A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 2032 คลังสมบัติชีหลิง

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 2032 คลังสมบัติชีหลิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตั้งแต่เริ่มต้นจนท้ายที่สุด องครักษ์เผ่ามารเหล่านั้นที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ได้สังเกตเห็นหานลี่แม้แต่น้อย

และหานลี่ในเวลานี้ รู้สึกสงสัยในตัวสองคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างมาก

เขาสามารถมองข้ามเขตต้องห้ามที่อยู่นอกกำแพงเมืองได้ อาศัยอิทธิฤทธิ์อันแก่กล้าของตน และสองคนที่อยู่ต่อหน้าเขาเห็นได้ชัดว่าความสามารถด้อยกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด สามารถผ่านไปได้โดยไม่ต้องแตะต้องเขตต้องห้ามเหล่านี้แม้แต่นิดเดียว

เห็นได้ชัดมากทั้งสองคนถ้าไม่ได้ครอบครองสมบัติวิเศษทำลายเขตต้องห้ามพิเศษบางอย่าง ก็ต้องเป็นผู้ที่สามารถควบคุมการเข้าออกเขตต้องห้ามเหล่านี้ คงเป็นผู้ซึ่งมีตำแหน่งในเมืองเซวี่ยยา

ในขณะที่หานลี่กำลังครุ่นคิด เขาก็ได้เล็ดลอดผ่านลำแสงสองลูกสองข้างด้านหน้า ลอยออกไปด้านนอกไกลนับหมื่นลี้ ไปบนท้องฟ้าเหนือกองเศษหินกระจัดกระจายสีดำเสมอแห่งหนึ่ง

ทันใดนั้นแสงสีเขียวสายนั้นที่อยู่ด้านหน้าก็ร่อนลงไปด้านล่าง ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปท่ามกลางกองหินไร้ร่องรอย

แสงสีเทาที่ตามติดอยู่ด้านหลังหยุดลงชั่วขณะ แล้วร่อนลงไปด้านล่างอย่างไม่ลังเล

บนหินก้อนยักษ์ด้านล่าง แสงสว่างดับวูบลง ปรากฏร่างผู้เฒ่าตาสีเงินในชุดสีเทาผู้หนึ่ง กำลังกวาดสายตามองไปทั่วทุกทิศด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

“เอ๊ะ นี่คือท่านเจ้าเมืองเซวี่ยยามิใช่หรือ”

หานลี่ปรากฏตัวอยู่เหนือกองเศษหินอย่างไร้สุ้มเสียง ดวงตาทั้งสองมองคะเนไปยังผู้เฒ่า ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า

เจ้าเมืองเซวี่ยยาไม่สังเกตเห็นหานลี่ที่กำลังหายตัวอยู่กลางอากาศ กวาดสายตามองไปรอบด้าน แล้วแค่นเสียงออกมาหนึ่งที ทันใดนั้นร่มสีดำคันเล็กคันหนึ่งก็ปรากฏขึ้น จากนั้นก็ท่องอาคมแล้วเหวี่ยงไปกลางอากาศ

เสียงดัง ‘พรึ่บ’ !

ร่มสีดำคันเล็กขยายใหญ่หลายจั้ง ชั่วพริบตาเดียวก็ลอยอยู่กลางอากาศส่องลำแสงสีดำนับหมื่นลูกออกมา ปกคลุมพื้นที่หลายหมู่ที่อยู่ด้านล่างเอาไว้

ด้านหลังก้อนหินขนาดยักษ์ที่เล็กลงมาหน่อยก้อนหนึ่งซึ่งห่างจากผู้เฒ่าไกลออกไปหลายสิบจั้ง มีเสียงกระแทกหนักอึ้งแว่วออกมา!

เงาร่างสีน้ำเงินเลือนรางปรากฏขึ้นราวกับว่าถูกกำลังมหาศาลกระแทกจนซวนเซ คือชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีน้ำเงินหน้าตาธรรมดาผู้หนึ่ง แต่บนใบหน้ากับไร้ซึ่งอารมณ์ ดูเหมือนกับคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่าจะถูกเผยตัวตน

หานลี่เมื่อเห็นใบหน้าชายวัยกลางคนผู้นั้นชัดเจนแล้ว แววตาก็เป็นประกายขึ้นมา

ชายผู้นี้ก็คือ ‘หยางรอง’ เผ่ามารที่ประมูลอิฐศักดิ์สิทธิ์ก้อนนั้นได้ไปก่อนหน้านี้ที่ตลาดประมูล

และในวินาทีที่ชายผู้นี้ถูกบีบให้ปรากฏตัวออกมา เจ้าเมืองเซวี่ยยาก็ส่งเสียงคำรามออกจากปากเบาๆ มืออีกข้างหนึ่งทันใดนั้นก็สะบัดไปกลางอากาศ

แสงสีเลือดยาวสิบกว่าจั้งสายหนึ่งส่องออกไปแล้ววูบลง หินก้อนยักษ์ที่บังอยู่ด้านหน้าหยางรองส่งเสียงดังแล้วแตกออกเป็นสองส่วน

