A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 2040 ตระกูลไป๋จากเมืองฮ่วนเย่

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 2040 ตระกูลไป๋จากเมืองฮ่วนเย่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ร่างกายของหานลี่สั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง แสงสีเงินทั้งหมดหายเข้าไปในผิวหนังภายในพริบตา ผิวกายของเขายุบนูนเป็นตะปุ่มตะป่ำ ราวกับว่าไข่นับไม่ถ้วนวิ่งวนไปมาอย่างอย่างไม่มีจุดหมาย ในขณะนี้ หานลี่รู้สึกถึงความร้อนที่พลุกพล่านในเลือดเนื้อของเขา เส้นลมปราณทั้งชาและคันจนแทบจะทนไม่ไหวต้องการจะกระชากร่างออกมา ราวกับว่าความรู้สึกเจ็บปวดนี้เจาะลึกเข้าไปในจิตวิญญาณ แต่เพราะจิตสัมผัสของหานลี่ทรงพลังมาก เขาจึงสามารถทนต่อความเจ็บปวดได้ ดังนั้นหากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนอื่น ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถควบคุมพลังในร่างกายที่บ้าคลั่งเช่นนี้ได้ แต่ต้องกรีดร้องโหยหวนในทันที คงไม่สามารถอดทนและสงบนิ่งในการฝึกฝนเช่นนี้ได้ หานลี่นั่งขัดสมาธิบนพื้นโดยไม่เคลื่อนไหว อดทนต่อนิมิตต่างๆ บนร่างกายของเขาอย่างไร้ความรู้สึก สามสี่ชั่วยามผ่านไป ร่างกายของเขายังคงใสแวววาว สามารถเห็นกระดูกที่หนากว่าคนทั่วไปได้อย่างชัดเจน กระดูกเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่องแสงประกายสีเงินจางๆ ราวกับสร้างมาจากเงินแท้บริสุทธิ์ และยังมีริ้วสีทองจางๆ บนพื้นผิวอีกด้วย แม้จะมีสีจาง เรียวเล็กราวกับเส้นไหม หากไม่มองอย่างละเอียดก็จะไม่สามารถมองเห็นได้ว่าเส้นสีทองเหล่านั้นก่อตัวเป็นอักขระอาคมลึกลับราวกับประทับอยู่บนกระดูก หากผู้บำเพ็ญเพียรสามารถมองเห็นอักขระอาคมสีทองเหล่านี้ ต้องโพล่งออกมาว่า ‘อักษรจ้วนทอง’ ด้วยความตกใจ เคล็ดวิชาที่สามารถสร้างอักขระวิญญาณแดนเซียนขึ้นในร่างกายได้ เดาได้ไม่ยากว่ามันมีความลึกลับเพียงใด มีที่มาจากดินแดนเซียนมากมายขนาดไหน แม้ตัวตนระดับมหายานก็ต้องรู้สึกหวั่นไหว เคล็ดวิชานี้ คือคาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติที่หานลี่กำลังฝึกฝนใหม่อีกครั้ง เคล็ดวิชานี้มาจากดินแดนเซียน หากการฝึกฝนของหานลี่สำเร็จ เนื้อหนังมังสาจะแข็งแกร่งมาก และสามารถดำรงอยู่ได้เหมือนวิญญาณจริงๆ และอาจจะมีพลังมากกว่านี้อีกเล็กน้อย ความยากลำบากในการฝึกเคล็ดวิชานี้แค่คิดก็พอจะเดาได้ หานลี่จึงกล้าที่จะฝึกฝนใหม่อีกครั้งหลังจากอยู่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย การฝึกฝนจะประสบความสำเร็จเมื่อไรไม่มีผู้ใดรู้ หรือบางทีแม้จะอยู่ในระดับมหายานขั้นปลายแล้ว การฝึกเคล็ดวิชานี้อาจจะยังเสร็จสมบูรณ์ และด้วยอายุที่แท้จริงของหานลี่ ซึ่งมีอายุขัยที่เหนือจินตนาการ ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อนในการฝึกเคล็ดวิชา และทำความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เวลาค่อยๆ ผ่านไป ไม่กี่ชั่วยาม หานลี่ลืมตาขึ้น จากนั้นก็มีเสียงดังสนั่นออกมาจากกระดูกของเขา จากนั้นร่างกายของเขาลอยขึ้นด้วยแสงสีทอง เขายกมือขึ้นหนึ่งข้างร่ายอาคม เสียงคำรามในร่างกายหายไปทันที อีกทั้งร่างที่ลอยขึ้นก็กลับลงมาสู่ที่เดิม หานลี่ถอนหายใจยาวๆ รอยยิ้มเจื่อนๆ ปรากฏบนใบหน้าของเขา การฝึกฝนคาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติเป็นการฝึกฝนที่เจ็บปวดมาก แม้ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็สามารถฝึกในได้เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น หากใช้เวลาในการฝึกฝนนานเกินไปอย่างต่อเนื่อง เกรงว่าเส้นสมปราณจะแตกและบาดเจ็บ หลังจากฝึกวิชา เขาไม่ได้เก็บเขตอาคมในทันที แต่เขากลับแกว่งมือข้างหนึ่งในอากาศ เทวรูปร่างสีทองของสามเศียรหกกรสลายไปในทันที หานลี่วางมือบนหัวเข่าด้วยท่าทางสงบและหลับตาลงเข้าสมาธิอีกครั้ง  ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อร่างสีทองหายไป ก็ถูกแทนที่ด้วยชั้นแสงทั้งเจ็ดสี แสงค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจนปกคลุมร่างกายของหานลี่ ในตอนนี้ ใบหน้าของเขามีแสงแวววาวไหลวน และเนตรปีศาจสีดำระหว่างคิ้วของเขาสั่นไหวเบาๆ ราวกับว่ามีชีวิตขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง หลังจากที่หานลี่ฝึกฝนคาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติ เขาก็เริ่มฝึกวิชาลับจากแดนเซียนอีกชุดหนึ่ง…เคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณ ด้วยพลังยุทธ์และร่างกายของเขาในตอนนี้ ในที่สุดก็สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ได้อย่างมั่นใจ หากสามารถฝึกฝนขั้นที่สองของเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณได้ จะทำให้จิตวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า แม้ว่าการเดินทางท่องแดนมารในครั้งนี้จะไม่สามารถค้นพบบ่อชำระวิญญาณและบัววิญญาณพิสุทธิ์ได้ แต่ก็ยังมีความหวังที่จะบรรลุสู่ระดับมหายาน หานลี่ตระหนักถึงความสำคัญของเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณ ตั้งแต่สงครามระหว่างเผ่ามารที่เมืองเทียนยวน เขาฝึกฝนทุกวันอย่างไม่ลดละ ทว่าเนื่องจากเวลาสั้นเกินไป และขั้นที่สองก็ลึกล้ำกว่าขั้นแรกมาก ขั้นที่สองจึงมีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าการฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณขั้นที่สอง น่าจะใช้เวลาค่อนข้างนาน หานลี่คาดหวังสิ่งนี้มาเป็นเวลานาน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กระวนกระวาย เพียงแค่เข้าสู่สมาธิและฝึกฝนอย่างเงียบๆ! เช้าวันรุ่งขึ้น รุ้งสีเขียวพุ่งออกมาจากเกาะ หลังจากที่หมุนวนรอบๆ แสงก็พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า สองวันต่อมา หานลี่บินออกจากทะเลนี้ และไปยังภูเขาสีเขียวเข้ม ภูเขานี้มีความชื้นมากกว่าปกติ และในบางครั้งหมอกหลากสีจะค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้นดิน