A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1992 สงครามเมืองเทียนหยวน (4)

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1992 สงครามเมืองเทียนหยวน (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เวลาค่อยๆ ล่วงไปทีละน้อย ความสั่นไหวเบาๆ ของห้องโถงใหญ่ยังคงไม่หยุด

เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ดุเดือดไม่หยุด มีเสียงสนั่นกระหึ่มดังทะลุผ่านเขตจำกัดด้านนอกเข้ามาในห้องโถงใหญ่ที่สั่นคลอนไปมาอยู่เป็นระยะ

แต่ไม่ว่าจะเป็นหานลี่หรือองครักษ์ชุดคลุมสีน้ำเงินเหล่านั้น แต่ละคนกลับก้มหน้านิ่ง ไม่ได้ใส่ใจการเคลื่อนไหวดังกล่าวนั้นแม้สักนิด

จนเวลาผ่านไปสามชั่วยามเต็ม ความสั่นไหวในห้องโถงใหญ่ในที่สุดก็หยุดลงทันใด แต่กระแสคลื่นอันน่าสะพรึงกลัวลูกแล้วลูกเล่าเมื่อเกิดเสียงระเบิดปะทุขึ้นก็โหมพัดเข้ามา

กระแสคลื่นเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาหรืออสูรมารชั้นต่ำจากส่งออกมาได้ ระดับสูงของทั้งสองฝ่ายคงเริ่มลงมือกันแล้ว

และเมื่อดูจากความหนาแน่นเข้มข้นของแรงระเบิดและคลื่นเสียงระเบิดที่ดังก้องไปทั่วทั้งสนามรบ เผ่ามารน่าจะยังคงมีกำลังวังชาที่จะจู่โจมเข้ามา ไม่เช่นนั้นสงครามคงไม่ดุเดือดถึงเพียงนี้

หานลี่ครุ่นคิดในใจเงียบๆ แต่ตัวเขากลับนิ่งอยู่กลางเขตอาคมสีหน้าเรียบเฉย

ทันใดนั้นเสียงหวีดแหลมเสียดหูเสียงก็ทะลุผ่านเขตจำกัดด้านนอกเข้ามา แว่วตรงเข้ามากลางห้องโถง ถึงกับทำให้หูทั้งสองของหานลี่ปวดขึ้นมาหน่วงๆ

“ไม่ได้การแล้ว!”

หานลี่แอบส่งเสียงร้อง แล้วรีบสะบัดแขนเสื้อโดยไม่คิดสิ่งใด แสงสลัวสีเทาแสงนึ่งก็ม้วนตัวออกมา กลายเป็นม่านแสงปกคลุมไปทั่วทั้งห้องโถง จากนั้นดวงตาทั้งคู่ก็ส่องประกายมองไปยังผู้บำเพ็ญเพียรในชุดสีน้ำเงินทั้งสามสิบหกคน

เห็นผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้แต่ละคนต่างเอามือกุมหัวส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด หูทั้งสองข้างมีคราบเลือดซึมออกมาเล็กน้อย

หานลี่ขมวดคิ้ว แล้วแค่นเสียงออกจมูกหนึ่งที

เสียงที่แค่นออกมาเยือกเย็นถึงกระดูก แต่ทันทีที่เข้าสู่หูของผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้น กลับชุ่มฉ่ำอบอุ่นราวกับสายฝน สีหน้าอันเจ็บปวดคลายไปกว่าครึ่งในทันที ต่างพากันกลับมานั่งขัดสมาธิปรับลมปราณอีกครั้ง

เวลาผ่านไปชั่วหนึ่งมื้ออาหาร ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้สะกดเอาความไม่สบายในร่างกายเอาไว้จนสิ้น สีหน้าดีขึ้นกว่าครึ่ง

“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ยื่นมือเข้ามาช่วย!” ผู้บำเพ็ญเพียรที่เป็นหัวหน้าคำนับไปยังหานลี่ด้วยสีหน้าซาบซึ้ง

“ไม่เป็นอะไร มีข้าอยู่ที่นี่ ย่อมไม่มีทางให้พวกเจ้าได้รับอันตรายใดๆ แต่ทว่าเพียงแค่เสียงร้องก็สามารถมีอานุภาพถึงเพียงนี้ ดูท่าพญามารคงจะเริ่มลงมือแล้ว เวลาที่พวกเจ้าจะอยู่ที่นี่คงไม่นานแล้ว รีบคืนสภาพลมปราณเถอะ”หานลี่พูดเสียงเรียบ

“ขอรับ พวกผู้น้อยจะรีบปรับลมปราณให้เร็วที่สุดอย่างแน่นอน จะไม่เป็นตัวถ่วงท่านผู้อาวุโสเป็นอันขาด” ผู้บำเพ็ญเพียรชายผู้นั้นสะดุ้ง เมื่อตอบแล้ว ก็รีบหลับตาลงขับเคลื่อนลมปราณ

หานลี่คิดไปคิดมา แล้วขยับจิตสัมผัส กวาดส่องออกไปด้านนอกเขตจำกัดอีกครั้ง

ใกล้กับกำแพงเมืองในเวลานี้ ไม่เห็นเงาของสมบัติพิเศษทั้งสี่แห่งทางช้างเผือกแล้ว สำหรับกองทัพอสูรมารจำนวนนับสิบล้านในตอนแรก หายไปถึงเก้าในสิบส่วนอย่างเห็นได้ชัด อสูรมารที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นระดับกลางและสูง แต่ละตนล้วนแต่บาดเจ็บไปทั่วทั้งตัว