ร่างของชายวัยกลางคนเลือนรางลง พริบตาเดียวก็หายวับไป ปล่อยให้แสงสีเลือดแหวกอากาศผ่าออกไปในความว่างเปล่า

บนผิวดินปรากฏรอยทางขนาดมหึมารอยหนึ่งยาวสิบจั้ง ดูน่าสะพรึงอย่างยิ่ง

“หึๆ เพียงเพื่อสิ่งของนอกกายเพียงชิ้นเดียว สหายปิ่งถึงกับคิดจะเอาชีวิตของข้าให้ได้เลยอย่างนั้นหรือ” ด้านบนอีกฟากหนึ่งห่างจากรอยทางไกลออกไปช่วงหนึ่ง หยางรองกำลังกอดอกลอยปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ พูดด้วยน้ำเสียงถากถางเหน็บแนม โดยไม่ได้มีท่าทียำเกรงต่อเจ้าเมืองเซวี่ยยาจอมมารระดับผสานอินทรีย์ผู้นี้แต่อย่างใด

“จงใจล่อข้าออกจากเมืองอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย หากเจ้ามีผู้ช่วยติดตามมาละก็เรียกออกมาให้หมดเสีย” ดวงตาเจ้าเมืองเซวี่ยยาฉายแววอำมหิต พูดตอบชายวัยกลางคนช้าๆ

“ผู้ช่วยหรือ สหายปิ่งไยพูดเช่นนี้ ที่นี่นอกจากข้าแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีก” หยางรองพูดตอบพลางหัวเราะร่า

“เป็นแค่ระดับหลอมสุญตา หากไม่มีคนคอยช่วย เจ้าจะกล้าอยู่ต่อหน้าข้าอย่างสงบนิ่งอย่างนั้นหรือ” ประกายสีเงินในตาของเจ้าเมืองหมุนเคลื่อน พูดด้วยน้ำเสียงอำมหิต

“หากพี่ปิ่งไม่เชื่อ ข้าก็จนปัญญา แต่ที่ข้าล่อสหายออกมาในครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด เพียงแต่อยากคุยข้อแลกเปลี่ยนที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายเท่านั้น”

“คุยข้อแลกเปลี่ยนนั้นย่อมได้ แต่ต้องดูว่าเจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะคุยกับข้าหรือไม่ เพียงแค่สังหารเจ้า ข้าก็จะได้สิ่งที่ข้าต้องการแล้ว ยังจะต้องได้เปลี่ยนอะไรกันอีกเล่า” เจ้าเมืองเซวี่ยยาได้ยินก็หัวเราะลั่น เงาร่างทันใดนั้นก็หายไปท่ามกลางแสงสีเลือด

วินาทีต่อมา ด้านหลังชายวัยกลางคนก็เกิดกระแสคลื่น เจ้าเมืองเซวี่ยยาปรากฏตัวออกมาอย่างน่าอัศจรรย์ ร่างกายยืดขยาย มือขนาดใหญ่สีเลือดข้างหนึ่งกรุ่นไปด้วยกลิ่นคาวฟาดลงมายังหยางรอง

เจ้าเมืองเซวี่ยยาไม่ได้ฟังคำพูดของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เขาสำแดงอิทธิฤทธิ์ หมายจะตะปบชายวัยกลางคนให้ตายในฝ่ามือเดียว

หางตาหยางรองกระตุกทันที แต่เพียงพลิกฝ่ามือสวนกลับไปโดยไม่หันไปมอง

เสียงโหยหวนยาวดังขึ้น มือสีดำทะมึนข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน

เสียงสนั่นหวั่นไหวเสียงหนึ่งดังขึ้น เงาร่างของทั้งสองชั่วพริบตาเดียวก็ถูกพัดหอบขึ้นอยู่ในพายุหมุน พร้อมกันนั้นก็ดีดตัวถอยไปด้านหลัง

“ระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง เจ้าไม่ใช่หยางรอง!”

เสียงร้องด้วยความโกรธและประหลาดใจของเจ้าเมืองเซวี่ยยาแว่วออกมาท่ามกลางเสียงกระหึ่มที่ดังออกมา เมื่อแสงสว่างจ้าตาวูบดับลง ก็ปรากฏใบหน้าสีขาวซีด

ในเวลานั้นเอง ชายวัยกลางคนฝั่งตรงข้ามเองก็ประคองตัวนิ่ง บนร่างมีกายทิพย์ที่ขยายออกอย่างคลุ้มคลั่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง

“ข้าจะเป็นหยางรองหรือไม่นั้นสำคัญด้วยหรือ อีกอย่างใครบอกว่าข้าไม่ใช่หยางรอง” อีกด้านหนึ่ง ใบหน้าของหยางรองเผยให้เห็นสีหน้าอันหน้าขนลุกออกมา

