A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 2047 เสี่ยวหลิงเทียน

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 2047 เสี่ยวหลิงเทียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ตอนนี้เจ้าอยู่ในระยะวัฏจักรหวนคืน พลังยุทธ์ที่แท้จริงของเจ้าไม่ใช่ระดับหลอมสุญตา!” หานลี่หรี่ตา และเอ่ยคำพูดทิ่มแทงหัวใจอีกฝ่าย “ผู้อาวุโสมองออก! ข้าเลอเลือนไปจริงๆ ในเมื่อท่านรู้จักเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะรู้ว่าข้าอยู่ในระยะวัฏจักรหวนคืน!” สีหน้าของจูกั่วเอ๋อร์ไม่สู้จะดีนัก พลางตอบเสียงเบา “พลังยุทธ์เดิมของเจ้าคืออะไร ก่อกำเนิด หรือว่าเทพแปลง” หานลี่ถาม “ข้าอยู่ในระดับก่อกำเนิด หากไม่ใช่เพราะอยู่ระยะวัฏจักรหวนคืน ก็คงไม่ถูกลอบโจมตี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการถูกจับเป็นเชลย” จูกั่วเอ๋อร์กัดริมฝีปากแดง พลางตอบอย่างช้าๆ “เมื่อดูจากอายุจริงของเจ้าแล้ว เจ้ายังอายุยังน้อย ฝึกฝนเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีจนมาถึงขั้นนี่ได้ นอกจากจะมีพรสวรรค์เหนือคนแล้ว เจ้าคงจะมีผู้เชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีคอยชี้แนะอยู่เป็นแน่ หากแม่ของเจ้าก็ฝึกฝนเคล็ดวิชานี้เช่นกัน พลังยุทธ์คงไม่ต่ำกระมัง” ดวงตาของหานลี่วาบประกาย ยังคงถามต่อไป “หากผู้อาวุโสอยากถามเรื่องของตัวข้า ถ้าข้ารู้ข้าจะตอบ แต่หากจะถามเรื่องของท่านแม่ ข้าไม่อาจจะบอกเล่าได้” เมื่อจูกั่วเอ๋อร์เห็นว่าหานลี่เหมือนจะสนใจเรื่องแม่ของตนมาก นางก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป กลับกัดฟันพูด “เจ้าช่างเป็นลูกกตัญญูเสียจริง นี่หาได้ยากจริงๆ แต่เจ้าคิดว่าเจ้าไม่บอกข้า แล้วข้าจะไม่รู้อย่างนั้นหรือ” หานลี่แย้มยิ้มเย็นชา และเอ่ยวาจาแฝงความนัย “หากท่านคิดจะใช้เคล็ดวิชาค้นหาวิญญาณ ข้าก็จะระเบิดทารกปราณก่อกำเนิดทันที ดีกว่าปล่อยให้ท่านได้สิ่งที่ต้องการ!” เมื่อหญิงสาวในชุดสีเหลืองได้ยินคำพูดของหานลี่ นางพลันนึกอะไรได้ ใบหน้าของนางซีดเผือด และในขณะเดียวกัน กำลังภายในของนางก็โคจรอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่ามันจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ทว่าในตอนนี้ หานลี่กลับหัวเราะเบาๆ “ต่อหน้าข้า หากสาวน้อยเช่นเจ้าคิดอยากระเบิดตนเอง ก็ต้องให้ข้าอนุญาตเสียก่อน!”  ทันทีที่เขาพูดจบ แขนเสื้อข้างหนึ่งของเขาก็สะบัดไปทางหญิงสาว ทันใดนั้น ก็มีแสงสีเทาออกมาปกคลุมทั่วร่างของนาง จูกั่วเอ๋อร์รู้สึกว่าร่างกายของนางชา แขนขาไม่สามารถขยับได้ และพลังยุทธ์ในร่างกายของนางพลันชะงักนิ่งไม่อาจโคจรต่อไป พลังอันบ้าคลั่งที่รวบรวมเอาไว้ในตำแหน่งตันเถียน พลันละลายหายไปราวกับหิมะต้องแสงแห่งวสันตกาล ในตอนนี้ หากนางต้องการระเบิดทารกปราณก่อกำเนิดของตนเอง ก็เป็นได้แค่ความคิดเพ้อฝันเท่านั้น “ท่านทำอะไรกับข้า” จูกั่วเอ๋อร์ทั้งตกใจทั้งโกรธ ร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก “ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากให้เจ้าตอบคำถามข้าอย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้ มองตาข้าสิ” หานลี่พูดอย่างเยือกเย็น “อะไร ดวงตา…” แม้ว่าจูกั่วเอ๋อร์จะยังเด็ก แต่นางก็รู้ว่าไม่ควรทำในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดในยามนี้ แต่ทันทีที่คำพูดของหานลี่เข้ามาในหู ร่างกายของนางสั่นสะท้าน และศีรษะตั้งตรงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นดวงตาคู่งามของนางก็สบตากับเขา ในชั่วพริบตา นางเห็นเพียงแสงสีน้ำเงินสองดวงแวบวาบจากฝั่งตรงข้าม เมื่อมันหมุนเคลื่อน สติของนางแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกไปในทันใด และในเวลาเดียวกันเปลือกตาของนางก็หนักอึ้ง! “แย่แล้ว!” หญิงสาวในชุดสีเหลืองกรีดร้องออกมาได้ทันเวลา จากนั้นนางก็หลับตาลงแล้วหมดสติไป เมื่อหานลี่เห็นเช่นนั้น เขาไม่ได้มีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เขาเพียงแค่ยกมือขึ้น ร่ายอาคมใส่นางคราหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน แสงสีน้ำเงินในตาของเขาก็พร่างพรายยิ่งขึ้น หากมองทะลุร่างของหญิงสาวในตอนนี้ จะพบว่าทารกปราณของจูกั่วเอ๋อร์กำลังนั่งขัสมาธิอยู่ในตำแหน่งตันเถียน และมันถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีเทาอย่างหนาแน่น และทารกปราณเหมือรกำลังหลับไหล ในขณะที่ลำแสงสีเขียวจมลงไปในร่างของหญิงสาว เปลือกตาของจูกั่วเอ๋อร์ก็ขยับ ดวงตาที่ปิดในตอนแรกก็ค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ เพียงแต่ว่าในเวลานี้รูม่านตาของนางขยายเล็กน้อย ดวงตาของนางสับสน ท่าทางราวกับหุ่นเชิด “เจ้าฝึกเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีจากที่ใด” รูม่านตาของหานลี่ขยับไปมา แสงสีน้ำเงินที่น่าตกใจก็แกว่งไปมา เขาเริ่มถามคำถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีมาจากท่านแม่ของข้า” จูกั่วเอ๋อร์ดูเหมือนคนไร้สติ แต่กลับตอบอย่างชัดเจน “ปกติแล้วใครเป็นชี้แนะให้เจ้า แม่ของเจ้าก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีด้วยหรือไม่” “ท่านแม่ของข้าเป็นผู้ชี้แนะ วิชาที่ท่านแม่ของข้าฝึกฝนไม่ใช่เคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารี แต่เป็นเคล็ดวิชาปราณพิสุทธิ์!” “เคล็ดวิชาปราณพิสุทธิ์ นั่นเป็นเคล็ดวิชาธรรมดาทั่วไป แม่ของเจ้าพลังยุทธ์อยู่ในระดับใด แม้ว่าจะไม่ได้ฝึกเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารี แต่ก็ยังสามารถให้คำแนะนำกับเจ้าได้ เป็นไปได้ไหมว่าระดับพลังยุทธ์นั้นสูงมากแล้ว” หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงของเขายังคงเหมือนเดิม “ท่านแม่ข้าอยู่ในระดับก่อกำเนิดเท่านั้น ส่วนเรื่องชี้แนะและการฝึกฝน…” หญิงสาวในชุดสีเหลืองเพิ่งตอบคำถามของหานลี่ ทว่าใบหน้าของนางก็แสดงอาการงุนงง และคำพูดของนางก็หยุดลง “ทำไม มีตรงไหนที่ผิดปกติเกี่ยวกับการชี้แนะของแม่เจ้า เจ้าจงพูดความจริง!” ใจของหานลี่เต้นแรงเมื่อเห็นการแสดงออกของหญิงสาว จากนั้นเขาจึงถามต่อ “คำชี้แนะของท่านแม่ที่สอนข้าเกี่ยวกับการฝึกฝนเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีนั้นค่อนข้างแปลก เมื่อก่อนมันเคยดี แต่หลังจากข้าหลอมปราณทารกได้แล้ว ท่านแม่กลับไม่สามารถตอบคำถามส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับการฝึกฝนของข้าได้ แต่จะสามารถตอบได้หลังจากนั้นในอีกหลายวันหรือครึ่งเดือน ข้าสงสัยว่ามี ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ อีกคนที่ชำนาญในเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีอยู่เบื้องหลังท่านแม่ของข้า” หญิงสาวในชุดสีเหลืองพูดบางอย่างที่ทำให้หัวใจของหานลี่เต้นรัว “มีผู้เชี่ยวชาญอีกคนอยู่เบื้องหลัง เจ้าเคยถามแม่เจ้าหรือไม่ว่ามีผู้ใดอีก” “ข้าเคยถามหลายครั้ง ทว่าท่านแม่กลับปฏิเสธทุกครั้ง” “แม่เจ้าชื่ออะไร หน้าตาเป็นอย่างไร” หานลี่ขมวดคิ้ว “ท่านแม่ข้าชื่อหลิงเฟยเซียน หน้าตาของนางเหมือนข้ามาก” หญิงสาวตอบโดยไม่ลังเล “หน้าตาเหมือนกับเจ้า?” หานลี่มองดูหญิงสาวหลายต่อหลายครั้ง ทว่าในที่สุดเขากลับส่ายหน้า พึมพำคำหนึ่ง และเงียบไป “เจ้ามาที่แดนมารและกลายเป็นทาสได้อย่างไร เจ้ามาจากไหน” หลังจากนั้นไม่นานหานลี่นึกถึงบางสิ่งและถามอีกครั้ง “ข้าถูกคนไล่ฆ่า จึงตกมาในรอยแยกมิติและเข้ามาในแดนมารโดยไม่ตั้งใจ ข้ามาจากเสี่ยวหลิงเทียน” จูกั่วเอ๋อร์ตอบอย่างเหม่อลอย “เสี่ยวหลิงเทียนคือที่ใด” หานลี่ตะลึงเมื่อได้ยิน “เสี่ยวหลิงเทียนก็คือเสี่ยวหลิงเทียน!” จูกั่วเอ๋อร์ตอบเสียงนิ่งทื่อ หานลี่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบ หลังจากนั้นไม่นาน เขาจึงถอนหายใจเบาๆ และพูดกับตัวเองว่า “ช่างเถอะ ข้ารบกวนเจ้าสักหน่อย รับเอาข้อมูลเหล่านี้ไปเสีย” ทันทีที่พูดจบ เขาก็ร่ายอาคม เสียง ‘พรึ่บ’ ดังขึ้นที่หว่างคิ้วของเขา ทันใดนั้นก็มีเส้นใยผลึกพุ่งออกมา และส่องประกายไปที่หน้าผากของหญิงสาวในชุดสีเหลือง ดวงตาหานลี่เป็นประกาย จากนั้นจึงค่อยๆ ร่ายคาถา หญิงสาวชื่อจูกั่วเอ๋อร์ผู้นี้ พลังยุทธ์อยู่ในระดับก่อกำเนิดจริงๆ ด้วยพลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ของหานลี่ การจะค้นหาวิญญาณดั้งเดิมของนาง ตราบใดที่ระมัดระวังอย่างรอบคอบ ย่อมไม่ทำลายวิญญาณดั้งเดิมของผู้หญิงคนนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งกาน้ำชา หานลี่จึงพบข้อมูลทั้งหมดที่เขาต้องการได้อย่างง่ายดาย และเส้นใยผลึกที่หว่างคิ้วของเขาก็ถูกเก็บกลับ ในขณะที่เส้นใยผลึกหายไป หญิงสาวพลันล้มลงกับพื้นทันที แต่หลังจากนั้นไม่นาน เสียงกรนเบาๆ ก็ดังมาจากหญิงสาว จูกั่วเอ๋อร์หลับไปต่อหน้าหานลี่ หานลี่ยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นเช่นนั้น เขาหลับตาและเริ่มจดจำข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับจากหญิงสาวอย่างเงียบๆ หลังจากที่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความงุนงง และพึมพำกับตัวเองว่า “เสี่ยวหลิงเทียนคือเศษเสี้ยวดินแดนที่แยกออกมาคล้ายกับแดนกว้างเย็น มีเผ่ามนุษย์หลายร้อยล้านคนอาศัยอยู่ในนั้น นี่คือเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ” ที่แท้ไม่รู้ว่าเสี่ยวหลิงเทียนนั้นเป็นห้วงมิติเล็กๆ ที่หลุดแยกออกมาจากดินแดนใด แต่หลังจากผ่านการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการมาเนิ่นนาน มันก็ได้กลายเป็นดินแดนๆ ที่มีความเป็นเอกเทศน์ เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ได้รับจากจูกั่วเอ๋อร์แล้ว ดินแดนนี้คงจะมีขนาดใกล้เคียงกับแดนกว้างเย็น แต่ระดับของปราณวิญญาณในนั้นไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย กระทั่งน้อยกว่าแดนวิญญาณด้วยซ้ำ แต่เสี่ยวหลิงเทียนแห่งนี้ยังมีการผสมผสานของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ต่างๆ ราวเจ็ดแปดเผ่าพันธุ์ และอยู่ร่วมกันกับเผ่ามนุษย์ สิ่งที่ทำให้หานลี่ประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ แม้เขาจะไม่รู้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ใดที่ค้นพบเสี่ยวหลิงเทียนเป็นเผ่าพันธุ์แรก แต่ผู้คนในดินแดนนั้น ดูเหมือนว่าจะมีจำนวนไม่น้อยที่ล้มเหลวในการบรรลุจากแดนมนุษย์หรือแดนที่ต่ำกว่านั้นขึ้นสู่แดนวิญญาณ แล้วตกลงไปในมิติแห่งนั้น ในกรณีนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่หนานกงหวั่นจะติดอยู่ในดินแดนนี้เช่นกัน สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดเขาจึงไม่เคยได้รับข่าวที่เกี่ยวข้องกับนางในแดนวิญญาณ เมื่อหานลี่คิดถึงภรรยาตน แม้ว่าพลังยุทธ์ของเขาจะได้รับการฝึกฝนจนถึงระดับปัจจุบันแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนแปลกๆ ในอก มันโหดร้ายยิ่งนักที่เขาไม่สามารถกางปีกทะยานร่างไปหาหนานกงหวั่นได้ในเวลานี้ แล้วค่อยๆ บอกเล่าถึงความขมขื่นที่เขาได้เผชิญมา สีหน้าของเขาค่อยๆ เปลี่ยนไป และกลับคืนสู่ความสงบนิ่งดั่งเดิมอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน หานลี่ก็ฟื้นจากสภาวะจิตใจที่วุ่นวายของเขา เมื่อเขาคิดถึงวิธีการเข้าไปยังเสี่ยวหลิงเทียน ใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นทันที เสี่ยวหลิงเทียนนี้แตกต่างจากแดนกว้างเย็นมาก มันเคลื่อนโคจรไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ และต่อเนื่องในวิถีที่แน่นอน การหาประตูเพื่อเข้าไปแทบจะเป็นเรื่องของโชคลวภ การที่จูกั่วเอ๋อร์สามารถผ่านรอยแยกมิติและตกลงสู่แดนมารโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น นับเป็นเรื่องบังเอิญอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมดมาจากความทรงจำของจูกั่วเอ๋อร์ ไม่ว่าสถานการณ์จริงจะเป็นเช่นนี้หรือไม่ก็ตาม เขาจะพยายามสอบถามผู้อื่นเพื่อค้นหา ในเมื่อจูกั่วเอ๋อร์หลงเข้ามาในแดนมารจากเสี่ยวหลิงเทียนด้วยความบังเอิญ เขาคิดว่าต้องมีใครบางคนกลับไปยังแดนวิญญาณด้วยเส้นทางนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาย่อมสามารถค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ หานลี่ก็ถอนหายใจยาว ระงับความกังวลในใจ ดวงตาของเขาขยับไปมา และสายตาก็เลื่อนไปที่หญิงสาวในขุดสีเหลืองอีกครั้ง แม้เขาจะไม่แน่ใจว่าหญิงที่สอนเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีจะเป็นหนานกงหวั่น ทว่าความเป็นไปได้กลับมีอยู่มาก ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในแดนวิญญาณมานานแล้ว เขากลับไม่เคยได้ยินว่าสำนักพรรคใดของเผ่ามนุษย์ครอบครองวิชานี้เอาไว้ ดูเหมือนว่าอิทธิฤทธิ์นี้จะหายากมาก ไม่รู้ว่าสำนักเชิญจันทร์ของเผ่ามนุษย์ประสบพบโชคแบบไหนเข้าในตอนแรก ถึงได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้มาได้