สำหรับยอดอสูรมารเหล่านั้นไม่รู้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจและมนุษย์ทั้งสองใช้สมบัติพิเศษอันใดสังหารไปจนเกลี้ยง เหลือเพียงเจ็ดแปดตนที่ยังมีชีวิตอยู่กลางสนามรบ และแต่ละตัวล้วนแต่หายใจรวยริน ไม่อาจแสดงฝีมือได้อีกเท่าไหร่แล้ว

ด้านล่างกำแพงเมืองขนาดสูงใหญ่ของเมืองเทียนหยวน สิ่งที่มาแทนที่ก็คือกองทัพใหญ่สวมเกราะของเผ่าพันธุ์มารที่เบียดเสียดกัน มีจำนวนน่าจะถึงเจ็ดแปดล้าน ที่น่าแปลกก็คือ นอกจากเผ่าพันธุ์มารที่มาจากระดับปราณก่อกำเนิดที่บินอยู่บนท้องฟ้า เผ่ามารที่เหลือได้เพียงแต่วิ่งด้วยเท้าอยู่บนพื้น

ณ  ใจกลางสถานที่รับที่คุ้มกันอย่างแน่นหนาแห่งหนึ่งกลางเมืองเทียนหยวน เขตอาคมขนาดใหญ่โตนับหมื่นเค่ออันหนึ่งที่ประกอบขึ้นมาจากเขตอาคมขนาดเล็กจำนวนนับพันกำลังถูกกระตุ้น เขตจำกัดไร้รูปร่างถูกแผ่ออกมาจากตรงกลาง ห่อหุ้มเมืองเทียนหยวนและพื้นที่ใกล้เคียงเข้าไปด้านในเป็นพื้นที่กว้างขวาง

นี่ก็คือเขตต้องห้ามว่างนภากาศขนาดยักษ์อันหนึ่ง แต่ที่แตกต่างจากเขตต้องห้ามว่างนภากาศทั่วไปก็คือ เขตจำกัดนี้ดูเหมือนจะมีผลต่อเพียงเอาพันธุ์มาร สำหรับเผ่ามนุษย์ไม่ว่าจะระดับการบำเพ็ญเพียรสูงหรือต่ำ ยังคงสามารถเดินบนพื้นหรือบินบนฟ้าได้

แต่ทว่าไม่ว่าจะจำนวนหรือความสามารถของเผ่ามารล้วนแต่อยู่เหนือทหารที่เฝ้าเมืองและผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปอย่างเทียบไม่ติด ต่อให้สถานการณ์ไม่เอื้อถึงเช่นนี้ ก็ยังคงสามารถบุกประชิดเมืองได้ราวกับกระแสคลื่น และเข้ามาต่อสู้โรมรัน

ม่านแสงคุ้มกันอันแสนมหัศจรรย์ของเมืองเทียนหยวนในตอนแรกนั้นได้หายไปแล้ว ไม่รู้เลยว่าถูกฝั่งเผ่ามารโจมตีทำลายไปตั้งแต่เมื่อใด

แต่ที่มีผลต่อการตัดสินชัยชนะสงครามครั้งใหญ่จริงๆ กลับไม่ใช่เผ่ามารธรรมดาเหล่านี้และผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาที่ป้องกันเมืองอยู่ แต่เป็นสงครามของพวกระดับสูงที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดเหนือกำแพงเมือง

พวกระดับเทพแปลงหลายกลุ่ม กำลังรวมตัวกันเป็นหน่วยรบสิบกว่าคนโดยประมาณ กำลังต่อสู้พัวพันกันไม่หยุดบนท้องฟ้า

เมฆมารที่หมุนม้วน แสงสว่างที่ส่งเสียงคำราม แสงกระบี่สว่างวาบ กระทบกับจิตสัมผัสอยู่เป็นระยะ กลายเป็นห่าฝนแห่งแสงสว่างปรากฏวูบวาบไม่หยุดไปทั่วทั้งท้องฟ้า เสียงระเบิดดังกึกก้องไม่หยุดแม้เพียงนาทีเดียว

ในจำนวนนั้นมีการต่อสู้อยู่สองสามกลุ่มที่ดึงดูดสายตาอย่างมาก!

ในการต่อสู้กลุ่มหนึ่ง เมฆมารดำสลัวกลุ่มหนึ่งและของเหลวสีน้ำเงินเข้มกำลังปะทะกันไปมา และบินลอยไปมาอยู่ไม่หยุด กลายเป็นวังวนขนาดยักษ์พื้นที่นับร้อยไร่อันหนึ่ง

และเสียงอสนีบาตในวังวนนั้นดังขึ้นไม่ขาดสาย เงาร่างที่เต็มไปด้วยสายฟ้าสีน้ำเงินร่างหนึ่งและเงาร่างที่ดำทะมึนทั้งตัวร่างหนึ่งกำลังโจมตีต่อสู้กันไม่หยุด

ห่างจากวังวนไม่ไกล ก็คือม่านแสงสีเทาขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้ากว้างนับพันจั้ง ในม่านแสงเห็นเงามารสูงใหญ่อยู่รำไร กำลังอ้าปากพ่นลมพายุออกมา กลายเป็นคมมีดอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งไปด้านหน้า

ตรงข้ามคือผู้เฒ่าคนหนึ่ง มือทั้งคู่ถือพัดขนนกด้ามหนึ่งกำลังโบกพัดอย่างคลุ้มคลั่ง ในเวลาเดียวกันนั้นเองแสงสว่างสีแดงและน้ำเงินก็ออกไปปะทะรับกับลมหมุนที่โจมตีเข้ามา แยกกันเป็นพลังแห่งน้ำและไฟ