“เจ้ามองข้าด้วยสายตาเคียดแค้นเช่นนี้ เจ้าเป็นคนของชีซ่าจากมหาสมุทรเหลยไห่ หรือคนจากภูเขาเทียนฝางกันแน่” เจ้าเมืองเซวี่ยยาจ้องไปยังใบหน้าของหยางรองชั่วครู่ แล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“สหายปิ่งช่างมีการรับรู้เหนือผู้คนยิ่งนัก ผู้น้อยมาจากมหาสมุทรเหลยไห่ แต่ไม่ใช่คนของชีซ่า เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษเท่านั้น ในอดีตสหายอาศัยจังหวะที่ผู้คนของชีซ่าและภูเขาเทียนฝางกวาดล้างสถานที่บำเพ็ญเพียรของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ชีหลิง ลอบขโมยอิฐศักดิ์สิทธิ์สามในสี่ก้อนไป เป็นเหตุให้ผู้คนจากมหาสมุทรเหลยไห่และภูเขาเทียนฝางต่อสู้กันอย่างหนัก แต่ตัวเองกลับมาเป็นเจ้าเมืองยังที่ห่างไกลเช่นนี้ จิ๊ๆ ไม่รู้ว่าหากให้ผู้คนจากมหาสมุทรเหลยไห่และภูเขาเทียนฝางได้รู้เรื่องนี้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันกว้างใหญ่ยังจะเหลือที่ให้สหายได้ยืนอยู่หรือไม่” หยางรองหัวเราะเบาๆ

“ฮึ เจ้ารู้เรื่องอดีตของข้าอย่างถ่องแท้ทีเดียว อิฐศักดิ์สิทธิ์หนึ่งก้อนที่งานประมูลคงเป็นของปลอมที่เจ้าจงใจเอาออกมาสินะ” เจ้าเมืองเซวี่ยยาถามขึ้นมุมปากเหยเก

“ของสิ่งนั้นได้รับการตรวจสอบตอนที่ประมูล จะเป็นของปลอมได้อย่างไรกัน ข้าก็เพียงแต่ทำลายอาคมบางส่วนของมันก็เท่านั้น สหายไล่ตามข้ามาถึงที่นี่ ไม่ใช่เพราะอิฐศักดิ์สิทธิ์ก้อนที่สี่นั่นหรอกหรือ” หยางรองสะบัดแขนเสื้อ มือหนึ่งยื่นออกมา ปรากฏกล่องไม้สีเขียวมรกตขึ้นใบหนึ่ง เอ่ยด้วยเสียงแฝงความหายลึกล้ำ

เจ้าเมืองเซวี่ยยาจ้องไปยังกล่องไม้ สีหน้าคลุมเครือ สักครู่ใหญ่จึงได้ถามออกมาว่า

“ไม่ว่าเจ้าจะมาจากที่ใด อิฐศักดิ์สิทธิ์ก้อนที่สี่ข้าจะต้องเอามาให้ได้ ลองพูดข้อแลกเปลี่ยนของเจ้ามาว่าเป็นเช่นใด”

“พี่ปิ่งช่างเป็นคนเปิดเผยยิ่งนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้น้อยก็จะไม่อ้อมค้อม ทั้งข้าเจ้าต่างรู้ดีว่าอิฐศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่นี้เกี่ยวข้องกับแผนที่ลับชีหลิงที่เล่าลือกัน ว่ากันว่าอิฐศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ชีหลิงหากประกอบเข้าด้วยกันแล้ว ไม่เพียงแต่จะสามารถได้รับอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดของเขาแล้ว หนำซ้ำยังจะได้แผนที่คลังสมบัติลับซึ่งเขาเป็นคนวาดด้วยมือตัวเอง ในนั้นยังไม่ต้องพูดถึงสมบัติวิเศษหายากต่างๆ เพียงแค่ ‘เรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึก’ สมบัติเหาะเหินที่จัดอยู่ในสามลำดับแรกในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั่น ก็ไม่รู้ว่ามีคนเท่าไหร่ที่เข้าปรารถนาจะได้ครอบครอง หากได้มันมา ไม่แน่ว่าแม้แต่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปก็ไม่อาจจะเข่นฆ่าพวกข้าได้อย่างง่ายดาย ข้าก็เพียงแต่อยากจะหาวิธีกับสหายเพื่อให้ได้แผนที่ลับนั้น จากนั้นช่วยกันแบ่งสมบัติวิเศษเหล่านั้นอย่างเท่าเทียม” หยางรองพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ข้ามีอิฐศักดิ์สิทธิ์สามก้อน ในมือเจ้ามีเพียงแค่ก้อนเดียว คิดอยากจะแบ่งสมบัติพิเศษอย่างเท่าเทียม ไม่คิดว่าจะน่าขันไปหน่อยหรือ” เจ้าเมืองเซวี่ยยาดูราวกับคาดเดาคำตอบนี้ได้แต่แรกแล้ว แต่ก็พูดตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“ข้ากลับคิดว่าจะอิฐศักดิ์สิทธิ์ก้อนเดียวหรือสามก้อนก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน หากว่าสหายสามารถใช้เพียงอิฐศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามในมือเพื่อให้ได้แผนที่แล้วละก็ เห็นจะไม่รออยู่ที่เมืองเซวี่ยยาแห่งนี้ด้วยใจระแวดระวังหลายปีเช่นนี้หรอกกระมัง ผู้น้อยขอแบ่งสัดส่วนอย่างเท่าเทียม ไม่นับว่าเกินไปหรอก” หยางรองพูดขึ้นอย่างหนักแน่น

“เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก ข้าต้องการใคร่ครวญสักหน่อยค่อยตัดสินใจ หนำซ้ำก่อนหน้านั้น ข้ายังจำเป็นต้องตรวจสอบอิฐศักดิ์สิทธิ์ในมือเจ้าก่อน” เจ้าเมืองเซวี่ยยาคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วพูดขึ้นอย่างรอบคอบ

“สหายคิดจะตรวจสอบเช่นใด คงไม่คิดว่าข้าจะประเคนอิฐศักดิ์สิทธิ์ให้ด้วยสองมือแต่โดยดีหรอกกระมัง” หยางรองได้ยินก็แปลกใจ แล้วพูดขึ้นอย่างระวัง

“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก สหายเพียงแต่เอาอิฐศักดิ์สิทธิ์ออกมาแล้วใช้พลังวิญญาณกระตุ้นมันเล็กน้อย ข้าก็จะสามารถใช้เคล็ดวิชาลับเพื่อตรวจสอบได้โดยตรงว่าเป็นของจริงหรือปลอม” เจ้าเมืองเซวี่ยยาพูดขึ้นเสียงเรียบ

“หากเพียงเช่นนั้นก็ย่อมได้ เพื่อที่จะได้รับความเชื่อใจจากสหาย ข้าก็จะตอบรับดูสักครั้ง” ชายวัยกลางคนดูลังเลใจอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้ารับอย่างฝืนๆ

“สหายตรงไปตรงมาเช่นนี้ คงจะอยากร่วมมือกับข้าด้วยความจริงใจจริงๆ” ผู้เฒ่าดวงตาสีเงินได้ยินก็รู้สึกยินดีมากกว่าที่คาดไว้

เขายื่นข้อเสนอนี้ก่อน เดิมทีหมายจะปะทะคารมกับอีกฝ่ายสักครั้ง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะตอบรับโดยทันที

“สหาย เจ้าดูเถอะ” หยางรองใช้มือข้างหนึ่งตบที่กล่องไม้ในมือ พริบตาเดียวแสงวิญญาณก็กะพริบ ฝาแง้มเปิดออก ก้อนอิฐยาวโปร่งแสงสว่างรำไรก้อนหนึ่งก็ลอยออกมาจากด้านใน จากนั้นก็ลอยอยู่ด้านหน้าทรวงอกของชายวัยกลางคน

นิ้วมือนิ้วหนึ่งของหยางรองแตะลงไปที่อิฐผลึกเบาๆ ชั่วพริบตาเดียวพลังปราณอันบริสุทธิ์ก็ไหลสู่ตัวมัน

เจ้าเมืองเซวี่ยยาเห็นเช่นนั้น ก็ไม่อาจนิ่งเฉย มือทั้งสองเริ่มร่ายอาคม แสงสีเงินในดวงตาทั้งคู่แวววาว จ้องนิ่งไปยังอิฐผลึกทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่อยู่ไกลออกไปโดยไม่กะพริบตา

พร้อมกันนั้นเอง จิตสัมผัสอันแก่กล้าสายหนึ่งก็แผ่ออกมาจากกลางหน้าผากของผู้เฒ่าไปยังอิฐผลึก ห่อหุ้มมันเอาไว้ภายใน กำลังตรวจสอบลึกเข้าไปภายใน

แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ด้านในของอิฐผลึกก็ส่องแสงสีเงินออกมาทันที เสียงแตกร้าวดังขึ้น อิฐผลึกปะทุแตกกลายเป็นแสงสลัวสีขาวเป็นดวงๆ

ดวงแสงสีเงินยืดหดวูบวาบ ทันใดนั้นก็กลายเป็นดวงแสงสีเงินหมุนวนอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็ดึงเอาจิตสัมผัสทั้งหมดที่อยู่ใกล้เข้าไปด้านใน

“แย่แล้ว!”

เจ้าเมืองเซวี่ยยาร้องดัง บนผิวกายปรากฏแสงสีเลือดขึ้นมาชั้นหนึ่งทันที พร้อมกันนั้นร่างกายก็ผละไปด้านหลัง ถอยออกไปเล็กน้อย

เสียงหนึ่งดังแหวกอากาศ บนหัวของผู้เฒ่ามีแสงวิญญาณส่องกะพริบ แสงสีทองยาวนับจั้งสายหนึ่งพุ่งออกมาจากความว่างเปล่าพร้อมส่งเสียงหวีดแหลม แล้วพันไปรอบบริเวณลำคอของเจ้าเมืองเซวี่ยยาด้วยความเร็วราวกับอัสนีบาต

แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ พร้อมกันนั้นเอง ร่างกายของหยางรองก็กระเพื่อมไหว มืออสูรสีขาวซีดข้างหนึ่งปรากฏขึ้นมาเงียบๆ หายวับแล้วไปปรากฏด้านหลังเขา นิ้วมือราวกับใบมีดทั้งห้าคว้าเอาไว้อย่างแรง

ทั้งสองคนถูกลอบโจมตีเอาชีวิตพร้อมกัน!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 2032 คลังสมบัติชีหลิง