“ตอนนี้เจ้าอยู่ในระยะวัฏจักรหวนคืน พลังยุทธ์ที่แท้จริงของเจ้าไม่ใช่ระดับหลอมสุญตา!” หานลี่หรี่ตา และเอ่ยคำพูดทิ่มแทงหัวใจอีกฝ่าย

“ผู้อาวุโสมองออก! ข้าเลอเลือนไปจริงๆ ในเมื่อท่านรู้จักเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะรู้ว่าข้าอยู่ในระยะวัฏจักรหวนคืน!” สีหน้าของจูกั่วเอ๋อร์ไม่สู้จะดีนัก พลางตอบเสียงเบา

“พลังยุทธ์เดิมของเจ้าคืออะไร ก่อกำเนิด หรือว่าเทพแปลง” หานลี่ถาม

“ข้าอยู่ในระดับก่อกำเนิด หากไม่ใช่เพราะอยู่ระยะวัฏจักรหวนคืน ก็คงไม่ถูกลอบโจมตี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการถูกจับเป็นเชลย” จูกั่วเอ๋อร์กัดริมฝีปากแดง พลางตอบอย่างช้าๆ

“เมื่อดูจากอายุจริงของเจ้าแล้ว เจ้ายังอายุยังน้อย ฝึกฝนเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีจนมาถึงขั้นนี่ได้ นอกจากจะมีพรสวรรค์เหนือคนแล้ว เจ้าคงจะมีผู้เชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีคอยชี้แนะอยู่เป็นแน่ หากแม่ของเจ้าก็ฝึกฝนเคล็ดวิชานี้เช่นกัน พลังยุทธ์คงไม่ต่ำกระมัง” ดวงตาของหานลี่วาบประกาย ยังคงถามต่อไป

“หากผู้อาวุโสอยากถามเรื่องของตัวข้า ถ้าข้ารู้ข้าจะตอบ แต่หากจะถามเรื่องของท่านแม่ ข้าไม่อาจจะบอกเล่าได้” เมื่อจูกั่วเอ๋อร์เห็นว่าหานลี่เหมือนจะสนใจเรื่องแม่ของตนมาก นางก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป กลับกัดฟันพูด

“เจ้าช่างเป็นลูกกตัญญูเสียจริง นี่หาได้ยากจริงๆ แต่เจ้าคิดว่าเจ้าไม่บอกข้า แล้วข้าจะไม่รู้อย่างนั้นหรือ” หานลี่แย้มยิ้มเย็นชา และเอ่ยวาจาแฝงความนัย

“หากท่านคิดจะใช้เคล็ดวิชาค้นหาวิญญาณ ข้าก็จะระเบิดทารกปราณก่อกำเนิดทันที ดีกว่าปล่อยให้ท่านได้สิ่งที่ต้องการ!” เมื่อหญิงสาวในชุดสีเหลืองได้ยินคำพูดของหานลี่ นางพลันนึกอะไรได้ ใบหน้าของนางซีดเผือด และในขณะเดียวกัน กำลังภายในของนางก็โคจรอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่ามันจะระเบิดได้ทุกเมื่อ

ทว่าในตอนนี้ หานลี่กลับหัวเราะเบาๆ

“ต่อหน้าข้า หากสาวน้อยเช่นเจ้าคิดอยากระเบิดตนเอง ก็ต้องให้ข้าอนุญาตเสียก่อน!”

 ทันทีที่เขาพูดจบ แขนเสื้อข้างหนึ่งของเขาก็สะบัดไปทางหญิงสาว

ทันใดนั้น ก็มีแสงสีเทาออกมาปกคลุมทั่วร่างของนาง

จูกั่วเอ๋อร์รู้สึกว่าร่างกายของนางชา แขนขาไม่สามารถขยับได้ และพลังยุทธ์ในร่างกายของนางพลันชะงักนิ่งไม่อาจโคจรต่อไป พลังอันบ้าคลั่งที่รวบรวมเอาไว้ในตำแหน่งตันเถียน พลันละลายหายไปราวกับหิมะต้องแสงแห่งวสันตกาล

ในตอนนี้ หากนางต้องการระเบิดทารกปราณก่อกำเนิดของตนเอง ก็เป็นได้แค่ความคิดเพ้อฝันเท่านั้น

“ท่านทำอะไรกับข้า” จูกั่วเอ๋อร์ทั้งตกใจทั้งโกรธ ร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก

“ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากให้เจ้าตอบคำถามข้าอย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้ มองตาข้าสิ” หานลี่พูดอย่างเยือกเย็น

“อะไร ดวงตา…” แม้ว่าจูกั่วเอ๋อร์จะยังเด็ก แต่นางก็รู้ว่าไม่ควรทำในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดในยามนี้ แต่ทันทีที่คำพูดของหานลี่เข้ามาในหู ร่างกายของนางสั่นสะท้าน และศีรษะตั้งตรงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นดวงตาคู่งามของนางก็สบตากับเขา

ในชั่วพริบตา นางเห็นเพียงแสงสีน้ำเงินสองดวงแวบวาบจากฝั่งตรงข้าม เมื่อมันหมุนเคลื่อน สติของนางแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกไปในทันใด และในเวลาเดียวกันเปลือกตาของนางก็หนักอึ้ง!

“แย่แล้ว!” หญิงสาวในชุดสีเหลืองกรีดร้องออกมาได้ทันเวลา จากนั้นนางก็หลับตาลงแล้วหมดสติไป

เมื่อหานลี่เห็นเช่นนั้น เขาไม่ได้มีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เขาเพียงแค่ยกมือขึ้น ร่ายอาคมใส่นางคราหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน แสงสีน้ำเงินในตาของเขาก็พร่างพรายยิ่งขึ้น

หากมองทะลุร่างของหญิงสาวในตอนนี้ จะพบว่าทารกปราณของจูกั่วเอ๋อร์กำลังนั่งขัสมาธิอยู่ในตำแหน่งตันเถียน และมันถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีเทาอย่างหนาแน่น และทารกปราณเหมือรกำลังหลับไหล

ในขณะที่ลำแสงสีเขียวจมลงไปในร่างของหญิงสาว เปลือกตาของจูกั่วเอ๋อร์ก็ขยับ ดวงตาที่ปิดในตอนแรกก็ค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ

เพียงแต่ว่าในเวลานี้รูม่านตาของนางขยายเล็กน้อย ดวงตาของนางสับสน ท่าทางราวกับหุ่นเชิด

“เจ้าฝึกเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีจากที่ใด” รูม่านตาของหานลี่ขยับไปมา แสงสีน้ำเงินที่น่าตกใจก็แกว่งไปมา เขาเริ่มถามคำถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีมาจากท่านแม่ของข้า” จูกั่วเอ๋อร์ดูเหมือนคนไร้สติ แต่กลับตอบอย่างชัดเจน

“ปกติแล้วใครเป็นชี้แนะให้เจ้า แม่ของเจ้าก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีด้วยหรือไม่”

“ท่านแม่ของข้าเป็นผู้ชี้แนะ วิชาที่ท่านแม่ของข้าฝึกฝนไม่ใช่เคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารี แต่เป็นเคล็ดวิชาปราณพิสุทธิ์!”

“เคล็ดวิชาปราณพิสุทธิ์ นั่นเป็นเคล็ดวิชาธรรมดาทั่วไป แม่ของเจ้าพลังยุทธ์อยู่ในระดับใด แม้ว่าจะไม่ได้ฝึกเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารี แต่ก็ยังสามารถให้คำแนะนำกับเจ้าได้ เป็นไปได้ไหมว่าระดับพลังยุทธ์นั้นสูงมากแล้ว” หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงของเขายังคงเหมือนเดิม

“ท่านแม่ข้าอยู่ในระดับก่อกำเนิดเท่านั้น ส่วนเรื่องชี้แนะและการฝึกฝน…” หญิงสาวในชุดสีเหลืองเพิ่งตอบคำถามของหานลี่ ทว่าใบหน้าของนางก็แสดงอาการงุนงง และคำพูดของนางก็หยุดลง

“ทำไม มีตรงไหนที่ผิดปกติเกี่ยวกับการชี้แนะของแม่เจ้า เจ้าจงพูดความจริง!” ใจของหานลี่เต้นแรงเมื่อเห็นการแสดงออกของหญิงสาว จากนั้นเขาจึงถามต่อ

“คำชี้แนะของท่านแม่ที่สอนข้าเกี่ยวกับการฝึกฝนเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีนั้นค่อนข้างแปลก เมื่อก่อนมันเคยดี แต่หลังจากข้าหลอมปราณทารกได้แล้ว ท่านแม่กลับไม่สามารถตอบคำถามส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับการฝึกฝนของข้าได้ แต่จะสามารถตอบได้หลังจากนั้นในอีกหลายวันหรือครึ่งเดือน ข้าสงสัยว่ามี ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ อีกคนที่ชำนาญในเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีอยู่เบื้องหลังท่านแม่ของข้า”

