแค่แลกเปลี่ยนกันเล็กน้อยแล้วหยุดมือทันที มิเช่นนั้นจะเป็นการทำลายความสงบสุข” ภิกษุจินเย่ว์เอ่ยปากขอบคุณ แล้วเอ่ยอย่างกังวลใจออกมา

“ปรมาจารย์วางใจ แค่สามการโจมตี ไม่ว่าอย่างไรสหายชิงหลงก็ต้องรับให้ได้ ทว่าครั้งนี้สหายทั้งสองยอมแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา พวกเราได้เห็นด้วยตาของตนเอง ก็นับว่าได้เปิดโลกแล้ว! โดยเฉพาะสหายหาน ได้ยินว่าจอมมารเผ่ามารสองสามคนก็ยังต้องตกตายด้วยน้ำมือเขา ตาเฒ่าย่อมอยากเห็นอิทธิฤทธิ์ของเขาไวๆ” ชายชราแซ่กู้กลับยิ้มจนตาหยีขณะเอ่ย

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง!” ภิกษุจินเย่ว์สวมมนต์ภาษาสันสกฤต ถอนหายใจขณะเอ่ยตอบ

ส่วนหงส์น้ำแข็งที่มองหานลี่อยู่ในม่านลำแสง ในใจก็อดที่จะรู้สึกกังวลขึ้นมาสองส่วนไม่ได้

“สหายเตรียมตัวให้ดี ผู้แซ่หานจะลงมือแล้ว!” หานลี่มองอรหันต์ชิงหลงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ใบหน้ามีจิตสังหารฉายแวบผ่าน แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา

แทบจะในเวลาเดียวกัน เขาพลันถูมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน เสียงฟ้าผ่าพลันดังขึ้น!

สายฟ้าสีทองเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นบนแขนทั้งสองข้าง ประจุไฟฟ้าหนาๆ จำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมา จากนั้นก็รวมตัวกันกลายเป็นงูเหลือมไฟฟ้าสีทองพวยพุ่งขึ้นบนไปท้องฟ้า แยกเขี้ยวตะปบเล็กท่าทางน่าตกตะลึงยิ่ง!

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1976 เขตอาคมดวงดารา

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1976 เขตอาคมดวงดารา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“สหายกู้ เจ้าน่าจะมีลานประลองโดยเฉพาะสินะ เกรงว่าต้องขอยืมสักหน่อย” หานลี่หันกายไปเอ่ยกับชายชราชุดคลุมสีเทา

“มีอยู่แล้ว หอคอยโตวหยวนมีห้วงมิติเวลาที่เปิดเพื่อการส่วนตัวได้ ในนั้นแม้ว่าจะเป็นการต่อสู้ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ก็ไม่มีผลกระทบต่อโลกภายนอก สหายทั้งสองอยากประลองกัน ย่อมไม่มีปัญหา” ชายชราแซ่กู้พลันตกตะลึงแล้วตอบกลับทันใด

ภิกษุจินเย่ว์เห็นหานลี่พูดสองสามคำ ก็ตกลง ‘สามการโจมตี’ ได้แล้ว มุมปากก็อดที่จะกระตุกไม่ได้

แม้ว่าอาวุโสอย่างพวกเขาล้วนรู้มาจากปากของเซียนหยินกวงว่าหานลี่มีอิทธิฤทธิ์เหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกัน แม้แต่จอมมารเผ่ามารก็สามารถสังหารได้อย่างต่อเนื่องสองสามตน แต่หากแค่การโจมตีสามครั้ง อรหันต์ชิงหลงก็น่าจะรับได้

มิเช่นนั้นอาวุโสพรรคเก้าดาราที่เพิ่งมาในเมืองเทวะสวรรค์ใหม่ผู้นี้คงทำได้เพียงกล่าวได้ว่ามีชื่อเสียงจอมปลอม ดูเหมือนว่าสภาอาวุโสไม่มีความจำเป็นต้องยอมเสี่ยงล่วงเกินหานลี่ เพื่อปกป้องเขาอีกต่อไป

ชั่วพริบตาภิกษุจินเย่ว์ก็มองความได้เปรียบเสียเปรียบออกอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงเอ่ยปากชักจูงอีกสองสามประโยค เมื่อเห็นว่าไม่มีผล ก็ทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วไม่ได้เอ่ยปากอันใดอีก