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 2032 คลังสมบัติชีหลิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตั้งแต่เริ่มต้นจนท้ายที่สุด องครักษ์เผ่ามารเหล่านั้นที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ได้สังเกตเห็นหานลี่แม้แต่น้อย

และหานลี่ในเวลานี้ รู้สึกสงสัยในตัวสองคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างมาก

เขาสามารถมองข้ามเขตต้องห้ามที่อยู่นอกกำแพงเมืองได้ อาศัยอิทธิฤทธิ์อันแก่กล้าของตน และสองคนที่อยู่ต่อหน้าเขาเห็นได้ชัดว่าความสามารถด้อยกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด สามารถผ่านไปได้โดยไม่ต้องแตะต้องเขตต้องห้ามเหล่านี้แม้แต่นิดเดียว

เห็นได้ชัดมากทั้งสองคนถ้าไม่ได้ครอบครองสมบัติวิเศษทำลายเขตต้องห้ามพิเศษบางอย่าง ก็ต้องเป็นผู้ที่สามารถควบคุมการเข้าออกเขตต้องห้ามเหล่านี้ คงเป็นผู้ซึ่งมีตำแหน่งในเมืองเซวี่ยยา

ในขณะที่หานลี่กำลังครุ่นคิด เขาก็ได้เล็ดลอดผ่านลำแสงสองลูกสองข้างด้านหน้า ลอยออกไปด้านนอกไกลนับหมื่นลี้ ไปบนท้องฟ้าเหนือกองเศษหินกระจัดกระจายสีดำเสมอแห่งหนึ่ง

ทันใดนั้นแสงสีเขียวสายนั้นที่อยู่ด้านหน้าก็ร่อนลงไปด้านล่าง ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปท่ามกลางกองหินไร้ร่องรอย

แสงสีเทาที่ตามติดอยู่ด้านหลังหยุดลงชั่วขณะ แล้วร่อนลงไปด้านล่างอย่างไม่ลังเล

บนหินก้อนยักษ์ด้านล่าง แสงสว่างดับวูบลง ปรากฏร่างผู้เฒ่าตาสีเงินในชุดสีเทาผู้หนึ่ง กำลังกวาดสายตามองไปทั่วทุกทิศด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

“เอ๊ะ นี่คือท่านเจ้าเมืองเซวี่ยยามิใช่หรือ”

หานลี่ปรากฏตัวอยู่เหนือกองเศษหินอย่างไร้สุ้มเสียง ดวงตาทั้งสองมองคะเนไปยังผู้เฒ่า ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า

เจ้าเมืองเซวี่ยยาไม่สังเกตเห็นหานลี่ที่กำลังหายตัวอยู่กลางอากาศ กวาดสายตามองไปรอบด้าน แล้วแค่นเสียงออกมาหนึ่งที ทันใดนั้นร่มสีดำคันเล็กคันหนึ่งก็ปรากฏขึ้น จากนั้นก็ท่องอาคมแล้วเหวี่ยงไปกลางอากาศ

เสียงดัง ‘พรึ่บ’ !

ร่มสีดำคันเล็กขยายใหญ่หลายจั้ง ชั่วพริบตาเดียวก็ลอยอยู่กลางอากาศส่องลำแสงสีดำนับหมื่นลูกออกมา ปกคลุมพื้นที่หลายหมู่ที่อยู่ด้านล่างเอาไว้

ด้านหลังก้อนหินขนาดยักษ์ที่เล็กลงมาหน่อยก้อนหนึ่งซึ่งห่างจากผู้เฒ่าไกลออกไปหลายสิบจั้ง มีเสียงกระแทกหนักอึ้งแว่วออกมา!

เงาร่างสีน้ำเงินเลือนรางปรากฏขึ้นราวกับว่าถูกกำลังมหาศาลกระแทกจนซวนเซ คือชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีน้ำเงินหน้าตาธรรมดาผู้หนึ่ง แต่บนใบหน้ากับไร้ซึ่งอารมณ์ ดูเหมือนกับคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่าจะถูกเผยตัวตน

หานลี่เมื่อเห็นใบหน้าชายวัยกลางคนผู้นั้นชัดเจนแล้ว แววตาก็เป็นประกายขึ้นมา

ชายผู้นี้ก็คือ ‘หยางรอง’ เผ่ามารที่ประมูลอิฐศักดิ์สิทธิ์ก้อนนั้นได้ไปก่อนหน้านี้ที่ตลาดประมูล

และในวินาทีที่ชายผู้นี้ถูกบีบให้ปรากฏตัวออกมา เจ้าเมืองเซวี่ยยาก็ส่งเสียงคำรามออกจากปากเบาๆ มืออีกข้างหนึ่งทันใดนั้นก็สะบัดไปกลางอากาศ

แสงสีเลือดยาวสิบกว่าจั้งสายหนึ่งส่องออกไปแล้ววูบลง หินก้อนยักษ์ที่บังอยู่ด้านหน้าหยางรองส่งเสียงดังแล้วแตกออกเป็นสองส่วน