หมอกบดบังทุกสิ่งในระดับความสูงสามสี่ร้อยจั้ง จึงมิอาจมองเห็นทิวทัศน์ที่แท้จริงได้ เนื่องจากกลัวว่าอสูรมารจะพุ่งออกมาจากหมอกโดยไม่ทันตั้งตัว การเดินทางจึงล่าช้า ครั้งนี้หานลี่ไม่ได้บินระดับต่ำและใช้จิตสัมผัสในการกวาดดูภูเขาด้านล่าง แต่เขากลับบินขึ้นไปสูงหลายพันลี้ สำหรับความสูงมากกว่าหมื่นลี้ มักจะมีอสูรมารทรงพลังบางตัวที่แม้แต่หานลี่ก็ไม่อยากเข้าไปยั่วยุในอาณาเขตของพวกมัน จึงไม่จำเป็นที่จะต้องบินขึ้นไปในที่สูงถึงเพียงนั้น ภูเขานี้กว้างใหญ่เกินกว่าจินตนาการของหานลี่มาก! เดิมทีคิดว่าต้องใช้เวลาสามสี่วันจึงจะสามารถออกจากเขาได้ ทว่าหลังจากผ่านไปสิบวันกลับยังไม่เห็นขอบเขตของภูเขา สิ่งนี้ทำให้หานลี่ประหลาดใจอย่างมาก และอดไม่ได้ที่จะเพิ่มความระมัดระวัง แม้ว่าเขาจะไม่ได้บินอยู่ในระดับต่ำ ทว่าในระหว่างทางเขายังพบกระแสพลังของอสูรมารที่ทรงพลังหลายระรอก ไม่เพียงแต่วิหคอสูรยักษ์ที่มีหัวเป็นแพะลำตัวเป็นนกอินทรี และยังมียุงดูดเลือดยักษ์ที่สามารถขยายร่างใหญ่ได้มากกว่าร้อยเท่า แม้ว่าอสูรมารเหล่านี้จะสร้างความรำคาญให้กับหานลี่ แต่พวกมันทั้งหมดก็กลายเป็นเถ้าถ่านเมื่อเพลิงกลืนวิญญาณสวรรค์พุ่งออกมา หลังจากบินข้ามภูเขาต่อไปอีกสองสามวัน ต้นไม้และยอดเขาด้านล่างจึงค่อยๆ ลดลง ในที่สุดเขาก็มาถึงชายขอบของภูเขา สิ่งนี้ทำให้จิตวิญญาณของหานลี่สั่นไหว ทันทีที่เขากระตุ้นพลังยุทธ์ ลำแสงเร่งความเร็วมากขึ้น ภายใต้การสว่างวาบไม่กี่ครั้ง เขาก็ไปถึงจุดสูงสุดของท้องฟ้า และในขณะที่เขากำลังจะพุ่งทะยานต่อไปด้วยลำแสงนั้น ใบหน้าพลันเปลี่ยนสี แสงวิญญาณกะพริบวาบ ลำแสงหลีกหนีพลันหยุดชะงักลง หานลี่เอียงศีรษะ พลางหันและจ้องมองไปอีกด้านหนึ่ง ใบหน้าของเขามีสีหน้าครุ่นคิด แต่หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าจะมีการตัดสินใจแล้ว เขายังมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เขามองอยู่ ต่อมา หานลี่จึงแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงและบินไปยังพื้นที่ที่ไกลกว่าพันลี้ และในระยะห่างระหว่างยอดเขา มีต้นไม้ยักษ์สีม่วงแดงสูงสามพันจั้ง บนท้องฟ้าเหนือต้นไม้ยักษ์ มีเผ่ามารชายหญิงสิบกว่าตนกำลังต่อสู้กับฝูงค้างคาวสีแดงเพลิงมีปีกเนื้อสดอยู่บนหลัง เผ่ามารส่วนใหญ่อยู่ในระดับเทพแปลง และยังมีอีกสามคนอยู่ในระดับหลอมสุญตา ซึ่งพวกเขากำลังสร้างเขตอาคมลึกลับ เพื่อนำอาวุธอาคมหลากสีหลายสิบชิ้นออกมาต่อสู้กับค้างคาวสีแดงเพลิง  ดูเหมือนว่าค้างคาวสีแดงเพลิงเหล่านั้นจะมีมากกว่าสามสิบตัว แต่ละตัวมีขนาดราวครึ่งจั้ง ผิวกายปกคลุมไปด้วยอักขระอาคมสีดำ ภายใต้การกระพือปีกเนื้อสด มีลมมารสีเทาพุ่งออกมา และมีเปลวไฟสีเขียวพ่นออกมาจากปากของมัน กระแสลมและเปลวไฟสอดประสาน พลังของเปลวไฟสีเขียวเพิ่มขึ้นอย่างมาก กลายเป็นทะเลเพลิงสีเขียว กักขังมารชายหญิงไว้บนท้องฟ้าเหนือต้นไม้ยักษ์ ไม่ให้พวกเขาออกมาได้ แม้ว่าเผ่ามารจะไม่สามารถออกจากวงล้อมได้ ทว่าอาวุธอาคมหลายชิ้นที่ถูกกระตุ้นโดยระดับหลอมสุญตาทั้งสามค่อนข้างทรงพลัง รวมทั้งเขตอาคมที่มีความลึกลับอย่างยิ่ง พวกเขาจึงสามารถต้านทานการโจมตีทะเลเพลิงอันน่าสะพรึงกลัวได้ชั่วคราว ด้านล่างเผ่ามารเหล่านี้มีกลิ่นหอมแปลกๆ บนยอดไม้ใหญ่มีผลสีเขียวขนาดเท่าหัวแม่มือหลายลูก กลิ่นหอมมาจากผลเหล่านั้น หานลี่ไม่ได้สนใจค้างคาวและเผ่ามารมากนัก แต่กลับมองลงไปที่ผลต้นไม้ยักษ์ “ต้นแสงม่วง ผลวิญญาณม่วง แต่ต้นแสงม่วงขนาดใหญ่เช่นนี้หายากมาก!” หานลี่พึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น แม้ว่าผลวิญญาณม่วงจะเป็นผลไม้วิญญาณที่หายาก โดยเฉพาะผลไม้จากต้นไม้วิญญาณขนาดใหญ่เช่นนี้ อาจมีผลลัพธ์พิเศษบางอย่าง ทว่าคุณประโยชน์ในผลไม้วิญญาณชนิดนี้สามารถใช้ได้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำกว่าระดับผสานอินทรีย์เท่านั้น และมันไร้ประโยชน์สำหรับหานลี่มานานแล้ว ในที่สุดหานลี่ก็ละลายตาและมองไปยังเผ่ามาร ในขณะนี้ ดูเหมือนสถานการณ์ของเผ่ามารระดับเทพแปลงจะไม่ค่อยดีนัก สีหน้าของเผ่ามารระดับแปลงเทพสิบกว่าตนเริ่มซีดเผือด เห็นได้ชัดว่าพลังยุทธ์ถูกใช้ไปอย่างสิ้นเปลือง และไม่สามารถคงอยู่ได้อย่างมั่นคงอีกต่อไป หากเผ่ามารระดับเทพแปลงเหล่านี้พลาด มารระดับหลอมสุญตาทั้งสามจะไม่สามารถสร้างเขตอาคมได้ ซึ่งก็จะโชคร้ายมากเช่นกัน หานลี่หรี่ตาลงและยังไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร หนึ่งในสามของอสูรระดับหลอมสุญตากลับตะโกนออกมา “สหาย ข้าคือคนของตระกูลไป๋จากเมืองฮ่วนเย่ หากสหายเต็มใจช่วย ตระกูลไป๋จะตอบแทนอย่างสาสมเป็นแน่!” มารที่ร้องขอความช่วยเหลือนั้นคือหญิงสาวหน้าตาสะสวย อายุราวๆ ยี่สิบปี ผมยาวถูกรวบขึ้น สวมชุดกระโปรงยาวสีเขียว เมื่อนางเห็นหานลี่จึงอดไม่ได้ที่จะร้องขอความช่วยเหลือ ในตอนนี้หานลี่ปกปิดระดับพลังยุทธ์ของเขา แสดงให้เห็นเพียงลมปราณระดับหลอมสุญตาขั้นสูงสุดเท่านั้น “ตระกูลไป๋เมืองฮ่วนเย่? หรือจะเป็นตระกูลไป๋ที่ก่อตั้งโดยเฉวียนเซียงนั่น!” หานลี่ถามด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย “หากสหายรู้จักตระกูลไป๋ ถ้าเช่นนั้นเจ้าควรจะรู้ว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริง หากเจ้าไม่เชื่อ ข้าสาบานด้วยจิตมาร ข้าจะไม่มีวันลืมตอบแทนผู้ที่ช่วยชีวิต” หญิงสาวสวยเข้าใจผิดในท่าทางลังเลของหานลี่ จึงรีบพูดอย่างเคร่งขรึม หานลี่ครุ่นคิดเมื่อได้ยิน จากนั้นเขาจึงตอบอย่างเรียบเฉย “ในเมื่อเจ้าคือคนของตระกูลไป๋ ข้าคงจะไม่ช่วยเจ้าไม่ได้ เพียงแค่หวังว่าสหายจะไม่ลืมสัญญา!” ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ยกมือหนึ่งข้างร่ายอาคม ทันใดนั้นร่างกายของเขาสูงขึ้นสามสี่จั้ง มีเกล็ดสีดำปรากฏอยู่บนผิวกายอย่างหนาแน่น ภายใต้แสงสีดำ มือทั้งสองกลายเป็นกรงเล็บสีดำ นิ้วมือทั้งสิบแหลมคมราวกับมีด เมื่อหานลี่เสร็จสิ้นการแปลงร่าง ก็ส่งเสียงคำรามเสียงดังอย่างไม่ลังเล และพุ่งเข้าหาฝูงค้างคาวสีแดงเพลิงด้วยพลังที่น่าตกใจ!