การต่อสู้กลุ่มสุดท้าย ชายหนุ่มในชุดสีดำผู้หนึ่งใช้มือข้างหนึ่งยกกลองเล็กสีแดงใบหนึ่งขึ้น ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งเคลื่อนไปแล้วเคาะดัง “ปังๆ” ไม่หยุด คลื่นเสียงสีแดงอ่อนหลายรูปม้วนตัวกระจายออกไป

ที่กำลังเผชิญหน้ากับเขาอยู่นั้น กลับเป็นอสูรนกขนาดยักษ์ที่มีหัวเป็นหญิงงามตัวหนึ่ง นกตัวนี้มีสีเขียวมรกตไปทั้งตัว มีปีกสี่อันบนหลัง อ้าปากส่งเสียงกรีดร้องแหลมเสียดหู สามารถรับมือกับคลื่นเสียงสีแดงอ่อนนั้นได้โดยไม่ด้อยกว่าแม้สักนิด

และพื้นที่ใกล้เคียงกลับทั้งสองในระยะหลายลี้  ก็ไม่มีเผ่าพันธุ์มนุษย์ มาร ปีศาจอื่นอีกเลย

เห็นได้ชัดว่าการโจมตีด้วยคลื่นเสียงของทั้งสองกินอาณาบริเวณที่กว้างอย่างมาก จนไม่อาจมีใครเข้าใกล้ได้ น่ากลัวว่าประตูเมืองเองก็ใกล้ที่จะได้รับผลกระทบด้วย

เสียงหวีดแหลมที่ทยอยแว่วเข้ามาในหอรบที่หานลี่อยู่ ก็คือคลื่นเสียงที่อสูรนกตัวนั้นเสียการควบคุมร้องออกมาโดยไม่ตั้งใจ

ยังดีที่การโจมตีของทั้งสองยังสามารถควบคุมได้กว่าครึ่ง การกระจายอย่างผิดพลาดเป็นเพียงพลานุภาพส่วนน้อยของคลื่นเสียงเท่านั้น มิฉะนั้นแล้วหากการโจมตีของทั้งสองไปกระทบกับร่างกายของสิ่งมีชีวิตทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือปีศาจและแม้แต่เผ่ามาร น่ากลัวว่าจะตายลงทันทีเป็นวงกว้าง

หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อกวาดจิตสำรวจก็ไม่พบร่องรอยการจู่โจมของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงผู้นั้น ก็จริงดึงจิตสัมผัสกลับคืนมาอีกครั้ง

ภารกิจของเขาก็เพียงแต่รับมือกับร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงผู้นั้น ในเมื่อฝ่ายเมืองเทียนหยวนไม่ได้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ในตอนนี้ย่อมไม่มีความจำเป็นที่จะยื่นมือเข้าไป

สงครามด้านนอกดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ จากการผลัดเปลี่ยนกันเข้าไปปะทะประมือกันของพญามารกับสองเผ่าพันธุ์มนุษย์และปีศาจ

จำนวนของพญามารเห็นได้ชัดว่ามากกว่าระดับเทพแปลงของเมืองเทียนหยวนอยู่มาก ด้วยเหตุนี้เมื่อมีพญามารอีกเจ็ดแปดตนพุ่งออกมาจากไอมาร ทั้งฝั่งเผ่ามนุษย์ที่ปรากฏตัวออกมารับมือศัตรูไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลง แต่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรท่าทางประหลาดแต่งตัวด้วยชุดที่ลายพร้อยหลากหลายสีขบวนหนึ่ง

ลมปราณบนตัวของผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ไม่ได้อ่อนแอ ล้วนแต่อยู่ในระดับหลอมสุญตา

พญามารเหล่านั้นเมื่อเห็นเช่นนี้ ก็ยิ้มร้าย เตรียมที่จะแผ่อิทธิฤทธิ์เพื่อสังหารผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดที่ดูเหมือนว่าคงไม่ต้านทานการโจมตีได้แม้เพียงครั้งเดียว

แต่ในเวลานั้นเอง ผู้บำเพ็ญเพียงจำนวนหนึ่งนั้นก็คว้าเอายาวิเศษจำนวนหนึ่งออกมาจากอกกลืนลงปากไป จากนั้นร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้น บ้างก็มีขนงอกออกมาทั่วทั้งตัว บ้างก็มีเขี้ยวยาวโง้งออกมา ต่างกลายร่างเป็นกึ่งปีศาจ พลังปราณขยายขึ้นมหาศาลกว่าเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด

ยาวิเศษที่พวกเขากินคือยาวิญญาณชนิดหนึ่งที่ไปปลุกเร้าพลังซ่อนเร้น

และผู้บำเพ็ญเพียงอีกจำนวนหนึ่ง ถึงแม้จะไม่กลายร่าง แตกต่างชูมือขึ้นแล้วปล่อยวงแหวนสีดำทมิฬออกมาหลายวง

วินาทีต่อมา ลมเย็นเยือกหลายลูก หุ่นเชิดเกราะม่วงตัวสูงใหญ่แต่ละตัวก็ปล่อยออกมาทันทีอย่างน่าประหลาดใจ

หุ่นเชิดเหล่านี้ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด ดวงตาทั้งสองสีเขียวมรกต ภายใต้หมัดมือเปล่า นิ้วทั้งสิบ คมกริบดำสนิท เป็นหุ่นเชิดศพที่ยากจะได้พบ

หุ่นเชิดศพเหล่านี้ทันทีที่ปรากฏ ดวงตาสีมรกตทั้งสองก็เป็นประกายขึ้นทันทีพุ่งตรงไปยังพญามารสองสามตัวนั้น หุ่นนับร้อยออกเคลื่อนพร้อมกัน จนเกิดลมเย็นยะเยือกขึ้นเป็นระลอก เห็นได้ชัดว่ามีอิทธิฤทธิ์อยู่ไม่น้อย