ร่างของชายวัยกลางคนเลือนรางลง พริบตาเดียวก็หายวับไป ปล่อยให้แสงสีเลือดแหวกอากาศผ่าออกไปในความว่างเปล่า

บนผิวดินปรากฏรอยทางขนาดมหึมารอยหนึ่งยาวสิบจั้ง ดูน่าสะพรึงอย่างยิ่ง

“หึๆ เพียงเพื่อสิ่งของนอกกายเพียงชิ้นเดียว สหายปิ่งถึงกับคิดจะเอาชีวิตของข้าให้ได้เลยอย่างนั้นหรือ” ด้านบนอีกฟากหนึ่งห่างจากรอยทางไกลออกไปช่วงหนึ่ง หยางรองกำลังกอดอกลอยปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ พูดด้วยน้ำเสียงถากถางเหน็บแนม โดยไม่ได้มีท่าทียำเกรงต่อเจ้าเมืองเซวี่ยยาจอมมารระดับผสานอินทรีย์ผู้นี้แต่อย่างใด

“จงใจล่อข้าออกจากเมืองอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย หากเจ้ามีผู้ช่วยติดตามมาละก็เรียกออกมาให้หมดเสีย” ดวงตาเจ้าเมืองเซวี่ยยาฉายแววอำมหิต พูดตอบชายวัยกลางคนช้าๆ

“ผู้ช่วยหรือ สหายปิ่งไยพูดเช่นนี้ ที่นี่นอกจากข้าแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีก” หยางรองพูดตอบพลางหัวเราะร่า

“เป็นแค่ระดับหลอมสุญตา หากไม่มีคนคอยช่วย เจ้าจะกล้าอยู่ต่อหน้าข้าอย่างสงบนิ่งอย่างนั้นหรือ” ประกายสีเงินในตาของเจ้าเมืองหมุนเคลื่อน พูดด้วยน้ำเสียงอำมหิต

“หากพี่ปิ่งไม่เชื่อ ข้าก็จนปัญญา แต่ที่ข้าล่อสหายออกมาในครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด เพียงแต่อยากคุยข้อแลกเปลี่ยนที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายเท่านั้น”

“คุยข้อแลกเปลี่ยนนั้นย่อมได้ แต่ต้องดูว่าเจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะคุยกับข้าหรือไม่ เพียงแค่สังหารเจ้า ข้าก็จะได้สิ่งที่ข้าต้องการแล้ว ยังจะต้องได้เปลี่ยนอะไรกันอีกเล่า” เจ้าเมืองเซวี่ยยาได้ยินก็หัวเราะลั่น เงาร่างทันใดนั้นก็หายไปท่ามกลางแสงสีเลือด

วินาทีต่อมา ด้านหลังชายวัยกลางคนก็เกิดกระแสคลื่น เจ้าเมืองเซวี่ยยาปรากฏตัวออกมาอย่างน่าอัศจรรย์ ร่างกายยืดขยาย มือขนาดใหญ่สีเลือดข้างหนึ่งกรุ่นไปด้วยกลิ่นคาวฟาดลงมายังหยางรอง

เจ้าเมืองเซวี่ยยาไม่ได้ฟังคำพูดของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เขาสำแดงอิทธิฤทธิ์ หมายจะตะปบชายวัยกลางคนให้ตายในฝ่ามือเดียว

หางตาหยางรองกระตุกทันที แต่เพียงพลิกฝ่ามือสวนกลับไปโดยไม่หันไปมอง

เสียงโหยหวนยาวดังขึ้น มือสีดำทะมึนข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน

เสียงสนั่นหวั่นไหวเสียงหนึ่งดังขึ้น เงาร่างของทั้งสองชั่วพริบตาเดียวก็ถูกพัดหอบขึ้นอยู่ในพายุหมุน พร้อมกันนั้นก็ดีดตัวถอยไปด้านหลัง

“ระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง เจ้าไม่ใช่หยางรอง!”

เสียงร้องด้วยความโกรธและประหลาดใจของเจ้าเมืองเซวี่ยยาแว่วออกมาท่ามกลางเสียงกระหึ่มที่ดังออกมา เมื่อแสงสว่างจ้าตาวูบดับลง ก็ปรากฏใบหน้าสีขาวซีด

ในเวลานั้นเอง ชายวัยกลางคนฝั่งตรงข้ามเองก็ประคองตัวนิ่ง บนร่างมีกายทิพย์ที่ขยายออกอย่างคลุ้มคลั่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง

“ข้าจะเป็นหยางรองหรือไม่นั้นสำคัญด้วยหรือ อีกอย่างใครบอกว่าข้าไม่ใช่หยางรอง” อีกด้านหนึ่ง ใบหน้าของหยางรองเผยให้เห็นสีหน้าอันหน้าขนลุกออกมา