ร่างกายของหานลี่สั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง แสงสีเงินทั้งหมดหายเข้าไปในผิวหนังภายในพริบตา ผิวกายของเขายุบนูนเป็นตะปุ่มตะป่ำ ราวกับว่าไข่นับไม่ถ้วนวิ่งวนไปมาอย่างอย่างไม่มีจุดหมาย

ในขณะนี้ หานลี่รู้สึกถึงความร้อนที่พลุกพล่านในเลือดเนื้อของเขา เส้นลมปราณทั้งชาและคันจนแทบจะทนไม่ไหวต้องการจะกระชากร่างออกมา

ราวกับว่าความรู้สึกเจ็บปวดนี้เจาะลึกเข้าไปในจิตวิญญาณ แต่เพราะจิตสัมผัสของหานลี่ทรงพลังมาก เขาจึงสามารถทนต่อความเจ็บปวดได้ ดังนั้นหากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนอื่น ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถควบคุมพลังในร่างกายที่บ้าคลั่งเช่นนี้ได้ แต่ต้องกรีดร้องโหยหวนในทันที คงไม่สามารถอดทนและสงบนิ่งในการฝึกฝนเช่นนี้ได้

หานลี่นั่งขัดสมาธิบนพื้นโดยไม่เคลื่อนไหว อดทนต่อนิมิตต่างๆ บนร่างกายของเขาอย่างไร้ความรู้สึก

สามสี่ชั่วยามผ่านไป ร่างกายของเขายังคงใสแวววาว สามารถเห็นกระดูกที่หนากว่าคนทั่วไปได้อย่างชัดเจน

กระดูกเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่องแสงประกายสีเงินจางๆ ราวกับสร้างมาจากเงินแท้บริสุทธิ์ และยังมีริ้วสีทองจางๆ บนพื้นผิวอีกด้วย แม้จะมีสีจาง เรียวเล็กราวกับเส้นไหม หากไม่มองอย่างละเอียดก็จะไม่สามารถมองเห็นได้ว่าเส้นสีทองเหล่านั้นก่อตัวเป็นอักขระอาคมลึกลับราวกับประทับอยู่บนกระดูก

หากผู้บำเพ็ญเพียรสามารถมองเห็นอักขระอาคมสีทองเหล่านี้ ต้องโพล่งออกมาว่า ‘อักษรจ้วนทอง’ ด้วยความตกใจ

เคล็ดวิชาที่สามารถสร้างอักขระวิญญาณแดนเซียนขึ้นในร่างกายได้ เดาได้ไม่ยากว่ามันมีความลึกลับเพียงใด มีที่มาจากดินแดนเซียนมากมายขนาดไหน แม้ตัวตนระดับมหายานก็ต้องรู้สึกหวั่นไหว

เคล็ดวิชานี้ คือคาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติที่หานลี่กำลังฝึกฝนใหม่อีกครั้ง

เคล็ดวิชานี้มาจากดินแดนเซียน หากการฝึกฝนของหานลี่สำเร็จ เนื้อหนังมังสาจะแข็งแกร่งมาก และสามารถดำรงอยู่ได้เหมือนวิญญาณจริงๆ และอาจจะมีพลังมากกว่านี้อีกเล็กน้อย

ความยากลำบากในการฝึกเคล็ดวิชานี้แค่คิดก็พอจะเดาได้

หานลี่จึงกล้าที่จะฝึกฝนใหม่อีกครั้งหลังจากอยู่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย การฝึกฝนจะประสบความสำเร็จเมื่อไรไม่มีผู้ใดรู้ หรือบางทีแม้จะอยู่ในระดับมหายานขั้นปลายแล้ว การฝึกเคล็ดวิชานี้อาจจะยังเสร็จสมบูรณ์

และด้วยอายุที่แท้จริงของหานลี่ ซึ่งมีอายุขัยที่เหนือจินตนาการ ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อนในการฝึกเคล็ดวิชา และทำความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย

เวลาค่อยๆ ผ่านไป

ไม่กี่ชั่วยาม หานลี่ลืมตาขึ้น จากนั้นก็มีเสียงดังสนั่นออกมาจากกระดูกของเขา จากนั้นร่างกายของเขาลอยขึ้นด้วยแสงสีทอง

เขายกมือขึ้นหนึ่งข้างร่ายอาคม เสียงคำรามในร่างกายหายไปทันที อีกทั้งร่างที่ลอยขึ้นก็กลับลงมาสู่ที่เดิม

หานลี่ถอนหายใจยาวๆ รอยยิ้มเจื่อนๆ ปรากฏบนใบหน้าของเขา

การฝึกฝนคาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติเป็นการฝึกฝนที่เจ็บปวดมาก แม้ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็สามารถฝึกในได้เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น

หากใช้เวลาในการฝึกฝนนานเกินไปอย่างต่อเนื่อง เกรงว่าเส้นสมปราณจะแตกและบาดเจ็บ

หลังจากฝึกวิชา เขาไม่ได้เก็บเขตอาคมในทันที แต่เขากลับแกว่งมือข้างหนึ่งในอากาศ เทวรูปร่างสีทองของสามเศียรหกกรสลายไปในทันที

หานลี่วางมือบนหัวเข่าด้วยท่าทางสงบและหลับตาลงเข้าสมาธิอีกครั้ง

 ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อร่างสีทองหายไป ก็ถูกแทนที่ด้วยชั้นแสงทั้งเจ็ดสี แสงค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจนปกคลุมร่างกายของหานลี่

ในตอนนี้ ใบหน้าของเขามีแสงแวววาวไหลวน และเนตรปีศาจสีดำระหว่างคิ้วของเขาสั่นไหวเบาๆ ราวกับว่ามีชีวิตขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง

หลังจากที่หานลี่ฝึกฝนคาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติ เขาก็เริ่มฝึกวิชาลับจากแดนเซียนอีกชุดหนึ่ง…เคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณ

ด้วยพลังยุทธ์และร่างกายของเขาในตอนนี้ ในที่สุดก็สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ได้อย่างมั่นใจ

หากสามารถฝึกฝนขั้นที่สองของเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณได้ จะทำให้จิตวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า แม้ว่าการเดินทางท่องแดนมารในครั้งนี้จะไม่สามารถค้นพบบ่อชำระวิญญาณและบัววิญญาณพิสุทธิ์ได้ แต่ก็ยังมีความหวังที่จะบรรลุสู่ระดับมหายาน

หานลี่ตระหนักถึงความสำคัญของเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณ ตั้งแต่สงครามระหว่างเผ่ามารที่เมืองเทียนยวน เขาฝึกฝนทุกวันอย่างไม่ลดละ ทว่าเนื่องจากเวลาสั้นเกินไป และขั้นที่สองก็ลึกล้ำกว่าขั้นแรกมาก ขั้นที่สองจึงมีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าการฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณขั้นที่สอง น่าจะใช้เวลาค่อนข้างนาน

หานลี่คาดหวังสิ่งนี้มาเป็นเวลานาน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กระวนกระวาย เพียงแค่เข้าสู่สมาธิและฝึกฝนอย่างเงียบๆ!

เช้าวันรุ่งขึ้น รุ้งสีเขียวพุ่งออกมาจากเกาะ หลังจากที่หมุนวนรอบๆ แสงก็พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า

สองวันต่อมา หานลี่บินออกจากทะเลนี้ และไปยังภูเขาสีเขียวเข้ม

ภูเขานี้มีความชื้นมากกว่าปกติ และในบางครั้งหมอกหลากสีจะค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้นดิน หมอกบดบังทุกสิ่งในระดับความสูงสามสี่ร้อยจั้ง จึงมิอาจมองเห็นทิวทัศน์ที่แท้จริงได้

เนื่องจากกลัวว่าอสูรมารจะพุ่งออกมาจากหมอกโดยไม่ทันตั้งตัว การเดินทางจึงล่าช้า ครั้งนี้หานลี่ไม่ได้บินระดับต่ำและใช้จิตสัมผัสในการกวาดดูภูเขาด้านล่าง แต่เขากลับบินขึ้นไปสูงหลายพันลี้

สำหรับความสูงมากกว่าหมื่นลี้ มักจะมีอสูรมารทรงพลังบางตัวที่แม้แต่หานลี่ก็ไม่อยากเข้าไปยั่วยุในอาณาเขตของพวกมัน จึงไม่จำเป็นที่จะต้องบินขึ้นไปในที่สูงถึงเพียงนั้น

ภูเขานี้กว้างใหญ่เกินกว่าจินตนาการของหานลี่มาก!