หญิงสาวในชุดสีเหลืองพูดบางอย่างที่ทำให้หัวใจของหานลี่เต้นรัว

“มีผู้เชี่ยวชาญอีกคนอยู่เบื้องหลัง เจ้าเคยถามแม่เจ้าหรือไม่ว่ามีผู้ใดอีก”

“ข้าเคยถามหลายครั้ง ทว่าท่านแม่กลับปฏิเสธทุกครั้ง”

“แม่เจ้าชื่ออะไร หน้าตาเป็นอย่างไร” หานลี่ขมวดคิ้ว

“ท่านแม่ข้าชื่อหลิงเฟยเซียน หน้าตาของนางเหมือนข้ามาก” หญิงสาวตอบโดยไม่ลังเล

“หน้าตาเหมือนกับเจ้า?” หานลี่มองดูหญิงสาวหลายต่อหลายครั้ง ทว่าในที่สุดเขากลับส่ายหน้า พึมพำคำหนึ่ง และเงียบไป

“เจ้ามาที่แดนมารและกลายเป็นทาสได้อย่างไร เจ้ามาจากไหน” หลังจากนั้นไม่นานหานลี่นึกถึงบางสิ่งและถามอีกครั้ง

“ข้าถูกคนไล่ฆ่า จึงตกมาในรอยแยกมิติและเข้ามาในแดนมารโดยไม่ตั้งใจ ข้ามาจากเสี่ยวหลิงเทียน” จูกั่วเอ๋อร์ตอบอย่างเหม่อลอย

“เสี่ยวหลิงเทียนคือที่ใด” หานลี่ตะลึงเมื่อได้ยิน

“เสี่ยวหลิงเทียนก็คือเสี่ยวหลิงเทียน!” จูกั่วเอ๋อร์ตอบเสียงนิ่งทื่อ

หานลี่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบ หลังจากนั้นไม่นาน เขาจึงถอนหายใจเบาๆ และพูดกับตัวเองว่า “ช่างเถอะ ข้ารบกวนเจ้าสักหน่อย รับเอาข้อมูลเหล่านี้ไปเสีย”

ทันทีที่พูดจบ เขาก็ร่ายอาคม เสียง ‘พรึ่บ’ ดังขึ้นที่หว่างคิ้วของเขา ทันใดนั้นก็มีเส้นใยผลึกพุ่งออกมา และส่องประกายไปที่หน้าผากของหญิงสาวในชุดสีเหลือง

ดวงตาหานลี่เป็นประกาย จากนั้นจึงค่อยๆ ร่ายคาถา

หญิงสาวชื่อจูกั่วเอ๋อร์ผู้นี้ พลังยุทธ์อยู่ในระดับก่อกำเนิดจริงๆ ด้วยพลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ของหานลี่ การจะค้นหาวิญญาณดั้งเดิมของนาง ตราบใดที่ระมัดระวังอย่างรอบคอบ ย่อมไม่ทำลายวิญญาณดั้งเดิมของผู้หญิงคนนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งกาน้ำชา หานลี่จึงพบข้อมูลทั้งหมดที่เขาต้องการได้อย่างง่ายดาย และเส้นใยผลึกที่หว่างคิ้วของเขาก็ถูกเก็บกลับ

ในขณะที่เส้นใยผลึกหายไป หญิงสาวพลันล้มลงกับพื้นทันที

แต่หลังจากนั้นไม่นาน เสียงกรนเบาๆ ก็ดังมาจากหญิงสาว

จูกั่วเอ๋อร์หลับไปต่อหน้าหานลี่

หานลี่ยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นเช่นนั้น เขาหลับตาและเริ่มจดจำข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับจากหญิงสาวอย่างเงียบๆ

หลังจากที่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความงุนงง และพึมพำกับตัวเองว่า

“เสี่ยวหลิงเทียนคือเศษเสี้ยวดินแดนที่แยกออกมาคล้ายกับแดนกว้างเย็น มีเผ่ามนุษย์หลายร้อยล้านคนอาศัยอยู่ในนั้น นี่คือเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ”

ที่แท้ไม่รู้ว่าเสี่ยวหลิงเทียนนั้นเป็นห้วงมิติเล็กๆ ที่หลุดแยกออกมาจากดินแดนใด แต่หลังจากผ่านการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการมาเนิ่นนาน มันก็ได้กลายเป็นดินแดนๆ ที่มีความเป็นเอกเทศน์ เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ได้รับจากจูกั่วเอ๋อร์แล้ว ดินแดนนี้คงจะมีขนาดใกล้เคียงกับแดนกว้างเย็น แต่ระดับของปราณวิญญาณในนั้นไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย กระทั่งน้อยกว่าแดนวิญญาณด้วยซ้ำ

แต่เสี่ยวหลิงเทียนแห่งนี้ยังมีการผสมผสานของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ต่างๆ ราวเจ็ดแปดเผ่าพันธุ์ และอยู่ร่วมกันกับเผ่ามนุษย์

สิ่งที่ทำให้หานลี่ประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ แม้เขาจะไม่รู้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ใดที่ค้นพบเสี่ยวหลิงเทียนเป็นเผ่าพันธุ์แรก แต่ผู้คนในดินแดนนั้น ดูเหมือนว่าจะมีจำนวนไม่น้อยที่ล้มเหลวในการบรรลุจากแดนมนุษย์หรือแดนที่ต่ำกว่านั้นขึ้นสู่แดนวิญญาณ แล้วตกลงไปในมิติแห่งนั้น

ในกรณีนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่หนานกงหวั่นจะติดอยู่ในดินแดนนี้เช่นกัน

สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดเขาจึงไม่เคยได้รับข่าวที่เกี่ยวข้องกับนางในแดนวิญญาณ

เมื่อหานลี่คิดถึงภรรยาตน แม้ว่าพลังยุทธ์ของเขาจะได้รับการฝึกฝนจนถึงระดับปัจจุบันแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนแปลกๆ ในอก มันโหดร้ายยิ่งนักที่เขาไม่สามารถกางปีกทะยานร่างไปหาหนานกงหวั่นได้ในเวลานี้ แล้วค่อยๆ บอกเล่าถึงความขมขื่นที่เขาได้เผชิญมา

สีหน้าของเขาค่อยๆ เปลี่ยนไป และกลับคืนสู่ความสงบนิ่งดั่งเดิมอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นาน หานลี่ก็ฟื้นจากสภาวะจิตใจที่วุ่นวายของเขา เมื่อเขาคิดถึงวิธีการเข้าไปยังเสี่ยวหลิงเทียน ใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นทันที

เสี่ยวหลิงเทียนนี้แตกต่างจากแดนกว้างเย็นมาก มันเคลื่อนโคจรไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ และต่อเนื่องในวิถีที่แน่นอน การหาประตูเพื่อเข้าไปแทบจะเป็นเรื่องของโชคลวภ การที่จูกั่วเอ๋อร์สามารถผ่านรอยแยกมิติและตกลงสู่แดนมารโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น นับเป็นเรื่องบังเอิญอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมดมาจากความทรงจำของจูกั่วเอ๋อร์ ไม่ว่าสถานการณ์จริงจะเป็นเช่นนี้หรือไม่ก็ตาม เขาจะพยายามสอบถามผู้อื่นเพื่อค้นหา

ในเมื่อจูกั่วเอ๋อร์หลงเข้ามาในแดนมารจากเสี่ยวหลิงเทียนด้วยความบังเอิญ เขาคิดว่าต้องมีใครบางคนกลับไปยังแดนวิญญาณด้วยเส้นทางนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาย่อมสามารถค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หานลี่ก็ถอนหายใจยาว ระงับความกังวลในใจ ดวงตาของเขาขยับไปมา และสายตาก็เลื่อนไปที่หญิงสาวในขุดสีเหลืองอีกครั้ง

แม้เขาจะไม่แน่ใจว่าหญิงที่สอนเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีจะเป็นหนานกงหวั่น ทว่าความเป็นไปได้กลับมีอยู่มาก ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในแดนวิญญาณมานานแล้ว เขากลับไม่เคยได้ยินว่าสำนักพรรคใดของเผ่ามนุษย์ครอบครองวิชานี้เอาไว้

ดูเหมือนว่าอิทธิฤทธิ์นี้จะหายากมาก ไม่รู้ว่าสำนักเชิญจันทร์ของเผ่ามนุษย์ประสบพบโชคแบบไหนเข้าในตอนแรก ถึงได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้มาได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 2047 เสี่ยวหลิงเทียน