“เจ้ามองข้าด้วยสายตาเคียดแค้นเช่นนี้ เจ้าเป็นคนของชีซ่าจากมหาสมุทรเหลยไห่ หรือคนจากภูเขาเทียนฝางกันแน่” เจ้าเมืองเซวี่ยยาจ้องไปยังใบหน้าของหยางรองชั่วครู่ แล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“สหายปิ่งช่างมีการรับรู้เหนือผู้คนยิ่งนัก ผู้น้อยมาจากมหาสมุทรเหลยไห่ แต่ไม่ใช่คนของชีซ่า เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษเท่านั้น ในอดีตสหายอาศัยจังหวะที่ผู้คนของชีซ่าและภูเขาเทียนฝางกวาดล้างสถานที่บำเพ็ญเพียรของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ชีหลิง ลอบขโมยอิฐศักดิ์สิทธิ์สามในสี่ก้อนไป เป็นเหตุให้ผู้คนจากมหาสมุทรเหลยไห่และภูเขาเทียนฝางต่อสู้กันอย่างหนัก แต่ตัวเองกลับมาเป็นเจ้าเมืองยังที่ห่างไกลเช่นนี้ จิ๊ๆ ไม่รู้ว่าหากให้ผู้คนจากมหาสมุทรเหลยไห่และภูเขาเทียนฝางได้รู้เรื่องนี้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันกว้างใหญ่ยังจะเหลือที่ให้สหายได้ยืนอยู่หรือไม่” หยางรองหัวเราะเบาๆ

“ฮึ เจ้ารู้เรื่องอดีตของข้าอย่างถ่องแท้ทีเดียว อิฐศักดิ์สิทธิ์หนึ่งก้อนที่งานประมูลคงเป็นของปลอมที่เจ้าจงใจเอาออกมาสินะ” เจ้าเมืองเซวี่ยยาถามขึ้นมุมปากเหยเก

“ของสิ่งนั้นได้รับการตรวจสอบตอนที่ประมูล จะเป็นของปลอมได้อย่างไรกัน ข้าก็เพียงแต่ทำลายอาคมบางส่วนของมันก็เท่านั้น สหายไล่ตามข้ามาถึงที่นี่ ไม่ใช่เพราะอิฐศักดิ์สิทธิ์ก้อนที่สี่นั่นหรอกหรือ” หยางรองสะบัดแขนเสื้อ มือหนึ่งยื่นออกมา ปรากฏกล่องไม้สีเขียวมรกตขึ้นใบหนึ่ง เอ่ยด้วยเสียงแฝงความหายลึกล้ำ

เจ้าเมืองเซวี่ยยาจ้องไปยังกล่องไม้ สีหน้าคลุมเครือ สักครู่ใหญ่จึงได้ถามออกมาว่า

“ไม่ว่าเจ้าจะมาจากที่ใด อิฐศักดิ์สิทธิ์ก้อนที่สี่ข้าจะต้องเอามาให้ได้ ลองพูดข้อแลกเปลี่ยนของเจ้ามาว่าเป็นเช่นใด”

“พี่ปิ่งช่างเป็นคนเปิดเผยยิ่งนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้น้อยก็จะไม่อ้อมค้อม ทั้งข้าเจ้าต่างรู้ดีว่าอิฐศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่นี้เกี่ยวข้องกับแผนที่ลับชีหลิงที่เล่าลือกัน ว่ากันว่าอิฐศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ชีหลิงหากประกอบเข้าด้วยกันแล้ว ไม่เพียงแต่จะสามารถได้รับอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดของเขาแล้ว หนำซ้ำยังจะได้แผนที่คลังสมบัติลับซึ่งเขาเป็นคนวาดด้วยมือตัวเอง ในนั้นยังไม่ต้องพูดถึงสมบัติวิเศษหายากต่างๆ เพียงแค่ ‘เรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึก’ สมบัติเหาะเหินที่จัดอยู่ในสามลำดับแรกในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั่น ก็ไม่รู้ว่ามีคนเท่าไหร่ที่เข้าปรารถนาจะได้ครอบครอง หากได้มันมา ไม่แน่ว่าแม้แต่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปก็ไม่อาจจะเข่นฆ่าพวกข้าได้อย่างง่ายดาย ข้าก็เพียงแต่อยากจะหาวิธีกับสหายเพื่อให้ได้แผนที่ลับนั้น จากนั้นช่วยกันแบ่งสมบัติวิเศษเหล่านั้นอย่างเท่าเทียม” หยางรองพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ข้ามีอิฐศักดิ์สิทธิ์สามก้อน ในมือเจ้ามีเพียงแค่ก้อนเดียว คิดอยากจะแบ่งสมบัติพิเศษอย่างเท่าเทียม ไม่คิดว่าจะน่าขันไปหน่อยหรือ” เจ้าเมืองเซวี่ยยาดูราวกับคาดเดาคำตอบนี้ได้แต่แรกแล้ว แต่ก็พูดตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“ข้ากลับคิดว่าจะอิฐศักดิ์สิทธิ์ก้อนเดียวหรือสามก้อนก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน หากว่าสหายสามารถใช้เพียงอิฐศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามในมือเพื่อให้ได้แผนที่แล้วละก็ เห็นจะไม่รออยู่ที่เมืองเซวี่ยยาแห่งนี้ด้วยใจระแวดระวังหลายปีเช่นนี้หรอกกระมัง ผู้น้อยขอแบ่งสัดส่วนอย่างเท่าเทียม ไม่นับว่าเกินไปหรอก” หยางรองพูดขึ้นอย่างหนักแน่น

“เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก ข้าต้องการใคร่ครวญสักหน่อยค่อยตัดสินใจ หนำซ้ำก่อนหน้านั้น ข้ายังจำเป็นต้องตรวจสอบอิฐศักดิ์สิทธิ์ในมือเจ้าก่อน” เจ้าเมืองเซวี่ยยาคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วพูดขึ้นอย่างรอบคอบ

“สหายคิดจะตรวจสอบเช่นใด คงไม่คิดว่าข้าจะประเคนอิฐศักดิ์สิทธิ์ให้ด้วยสองมือแต่โดยดีหรอกกระมัง” หยางรองได้ยินก็แปลกใจ แล้วพูดขึ้นอย่างระวัง

“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก สหายเพียงแต่เอาอิฐศักดิ์สิทธิ์ออกมาแล้วใช้พลังวิญญาณกระตุ้นมันเล็กน้อย ข้าก็จะสามารถใช้เคล็ดวิชาลับเพื่อตรวจสอบได้โดยตรงว่าเป็นของจริงหรือปลอม” เจ้าเมืองเซวี่ยยาพูดขึ้นเสียงเรียบ

“หากเพียงเช่นนั้นก็ย่อมได้ เพื่อที่จะได้รับความเชื่อใจจากสหาย ข้าก็จะตอบรับดูสักครั้ง” ชายวัยกลางคนดูลังเลใจอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้ารับอย่างฝืนๆ

“สหายตรงไปตรงมาเช่นนี้ คงจะอยากร่วมมือกับข้าด้วยความจริงใจจริงๆ” ผู้เฒ่าดวงตาสีเงินได้ยินก็รู้สึกยินดีมากกว่าที่คาดไว้

เขายื่นข้อเสนอนี้ก่อน เดิมทีหมายจะปะทะคารมกับอีกฝ่ายสักครั้ง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะตอบรับโดยทันที

“สหาย เจ้าดูเถอะ” หยางรองใช้มือข้างหนึ่งตบที่กล่องไม้ในมือ พริบตาเดียวแสงวิญญาณก็กะพริบ ฝาแง้มเปิดออก ก้อนอิฐยาวโปร่งแสงสว่างรำไรก้อนหนึ่งก็ลอยออกมาจากด้านใน จากนั้นก็ลอยอยู่ด้านหน้าทรวงอกของชายวัยกลางคน

นิ้วมือนิ้วหนึ่งของหยางรองแตะลงไปที่อิฐผลึกเบาๆ ชั่วพริบตาเดียวพลังปราณอันบริสุทธิ์ก็ไหลสู่ตัวมัน

เจ้าเมืองเซวี่ยยาเห็นเช่นนั้น ก็ไม่อาจนิ่งเฉย มือทั้งสองเริ่มร่ายอาคม แสงสีเงินในดวงตาทั้งคู่แวววาว จ้องนิ่งไปยังอิฐผลึกทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่อยู่ไกลออกไปโดยไม่กะพริบตา

พร้อมกันนั้นเอง จิตสัมผัสอันแก่กล้าสายหนึ่งก็แผ่ออกมาจากกลางหน้าผากของผู้เฒ่าไปยังอิฐผลึก ห่อหุ้มมันเอาไว้ภายใน กำลังตรวจสอบลึกเข้าไปภายใน

แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ด้านในของอิฐผลึกก็ส่องแสงสีเงินออกมาทันที เสียงแตกร้าวดังขึ้น อิฐผลึกปะทุแตกกลายเป็นแสงสลัวสีขาวเป็นดวงๆ

ดวงแสงสีเงินยืดหดวูบวาบ ทันใดนั้นก็กลายเป็นดวงแสงสีเงินหมุนวนอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็ดึงเอาจิตสัมผัสทั้งหมดที่อยู่ใกล้เข้าไปด้านใน

“แย่แล้ว!”

เจ้าเมืองเซวี่ยยาร้องดัง บนผิวกายปรากฏแสงสีเลือดขึ้นมาชั้นหนึ่งทันที พร้อมกันนั้นร่างกายก็ผละไปด้านหลัง ถอยออกไปเล็กน้อย

เสียงหนึ่งดังแหวกอากาศ บนหัวของผู้เฒ่ามีแสงวิญญาณส่องกะพริบ แสงสีทองยาวนับจั้งสายหนึ่งพุ่งออกมาจากความว่างเปล่าพร้อมส่งเสียงหวีดแหลม แล้วพันไปรอบบริเวณลำคอของเจ้าเมืองเซวี่ยยาด้วยความเร็วราวกับอัสนีบาต

แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ พร้อมกันนั้นเอง ร่างกายของหยางรองก็กระเพื่อมไหว มืออสูรสีขาวซีดข้างหนึ่งปรากฏขึ้นมาเงียบๆ หายวับแล้วไปปรากฏด้านหลังเขา นิ้วมือราวกับใบมีดทั้งห้าคว้าเอาไว้อย่างแรง

ทั้งสองคนถูกลอบโจมตีเอาชีวิตพร้อมกัน!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+