เดิมทีคิดว่าต้องใช้เวลาสามสี่วันจึงจะสามารถออกจากเขาได้ ทว่าหลังจากผ่านไปสิบวันกลับยังไม่เห็นขอบเขตของภูเขา

สิ่งนี้ทำให้หานลี่ประหลาดใจอย่างมาก และอดไม่ได้ที่จะเพิ่มความระมัดระวัง

แม้ว่าเขาจะไม่ได้บินอยู่ในระดับต่ำ ทว่าในระหว่างทางเขายังพบกระแสพลังของอสูรมารที่ทรงพลังหลายระรอก

ไม่เพียงแต่วิหคอสูรยักษ์ที่มีหัวเป็นแพะลำตัวเป็นนกอินทรี และยังมียุงดูดเลือดยักษ์ที่สามารถขยายร่างใหญ่ได้มากกว่าร้อยเท่า

แม้ว่าอสูรมารเหล่านี้จะสร้างความรำคาญให้กับหานลี่ แต่พวกมันทั้งหมดก็กลายเป็นเถ้าถ่านเมื่อเพลิงกลืนวิญญาณสวรรค์พุ่งออกมา

หลังจากบินข้ามภูเขาต่อไปอีกสองสามวัน ต้นไม้และยอดเขาด้านล่างจึงค่อยๆ ลดลง ในที่สุดเขาก็มาถึงชายขอบของภูเขา

สิ่งนี้ทำให้จิตวิญญาณของหานลี่สั่นไหว ทันทีที่เขากระตุ้นพลังยุทธ์ ลำแสงเร่งความเร็วมากขึ้น ภายใต้การสว่างวาบไม่กี่ครั้ง เขาก็ไปถึงจุดสูงสุดของท้องฟ้า และในขณะที่เขากำลังจะพุ่งทะยานต่อไปด้วยลำแสงนั้น ใบหน้าพลันเปลี่ยนสี แสงวิญญาณกะพริบวาบ ลำแสงหลีกหนีพลันหยุดชะงักลง

หานลี่เอียงศีรษะ พลางหันและจ้องมองไปอีกด้านหนึ่ง ใบหน้าของเขามีสีหน้าครุ่นคิด แต่หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าจะมีการตัดสินใจแล้ว เขายังมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เขามองอยู่

ต่อมา หานลี่จึงแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงและบินไปยังพื้นที่ที่ไกลกว่าพันลี้ และในระยะห่างระหว่างยอดเขา มีต้นไม้ยักษ์สีม่วงแดงสูงสามพันจั้ง

บนท้องฟ้าเหนือต้นไม้ยักษ์ มีเผ่ามารชายหญิงสิบกว่าตนกำลังต่อสู้กับฝูงค้างคาวสีแดงเพลิงมีปีกเนื้อสดอยู่บนหลัง

เผ่ามารส่วนใหญ่อยู่ในระดับเทพแปลง และยังมีอีกสามคนอยู่ในระดับหลอมสุญตา ซึ่งพวกเขากำลังสร้างเขตอาคมลึกลับ เพื่อนำอาวุธอาคมหลากสีหลายสิบชิ้นออกมาต่อสู้กับค้างคาวสีแดงเพลิง

 ดูเหมือนว่าค้างคาวสีแดงเพลิงเหล่านั้นจะมีมากกว่าสามสิบตัว แต่ละตัวมีขนาดราวครึ่งจั้ง ผิวกายปกคลุมไปด้วยอักขระอาคมสีดำ ภายใต้การกระพือปีกเนื้อสด มีลมมารสีเทาพุ่งออกมา และมีเปลวไฟสีเขียวพ่นออกมาจากปากของมัน

กระแสลมและเปลวไฟสอดประสาน

พลังของเปลวไฟสีเขียวเพิ่มขึ้นอย่างมาก กลายเป็นทะเลเพลิงสีเขียว กักขังมารชายหญิงไว้บนท้องฟ้าเหนือต้นไม้ยักษ์ ไม่ให้พวกเขาออกมาได้

แม้ว่าเผ่ามารจะไม่สามารถออกจากวงล้อมได้ ทว่าอาวุธอาคมหลายชิ้นที่ถูกกระตุ้นโดยระดับหลอมสุญตาทั้งสามค่อนข้างทรงพลัง รวมทั้งเขตอาคมที่มีความลึกลับอย่างยิ่ง พวกเขาจึงสามารถต้านทานการโจมตีทะเลเพลิงอันน่าสะพรึงกลัวได้ชั่วคราว

ด้านล่างเผ่ามารเหล่านี้มีกลิ่นหอมแปลกๆ

บนยอดไม้ใหญ่มีผลสีเขียวขนาดเท่าหัวแม่มือหลายลูก กลิ่นหอมมาจากผลเหล่านั้น

หานลี่ไม่ได้สนใจค้างคาวและเผ่ามารมากนัก แต่กลับมองลงไปที่ผลต้นไม้ยักษ์

“ต้นแสงม่วง ผลวิญญาณม่วง แต่ต้นแสงม่วงขนาดใหญ่เช่นนี้หายากมาก!” หานลี่พึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น

แม้ว่าผลวิญญาณม่วงจะเป็นผลไม้วิญญาณที่หายาก โดยเฉพาะผลไม้จากต้นไม้วิญญาณขนาดใหญ่เช่นนี้ อาจมีผลลัพธ์พิเศษบางอย่าง ทว่าคุณประโยชน์ในผลไม้วิญญาณชนิดนี้สามารถใช้ได้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำกว่าระดับผสานอินทรีย์เท่านั้น และมันไร้ประโยชน์สำหรับหานลี่มานานแล้ว

ในที่สุดหานลี่ก็ละลายตาและมองไปยังเผ่ามาร

ในขณะนี้ ดูเหมือนสถานการณ์ของเผ่ามารระดับเทพแปลงจะไม่ค่อยดีนัก

สีหน้าของเผ่ามารระดับแปลงเทพสิบกว่าตนเริ่มซีดเผือด เห็นได้ชัดว่าพลังยุทธ์ถูกใช้ไปอย่างสิ้นเปลือง และไม่สามารถคงอยู่ได้อย่างมั่นคงอีกต่อไป

หากเผ่ามารระดับเทพแปลงเหล่านี้พลาด มารระดับหลอมสุญตาทั้งสามจะไม่สามารถสร้างเขตอาคมได้ ซึ่งก็จะโชคร้ายมากเช่นกัน

หานลี่หรี่ตาลงและยังไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร หนึ่งในสามของอสูรระดับหลอมสุญตากลับตะโกนออกมา “สหาย ข้าคือคนของตระกูลไป๋จากเมืองฮ่วนเย่ หากสหายเต็มใจช่วย ตระกูลไป๋จะตอบแทนอย่างสาสมเป็นแน่!”

มารที่ร้องขอความช่วยเหลือนั้นคือหญิงสาวหน้าตาสะสวย อายุราวๆ ยี่สิบปี ผมยาวถูกรวบขึ้น สวมชุดกระโปรงยาวสีเขียว เมื่อนางเห็นหานลี่จึงอดไม่ได้ที่จะร้องขอความช่วยเหลือ

ในตอนนี้หานลี่ปกปิดระดับพลังยุทธ์ของเขา แสดงให้เห็นเพียงลมปราณระดับหลอมสุญตาขั้นสูงสุดเท่านั้น

“ตระกูลไป๋เมืองฮ่วนเย่? หรือจะเป็นตระกูลไป๋ที่ก่อตั้งโดยเฉวียนเซียงนั่น!” หานลี่ถามด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“หากสหายรู้จักตระกูลไป๋ ถ้าเช่นนั้นเจ้าควรจะรู้ว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริง หากเจ้าไม่เชื่อ ข้าสาบานด้วยจิตมาร ข้าจะไม่มีวันลืมตอบแทนผู้ที่ช่วยชีวิต” หญิงสาวสวยเข้าใจผิดในท่าทางลังเลของหานลี่ จึงรีบพูดอย่างเคร่งขรึม

หานลี่ครุ่นคิดเมื่อได้ยิน จากนั้นเขาจึงตอบอย่างเรียบเฉย “ในเมื่อเจ้าคือคนของตระกูลไป๋ ข้าคงจะไม่ช่วยเจ้าไม่ได้ เพียงแค่หวังว่าสหายจะไม่ลืมสัญญา!”

ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ยกมือหนึ่งข้างร่ายอาคม ทันใดนั้นร่างกายของเขาสูงขึ้นสามสี่จั้ง มีเกล็ดสีดำปรากฏอยู่บนผิวกายอย่างหนาแน่น ภายใต้แสงสีดำ มือทั้งสองกลายเป็นกรงเล็บสีดำ นิ้วมือทั้งสิบแหลมคมราวกับมีด

เมื่อหานลี่เสร็จสิ้นการแปลงร่าง ก็ส่งเสียงคำรามเสียงดังอย่างไม่ลังเล และพุ่งเข้าหาฝูงค้างคาวสีแดงเพลิงด้วยพลังที่น่าตกใจ!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 2040 ตระกูลไป๋จากเมืองฮ่วนเย่

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 2040 ตระกูลไป๋จากเมืองฮ่วนเย่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ร่างกายของหานลี่สั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง แสงสีเงินทั้งหมดหายเข้าไปในผิวหนังภายในพริบตา ผิวกายของเขายุบนูนเป็นตะปุ่มตะป่ำ ราวกับว่าไข่นับไม่ถ้วนวิ่งวนไปมาอย่างอย่างไม่มีจุดหมาย ในขณะนี้ หานลี่รู้สึกถึงความร้อนที่พลุกพล่านในเลือดเนื้อของเขา เส้นลมปราณทั้งชาและคันจนแทบจะทนไม่ไหวต้องการจะกระชากร่างออกมา ราวกับว่าความรู้สึกเจ็บปวดนี้เจาะลึกเข้าไปในจิตวิญญาณ แต่เพราะจิตสัมผัสของหานลี่ทรงพลังมาก เขาจึงสามารถทนต่อความเจ็บปวดได้ ดังนั้นหากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนอื่น ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถควบคุมพลังในร่างกายที่บ้าคลั่งเช่นนี้ได้ แต่ต้องกรีดร้องโหยหวนในทันที คงไม่สามารถอดทนและสงบนิ่งในการฝึกฝนเช่นนี้ได้ หานลี่นั่งขัดสมาธิบนพื้นโดยไม่เคลื่อนไหว อดทนต่อนิมิตต่างๆ บนร่างกายของเขาอย่างไร้ความรู้สึก สามสี่ชั่วยามผ่านไป ร่างกายของเขายังคงใสแวววาว สามารถเห็นกระดูกที่หนากว่าคนทั่วไปได้อย่างชัดเจน กระดูกเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่องแสงประกายสีเงินจางๆ ราวกับสร้างมาจากเงินแท้บริสุทธิ์ และยังมีริ้วสีทองจางๆ บนพื้นผิวอีกด้วย แม้จะมีสีจาง เรียวเล็กราวกับเส้นไหม หากไม่มองอย่างละเอียดก็จะไม่สามารถมองเห็นได้ว่าเส้นสีทองเหล่านั้นก่อตัวเป็นอักขระอาคมลึกลับราวกับประทับอยู่บนกระดูก หากผู้บำเพ็ญเพียรสามารถมองเห็นอักขระอาคมสีทองเหล่านี้ ต้องโพล่งออกมาว่า ‘อักษรจ้วนทอง’ ด้วยความตกใจ เคล็ดวิชาที่สามารถสร้างอักขระวิญญาณแดนเซียนขึ้นในร่างกายได้ เดาได้ไม่ยากว่ามันมีความลึกลับเพียงใด มีที่มาจากดินแดนเซียนมากมายขนาดไหน แม้ตัวตนระดับมหายานก็ต้องรู้สึกหวั่นไหว เคล็ดวิชานี้ คือคาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติที่หานลี่กำลังฝึกฝนใหม่อีกครั้ง เคล็ดวิชานี้มาจากดินแดนเซียน หากการฝึกฝนของหานลี่สำเร็จ เนื้อหนังมังสาจะแข็งแกร่งมาก และสามารถดำรงอยู่ได้เหมือนวิญญาณจริงๆ และอาจจะมีพลังมากกว่านี้อีกเล็กน้อย ความยากลำบากในการฝึกเคล็ดวิชานี้แค่คิดก็พอจะเดาได้ หานลี่จึงกล้าที่จะฝึกฝนใหม่อีกครั้งหลังจากอยู่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย การฝึกฝนจะประสบความสำเร็จเมื่อไรไม่มีผู้ใดรู้ หรือบางทีแม้จะอยู่ในระดับมหายานขั้นปลายแล้ว การฝึกเคล็ดวิชานี้อาจจะยังเสร็จสมบูรณ์ และด้วยอายุที่แท้จริงของหานลี่ ซึ่งมีอายุขัยที่เหนือจินตนาการ ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อนในการฝึกเคล็ดวิชา และทำความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เวลาค่อยๆ ผ่านไป ไม่กี่ชั่วยาม หานลี่ลืมตาขึ้น จากนั้นก็มีเสียงดังสนั่นออกมาจากกระดูกของเขา จากนั้นร่างกายของเขาลอยขึ้นด้วยแสงสีทอง เขายกมือขึ้นหนึ่งข้างร่ายอาคม เสียงคำรามในร่างกายหายไปทันที อีกทั้งร่างที่ลอยขึ้นก็กลับลงมาสู่ที่เดิม หานลี่ถอนหายใจยาวๆ รอยยิ้มเจื่อนๆ ปรากฏบนใบหน้าของเขา การฝึกฝนคาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติเป็นการฝึกฝนที่เจ็บปวดมาก แม้ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็สามารถฝึกในได้เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น หากใช้เวลาในการฝึกฝนนานเกินไปอย่างต่อเนื่อง เกรงว่าเส้นสมปราณจะแตกและบาดเจ็บ หลังจากฝึกวิชา เขาไม่ได้เก็บเขตอาคมในทันที แต่เขากลับแกว่งมือข้างหนึ่งในอากาศ เทวรูปร่างสีทองของสามเศียรหกกรสลายไปในทันที หานลี่วางมือบนหัวเข่าด้วยท่าทางสงบและหลับตาลงเข้าสมาธิอีกครั้ง  ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อร่างสีทองหายไป ก็ถูกแทนที่ด้วยชั้นแสงทั้งเจ็ดสี แสงค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจนปกคลุมร่างกายของหานลี่ ในตอนนี้ ใบหน้าของเขามีแสงแวววาวไหลวน และเนตรปีศาจสีดำระหว่างคิ้วของเขาสั่นไหวเบาๆ ราวกับว่ามีชีวิตขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง หลังจากที่หานลี่ฝึกฝนคาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติ เขาก็เริ่มฝึกวิชาลับจากแดนเซียนอีกชุดหนึ่ง…เคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณ ด้วยพลังยุทธ์และร่างกายของเขาในตอนนี้ ในที่สุดก็สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ได้อย่างมั่นใจ หากสามารถฝึกฝนขั้นที่สองของเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณได้ จะทำให้จิตวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า แม้ว่าการเดินทางท่องแดนมารในครั้งนี้จะไม่สามารถค้นพบบ่อชำระวิญญาณและบัววิญญาณพิสุทธิ์ได้ แต่ก็ยังมีความหวังที่จะบรรลุสู่ระดับมหายาน หานลี่ตระหนักถึงความสำคัญของเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณ ตั้งแต่สงครามระหว่างเผ่ามารที่เมืองเทียนยวน เขาฝึกฝนทุกวันอย่างไม่ลดละ ทว่าเนื่องจากเวลาสั้นเกินไป และขั้นที่สองก็ลึกล้ำกว่าขั้นแรกมาก ขั้นที่สองจึงมีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าการฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณขั้นที่สอง น่าจะใช้เวลาค่อนข้างนาน หานลี่คาดหวังสิ่งนี้มาเป็นเวลานาน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กระวนกระวาย เพียงแค่เข้าสู่สมาธิและฝึกฝนอย่างเงียบๆ! เช้าวันรุ่งขึ้น รุ้งสีเขียวพุ่งออกมาจากเกาะ หลังจากที่หมุนวนรอบๆ แสงก็พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า