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 2047 เสี่ยวหลิงเทียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ตอนนี้เจ้าอยู่ในระยะวัฏจักรหวนคืน พลังยุทธ์ที่แท้จริงของเจ้าไม่ใช่ระดับหลอมสุญตา!” หานลี่หรี่ตา และเอ่ยคำพูดทิ่มแทงหัวใจอีกฝ่าย “ผู้อาวุโสมองออก! ข้าเลอเลือนไปจริงๆ ในเมื่อท่านรู้จักเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะรู้ว่าข้าอยู่ในระยะวัฏจักรหวนคืน!” สีหน้าของจูกั่วเอ๋อร์ไม่สู้จะดีนัก พลางตอบเสียงเบา “พลังยุทธ์เดิมของเจ้าคืออะไร ก่อกำเนิด หรือว่าเทพแปลง” หานลี่ถาม “ข้าอยู่ในระดับก่อกำเนิด หากไม่ใช่เพราะอยู่ระยะวัฏจักรหวนคืน ก็คงไม่ถูกลอบโจมตี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการถูกจับเป็นเชลย” จูกั่วเอ๋อร์กัดริมฝีปากแดง พลางตอบอย่างช้าๆ “เมื่อดูจากอายุจริงของเจ้าแล้ว เจ้ายังอายุยังน้อย ฝึกฝนเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีจนมาถึงขั้นนี่ได้ นอกจากจะมีพรสวรรค์เหนือคนแล้ว เจ้าคงจะมีผู้เชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีคอยชี้แนะอยู่เป็นแน่ หากแม่ของเจ้าก็ฝึกฝนเคล็ดวิชานี้เช่นกัน พลังยุทธ์คงไม่ต่ำกระมัง” ดวงตาของหานลี่วาบประกาย ยังคงถามต่อไป “หากผู้อาวุโสอยากถามเรื่องของตัวข้า ถ้าข้ารู้ข้าจะตอบ แต่หากจะถามเรื่องของท่านแม่ ข้าไม่อาจจะบอกเล่าได้” เมื่อจูกั่วเอ๋อร์เห็นว่าหานลี่เหมือนจะสนใจเรื่องแม่ของตนมาก นางก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป กลับกัดฟันพูด “เจ้าช่างเป็นลูกกตัญญูเสียจริง นี่หาได้ยากจริงๆ แต่เจ้าคิดว่าเจ้าไม่บอกข้า แล้วข้าจะไม่รู้อย่างนั้นหรือ” หานลี่แย้มยิ้มเย็นชา และเอ่ยวาจาแฝงความนัย “หากท่านคิดจะใช้เคล็ดวิชาค้นหาวิญญาณ ข้าก็จะระเบิดทารกปราณก่อกำเนิดทันที ดีกว่าปล่อยให้ท่านได้สิ่งที่ต้องการ!” เมื่อหญิงสาวในชุดสีเหลืองได้ยินคำพูดของหานลี่ นางพลันนึกอะไรได้ ใบหน้าของนางซีดเผือด และในขณะเดียวกัน กำลังภายในของนางก็โคจรอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่ามันจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ทว่าในตอนนี้ หานลี่กลับหัวเราะเบาๆ “ต่อหน้าข้า หากสาวน้อยเช่นเจ้าคิดอยากระเบิดตนเอง ก็ต้องให้ข้าอนุญาตเสียก่อน!”  ทันทีที่เขาพูดจบ แขนเสื้อข้างหนึ่งของเขาก็สะบัดไปทางหญิงสาว ทันใดนั้น ก็มีแสงสีเทาออกมาปกคลุมทั่วร่างของนาง จูกั่วเอ๋อร์รู้สึกว่าร่างกายของนางชา แขนขาไม่สามารถขยับได้ และพลังยุทธ์ในร่างกายของนางพลันชะงักนิ่งไม่อาจโคจรต่อไป พลังอันบ้าคลั่งที่รวบรวมเอาไว้ในตำแหน่งตันเถียน พลันละลายหายไปราวกับหิมะต้องแสงแห่งวสันตกาล ในตอนนี้ หากนางต้องการระเบิดทารกปราณก่อกำเนิดของตนเอง ก็เป็นได้แค่ความคิดเพ้อฝันเท่านั้น “ท่านทำอะไรกับข้า” จูกั่วเอ๋อร์ทั้งตกใจทั้งโกรธ ร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก “ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากให้เจ้าตอบคำถามข้าอย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้ มองตาข้าสิ” หานลี่พูดอย่างเยือกเย็น “อะไร ดวงตา…” แม้ว่าจูกั่วเอ๋อร์จะยังเด็ก แต่นางก็รู้ว่าไม่ควรทำในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดในยามนี้ แต่ทันทีที่คำพูดของหานลี่เข้ามาในหู ร่างกายของนางสั่นสะท้าน และศีรษะตั้งตรงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นดวงตาคู่งามของนางก็สบตากับเขา ในชั่วพริบตา นางเห็นเพียงแสงสีน้ำเงินสองดวงแวบวาบจากฝั่งตรงข้าม เมื่อมันหมุนเคลื่อน สติของนางแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกไปในทันใด และในเวลาเดียวกันเปลือกตาของนางก็หนักอึ้ง! “แย่แล้ว!” หญิงสาวในชุดสีเหลืองกรีดร้องออกมาได้ทันเวลา จากนั้นนางก็หลับตาลงแล้วหมดสติไป เมื่อหานลี่เห็นเช่นนั้น เขาไม่ได้มีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เขาเพียงแค่ยกมือขึ้น ร่ายอาคมใส่นางคราหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน แสงสีน้ำเงินในตาของเขาก็พร่างพรายยิ่งขึ้น หากมองทะลุร่างของหญิงสาวในตอนนี้ จะพบว่าทารกปราณของจูกั่วเอ๋อร์กำลังนั่งขัสมาธิอยู่ในตำแหน่งตันเถียน และมันถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีเทาอย่างหนาแน่น และทารกปราณเหมือรกำลังหลับไหล ในขณะที่ลำแสงสีเขียวจมลงไปในร่างของหญิงสาว เปลือกตาของจูกั่วเอ๋อร์ก็ขยับ ดวงตาที่ปิดในตอนแรกก็ค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ เพียงแต่ว่าในเวลานี้รูม่านตาของนางขยายเล็กน้อย ดวงตาของนางสับสน ท่าทางราวกับหุ่นเชิด “เจ้าฝึกเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีจากที่ใด” รูม่านตาของหานลี่ขยับไปมา แสงสีน้ำเงินที่น่าตกใจก็แกว่งไปมา เขาเริ่มถามคำถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีมาจากท่านแม่ของข้า” จูกั่วเอ๋อร์ดูเหมือนคนไร้สติ แต่กลับตอบอย่างชัดเจน “ปกติแล้วใครเป็นชี้แนะให้เจ้า แม่ของเจ้าก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีด้วยหรือไม่” “ท่านแม่ของข้าเป็นผู้ชี้แนะ วิชาที่ท่านแม่ของข้าฝึกฝนไม่ใช่เคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารี แต่เป็นเคล็ดวิชาปราณพิสุทธิ์!” “เคล็ดวิชาปราณพิสุทธิ์ นั่นเป็นเคล็ดวิชาธรรมดาทั่วไป แม่ของเจ้าพลังยุทธ์อยู่ในระดับใด แม้ว่าจะไม่ได้ฝึกเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารี แต่ก็ยังสามารถให้คำแนะนำกับเจ้าได้ เป็นไปได้ไหมว่าระดับพลังยุทธ์นั้นสูงมากแล้ว” หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงของเขายังคงเหมือนเดิม “ท่านแม่ข้าอยู่ในระดับก่อกำเนิดเท่านั้น ส่วนเรื่องชี้แนะและการฝึกฝน…” หญิงสาวในชุดสีเหลืองเพิ่งตอบคำถามของหานลี่ ทว่าใบหน้าของนางก็แสดงอาการงุนงง และคำพูดของนางก็หยุดลง “ทำไม มีตรงไหนที่ผิดปกติเกี่ยวกับการชี้แนะของแม่เจ้า เจ้าจงพูดความจริง!” ใจของหานลี่เต้นแรงเมื่อเห็นการแสดงออกของหญิงสาว จากนั้นเขาจึงถามต่อ “คำชี้แนะของท่านแม่ที่สอนข้าเกี่ยวกับการฝึกฝนเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีนั้นค่อนข้างแปลก เมื่อก่อนมันเคยดี แต่หลังจากข้าหลอมปราณทารกได้แล้ว ท่านแม่กลับไม่สามารถตอบคำถามส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับการฝึกฝนของข้าได้ แต่จะสามารถตอบได้หลังจากนั้นในอีกหลายวันหรือครึ่งเดือน ข้าสงสัยว่ามี ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ อีกคนที่ชำนาญในเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีอยู่เบื้องหลังท่านแม่ของข้า” หญิงสาวในชุดสีเหลืองพูดบางอย่างที่ทำให้หัวใจของหานลี่เต้นรัว “มีผู้เชี่ยวชาญอีกคนอยู่เบื้องหลัง เจ้าเคยถามแม่เจ้าหรือไม่ว่ามีผู้ใดอีก” “ข้าเคยถามหลายครั้ง ทว่าท่านแม่กลับปฏิเสธทุกครั้ง” “แม่เจ้าชื่ออะไร หน้าตาเป็นอย่างไร” หานลี่ขมวดคิ้ว “ท่านแม่ข้าชื่อหลิงเฟยเซียน หน้าตาของนางเหมือนข้ามาก” หญิงสาวตอบโดยไม่ลังเล “หน้าตาเหมือนกับเจ้า?” หานลี่มองดูหญิงสาวหลายต่อหลายครั้ง ทว่าในที่สุดเขากลับส่ายหน้า พึมพำคำหนึ่ง และเงียบไป “เจ้ามาที่แดนมารและกลายเป็นทาสได้อย่างไร เจ้ามาจากไหน” หลังจากนั้นไม่นานหานลี่นึกถึงบางสิ่งและถามอีกครั้ง “ข้าถูกคนไล่ฆ่า จึงตกมาในรอยแยกมิติและเข้ามาในแดนมารโดยไม่ตั้งใจ ข้ามาจากเสี่ยวหลิงเทียน” จูกั่วเอ๋อร์ตอบอย่างเหม่อลอย “เสี่ยวหลิงเทียนคือที่ใด” หานลี่ตะลึงเมื่อได้ยิน “เสี่ยวหลิงเทียนก็คือเสี่ยวหลิงเทียน!” จูกั่วเอ๋อร์ตอบเสียงนิ่งทื่อ หานลี่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบ หลังจากนั้นไม่นาน เขาจึงถอนหายใจเบาๆ และพูดกับตัวเองว่า “ช่างเถอะ ข้ารบกวนเจ้าสักหน่อย รับเอาข้อมูลเหล่านี้ไปเสีย” ทันทีที่พูดจบ เขาก็ร่ายอาคม เสียง ‘พรึ่บ’ ดังขึ้นที่หว่างคิ้วของเขา ทันใดนั้นก็มีเส้นใยผลึกพุ่งออกมา และส่องประกายไปที่หน้าผากของหญิงสาวในชุดสีเหลือง ดวงตาหานลี่เป็นประกาย จากนั้นจึงค่อยๆ ร่ายคาถา หญิงสาวชื่อจูกั่วเอ๋อร์ผู้นี้ พลังยุทธ์อยู่ในระดับก่อกำเนิดจริงๆ ด้วยพลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ของหานลี่ การจะค้นหาวิญญาณดั้งเดิมของนาง ตราบใดที่ระมัดระวังอย่างรอบคอบ ย่อมไม่ทำลายวิญญาณดั้งเดิมของผู้หญิงคนนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งกาน้ำชา หานลี่จึงพบข้อมูลทั้งหมดที่เขาต้องการได้อย่างง่ายดาย และเส้นใยผลึกที่หว่างคิ้วของเขาก็ถูกเก็บกลับ ในขณะที่เส้นใยผลึกหายไป หญิงสาวพลันล้มลงกับพื้นทันที แต่หลังจากนั้นไม่นาน เสียงกรนเบาๆ ก็ดังมาจากหญิงสาว จูกั่วเอ๋อร์หลับไปต่อหน้าหานลี่ หานลี่ยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นเช่นนั้น เขาหลับตาและเริ่มจดจำข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับจากหญิงสาวอย่างเงียบๆ หลังจากที่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความงุนงง และพึมพำกับตัวเองว่า “เสี่ยวหลิงเทียนคือเศษเสี้ยวดินแดนที่แยกออกมาคล้ายกับแดนกว้างเย็น มีเผ่ามนุษย์หลายร้อยล้านคนอาศัยอยู่ในนั้น นี่คือเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ” ที่แท้ไม่รู้ว่าเสี่ยวหลิงเทียนนั้นเป็นห้วงมิติเล็กๆ ที่หลุดแยกออกมาจากดินแดนใด แต่หลังจากผ่านการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการมาเนิ่นนาน มันก็ได้กลายเป็นดินแดนๆ ที่มีความเป็นเอกเทศน์ เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ได้รับจากจูกั่วเอ๋อร์แล้ว ดินแดนนี้คงจะมีขนาดใกล้เคียงกับแดนกว้างเย็น แต่ระดับของปราณวิญญาณในนั้นไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย กระทั่งน้อยกว่าแดนวิญญาณด้วยซ้ำ แต่เสี่ยวหลิงเทียนแห่งนี้ยังมีการผสมผสานของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ต่างๆ ราวเจ็ดแปดเผ่าพันธุ์ และอยู่ร่วมกันกับเผ่ามนุษย์ สิ่งที่ทำให้หานลี่ประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ แม้เขาจะไม่รู้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ใดที่ค้นพบเสี่ยวหลิงเทียนเป็นเผ่าพันธุ์แรก แต่ผู้คนในดินแดนนั้น ดูเหมือนว่าจะมีจำนวนไม่น้อยที่ล้มเหลวในการบรรลุจากแดนมนุษย์หรือแดนที่ต่ำกว่านั้นขึ้นสู่แดนวิญญาณ แล้วตกลงไปในมิติแห่งนั้น ในกรณีนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่หนานกงหวั่นจะติดอยู่ในดินแดนนี้เช่นกัน สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดเขาจึงไม่เคยได้รับข่าวที่เกี่ยวข้องกับนางในแดนวิญญาณ เมื่อหานลี่คิดถึงภรรยาตน แม้ว่าพลังยุทธ์ของเขาจะได้รับการฝึกฝนจนถึงระดับปัจจุบันแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนแปลกๆ ในอก มันโหดร้ายยิ่งนักที่เขาไม่สามารถกางปีกทะยานร่างไปหาหนานกงหวั่นได้ในเวลานี้ แล้วค่อยๆ บอกเล่าถึงความขมขื่นที่เขาได้เผชิญมา สีหน้าของเขาค่อยๆ เปลี่ยนไป และกลับคืนสู่ความสงบนิ่งดั่งเดิมอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน หานลี่ก็ฟื้นจากสภาวะจิตใจที่วุ่นวายของเขา เมื่อเขาคิดถึงวิธีการเข้าไปยังเสี่ยวหลิงเทียน ใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นทันที เสี่ยวหลิงเทียนนี้แตกต่างจากแดนกว้างเย็นมาก มันเคลื่อนโคจรไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ และต่อเนื่องในวิถีที่แน่นอน การหาประตูเพื่อเข้าไปแทบจะเป็นเรื่องของโชคลวภ การที่จูกั่วเอ๋อร์สามารถผ่านรอยแยกมิติและตกลงสู่แดนมารโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น นับเป็นเรื่องบังเอิญอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมดมาจากความทรงจำของจูกั่วเอ๋อร์ ไม่ว่าสถานการณ์จริงจะเป็นเช่นนี้หรือไม่ก็ตาม เขาจะพยายามสอบถามผู้อื่นเพื่อค้นหา ในเมื่อจูกั่วเอ๋อร์หลงเข้ามาในแดนมารจากเสี่ยวหลิงเทียนด้วยความบังเอิญ เขาคิดว่าต้องมีใครบางคนกลับไปยังแดนวิญญาณด้วยเส้นทางนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาย่อมสามารถค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ หานลี่ก็ถอนหายใจยาว ระงับความกังวลในใจ ดวงตาของเขาขยับไปมา และสายตาก็เลื่อนไปที่หญิงสาวในขุดสีเหลืองอีกครั้ง แม้เขาจะไม่แน่ใจว่าหญิงที่สอนเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีจะเป็นหนานกงหวั่น ทว่าความเป็นไปได้กลับมีอยู่มาก ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในแดนวิญญาณมานานแล้ว เขากลับไม่เคยได้ยินว่าสำนักพรรคใดของเผ่ามนุษย์ครอบครองวิชานี้เอาไว้ ดูเหมือนว่าอิทธิฤทธิ์นี้จะหายากมาก ไม่รู้ว่าสำนักเชิญจันทร์ของเผ่ามนุษย์ประสบพบโชคแบบไหนเข้าในตอนแรก ถึงได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้มาได้