พญามารเหล่านั้นยิ้มเยาะ ยกไม้ยกมือบ้างก็สร้างมายาภาพเป็นฝ่ามือมารขนาดยักษ์หลายข้างตะปบไปยังหุ่นเชิดเหล่านั้นจากบนฟ้า บ้างก็อ้าปากพ่นแสงสีดำหลายลูกออกไปรัดเอวหุ่นบังคับขาดเป็นสองท่อน ราวกับคว้าซากไม้ผุเก่า

ชั่วพริบตาเดียว หุ่นเชิดบังคับเหล่านั้นก็พังทลายสิ้นซาก

พญามารเหล่านั้นหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง กำลังคิดจะสังหารคนทั้งหมดจนสิ้นด้วยการโจมตีเพียงทีเดียว

แต่วินาทีต่อมา ฉากที่ชวนตะลึงก็ปรากฏขึ้น

หุ่นเชิดศพที่ถูกตะปบจนเปลี่ยนรูป ผิวภายนอกปล่อยไอสีดำลอยม้วน จากนั้นก็คืนสู่สภาพเดิม แม้หุ่นเหล่านั้นจะถูกฟันขาดเป็นหลายชิ้น ชิ้นส่วนร่างกายก็รวมเข้ากับไอดำ กลับมาต่อติดสนิทเหมือนตอนแรก

หลังจากนั้นหุ่นเชิดศพเหล่านี้ ก็เพิ่งไปยังพญามารเหล่านั้นด้วยสีหน้าที่ยังคงโหดเหี้ยม

“เป็นอมตะ! เป็นไปไม่ได้ ข้างในต้องมีอะไรบางอย่าง!” พญามารตนหนึ่งหลุดเสียงอุทานออกมาด้วยความตกใจ

ในขณะเดียวกันนั้นเอง กลางหอคอยแห่งหนึ่งกลางเมืองเทียนหยวน ผู้บำเพ็ญเพียรในชุดสีดำทั้งตัวนับร้อยคนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้นสีหน้านิ่งเรียบ ด้านหน้ามีหุ่นไม้สูงครึ่งศอกสีดำสนิทหลายตัวลอยอยู่

ผิวภายนอกบนตัวหุ่นไม้เหล่านี้มีอักษรยันต์สีเทาขาว และมีไอดำจางๆ ลอยวนอยู่ไม่หยุด ถูกผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ใช้มือทั้งสองร่ายยันต์ปลุกใช้เข้าใส่ไม่หยุด บิดเบี้ยวไปมาอย่างน่าประหลาด ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต

ในเวลานี้ ขณะที่พญามารเหล่านั้นถูกร่างอมตะของหุ่นศพทำให้ตะลึงพรึงเพริดอยู่ไหน ผู้บำเพ็ญเพียรอีกกลุ่มหนึ่งก็กระทืบเท้าอย่างหนัก ทันใดนั้นใต้ฝ่าเท้าก็ปรากฏเข็มทิศค่ายกลขนาดยักษ์ใหญ่นับพันจั้งหลายอันขึ้นมา ส่องสว่างวาบ แล้วหายลับไปกับตาพร้อมกัน

ฉับพลันบริเวณใกล้กับพญามารเหล่านั้นก็ส่องแสงสว่างวูบวาบอยู่ไม่หยุด สร้างของผู้บำเพ็ญเพียรเท่านี้ชั่วพริบตาหนึ่งก็หายวับย้ายไปปรากฏ แต่ในมือแต่ละคนมีธงแสงห้าสีส่องกะพริบ โบกธงไปมาอย่างตั้งใจไม่หยุด

เสียงดัง “ครืน”  เมฆหมอกห้าสีชั้นหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากธง ชั่วพริบตาเดียวก็ท่วมท้นพญามารเหล่านั้นจนจมมิด

ในเมฆหมอก อักษรยันต์สีเงินตัวแล้วตัวเล่าลอยวนไปมาไม่หยุด บ้างใหญ่บ้างเล็กส่องกะพริบวูบไหว ดูน่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง

เสียงคำรามร้องด้วยความตื่นโกรธ ทันใดนั้นก็ปะทุดังขึ้นกลางเมฆหมอก กลิ่นอายอันคลุ้มคลั่งอัศจรรย์กลางเมฆหมอกราวกับพายุหมุน แต่ถ้าว่าในขณะที่เมฆหมอกห้าสีต่างก็หดยืดไปมา กลับไม่ได้มีพญามารตนใดฝ่าออกมา

แต่ทว่าด้วยเหตุนี้ กลิ่นอายกลางเมฆหมอกก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น เสียงดังสนั่นหวั่นไหวระลอกแล้วระลอกเล่าแว่วออกมาจากภายใน

แต่ในเวลานั้นเอง ผู้บำเพ็ญปีศาจที่ได้กลายร่างเป็นกึ่งปีศาจ เมื่อได้ยินเสียงคำรามต่ำของคนที่เป็นหัวหน้า ต่างล้วงเอายันต์สีทองเงินหลายใบออกมาแปะที่ตัว ทันใดนั้นร่างกายก็เลือนราง จากนั้นก็กลายร่างเป็นลมปีศาจหลายลูกพุ่งเข้าไปกลางเมฆหมอก

ชั่วพริบตาเดียวเสียงอึกทึกกลางเมฆหมอก เพียงครู่เดียวก็ดังกระหึ่มเสียยิ่งกว่าในตอนแรก กลิ่นอายของผู้บำเพ็ญปีศาจเหล่านั้นชั่วพริบตาเดียวก็เข้าไปผสมปนเปกับกลิ่นอายของพญามารเหล่านั้น จนไม่อาจแยกได้ออก แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสถานะด้อยกว่า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1992 สงครามเมืองเทียนหยวน (4)