สองวันต่อมา หานลี่บินออกจากทะเลนี้ และไปยังภูเขาสีเขียวเข้ม ภูเขานี้มีความชื้นมากกว่าปกติ และในบางครั้งหมอกหลากสีจะค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้นดิน หมอกบดบังทุกสิ่งในระดับความสูงสามสี่ร้อยจั้ง จึงมิอาจมองเห็นทิวทัศน์ที่แท้จริงได้ เนื่องจากกลัวว่าอสูรมารจะพุ่งออกมาจากหมอกโดยไม่ทันตั้งตัว การเดินทางจึงล่าช้า ครั้งนี้หานลี่ไม่ได้บินระดับต่ำและใช้จิตสัมผัสในการกวาดดูภูเขาด้านล่าง แต่เขากลับบินขึ้นไปสูงหลายพันลี้ สำหรับความสูงมากกว่าหมื่นลี้ มักจะมีอสูรมารทรงพลังบางตัวที่แม้แต่หานลี่ก็ไม่อยากเข้าไปยั่วยุในอาณาเขตของพวกมัน จึงไม่จำเป็นที่จะต้องบินขึ้นไปในที่สูงถึงเพียงนั้น ภูเขานี้กว้างใหญ่เกินกว่าจินตนาการของหานลี่มาก! เดิมทีคิดว่าต้องใช้เวลาสามสี่วันจึงจะสามารถออกจากเขาได้ ทว่าหลังจากผ่านไปสิบวันกลับยังไม่เห็นขอบเขตของภูเขา สิ่งนี้ทำให้หานลี่ประหลาดใจอย่างมาก และอดไม่ได้ที่จะเพิ่มความระมัดระวัง แม้ว่าเขาจะไม่ได้บินอยู่ในระดับต่ำ ทว่าในระหว่างทางเขายังพบกระแสพลังของอสูรมารที่ทรงพลังหลายระรอก ไม่เพียงแต่วิหคอสูรยักษ์ที่มีหัวเป็นแพะลำตัวเป็นนกอินทรี และยังมียุงดูดเลือดยักษ์ที่สามารถขยายร่างใหญ่ได้มากกว่าร้อยเท่า แม้ว่าอสูรมารเหล่านี้จะสร้างความรำคาญให้กับหานลี่ แต่พวกมันทั้งหมดก็กลายเป็นเถ้าถ่านเมื่อเพลิงกลืนวิญญาณสวรรค์พุ่งออกมา หลังจากบินข้ามภูเขาต่อไปอีกสองสามวัน ต้นไม้และยอดเขาด้านล่างจึงค่อยๆ ลดลง ในที่สุดเขาก็มาถึงชายขอบของภูเขา สิ่งนี้ทำให้จิตวิญญาณของหานลี่สั่นไหว ทันทีที่เขากระตุ้นพลังยุทธ์ ลำแสงเร่งความเร็วมากขึ้น ภายใต้การสว่างวาบไม่กี่ครั้ง เขาก็ไปถึงจุดสูงสุดของท้องฟ้า และในขณะที่เขากำลังจะพุ่งทะยานต่อไปด้วยลำแสงนั้น ใบหน้าพลันเปลี่ยนสี แสงวิญญาณกะพริบวาบ ลำแสงหลีกหนีพลันหยุดชะงักลง หานลี่เอียงศีรษะ พลางหันและจ้องมองไปอีกด้านหนึ่ง ใบหน้าของเขามีสีหน้าครุ่นคิด แต่หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าจะมีการตัดสินใจแล้ว เขายังมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เขามองอยู่ ต่อมา หานลี่จึงแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงและบินไปยังพื้นที่ที่ไกลกว่าพันลี้ และในระยะห่างระหว่างยอดเขา มีต้นไม้ยักษ์สีม่วงแดงสูงสามพันจั้ง บนท้องฟ้าเหนือต้นไม้ยักษ์ มีเผ่ามารชายหญิงสิบกว่าตนกำลังต่อสู้กับฝูงค้างคาวสีแดงเพลิงมีปีกเนื้อสดอยู่บนหลัง เผ่ามารส่วนใหญ่อยู่ในระดับเทพแปลง และยังมีอีกสามคนอยู่ในระดับหลอมสุญตา ซึ่งพวกเขากำลังสร้างเขตอาคมลึกลับ เพื่อนำอาวุธอาคมหลากสีหลายสิบชิ้นออกมาต่อสู้กับค้างคาวสีแดงเพลิง  ดูเหมือนว่าค้างคาวสีแดงเพลิงเหล่านั้นจะมีมากกว่าสามสิบตัว แต่ละตัวมีขนาดราวครึ่งจั้ง ผิวกายปกคลุมไปด้วยอักขระอาคมสีดำ ภายใต้การกระพือปีกเนื้อสด มีลมมารสีเทาพุ่งออกมา และมีเปลวไฟสีเขียวพ่นออกมาจากปากของมัน กระแสลมและเปลวไฟสอดประสาน พลังของเปลวไฟสีเขียวเพิ่มขึ้นอย่างมาก กลายเป็นทะเลเพลิงสีเขียว กักขังมารชายหญิงไว้บนท้องฟ้าเหนือต้นไม้ยักษ์ ไม่ให้พวกเขาออกมาได้ แม้ว่าเผ่ามารจะไม่สามารถออกจากวงล้อมได้ ทว่าอาวุธอาคมหลายชิ้นที่ถูกกระตุ้นโดยระดับหลอมสุญตาทั้งสามค่อนข้างทรงพลัง รวมทั้งเขตอาคมที่มีความลึกลับอย่างยิ่ง พวกเขาจึงสามารถต้านทานการโจมตีทะเลเพลิงอันน่าสะพรึงกลัวได้ชั่วคราว ด้านล่างเผ่ามารเหล่านี้มีกลิ่นหอมแปลกๆ บนยอดไม้ใหญ่มีผลสีเขียวขนาดเท่าหัวแม่มือหลายลูก กลิ่นหอมมาจากผลเหล่านั้น หานลี่ไม่ได้สนใจค้างคาวและเผ่ามารมากนัก แต่กลับมองลงไปที่ผลต้นไม้ยักษ์ “ต้นแสงม่วง ผลวิญญาณม่วง แต่ต้นแสงม่วงขนาดใหญ่เช่นนี้หายากมาก!” หานลี่พึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น แม้ว่าผลวิญญาณม่วงจะเป็นผลไม้วิญญาณที่หายาก โดยเฉพาะผลไม้จากต้นไม้วิญญาณขนาดใหญ่เช่นนี้ อาจมีผลลัพธ์พิเศษบางอย่าง ทว่าคุณประโยชน์ในผลไม้วิญญาณชนิดนี้สามารถใช้ได้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำกว่าระดับผสานอินทรีย์เท่านั้น และมันไร้ประโยชน์สำหรับหานลี่มานานแล้ว ในที่สุดหานลี่ก็ละลายตาและมองไปยังเผ่ามาร ในขณะนี้ ดูเหมือนสถานการณ์ของเผ่ามารระดับเทพแปลงจะไม่ค่อยดีนัก สีหน้าของเผ่ามารระดับแปลงเทพสิบกว่าตนเริ่มซีดเผือด เห็นได้ชัดว่าพลังยุทธ์ถูกใช้ไปอย่างสิ้นเปลือง และไม่สามารถคงอยู่ได้อย่างมั่นคงอีกต่อไป หากเผ่ามารระดับเทพแปลงเหล่านี้พลาด มารระดับหลอมสุญตาทั้งสามจะไม่สามารถสร้างเขตอาคมได้ ซึ่งก็จะโชคร้ายมากเช่นกัน หานลี่หรี่ตาลงและยังไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร หนึ่งในสามของอสูรระดับหลอมสุญตากลับตะโกนออกมา “สหาย ข้าคือคนของตระกูลไป๋จากเมืองฮ่วนเย่ หากสหายเต็มใจช่วย ตระกูลไป๋จะตอบแทนอย่างสาสมเป็นแน่!” มารที่ร้องขอความช่วยเหลือนั้นคือหญิงสาวหน้าตาสะสวย อายุราวๆ ยี่สิบปี ผมยาวถูกรวบขึ้น สวมชุดกระโปรงยาวสีเขียว เมื่อนางเห็นหานลี่จึงอดไม่ได้ที่จะร้องขอความช่วยเหลือ ในตอนนี้หานลี่ปกปิดระดับพลังยุทธ์ของเขา แสดงให้เห็นเพียงลมปราณระดับหลอมสุญตาขั้นสูงสุดเท่านั้น “ตระกูลไป๋เมืองฮ่วนเย่? หรือจะเป็นตระกูลไป๋ที่ก่อตั้งโดยเฉวียนเซียงนั่น!” หานลี่ถามด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย “หากสหายรู้จักตระกูลไป๋ ถ้าเช่นนั้นเจ้าควรจะรู้ว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริง หากเจ้าไม่เชื่อ ข้าสาบานด้วยจิตมาร ข้าจะไม่มีวันลืมตอบแทนผู้ที่ช่วยชีวิต” หญิงสาวสวยเข้าใจผิดในท่าทางลังเลของหานลี่ จึงรีบพูดอย่างเคร่งขรึม หานลี่ครุ่นคิดเมื่อได้ยิน จากนั้นเขาจึงตอบอย่างเรียบเฉย “ในเมื่อเจ้าคือคนของตระกูลไป๋ ข้าคงจะไม่ช่วยเจ้าไม่ได้ เพียงแค่หวังว่าสหายจะไม่ลืมสัญญา!” ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ยกมือหนึ่งข้างร่ายอาคม ทันใดนั้นร่างกายของเขาสูงขึ้นสามสี่จั้ง มีเกล็ดสีดำปรากฏอยู่บนผิวกายอย่างหนาแน่น ภายใต้แสงสีดำ มือทั้งสองกลายเป็นกรงเล็บสีดำ นิ้วมือทั้งสิบแหลมคมราวกับมีด เมื่อหานลี่เสร็จสิ้นการแปลงร่าง ก็ส่งเสียงคำรามเสียงดังอย่างไม่ลังเล และพุ่งเข้าหาฝูงค้างคาวสีแดงเพลิงด้วยพลังที่น่าตกใจ!