ส่วนเซียนหยินกวงและชายชราแซ่กู้ คนหนึ่งก็ค่อนข้างเข้าข้างหานลี่ คนหนึ่งก็ไม่คิดจะล่วงเกินทั้งสองฝ่าย จึงไม่ได้ไม่เห็นด้วยอันใด

ดังนั้นกลุ่มคนจึงเดินตามชายชราแซ่กู้ออกไป

ทว่าชั่วพริบตาที่มาอยู่ด้านนอกประตูหานลี่ก็หันไปกวาดตามองเสี่ยวหงและพวกแวบหนึ่งพลางอย่างราบเรียบ

“พรุ่งนี้หากข้าไม่พบพวกเจ้าที่ที่พัก หึๆ ผลจะเป็นอย่างไรพวกเจ้าก็รู้ดีสินะ!”

เอ่ยจบเขาก็เดินออกนอกประตูไปอย่างไม่สนใจอันใด

ส่วนเสี่ยวหงและพวกก็รู้สึกตัวสั่นสะท้าน แต่ผู้ใดก็ไม่กล้าส่งเสียงใดอันใด

ส่วนภิกษุจินเย่ว์และพวกกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน จากไปโดยไม่แม้แต่จะมองคนพวกนั้นเลยสักแวบ

แม้ว่าอรหันต์ชิงหลงจะหันกลับมามองพวกเขาแวบหนึ่งด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่สุดท้ายก็เดินออกจากห้องโถงไปโดยไม่ได้พูดจาอันใดสักคำ

“เซียนหง พวกเราจะทำอย่างไรดี ท่านอาวุโสชิงหลงดูเหมือนจะไม่ออกหน้าให้พวกเรา จะทำอย่างไรดี!” ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่าปีศาจที่มีขนสีดำทั่วใบหน้า รอจนเงาร่างของหานลี่และพวกหายวับไปจากประตู ก็เอ่ยกับสตรีนามว่าเสี่ยงหงด้วยใบหน้าโศกเศร้า

“ใช่แล้ว นี่ไม่เหมือนกับที่พูดกับสหายในยามนั้น ตอนนั้นเซียนช่วยชักจูงพวกเราแทนอาวุโสชิงหลง ก็ได้รับการรับประกันว่า ท่านอาวุโสหานเพลี่ยงพล้ำไปแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังกลับมาโดยไม่เป็นอันใด ทุกอย่างนี้ล้วนต้องให้ท่านอาวุโสชิงหลงเป็นผู้ตัดสิน ว่าจะเกี่ยวข้องกับพวกเราหรือไม่ ยามนี้ต้องพูดให้เราถึงจะถูก” มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรอีกคนหนึ่งเอ่ยอย่างร้อนใจ

แม้ว่าคนอื่นๆ จะไม่ได้เอ่ยอันใด แต่ก็มองมายังเสี่ยวหงเช่นกัน ดูเหมือนว่าเดิมในบรรดาคนเหล่านี้สตรีผู้นี้ก็เป็นผู้นำ

“หึ พวกเจ้าคิดว่าข้าจัดการได้หรือ! ตอนแรกท่านอาวุโสชิงหลงเองก็ใช้คำพูดเหล่านี้รับประกันกับข้าเหมือนกัน ข้าแค่ถ่ายทอดคำพูดของเขาเท่านั้น ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะหวาดกลัวผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันเพียงนี้ แม้แต่ปกป้องพวกเราก็ยังไม่กล้า โชคดีที่พวกเราล้วนเป็นผู้ที่มีที่มาที่ไป คนผู้นั้นแม้ว่าจะมีอิทธิฤทธิ์ร้ายกาจ แต่ก็ไม่อาจสังหารพวกเราทิ้งได้ แต่หากเป็นพรุ่งนี้คงหลีกเลี่ยงความทุกข์ยากได้ยากแล้ว สีหน้าของเสี่ยวหงฟื้นฟูขึ้นมาสองส่วน เมื่อได้ยินคนอื่นๆ ซักถาม ใบหน้าเรียวก็เคร่งขรึม ตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์