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1992 สงครามเมืองเทียนหยวน (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เวลาค่อยๆ ล่วงไปทีละน้อย ความสั่นไหวเบาๆ ของห้องโถงใหญ่ยังคงไม่หยุด

เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ดุเดือดไม่หยุด มีเสียงสนั่นกระหึ่มดังทะลุผ่านเขตจำกัดด้านนอกเข้ามาในห้องโถงใหญ่ที่สั่นคลอนไปมาอยู่เป็นระยะ

แต่ไม่ว่าจะเป็นหานลี่หรือองครักษ์ชุดคลุมสีน้ำเงินเหล่านั้น แต่ละคนกลับก้มหน้านิ่ง ไม่ได้ใส่ใจการเคลื่อนไหวดังกล่าวนั้นแม้สักนิด

จนเวลาผ่านไปสามชั่วยามเต็ม ความสั่นไหวในห้องโถงใหญ่ในที่สุดก็หยุดลงทันใด แต่กระแสคลื่นอันน่าสะพรึงกลัวลูกแล้วลูกเล่าเมื่อเกิดเสียงระเบิดปะทุขึ้นก็โหมพัดเข้ามา

กระแสคลื่นเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาหรืออสูรมารชั้นต่ำจากส่งออกมาได้ ระดับสูงของทั้งสองฝ่ายคงเริ่มลงมือกันแล้ว

และเมื่อดูจากความหนาแน่นเข้มข้นของแรงระเบิดและคลื่นเสียงระเบิดที่ดังก้องไปทั่วทั้งสนามรบ เผ่ามารน่าจะยังคงมีกำลังวังชาที่จะจู่โจมเข้ามา ไม่เช่นนั้นสงครามคงไม่ดุเดือดถึงเพียงนี้

หานลี่ครุ่นคิดในใจเงียบๆ แต่ตัวเขากลับนิ่งอยู่กลางเขตอาคมสีหน้าเรียบเฉย

ทันใดนั้นเสียงหวีดแหลมเสียดหูเสียงก็ทะลุผ่านเขตจำกัดด้านนอกเข้ามา แว่วตรงเข้ามากลางห้องโถง ถึงกับทำให้หูทั้งสองของหานลี่ปวดขึ้นมาหน่วงๆ

“ไม่ได้การแล้ว!”

หานลี่แอบส่งเสียงร้อง แล้วรีบสะบัดแขนเสื้อโดยไม่คิดสิ่งใด แสงสลัวสีเทาแสงนึ่งก็ม้วนตัวออกมา กลายเป็นม่านแสงปกคลุมไปทั่วทั้งห้องโถง จากนั้นดวงตาทั้งคู่ก็ส่องประกายมองไปยังผู้บำเพ็ญเพียรในชุดสีน้ำเงินทั้งสามสิบหกคน

เห็นผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้แต่ละคนต่างเอามือกุมหัวส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด หูทั้งสองข้างมีคราบเลือดซึมออกมาเล็กน้อย

หานลี่ขมวดคิ้ว แล้วแค่นเสียงออกจมูกหนึ่งที

เสียงที่แค่นออกมาเยือกเย็นถึงกระดูก แต่ทันทีที่เข้าสู่หูของผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้น กลับชุ่มฉ่ำอบอุ่นราวกับสายฝน สีหน้าอันเจ็บปวดคลายไปกว่าครึ่งในทันที ต่างพากันกลับมานั่งขัดสมาธิปรับลมปราณอีกครั้ง

เวลาผ่านไปชั่วหนึ่งมื้ออาหาร ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้สะกดเอาความไม่สบายในร่างกายเอาไว้จนสิ้น สีหน้าดีขึ้นกว่าครึ่ง

“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ยื่นมือเข้ามาช่วย!” ผู้บำเพ็ญเพียรที่เป็นหัวหน้าคำนับไปยังหานลี่ด้วยสีหน้าซาบซึ้ง

“ไม่เป็นอะไร มีข้าอยู่ที่นี่ ย่อมไม่มีทางให้พวกเจ้าได้รับอันตรายใดๆ แต่ทว่าเพียงแค่เสียงร้องก็สามารถมีอานุภาพถึงเพียงนี้ ดูท่าพญามารคงจะเริ่มลงมือแล้ว เวลาที่พวกเจ้าจะอยู่ที่นี่คงไม่นานแล้ว รีบคืนสภาพลมปราณเถอะ”หานลี่พูดเสียงเรียบ

“ขอรับ พวกผู้น้อยจะรีบปรับลมปราณให้เร็วที่สุดอย่างแน่นอน จะไม่เป็นตัวถ่วงท่านผู้อาวุโสเป็นอันขาด” ผู้บำเพ็ญเพียรชายผู้นั้นสะดุ้ง เมื่อตอบแล้ว ก็รีบหลับตาลงขับเคลื่อนลมปราณ

หานลี่คิดไปคิดมา แล้วขยับจิตสัมผัส กวาดส่องออกไปด้านนอกเขตจำกัดอีกครั้ง

ใกล้กับกำแพงเมืองในเวลานี้ ไม่เห็นเงาของสมบัติพิเศษทั้งสี่แห่งทางช้างเผือกแล้ว สำหรับกองทัพอสูรมารจำนวนนับสิบล้านในตอนแรก หายไปถึงเก้าในสิบส่วนอย่างเห็นได้ชัด อสูรมารที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นระดับกลางและสูง แต่ละตนล้วนแต่บาดเจ็บไปทั่วทั้งตัว