ร่างกายของหานลี่สั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง แสงสีเงินทั้งหมดหายเข้าไปในผิวหนังภายในพริบตา ผิวกายของเขายุบนูนเป็นตะปุ่มตะป่ำ ราวกับว่าไข่นับไม่ถ้วนวิ่งวนไปมาอย่างอย่างไม่มีจุดหมาย

ในขณะนี้ หานลี่รู้สึกถึงความร้อนที่พลุกพล่านในเลือดเนื้อของเขา เส้นลมปราณทั้งชาและคันจนแทบจะทนไม่ไหวต้องการจะกระชากร่างออกมา

ราวกับว่าความรู้สึกเจ็บปวดนี้เจาะลึกเข้าไปในจิตวิญญาณ แต่เพราะจิตสัมผัสของหานลี่ทรงพลังมาก เขาจึงสามารถทนต่อความเจ็บปวดได้ ดังนั้นหากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนอื่น ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถควบคุมพลังในร่างกายที่บ้าคลั่งเช่นนี้ได้ แต่ต้องกรีดร้องโหยหวนในทันที คงไม่สามารถอดทนและสงบนิ่งในการฝึกฝนเช่นนี้ได้

หานลี่นั่งขัดสมาธิบนพื้นโดยไม่เคลื่อนไหว อดทนต่อนิมิตต่างๆ บนร่างกายของเขาอย่างไร้ความรู้สึก

สามสี่ชั่วยามผ่านไป ร่างกายของเขายังคงใสแวววาว สามารถเห็นกระดูกที่หนากว่าคนทั่วไปได้อย่างชัดเจน

กระดูกเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่องแสงประกายสีเงินจางๆ ราวกับสร้างมาจากเงินแท้บริสุทธิ์ และยังมีริ้วสีทองจางๆ บนพื้นผิวอีกด้วย แม้จะมีสีจาง เรียวเล็กราวกับเส้นไหม หากไม่มองอย่างละเอียดก็จะไม่สามารถมองเห็นได้ว่าเส้นสีทองเหล่านั้นก่อตัวเป็นอักขระอาคมลึกลับราวกับประทับอยู่บนกระดูก

หากผู้บำเพ็ญเพียรสามารถมองเห็นอักขระอาคมสีทองเหล่านี้ ต้องโพล่งออกมาว่า ‘อักษรจ้วนทอง’ ด้วยความตกใจ

เคล็ดวิชาที่สามารถสร้างอักขระวิญญาณแดนเซียนขึ้นในร่างกายได้ เดาได้ไม่ยากว่ามันมีความลึกลับเพียงใด มีที่มาจากดินแดนเซียนมากมายขนาดไหน แม้ตัวตนระดับมหายานก็ต้องรู้สึกหวั่นไหว

เคล็ดวิชานี้ คือคาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติที่หานลี่กำลังฝึกฝนใหม่อีกครั้ง

เคล็ดวิชานี้มาจากดินแดนเซียน หากการฝึกฝนของหานลี่สำเร็จ เนื้อหนังมังสาจะแข็งแกร่งมาก และสามารถดำรงอยู่ได้เหมือนวิญญาณจริงๆ และอาจจะมีพลังมากกว่านี้อีกเล็กน้อย

ความยากลำบากในการฝึกเคล็ดวิชานี้แค่คิดก็พอจะเดาได้

หานลี่จึงกล้าที่จะฝึกฝนใหม่อีกครั้งหลังจากอยู่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย การฝึกฝนจะประสบความสำเร็จเมื่อไรไม่มีผู้ใดรู้ หรือบางทีแม้จะอยู่ในระดับมหายานขั้นปลายแล้ว การฝึกเคล็ดวิชานี้อาจจะยังเสร็จสมบูรณ์

และด้วยอายุที่แท้จริงของหานลี่ ซึ่งมีอายุขัยที่เหนือจินตนาการ ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อนในการฝึกเคล็ดวิชา และทำความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย

เวลาค่อยๆ ผ่านไป

ไม่กี่ชั่วยาม หานลี่ลืมตาขึ้น จากนั้นก็มีเสียงดังสนั่นออกมาจากกระดูกของเขา จากนั้นร่างกายของเขาลอยขึ้นด้วยแสงสีทอง

เขายกมือขึ้นหนึ่งข้างร่ายอาคม เสียงคำรามในร่างกายหายไปทันที อีกทั้งร่างที่ลอยขึ้นก็กลับลงมาสู่ที่เดิม

หานลี่ถอนหายใจยาวๆ รอยยิ้มเจื่อนๆ ปรากฏบนใบหน้าของเขา

การฝึกฝนคาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติเป็นการฝึกฝนที่เจ็บปวดมาก แม้ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็สามารถฝึกในได้เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น

หากใช้เวลาในการฝึกฝนนานเกินไปอย่างต่อเนื่อง เกรงว่าเส้นสมปราณจะแตกและบาดเจ็บ

หลังจากฝึกวิชา เขาไม่ได้เก็บเขตอาคมในทันที แต่เขากลับแกว่งมือข้างหนึ่งในอากาศ เทวรูปร่างสีทองของสามเศียรหกกรสลายไปในทันที

หานลี่วางมือบนหัวเข่าด้วยท่าทางสงบและหลับตาลงเข้าสมาธิอีกครั้ง

 ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อร่างสีทองหายไป ก็ถูกแทนที่ด้วยชั้นแสงทั้งเจ็ดสี แสงค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจนปกคลุมร่างกายของหานลี่

ในตอนนี้ ใบหน้าของเขามีแสงแวววาวไหลวน และเนตรปีศาจสีดำระหว่างคิ้วของเขาสั่นไหวเบาๆ ราวกับว่ามีชีวิตขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง

หลังจากที่หานลี่ฝึกฝนคาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติ เขาก็เริ่มฝึกวิชาลับจากแดนเซียนอีกชุดหนึ่ง…เคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณ

ด้วยพลังยุทธ์และร่างกายของเขาในตอนนี้ ในที่สุดก็สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ได้อย่างมั่นใจ

หากสามารถฝึกฝนขั้นที่สองของเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณได้ จะทำให้จิตวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า แม้ว่าการเดินทางท่องแดนมารในครั้งนี้จะไม่สามารถค้นพบบ่อชำระวิญญาณและบัววิญญาณพิสุทธิ์ได้ แต่ก็ยังมีความหวังที่จะบรรลุสู่ระดับมหายาน

หานลี่ตระหนักถึงความสำคัญของเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณ ตั้งแต่สงครามระหว่างเผ่ามารที่เมืองเทียนยวน เขาฝึกฝนทุกวันอย่างไม่ลดละ ทว่าเนื่องจากเวลาสั้นเกินไป และขั้นที่สองก็ลึกล้ำกว่าขั้นแรกมาก ขั้นที่สองจึงมีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าการฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณขั้นที่สอง น่าจะใช้เวลาค่อนข้างนาน

หานลี่คาดหวังสิ่งนี้มาเป็นเวลานาน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กระวนกระวาย เพียงแค่เข้าสู่สมาธิและฝึกฝนอย่างเงียบๆ!

เช้าวันรุ่งขึ้น รุ้งสีเขียวพุ่งออกมาจากเกาะ หลังจากที่หมุนวนรอบๆ แสงก็พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า

สองวันต่อมา หานลี่บินออกจากทะเลนี้ และไปยังภูเขาสีเขียวเข้ม

ภูเขานี้มีความชื้นมากกว่าปกติ และในบางครั้งหมอกหลากสีจะค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้นดิน หมอกบดบังทุกสิ่งในระดับความสูงสามสี่ร้อยจั้ง จึงมิอาจมองเห็นทิวทัศน์ที่แท้จริงได้

เนื่องจากกลัวว่าอสูรมารจะพุ่งออกมาจากหมอกโดยไม่ทันตั้งตัว การเดินทางจึงล่าช้า ครั้งนี้หานลี่ไม่ได้บินระดับต่ำและใช้จิตสัมผัสในการกวาดดูภูเขาด้านล่าง แต่เขากลับบินขึ้นไปสูงหลายพันลี้

สำหรับความสูงมากกว่าหมื่นลี้ มักจะมีอสูรมารทรงพลังบางตัวที่แม้แต่หานลี่ก็ไม่อยากเข้าไปยั่วยุในอาณาเขตของพวกมัน จึงไม่จำเป็นที่จะต้องบินขึ้นไปในที่สูงถึงเพียงนั้น

ภูเขานี้กว้างใหญ่เกินกว่าจินตนาการของหานลี่มาก!