“เช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเราก็ต้องไปหาท่านอาวุโสหานที่ถ้ำพำนัก!” คนหนึ่งมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส เอ่ยถามอย่างลังเลเล็กเลย

“หึ ข้าว่าพวกเจ้าอย่าคิดหนีเลย หากทำเช่นนั้นจริงๆ คนผู้นั้นอาจจะมีเหตุผลให้ลงมือกับพวกเราอย่างเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม ถึงยามนั้นแม้ว่าจะเป็นท่านอาวุโสของพวกเรา เกรงว่าก็คงไม่อาจปกป้องพวกเราได้” เสี่ยวหงแค่นเสียง ยังคงเอ่ยเตือน

“สหายเสี่ยวพูดถูก ในเมื่อเขาวางใจให้พวกเราจากไป เกรงว่าคงลงผนึกอันใดไว้ที่ตัวของพวกเราแล้ว หากคิดหนีย่อมเป็นการรนหาที่ตาย และยิ่งไปกว่านั้นเมืองเทวะสวรรค์ก็ถูกกองทัพเผ่ามารล้อมเอาไว้หมดแล้ว ต่อให้อยากหนีจะหนีไปไหนได้ พรุ่งนี้ก็รับผิดดีๆ เถิด! ข้าน้อยต้องบอกเรื่องนี้กับท่านอาวุโส ขอตัวลาก่อน” ผู้บำเพ็ญเพียรที่ค่อนข้างชราคนหนึ่งถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ประสานกำปั้นแล้วจากไปอย่างกังวลใจ

คนที่เหลือมองสบตากันสองสามแวบ รู้สึกว่าไม่มีทางเลือกที่สอง ก็ทำได้เพียงทยอยกันจากไปอย่างกังวลใจ

ชั่วพรบิตาในห้องโถงก็เหลือเพียงสตรีนามว่าเสี่ยวหงเพียงลำพัง

หลังจากที่นั่งตะลึงงันอยู่ที่เดิมชั่วครู่ มีสีหน้าบัดเดี๋ยวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบัดเดี๋ยวโกรธเกรี้ยวอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็ย่ำเท้า แล้วจากไปอย่างจนปัญญา

ส่วนหลังจากที่คนเหล่านั้นกลับไป ก็ไปเตรียมของขวัญมากมาย ไม่ก็ไปขอร้องผู้อื่น แน่นอนว่าต่างพากันหาแผนการกันเอง

……

ยามนี้กลุ่มของหานลี่ที่มีชายชราชุดคลุมสีเทาเป็นผู้นำ ก็มาถึงชั้นสูงสุดที่มีขนาดใหญ่มากของหอคอย

มองเห็นเขตอาคมขนาดเล็กที่วางอยู่ตรงใจกลางของห้องโถง หานลี่พลันแววตาเปล่งประกาย

ชายชราแซ่กู้เดินไปอยู่หน้าเขตอาคมอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด สองมือพลันร่ายอาคม ปล่อยอาคมลึกลับโจมตีออกไปอย่างต่อเนื่องสองสามสาย

อาคมกลายเป็นลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายวับไปในเขตอาคม

ครู่ต่อมาเสียงอึกทึกพลันดังขึ้น เขตอาคมทั้งเขตถูกกระตุ้น

ชายชราแซ่กู้ถึงได้หันหน้ามาสองยิ้มให้กับทุกคน

“ใช้เขตอาคมส่งตัวนี้เข้าไปในแดนประลอง เหล่าสหายเข้าไปเถิด เขตอาคมนี้เพียงพอที่จะบรรจุพวกเราเข้าไปพร้อมกัน”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้แซ่หานก็ไม่เกรงใจแล้ว” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ร่างกายเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วยืนอยู่ตรงใจกลางของเขตอาคม

จากอิทธิฤทธิ์ของเขาในยามนี้ห้วงมิติเวลาเล็กๆ แค่นี้ย่อมไม่อาจกักเขาเอาไว้ได้ แน่นอนว่าจึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอันใด

อรหันต์ชิงหลงราวกับไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมา แม้ว่าจะมีสีหน้าเคร่งขรึมแต่ก็ไม่ได้พูดอันใด พลันสะบัดแขนเสื้อ หมอกลำแสงม้วนวนออกมาจากผิวกลายเป็นลำแสงสีเขียวจมหายเข้าไปในเขตอาคม