สำหรับยอดอสูรมารเหล่านั้นไม่รู้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจและมนุษย์ทั้งสองใช้สมบัติพิเศษอันใดสังหารไปจนเกลี้ยง เหลือเพียงเจ็ดแปดตนที่ยังมีชีวิตอยู่กลางสนามรบ และแต่ละตัวล้วนแต่หายใจรวยริน ไม่อาจแสดงฝีมือได้อีกเท่าไหร่แล้ว

ด้านล่างกำแพงเมืองขนาดสูงใหญ่ของเมืองเทียนหยวน สิ่งที่มาแทนที่ก็คือกองทัพใหญ่สวมเกราะของเผ่าพันธุ์มารที่เบียดเสียดกัน มีจำนวนน่าจะถึงเจ็ดแปดล้าน ที่น่าแปลกก็คือ นอกจากเผ่าพันธุ์มารที่มาจากระดับปราณก่อกำเนิดที่บินอยู่บนท้องฟ้า เผ่ามารที่เหลือได้เพียงแต่วิ่งด้วยเท้าอยู่บนพื้น

ณ  ใจกลางสถานที่รับที่คุ้มกันอย่างแน่นหนาแห่งหนึ่งกลางเมืองเทียนหยวน เขตอาคมขนาดใหญ่โตนับหมื่นเค่ออันหนึ่งที่ประกอบขึ้นมาจากเขตอาคมขนาดเล็กจำนวนนับพันกำลังถูกกระตุ้น เขตจำกัดไร้รูปร่างถูกแผ่ออกมาจากตรงกลาง ห่อหุ้มเมืองเทียนหยวนและพื้นที่ใกล้เคียงเข้าไปด้านในเป็นพื้นที่กว้างขวาง

นี่ก็คือเขตต้องห้ามว่างนภากาศขนาดยักษ์อันหนึ่ง แต่ที่แตกต่างจากเขตต้องห้ามว่างนภากาศทั่วไปก็คือ เขตจำกัดนี้ดูเหมือนจะมีผลต่อเพียงเอาพันธุ์มาร สำหรับเผ่ามนุษย์ไม่ว่าจะระดับการบำเพ็ญเพียรสูงหรือต่ำ ยังคงสามารถเดินบนพื้นหรือบินบนฟ้าได้

แต่ทว่าไม่ว่าจะจำนวนหรือความสามารถของเผ่ามารล้วนแต่อยู่เหนือทหารที่เฝ้าเมืองและผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปอย่างเทียบไม่ติด ต่อให้สถานการณ์ไม่เอื้อถึงเช่นนี้ ก็ยังคงสามารถบุกประชิดเมืองได้ราวกับกระแสคลื่น และเข้ามาต่อสู้โรมรัน

ม่านแสงคุ้มกันอันแสนมหัศจรรย์ของเมืองเทียนหยวนในตอนแรกนั้นได้หายไปแล้ว ไม่รู้เลยว่าถูกฝั่งเผ่ามารโจมตีทำลายไปตั้งแต่เมื่อใด

แต่ที่มีผลต่อการตัดสินชัยชนะสงครามครั้งใหญ่จริงๆ กลับไม่ใช่เผ่ามารธรรมดาเหล่านี้และผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาที่ป้องกันเมืองอยู่ แต่เป็นสงครามของพวกระดับสูงที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดเหนือกำแพงเมือง

พวกระดับเทพแปลงหลายกลุ่ม กำลังรวมตัวกันเป็นหน่วยรบสิบกว่าคนโดยประมาณ กำลังต่อสู้พัวพันกันไม่หยุดบนท้องฟ้า

เมฆมารที่หมุนม้วน แสงสว่างที่ส่งเสียงคำราม แสงกระบี่สว่างวาบ กระทบกับจิตสัมผัสอยู่เป็นระยะ กลายเป็นห่าฝนแห่งแสงสว่างปรากฏวูบวาบไม่หยุดไปทั่วทั้งท้องฟ้า เสียงระเบิดดังกึกก้องไม่หยุดแม้เพียงนาทีเดียว

ในจำนวนนั้นมีการต่อสู้อยู่สองสามกลุ่มที่ดึงดูดสายตาอย่างมาก!

ในการต่อสู้กลุ่มหนึ่ง เมฆมารดำสลัวกลุ่มหนึ่งและของเหลวสีน้ำเงินเข้มกำลังปะทะกันไปมา และบินลอยไปมาอยู่ไม่หยุด กลายเป็นวังวนขนาดยักษ์พื้นที่นับร้อยไร่อันหนึ่ง

และเสียงอสนีบาตในวังวนนั้นดังขึ้นไม่ขาดสาย เงาร่างที่เต็มไปด้วยสายฟ้าสีน้ำเงินร่างหนึ่งและเงาร่างที่ดำทะมึนทั้งตัวร่างหนึ่งกำลังโจมตีต่อสู้กันไม่หยุด

ห่างจากวังวนไม่ไกล ก็คือม่านแสงสีเทาขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้ากว้างนับพันจั้ง ในม่านแสงเห็นเงามารสูงใหญ่อยู่รำไร กำลังอ้าปากพ่นลมพายุออกมา กลายเป็นคมมีดอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งไปด้านหน้า

ตรงข้ามคือผู้เฒ่าคนหนึ่ง มือทั้งคู่ถือพัดขนนกด้ามหนึ่งกำลังโบกพัดอย่างคลุ้มคลั่ง ในเวลาเดียวกันนั้นเองแสงสว่างสีแดงและน้ำเงินก็ออกไปปะทะรับกับลมหมุนที่โจมตีเข้ามา แยกกันเป็นพลังแห่งน้ำและไฟ