“ตอนนี้เจ้าอยู่ในระยะวัฏจักรหวนคืน พลังยุทธ์ที่แท้จริงของเจ้าไม่ใช่ระดับหลอมสุญตา!” หานลี่หรี่ตา และเอ่ยคำพูดทิ่มแทงหัวใจอีกฝ่าย

“ผู้อาวุโสมองออก! ข้าเลอเลือนไปจริงๆ ในเมื่อท่านรู้จักเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะรู้ว่าข้าอยู่ในระยะวัฏจักรหวนคืน!” สีหน้าของจูกั่วเอ๋อร์ไม่สู้จะดีนัก พลางตอบเสียงเบา

“พลังยุทธ์เดิมของเจ้าคืออะไร ก่อกำเนิด หรือว่าเทพแปลง” หานลี่ถาม

“ข้าอยู่ในระดับก่อกำเนิด หากไม่ใช่เพราะอยู่ระยะวัฏจักรหวนคืน ก็คงไม่ถูกลอบโจมตี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการถูกจับเป็นเชลย” จูกั่วเอ๋อร์กัดริมฝีปากแดง พลางตอบอย่างช้าๆ

“เมื่อดูจากอายุจริงของเจ้าแล้ว เจ้ายังอายุยังน้อย ฝึกฝนเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีจนมาถึงขั้นนี่ได้ นอกจากจะมีพรสวรรค์เหนือคนแล้ว เจ้าคงจะมีผู้เชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีคอยชี้แนะอยู่เป็นแน่ หากแม่ของเจ้าก็ฝึกฝนเคล็ดวิชานี้เช่นกัน พลังยุทธ์คงไม่ต่ำกระมัง” ดวงตาของหานลี่วาบประกาย ยังคงถามต่อไป

“หากผู้อาวุโสอยากถามเรื่องของตัวข้า ถ้าข้ารู้ข้าจะตอบ แต่หากจะถามเรื่องของท่านแม่ ข้าไม่อาจจะบอกเล่าได้” เมื่อจูกั่วเอ๋อร์เห็นว่าหานลี่เหมือนจะสนใจเรื่องแม่ของตนมาก นางก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป กลับกัดฟันพูด

“เจ้าช่างเป็นลูกกตัญญูเสียจริง นี่หาได้ยากจริงๆ แต่เจ้าคิดว่าเจ้าไม่บอกข้า แล้วข้าจะไม่รู้อย่างนั้นหรือ” หานลี่แย้มยิ้มเย็นชา และเอ่ยวาจาแฝงความนัย

“หากท่านคิดจะใช้เคล็ดวิชาค้นหาวิญญาณ ข้าก็จะระเบิดทารกปราณก่อกำเนิดทันที ดีกว่าปล่อยให้ท่านได้สิ่งที่ต้องการ!” เมื่อหญิงสาวในชุดสีเหลืองได้ยินคำพูดของหานลี่ นางพลันนึกอะไรได้ ใบหน้าของนางซีดเผือด และในขณะเดียวกัน กำลังภายในของนางก็โคจรอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่ามันจะระเบิดได้ทุกเมื่อ

ทว่าในตอนนี้ หานลี่กลับหัวเราะเบาๆ

“ต่อหน้าข้า หากสาวน้อยเช่นเจ้าคิดอยากระเบิดตนเอง ก็ต้องให้ข้าอนุญาตเสียก่อน!”

 ทันทีที่เขาพูดจบ แขนเสื้อข้างหนึ่งของเขาก็สะบัดไปทางหญิงสาว

ทันใดนั้น ก็มีแสงสีเทาออกมาปกคลุมทั่วร่างของนาง

จูกั่วเอ๋อร์รู้สึกว่าร่างกายของนางชา แขนขาไม่สามารถขยับได้ และพลังยุทธ์ในร่างกายของนางพลันชะงักนิ่งไม่อาจโคจรต่อไป พลังอันบ้าคลั่งที่รวบรวมเอาไว้ในตำแหน่งตันเถียน พลันละลายหายไปราวกับหิมะต้องแสงแห่งวสันตกาล

ในตอนนี้ หากนางต้องการระเบิดทารกปราณก่อกำเนิดของตนเอง ก็เป็นได้แค่ความคิดเพ้อฝันเท่านั้น

“ท่านทำอะไรกับข้า” จูกั่วเอ๋อร์ทั้งตกใจทั้งโกรธ ร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก

“ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากให้เจ้าตอบคำถามข้าอย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้ มองตาข้าสิ” หานลี่พูดอย่างเยือกเย็น

“อะไร ดวงตา…” แม้ว่าจูกั่วเอ๋อร์จะยังเด็ก แต่นางก็รู้ว่าไม่ควรทำในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดในยามนี้ แต่ทันทีที่คำพูดของหานลี่เข้ามาในหู ร่างกายของนางสั่นสะท้าน และศีรษะตั้งตรงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นดวงตาคู่งามของนางก็สบตากับเขา

ในชั่วพริบตา นางเห็นเพียงแสงสีน้ำเงินสองดวงแวบวาบจากฝั่งตรงข้าม เมื่อมันหมุนเคลื่อน สติของนางแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกไปในทันใด และในเวลาเดียวกันเปลือกตาของนางก็หนักอึ้ง!

“แย่แล้ว!” หญิงสาวในชุดสีเหลืองกรีดร้องออกมาได้ทันเวลา จากนั้นนางก็หลับตาลงแล้วหมดสติไป

เมื่อหานลี่เห็นเช่นนั้น เขาไม่ได้มีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เขาเพียงแค่ยกมือขึ้น ร่ายอาคมใส่นางคราหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน แสงสีน้ำเงินในตาของเขาก็พร่างพรายยิ่งขึ้น

หากมองทะลุร่างของหญิงสาวในตอนนี้ จะพบว่าทารกปราณของจูกั่วเอ๋อร์กำลังนั่งขัสมาธิอยู่ในตำแหน่งตันเถียน และมันถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีเทาอย่างหนาแน่น และทารกปราณเหมือรกำลังหลับไหล

ในขณะที่ลำแสงสีเขียวจมลงไปในร่างของหญิงสาว เปลือกตาของจูกั่วเอ๋อร์ก็ขยับ ดวงตาที่ปิดในตอนแรกก็ค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ

เพียงแต่ว่าในเวลานี้รูม่านตาของนางขยายเล็กน้อย ดวงตาของนางสับสน ท่าทางราวกับหุ่นเชิด

“เจ้าฝึกเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีจากที่ใด” รูม่านตาของหานลี่ขยับไปมา แสงสีน้ำเงินที่น่าตกใจก็แกว่งไปมา เขาเริ่มถามคำถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีมาจากท่านแม่ของข้า” จูกั่วเอ๋อร์ดูเหมือนคนไร้สติ แต่กลับตอบอย่างชัดเจน

“ปกติแล้วใครเป็นชี้แนะให้เจ้า แม่ของเจ้าก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีด้วยหรือไม่”

“ท่านแม่ของข้าเป็นผู้ชี้แนะ วิชาที่ท่านแม่ของข้าฝึกฝนไม่ใช่เคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารี แต่เป็นเคล็ดวิชาปราณพิสุทธิ์!”

“เคล็ดวิชาปราณพิสุทธิ์ นั่นเป็นเคล็ดวิชาธรรมดาทั่วไป แม่ของเจ้าพลังยุทธ์อยู่ในระดับใด แม้ว่าจะไม่ได้ฝึกเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารี แต่ก็ยังสามารถให้คำแนะนำกับเจ้าได้ เป็นไปได้ไหมว่าระดับพลังยุทธ์นั้นสูงมากแล้ว” หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงของเขายังคงเหมือนเดิม

“ท่านแม่ข้าอยู่ในระดับก่อกำเนิดเท่านั้น ส่วนเรื่องชี้แนะและการฝึกฝน…” หญิงสาวในชุดสีเหลืองเพิ่งตอบคำถามของหานลี่ ทว่าใบหน้าของนางก็แสดงอาการงุนงง และคำพูดของนางก็หยุดลง

“ทำไม มีตรงไหนที่ผิดปกติเกี่ยวกับการชี้แนะของแม่เจ้า เจ้าจงพูดความจริง!” ใจของหานลี่เต้นแรงเมื่อเห็นการแสดงออกของหญิงสาว จากนั้นเขาจึงถามต่อ

“คำชี้แนะของท่านแม่ที่สอนข้าเกี่ยวกับการฝึกฝนเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีนั้นค่อนข้างแปลก เมื่อก่อนมันเคยดี แต่หลังจากข้าหลอมปราณทารกได้แล้ว ท่านแม่กลับไม่สามารถตอบคำถามส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับการฝึกฝนของข้าได้ แต่จะสามารถตอบได้หลังจากนั้นในอีกหลายวันหรือครึ่งเดือน ข้าสงสัยว่ามี ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ อีกคนที่ชำนาญในเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีอยู่เบื้องหลังท่านแม่ของข้า”