เมื่อเห็นการกระทำของหานลี่และพวกทั้งสอง ภิกษุจินเย่ว์ก็สั่นศีรษะแล้วเดินตามไป หงส์น้ำแข็งขมวดคิ้วแล้วเดินตามไป

ชายชราชุดสีเทาและเซียนหยินกวงเป็นผู้ที่เหยียบเข้าไปในเขตอาคมเป็นคนสุดท้าย

ชั่วพริบตาที่ชายชราเข้าไป ก็กระตุ้นอาคมทันที

ชั่วขณะนั้นเขตอาคมพลันเปล่งแสงห้าสีออกมา และหมุนวน ห่อหุ้มทุกคนเอาไว้อย่างรวดเร็ว

หานลี่รู้สึกเพียงว่าทัศนียภาพรอบด้านรางเลือน คนมาปรากฏตัวในที่ที่ไม่คุ้นเคย

กวาดสายตาไปรอบด้าน ทุกอย่างในบริเวณรอบพลันเข้าสู้ครรลองสายตา

ห้วงมิติเวลาตรงหน้านับว่าค่อนข้างเล็ก มีขนาดแค่สองสามพันหมู่ รอบด้านเหมือนกับมิติเวลาทั่วๆ ไป เป็นกำแพงสีเทา แต่ตรงใจกลางกลับมีแท่นสูงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางร้อยจั้งเศษ

ผิวของแท่นสูงเปล่งแสงวาววับ แค่มองก็รู้ว่ามีเขตอาคมพิเศษ และมีเสาหินสูงสิบจั้งเศษตั้งตระหง่านอยู่รอบๆ แท่นหินสิบกว่าต้น

ผิวของเสาหินเหล่านี้สลักลวดลายที่วิจิตรงดงามเอาไว้ และฝังศิลาวิญญาณระดับสูงเอาไว้ เผยความงดงามเป็นอย่างยิ่งออกมา!

“เขตอาคมดวงดารา! พี่กู้ ฝีมือของเจ้าช่างไม่ธรรมดาเลย มีเขตอาคมนี้คุ้มกันอยู่ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับพวกเราต่อสู้กันในนั้น ก็ส่งกระทบต่อคนที่อยู่นอกแท่นบูชาได้ยาก” เซียนหยินกวงมองไปรอบๆ ปราดเดียวก็เอ่ยด้วยความตกตะลึง

ภิกษุจินเย่ว์เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

“หึๆ ทำให้เหล่าสหายเห็นเรื่องน่าขบขันแล้ว บางครั้งข้าน้อยต้องทดสอบเคล็ดวิชาต่างๆ ถึงได้สร้างที่นี่ขึ้น” แม้ว่าชายชราชุดคลุมสีเทาจะเอ่ยปากอย่างถ่อมตน แต่แววตาก็อดที่จะเผยสีหน้าพึงพอใจออกมาไม่ได้

เขตอาคมต้องห้ามของที่นี่ ทำให้เขาเสียแรงไปไม่น้อยจริงๆ

หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงชั่วครู่ มือหนึ่งร่ายอาคมโดยไม่ปริปาก กลายเป็นลำแสงหลีกหนี แล้วกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวเจิดจ้าบินไปที่แท่นสูง

ลำแสงวิญญาณที่อยู่กลางอากาศหม่นแสงลง ร่างของหานลี่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง และเอ่ยกับอรหันต์ชิงหลงอย่างเย็นชาและไม่รีบร้อน

“สหายชิงหลง ในเมื่อมาถึงแล้ว ยังไม่ขึ้นมาบนเวทีอีก?”