การต่อสู้กลุ่มสุดท้าย ชายหนุ่มในชุดสีดำผู้หนึ่งใช้มือข้างหนึ่งยกกลองเล็กสีแดงใบหนึ่งขึ้น ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งเคลื่อนไปแล้วเคาะดัง “ปังๆ” ไม่หยุด คลื่นเสียงสีแดงอ่อนหลายรูปม้วนตัวกระจายออกไป

ที่กำลังเผชิญหน้ากับเขาอยู่นั้น กลับเป็นอสูรนกขนาดยักษ์ที่มีหัวเป็นหญิงงามตัวหนึ่ง นกตัวนี้มีสีเขียวมรกตไปทั้งตัว มีปีกสี่อันบนหลัง อ้าปากส่งเสียงกรีดร้องแหลมเสียดหู สามารถรับมือกับคลื่นเสียงสีแดงอ่อนนั้นได้โดยไม่ด้อยกว่าแม้สักนิด

และพื้นที่ใกล้เคียงกลับทั้งสองในระยะหลายลี้  ก็ไม่มีเผ่าพันธุ์มนุษย์ มาร ปีศาจอื่นอีกเลย

เห็นได้ชัดว่าการโจมตีด้วยคลื่นเสียงของทั้งสองกินอาณาบริเวณที่กว้างอย่างมาก จนไม่อาจมีใครเข้าใกล้ได้ น่ากลัวว่าประตูเมืองเองก็ใกล้ที่จะได้รับผลกระทบด้วย

เสียงหวีดแหลมที่ทยอยแว่วเข้ามาในหอรบที่หานลี่อยู่ ก็คือคลื่นเสียงที่อสูรนกตัวนั้นเสียการควบคุมร้องออกมาโดยไม่ตั้งใจ

ยังดีที่การโจมตีของทั้งสองยังสามารถควบคุมได้กว่าครึ่ง การกระจายอย่างผิดพลาดเป็นเพียงพลานุภาพส่วนน้อยของคลื่นเสียงเท่านั้น มิฉะนั้นแล้วหากการโจมตีของทั้งสองไปกระทบกับร่างกายของสิ่งมีชีวิตทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือปีศาจและแม้แต่เผ่ามาร น่ากลัวว่าจะตายลงทันทีเป็นวงกว้าง

หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อกวาดจิตสำรวจก็ไม่พบร่องรอยการจู่โจมของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงผู้นั้น ก็จริงดึงจิตสัมผัสกลับคืนมาอีกครั้ง

ภารกิจของเขาก็เพียงแต่รับมือกับร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงผู้นั้น ในเมื่อฝ่ายเมืองเทียนหยวนไม่ได้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ในตอนนี้ย่อมไม่มีความจำเป็นที่จะยื่นมือเข้าไป

สงครามด้านนอกดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ จากการผลัดเปลี่ยนกันเข้าไปปะทะประมือกันของพญามารกับสองเผ่าพันธุ์มนุษย์และปีศาจ

จำนวนของพญามารเห็นได้ชัดว่ามากกว่าระดับเทพแปลงของเมืองเทียนหยวนอยู่มาก ด้วยเหตุนี้เมื่อมีพญามารอีกเจ็ดแปดตนพุ่งออกมาจากไอมาร ทั้งฝั่งเผ่ามนุษย์ที่ปรากฏตัวออกมารับมือศัตรูไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลง แต่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรท่าทางประหลาดแต่งตัวด้วยชุดที่ลายพร้อยหลากหลายสีขบวนหนึ่ง

ลมปราณบนตัวของผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ไม่ได้อ่อนแอ ล้วนแต่อยู่ในระดับหลอมสุญตา

พญามารเหล่านั้นเมื่อเห็นเช่นนี้ ก็ยิ้มร้าย เตรียมที่จะแผ่อิทธิฤทธิ์เพื่อสังหารผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดที่ดูเหมือนว่าคงไม่ต้านทานการโจมตีได้แม้เพียงครั้งเดียว

แต่ในเวลานั้นเอง ผู้บำเพ็ญเพียงจำนวนหนึ่งนั้นก็คว้าเอายาวิเศษจำนวนหนึ่งออกมาจากอกกลืนลงปากไป จากนั้นร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้น บ้างก็มีขนงอกออกมาทั่วทั้งตัว บ้างก็มีเขี้ยวยาวโง้งออกมา ต่างกลายร่างเป็นกึ่งปีศาจ พลังปราณขยายขึ้นมหาศาลกว่าเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด

ยาวิเศษที่พวกเขากินคือยาวิญญาณชนิดหนึ่งที่ไปปลุกเร้าพลังซ่อนเร้น

และผู้บำเพ็ญเพียงอีกจำนวนหนึ่ง ถึงแม้จะไม่กลายร่าง แตกต่างชูมือขึ้นแล้วปล่อยวงแหวนสีดำทมิฬออกมาหลายวง

วินาทีต่อมา ลมเย็นเยือกหลายลูก หุ่นเชิดเกราะม่วงตัวสูงใหญ่แต่ละตัวก็ปล่อยออกมาทันทีอย่างน่าประหลาดใจ

หุ่นเชิดเหล่านี้ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด ดวงตาทั้งสองสีเขียวมรกต ภายใต้หมัดมือเปล่า นิ้วทั้งสิบ คมกริบดำสนิท เป็นหุ่นเชิดศพที่ยากจะได้พบ

หุ่นเชิดศพเหล่านี้ทันทีที่ปรากฏ ดวงตาสีมรกตทั้งสองก็เป็นประกายขึ้นทันทีพุ่งตรงไปยังพญามารสองสามตัวนั้น หุ่นนับร้อยออกเคลื่อนพร้อมกัน จนเกิดลมเย็นยะเยือกขึ้นเป็นระลอก เห็นได้ชัดว่ามีอิทธิฤทธิ์อยู่ไม่น้อย