เดิมทีคิดว่าต้องใช้เวลาสามสี่วันจึงจะสามารถออกจากเขาได้ ทว่าหลังจากผ่านไปสิบวันกลับยังไม่เห็นขอบเขตของภูเขา

สิ่งนี้ทำให้หานลี่ประหลาดใจอย่างมาก และอดไม่ได้ที่จะเพิ่มความระมัดระวัง

แม้ว่าเขาจะไม่ได้บินอยู่ในระดับต่ำ ทว่าในระหว่างทางเขายังพบกระแสพลังของอสูรมารที่ทรงพลังหลายระรอก

ไม่เพียงแต่วิหคอสูรยักษ์ที่มีหัวเป็นแพะลำตัวเป็นนกอินทรี และยังมียุงดูดเลือดยักษ์ที่สามารถขยายร่างใหญ่ได้มากกว่าร้อยเท่า

แม้ว่าอสูรมารเหล่านี้จะสร้างความรำคาญให้กับหานลี่ แต่พวกมันทั้งหมดก็กลายเป็นเถ้าถ่านเมื่อเพลิงกลืนวิญญาณสวรรค์พุ่งออกมา

หลังจากบินข้ามภูเขาต่อไปอีกสองสามวัน ต้นไม้และยอดเขาด้านล่างจึงค่อยๆ ลดลง ในที่สุดเขาก็มาถึงชายขอบของภูเขา

สิ่งนี้ทำให้จิตวิญญาณของหานลี่สั่นไหว ทันทีที่เขากระตุ้นพลังยุทธ์ ลำแสงเร่งความเร็วมากขึ้น ภายใต้การสว่างวาบไม่กี่ครั้ง เขาก็ไปถึงจุดสูงสุดของท้องฟ้า และในขณะที่เขากำลังจะพุ่งทะยานต่อไปด้วยลำแสงนั้น ใบหน้าพลันเปลี่ยนสี แสงวิญญาณกะพริบวาบ ลำแสงหลีกหนีพลันหยุดชะงักลง

หานลี่เอียงศีรษะ พลางหันและจ้องมองไปอีกด้านหนึ่ง ใบหน้าของเขามีสีหน้าครุ่นคิด แต่หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าจะมีการตัดสินใจแล้ว เขายังมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เขามองอยู่

ต่อมา หานลี่จึงแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงและบินไปยังพื้นที่ที่ไกลกว่าพันลี้ และในระยะห่างระหว่างยอดเขา มีต้นไม้ยักษ์สีม่วงแดงสูงสามพันจั้ง

บนท้องฟ้าเหนือต้นไม้ยักษ์ มีเผ่ามารชายหญิงสิบกว่าตนกำลังต่อสู้กับฝูงค้างคาวสีแดงเพลิงมีปีกเนื้อสดอยู่บนหลัง

เผ่ามารส่วนใหญ่อยู่ในระดับเทพแปลง และยังมีอีกสามคนอยู่ในระดับหลอมสุญตา ซึ่งพวกเขากำลังสร้างเขตอาคมลึกลับ เพื่อนำอาวุธอาคมหลากสีหลายสิบชิ้นออกมาต่อสู้กับค้างคาวสีแดงเพลิง

 ดูเหมือนว่าค้างคาวสีแดงเพลิงเหล่านั้นจะมีมากกว่าสามสิบตัว แต่ละตัวมีขนาดราวครึ่งจั้ง ผิวกายปกคลุมไปด้วยอักขระอาคมสีดำ ภายใต้การกระพือปีกเนื้อสด มีลมมารสีเทาพุ่งออกมา และมีเปลวไฟสีเขียวพ่นออกมาจากปากของมัน

กระแสลมและเปลวไฟสอดประสาน

พลังของเปลวไฟสีเขียวเพิ่มขึ้นอย่างมาก กลายเป็นทะเลเพลิงสีเขียว กักขังมารชายหญิงไว้บนท้องฟ้าเหนือต้นไม้ยักษ์ ไม่ให้พวกเขาออกมาได้

แม้ว่าเผ่ามารจะไม่สามารถออกจากวงล้อมได้ ทว่าอาวุธอาคมหลายชิ้นที่ถูกกระตุ้นโดยระดับหลอมสุญตาทั้งสามค่อนข้างทรงพลัง รวมทั้งเขตอาคมที่มีความลึกลับอย่างยิ่ง พวกเขาจึงสามารถต้านทานการโจมตีทะเลเพลิงอันน่าสะพรึงกลัวได้ชั่วคราว

ด้านล่างเผ่ามารเหล่านี้มีกลิ่นหอมแปลกๆ

บนยอดไม้ใหญ่มีผลสีเขียวขนาดเท่าหัวแม่มือหลายลูก กลิ่นหอมมาจากผลเหล่านั้น

หานลี่ไม่ได้สนใจค้างคาวและเผ่ามารมากนัก แต่กลับมองลงไปที่ผลต้นไม้ยักษ์

“ต้นแสงม่วง ผลวิญญาณม่วง แต่ต้นแสงม่วงขนาดใหญ่เช่นนี้หายากมาก!” หานลี่พึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น

แม้ว่าผลวิญญาณม่วงจะเป็นผลไม้วิญญาณที่หายาก โดยเฉพาะผลไม้จากต้นไม้วิญญาณขนาดใหญ่เช่นนี้ อาจมีผลลัพธ์พิเศษบางอย่าง ทว่าคุณประโยชน์ในผลไม้วิญญาณชนิดนี้สามารถใช้ได้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำกว่าระดับผสานอินทรีย์เท่านั้น และมันไร้ประโยชน์สำหรับหานลี่มานานแล้ว

ในที่สุดหานลี่ก็ละลายตาและมองไปยังเผ่ามาร

ในขณะนี้ ดูเหมือนสถานการณ์ของเผ่ามารระดับเทพแปลงจะไม่ค่อยดีนัก

สีหน้าของเผ่ามารระดับแปลงเทพสิบกว่าตนเริ่มซีดเผือด เห็นได้ชัดว่าพลังยุทธ์ถูกใช้ไปอย่างสิ้นเปลือง และไม่สามารถคงอยู่ได้อย่างมั่นคงอีกต่อไป

หากเผ่ามารระดับเทพแปลงเหล่านี้พลาด มารระดับหลอมสุญตาทั้งสามจะไม่สามารถสร้างเขตอาคมได้ ซึ่งก็จะโชคร้ายมากเช่นกัน

หานลี่หรี่ตาลงและยังไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร หนึ่งในสามของอสูรระดับหลอมสุญตากลับตะโกนออกมา “สหาย ข้าคือคนของตระกูลไป๋จากเมืองฮ่วนเย่ หากสหายเต็มใจช่วย ตระกูลไป๋จะตอบแทนอย่างสาสมเป็นแน่!”

มารที่ร้องขอความช่วยเหลือนั้นคือหญิงสาวหน้าตาสะสวย อายุราวๆ ยี่สิบปี ผมยาวถูกรวบขึ้น สวมชุดกระโปรงยาวสีเขียว เมื่อนางเห็นหานลี่จึงอดไม่ได้ที่จะร้องขอความช่วยเหลือ

ในตอนนี้หานลี่ปกปิดระดับพลังยุทธ์ของเขา แสดงให้เห็นเพียงลมปราณระดับหลอมสุญตาขั้นสูงสุดเท่านั้น

“ตระกูลไป๋เมืองฮ่วนเย่? หรือจะเป็นตระกูลไป๋ที่ก่อตั้งโดยเฉวียนเซียงนั่น!” หานลี่ถามด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“หากสหายรู้จักตระกูลไป๋ ถ้าเช่นนั้นเจ้าควรจะรู้ว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริง หากเจ้าไม่เชื่อ ข้าสาบานด้วยจิตมาร ข้าจะไม่มีวันลืมตอบแทนผู้ที่ช่วยชีวิต” หญิงสาวสวยเข้าใจผิดในท่าทางลังเลของหานลี่ จึงรีบพูดอย่างเคร่งขรึม

หานลี่ครุ่นคิดเมื่อได้ยิน จากนั้นเขาจึงตอบอย่างเรียบเฉย “ในเมื่อเจ้าคือคนของตระกูลไป๋ ข้าคงจะไม่ช่วยเจ้าไม่ได้ เพียงแค่หวังว่าสหายจะไม่ลืมสัญญา!”

ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ยกมือหนึ่งข้างร่ายอาคม ทันใดนั้นร่างกายของเขาสูงขึ้นสามสี่จั้ง มีเกล็ดสีดำปรากฏอยู่บนผิวกายอย่างหนาแน่น ภายใต้แสงสีดำ มือทั้งสองกลายเป็นกรงเล็บสีดำ นิ้วมือทั้งสิบแหลมคมราวกับมีด

เมื่อหานลี่เสร็จสิ้นการแปลงร่าง ก็ส่งเสียงคำรามเสียงดังอย่างไม่ลังเล และพุ่งเข้าหาฝูงค้างคาวสีแดงเพลิงด้วยพลังที่น่าตกใจ!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+