หญิงสาวในชุดสีเหลืองพูดบางอย่างที่ทำให้หัวใจของหานลี่เต้นรัว

“มีผู้เชี่ยวชาญอีกคนอยู่เบื้องหลัง เจ้าเคยถามแม่เจ้าหรือไม่ว่ามีผู้ใดอีก”

“ข้าเคยถามหลายครั้ง ทว่าท่านแม่กลับปฏิเสธทุกครั้ง”

“แม่เจ้าชื่ออะไร หน้าตาเป็นอย่างไร” หานลี่ขมวดคิ้ว

“ท่านแม่ข้าชื่อหลิงเฟยเซียน หน้าตาของนางเหมือนข้ามาก” หญิงสาวตอบโดยไม่ลังเล

“หน้าตาเหมือนกับเจ้า?” หานลี่มองดูหญิงสาวหลายต่อหลายครั้ง ทว่าในที่สุดเขากลับส่ายหน้า พึมพำคำหนึ่ง และเงียบไป

“เจ้ามาที่แดนมารและกลายเป็นทาสได้อย่างไร เจ้ามาจากไหน” หลังจากนั้นไม่นานหานลี่นึกถึงบางสิ่งและถามอีกครั้ง

“ข้าถูกคนไล่ฆ่า จึงตกมาในรอยแยกมิติและเข้ามาในแดนมารโดยไม่ตั้งใจ ข้ามาจากเสี่ยวหลิงเทียน” จูกั่วเอ๋อร์ตอบอย่างเหม่อลอย

“เสี่ยวหลิงเทียนคือที่ใด” หานลี่ตะลึงเมื่อได้ยิน

“เสี่ยวหลิงเทียนก็คือเสี่ยวหลิงเทียน!” จูกั่วเอ๋อร์ตอบเสียงนิ่งทื่อ

หานลี่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบ หลังจากนั้นไม่นาน เขาจึงถอนหายใจเบาๆ และพูดกับตัวเองว่า “ช่างเถอะ ข้ารบกวนเจ้าสักหน่อย รับเอาข้อมูลเหล่านี้ไปเสีย”

ทันทีที่พูดจบ เขาก็ร่ายอาคม เสียง ‘พรึ่บ’ ดังขึ้นที่หว่างคิ้วของเขา ทันใดนั้นก็มีเส้นใยผลึกพุ่งออกมา และส่องประกายไปที่หน้าผากของหญิงสาวในชุดสีเหลือง

ดวงตาหานลี่เป็นประกาย จากนั้นจึงค่อยๆ ร่ายคาถา

หญิงสาวชื่อจูกั่วเอ๋อร์ผู้นี้ พลังยุทธ์อยู่ในระดับก่อกำเนิดจริงๆ ด้วยพลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ของหานลี่ การจะค้นหาวิญญาณดั้งเดิมของนาง ตราบใดที่ระมัดระวังอย่างรอบคอบ ย่อมไม่ทำลายวิญญาณดั้งเดิมของผู้หญิงคนนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งกาน้ำชา หานลี่จึงพบข้อมูลทั้งหมดที่เขาต้องการได้อย่างง่ายดาย และเส้นใยผลึกที่หว่างคิ้วของเขาก็ถูกเก็บกลับ

ในขณะที่เส้นใยผลึกหายไป หญิงสาวพลันล้มลงกับพื้นทันที

แต่หลังจากนั้นไม่นาน เสียงกรนเบาๆ ก็ดังมาจากหญิงสาว

จูกั่วเอ๋อร์หลับไปต่อหน้าหานลี่

หานลี่ยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นเช่นนั้น เขาหลับตาและเริ่มจดจำข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับจากหญิงสาวอย่างเงียบๆ

หลังจากที่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความงุนงง และพึมพำกับตัวเองว่า

“เสี่ยวหลิงเทียนคือเศษเสี้ยวดินแดนที่แยกออกมาคล้ายกับแดนกว้างเย็น มีเผ่ามนุษย์หลายร้อยล้านคนอาศัยอยู่ในนั้น นี่คือเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ”

ที่แท้ไม่รู้ว่าเสี่ยวหลิงเทียนนั้นเป็นห้วงมิติเล็กๆ ที่หลุดแยกออกมาจากดินแดนใด แต่หลังจากผ่านการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการมาเนิ่นนาน มันก็ได้กลายเป็นดินแดนๆ ที่มีความเป็นเอกเทศน์ เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ได้รับจากจูกั่วเอ๋อร์แล้ว ดินแดนนี้คงจะมีขนาดใกล้เคียงกับแดนกว้างเย็น แต่ระดับของปราณวิญญาณในนั้นไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย กระทั่งน้อยกว่าแดนวิญญาณด้วยซ้ำ

แต่เสี่ยวหลิงเทียนแห่งนี้ยังมีการผสมผสานของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ต่างๆ ราวเจ็ดแปดเผ่าพันธุ์ และอยู่ร่วมกันกับเผ่ามนุษย์

สิ่งที่ทำให้หานลี่ประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ แม้เขาจะไม่รู้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ใดที่ค้นพบเสี่ยวหลิงเทียนเป็นเผ่าพันธุ์แรก แต่ผู้คนในดินแดนนั้น ดูเหมือนว่าจะมีจำนวนไม่น้อยที่ล้มเหลวในการบรรลุจากแดนมนุษย์หรือแดนที่ต่ำกว่านั้นขึ้นสู่แดนวิญญาณ แล้วตกลงไปในมิติแห่งนั้น

ในกรณีนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่หนานกงหวั่นจะติดอยู่ในดินแดนนี้เช่นกัน

สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดเขาจึงไม่เคยได้รับข่าวที่เกี่ยวข้องกับนางในแดนวิญญาณ

เมื่อหานลี่คิดถึงภรรยาตน แม้ว่าพลังยุทธ์ของเขาจะได้รับการฝึกฝนจนถึงระดับปัจจุบันแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนแปลกๆ ในอก มันโหดร้ายยิ่งนักที่เขาไม่สามารถกางปีกทะยานร่างไปหาหนานกงหวั่นได้ในเวลานี้ แล้วค่อยๆ บอกเล่าถึงความขมขื่นที่เขาได้เผชิญมา

สีหน้าของเขาค่อยๆ เปลี่ยนไป และกลับคืนสู่ความสงบนิ่งดั่งเดิมอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นาน หานลี่ก็ฟื้นจากสภาวะจิตใจที่วุ่นวายของเขา เมื่อเขาคิดถึงวิธีการเข้าไปยังเสี่ยวหลิงเทียน ใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นทันที

เสี่ยวหลิงเทียนนี้แตกต่างจากแดนกว้างเย็นมาก มันเคลื่อนโคจรไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ และต่อเนื่องในวิถีที่แน่นอน การหาประตูเพื่อเข้าไปแทบจะเป็นเรื่องของโชคลวภ การที่จูกั่วเอ๋อร์สามารถผ่านรอยแยกมิติและตกลงสู่แดนมารโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น นับเป็นเรื่องบังเอิญอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมดมาจากความทรงจำของจูกั่วเอ๋อร์ ไม่ว่าสถานการณ์จริงจะเป็นเช่นนี้หรือไม่ก็ตาม เขาจะพยายามสอบถามผู้อื่นเพื่อค้นหา

ในเมื่อจูกั่วเอ๋อร์หลงเข้ามาในแดนมารจากเสี่ยวหลิงเทียนด้วยความบังเอิญ เขาคิดว่าต้องมีใครบางคนกลับไปยังแดนวิญญาณด้วยเส้นทางนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาย่อมสามารถค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หานลี่ก็ถอนหายใจยาว ระงับความกังวลในใจ ดวงตาของเขาขยับไปมา และสายตาก็เลื่อนไปที่หญิงสาวในขุดสีเหลืองอีกครั้ง

แม้เขาจะไม่แน่ใจว่าหญิงที่สอนเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารีจะเป็นหนานกงหวั่น ทว่าความเป็นไปได้กลับมีอยู่มาก ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในแดนวิญญาณมานานแล้ว เขากลับไม่เคยได้ยินว่าสำนักพรรคใดของเผ่ามนุษย์ครอบครองวิชานี้เอาไว้

ดูเหมือนว่าอิทธิฤทธิ์นี้จะหายากมาก ไม่รู้ว่าสำนักเชิญจันทร์ของเผ่ามนุษย์ประสบพบโชคแบบไหนเข้าในตอนแรก ถึงได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้มาได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+