พญามารเหล่านั้นยิ้มเยาะ ยกไม้ยกมือบ้างก็สร้างมายาภาพเป็นฝ่ามือมารขนาดยักษ์หลายข้างตะปบไปยังหุ่นเชิดเหล่านั้นจากบนฟ้า บ้างก็อ้าปากพ่นแสงสีดำหลายลูกออกไปรัดเอวหุ่นบังคับขาดเป็นสองท่อน ราวกับคว้าซากไม้ผุเก่า

ชั่วพริบตาเดียว หุ่นเชิดบังคับเหล่านั้นก็พังทลายสิ้นซาก

พญามารเหล่านั้นหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง กำลังคิดจะสังหารคนทั้งหมดจนสิ้นด้วยการโจมตีเพียงทีเดียว

แต่วินาทีต่อมา ฉากที่ชวนตะลึงก็ปรากฏขึ้น

หุ่นเชิดศพที่ถูกตะปบจนเปลี่ยนรูป ผิวภายนอกปล่อยไอสีดำลอยม้วน จากนั้นก็คืนสู่สภาพเดิม แม้หุ่นเหล่านั้นจะถูกฟันขาดเป็นหลายชิ้น ชิ้นส่วนร่างกายก็รวมเข้ากับไอดำ กลับมาต่อติดสนิทเหมือนตอนแรก

หลังจากนั้นหุ่นเชิดศพเหล่านี้ ก็เพิ่งไปยังพญามารเหล่านั้นด้วยสีหน้าที่ยังคงโหดเหี้ยม

“เป็นอมตะ! เป็นไปไม่ได้ ข้างในต้องมีอะไรบางอย่าง!” พญามารตนหนึ่งหลุดเสียงอุทานออกมาด้วยความตกใจ

ในขณะเดียวกันนั้นเอง กลางหอคอยแห่งหนึ่งกลางเมืองเทียนหยวน ผู้บำเพ็ญเพียรในชุดสีดำทั้งตัวนับร้อยคนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้นสีหน้านิ่งเรียบ ด้านหน้ามีหุ่นไม้สูงครึ่งศอกสีดำสนิทหลายตัวลอยอยู่

ผิวภายนอกบนตัวหุ่นไม้เหล่านี้มีอักษรยันต์สีเทาขาว และมีไอดำจางๆ ลอยวนอยู่ไม่หยุด ถูกผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ใช้มือทั้งสองร่ายยันต์ปลุกใช้เข้าใส่ไม่หยุด บิดเบี้ยวไปมาอย่างน่าประหลาด ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต

ในเวลานี้ ขณะที่พญามารเหล่านั้นถูกร่างอมตะของหุ่นศพทำให้ตะลึงพรึงเพริดอยู่ไหน ผู้บำเพ็ญเพียรอีกกลุ่มหนึ่งก็กระทืบเท้าอย่างหนัก ทันใดนั้นใต้ฝ่าเท้าก็ปรากฏเข็มทิศค่ายกลขนาดยักษ์ใหญ่นับพันจั้งหลายอันขึ้นมา ส่องสว่างวาบ แล้วหายลับไปกับตาพร้อมกัน

ฉับพลันบริเวณใกล้กับพญามารเหล่านั้นก็ส่องแสงสว่างวูบวาบอยู่ไม่หยุด สร้างของผู้บำเพ็ญเพียรเท่านี้ชั่วพริบตาหนึ่งก็หายวับย้ายไปปรากฏ แต่ในมือแต่ละคนมีธงแสงห้าสีส่องกะพริบ โบกธงไปมาอย่างตั้งใจไม่หยุด

เสียงดัง “ครืน”  เมฆหมอกห้าสีชั้นหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากธง ชั่วพริบตาเดียวก็ท่วมท้นพญามารเหล่านั้นจนจมมิด

ในเมฆหมอก อักษรยันต์สีเงินตัวแล้วตัวเล่าลอยวนไปมาไม่หยุด บ้างใหญ่บ้างเล็กส่องกะพริบวูบไหว ดูน่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง

เสียงคำรามร้องด้วยความตื่นโกรธ ทันใดนั้นก็ปะทุดังขึ้นกลางเมฆหมอก กลิ่นอายอันคลุ้มคลั่งอัศจรรย์กลางเมฆหมอกราวกับพายุหมุน แต่ถ้าว่าในขณะที่เมฆหมอกห้าสีต่างก็หดยืดไปมา กลับไม่ได้มีพญามารตนใดฝ่าออกมา

แต่ทว่าด้วยเหตุนี้ กลิ่นอายกลางเมฆหมอกก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น เสียงดังสนั่นหวั่นไหวระลอกแล้วระลอกเล่าแว่วออกมาจากภายใน

แต่ในเวลานั้นเอง ผู้บำเพ็ญปีศาจที่ได้กลายร่างเป็นกึ่งปีศาจ เมื่อได้ยินเสียงคำรามต่ำของคนที่เป็นหัวหน้า ต่างล้วงเอายันต์สีทองเงินหลายใบออกมาแปะที่ตัว ทันใดนั้นร่างกายก็เลือนราง จากนั้นก็กลายร่างเป็นลมปีศาจหลายลูกพุ่งเข้าไปกลางเมฆหมอก

ชั่วพริบตาเดียวเสียงอึกทึกกลางเมฆหมอก เพียงครู่เดียวก็ดังกระหึ่มเสียยิ่งกว่าในตอนแรก กลิ่นอายของผู้บำเพ็ญปีศาจเหล่านั้นชั่วพริบตาเดียวก็เข้าไปผสมปนเปกับกลิ่นอายของพญามารเหล่านั้น จนไม่อาจแยกได้ออก แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสถานะด้อยกว่า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+