อรหันต์ชิงหลงมีสีหน้าเคร่งขรึม แค่นเสียงหึงอย่างเย็นชา ตบเท้าข้างหนึ่งไปข้างหน้าไอสีเขียวกลุ่มหนึ่งรองร่างของเขาเอาไว้ แล้วพลิ้วไหวบินขึ้นไปบนเวที จากนั้นก็หยุดอยู่กลางอากาศตรงข้ามกับหานลี่

หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าเขามีสีหน้าเคร่งขรึมดุจสายตา ก็มีความรู้ราวกับเทพเซียนที่โบยบินออกมา

ชายชราแซ่กู้ที่อยู่ด้านข้างเห็นสถานการณ์เช่นนี้ กลับมิกล้าดูแคลน มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ จานหยกสีเงินปรากฏขึ้น และโยนไปยังแท่นสูง

ชั่วขณะนั้นจานหยกพลันพลิ้วไหว กลายเป็นดวงแสงสีเงินลอยอยู่กลางเขตอาคม

ยามนี้ชายชราถึงได้ใช้นิ้วชี้ออกไป ในเวลาเดียวกันพลันบริกรรมคาถา

เสียงอึกทึก “ปังๆ” พลันดังสนั่นขึ้น ศิลาวิญญาณที่ฝังอยู่บนเสาหินรอบด้านเปล่งแสงเจิดจ้า ในเวลาเดียวกันเหนือเสาหินก็มีลำแสงสว่างวาบ พ่นเสาลำแสงต่างๆ ออกมา รวมตัวกันที่จานหยกที่กลายเป็นดวงแสงสีเงินอย่างพอดิบพอดี

ครู่ต่อมาดวงแสงสีเงินพลันระเบิดออก ดวงลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นม่านลำแสงหนาๆ ห่อหุ้มแท่นศิลาเอาไว้

ผิวของม่านลำแสงไม่เพียงจะเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับ ยังมีอักขระยันต์สีขาวโพลนจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมา สะท้อนแท่นหินจนเป็นสีขาวโพลน เผยความลึกลับเป็นอย่างยิ่งออกมา

“เอาล่ะ เขตอาคมเสร็จแล้ว ยามนี้ต่อให้สหายทั้งสองพลิกฟ้าถล่มดิน ก็ไม่มีผลกระทบกับพวกเรา” ชายชราสวมชุดคลุมสีเทาถอนหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง หลังจากเก็บอาคม ก็หันหน้าไปเอ่ยกับภิกษุจินเย่ว์

“รบกวนประสกกู้แล้ว หวังว่าสหายทั้งสองจะแค่แลกเปลี่ยนกันเล็กน้อยแล้วหยุดมือทันที มิเช่นนั้นจะเป็นการทำลายความสงบสุข” ภิกษุจินเย่ว์เอ่ยปากขอบคุณ แล้วเอ่ยอย่างกังวลใจออกมา

“ปรมาจารย์วางใจ แค่สามการโจมตี ไม่ว่าอย่างไรสหายชิงหลงก็ต้องรับให้ได้ ทว่าครั้งนี้สหายทั้งสองยอมแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา พวกเราได้เห็นด้วยตาของตนเอง ก็นับว่าได้เปิดโลกแล้ว! โดยเฉพาะสหายหาน ได้ยินว่าจอมมารเผ่ามารสองสามคนก็ยังต้องตกตายด้วยน้ำมือเขา ตาเฒ่าย่อมอยากเห็นอิทธิฤทธิ์ของเขาไวๆ” ชายชราแซ่กู้กลับยิ้มจนตาหยีขณะเอ่ย

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง!” ภิกษุจินเย่ว์สวมมนต์ภาษาสันสกฤต ถอนหายใจขณะเอ่ยตอบ

ส่วนหงส์น้ำแข็งที่มองหานลี่อยู่ในม่านลำแสง ในใจก็อดที่จะรู้สึกกังวลขึ้นมาสองส่วนไม่ได้

“สหายเตรียมตัวให้ดี ผู้แซ่หานจะลงมือแล้ว!” หานลี่มองอรหันต์ชิงหลงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ใบหน้ามีจิตสังหารฉายแวบผ่าน แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา

แทบจะในเวลาเดียวกัน เขาพลันถูมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน เสียงฟ้าผ่าพลันดังขึ้น!

สายฟ้าสีทองเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นบนแขนทั้งสองข้าง ประจุไฟฟ้าหนาๆ จำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมา จากนั้นก็รวมตัวกันกลายเป็นงูเหลือมไฟฟ้าสีทองพวยพุ่งขึ้นบนไปท้องฟ้า แยกเขี้ยวตะปบเล็กท่าทางน่าตกตะลึงยิ่ง!

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+