Alchemy Emperor of the Divine Dao 1446

Now you are reading Alchemy Emperor of the Divine Dao Chapter 1446 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เนี่ยเทียนเฉิงไม่สบอารมณ์อย่างมาก

หลิงฮันกล้าหยุดเขางั้นรึ? พวกเขาต้องต่อสู้แย่งชิงเพื่อวาสนา ไม่ใช่เพื่อให้เจ้ามาพบเจอกับสหายเก่า

“น้องชายหลิง เอาไว้หลังจากนี้พวกเขาค่อยคุยกัน” อู่เมี่ยนหัวเราะ

“อืม” หลิงฮันพยักหน้า

แผ่นหินของกลุ่มหยางหลินลอยแยกห่างออกไป ในเมื่อพวกเขาพยายามมาถึงความสูงขนาดนี้ได้แล้ว พวกเขาย่อมไม่ต้องการพบเจอกับกลุ่มศัตรูที่แข็งแกร่ง

ต่อให้เป็นกู่ต้าวอี้ก็ไม่สามารถกล่าวอย่างมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะราชาทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ได้เนื่องจากพลังบ่มเพาะถูกลดลงมาอยู่ระดับเดียวกัน

แต่ก็มีคน(?)หนึ่งที่เป็นข้อยกเว้น

คน(?)ที่ว่าก็คือสุนัขสีดำตัวใหญ่

สุนัขตัวดำก็ขึ้นแผ่นหินมาด้านบนด้วยเช่นกัน แต่แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่มันจะตั้งพันธมิตรร่วมกับใคร

รูปแบบการต่อสู้ของมันนั้นเรียบง่ายมาก มันจู่โจมเข้าปะทะกับจอมยุทธโดยตรงจนทำให้ศัตรูร่วงหล่นจากแผ่นหิน

กายหยาบของสุนัขตัวดำไร้เทียมทานเป็นอย่างยิ่ง มันสามารถเมินเคยต่อการโจมตีด้วยปราณก่อเกิดได้อย่างสมบูรณ์ แถมการเคลื่อนไหวของมันก็ยังลื่นไหลราวกับปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ

“นายท่านหมาช่างโดดเดี่ยวยิ่งนัก ข้าไม่น่าทรงพลังเช่นนี้เลยจริงๆ” สุนัขตัวดำยืนหยอกล้ออยู่บนแผ่นหิน “พวกมนุษย์ที่อยู่ด้านบน นายท่านหมากำลังจะไปหาแล้ว บางทีข้าอาจจะใจดียอมให้พวกเจ้ามาเป็นคนรับใช้ของข้า!”

มันจงใจพูดล่วงเกินราชาทุกคน

กู่ต้าวอี้ชะงักก่อนจะละสายตาออกจากจักรพรรดินีและจ้องมองไปยังสุนัขตัวดำ เขามีชีวิตอยู่มาแล้วถึงสิบชาติภพ ถึงแม้ชาติภพทั้งเก้าก่อนหน้านี้เขาจะไม่ได้มีชีวิตที่ยืนยาวนัก แต่อย่างน้อยในแต่ละชาติภพอายุขัยของเขาก็เกินกว่าหนึ่งล้านปีทั้งนั้น

ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานขนาดนั้นเขากลับไม่พบความพิเศษใดๆในสุนัขตัวดำตนนี้เลย

ยิ่งกว่านั้นกู่ต้าวอี้ก็ไม่มีทางยอมให้สุนัขตนนี้เป็นผู้ติดตามเขาเด็ดขาด หากเขากลับไปยังดินแดนแห่งเซียนได้แล้วมีสุนัขตนนี้ตามไปด้วย มันจะต้องไปยั่วยุผู้คนจำนวนมากและนำพาหายนะมาสู่เขาแน่นอน

เพราะอย่างไรในดินแดนแห่งเซียนนั้นตัวเขาก็ไม่ได้ถือว่าเป็นปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุด แม้แก่นกำเนิดนิรันดร์ของทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญจะทำให้เขามีร่างกายที่ทรงพลัง แต่ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยอมมีทักษะที่สามารถทำให้มีร่างกายที่ทัดเทียมกับเขาได้อยู่เป็นแน่

แม้เขาร่างกายของเขาจะทรงพลังที่สุด แต่คนที่ทรงพลังที่สุดย่อมไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว

“ไม่ต้องไปใส่ใจสุนัขตัวนั้นและรีบขึ้นไปให้สูงที่สุด” กู่ต้าวอี้กล่าว สายตาของเขาจดจ้องไปที่แผ่นหินสีทองขนาดใหญ่บนท้องฟ้า เขามีความรู้สึกจากก้นบึ้งของจิตใจว่าหากเขาสามารถขึ้นไปถึงแผ่นหินบนสุดได้ เขาจะได้รับผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่

สามารถทำให้แม้แต่ตัวเขาที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นนิรันดร์หวั่นไหวได้ แน่นอนว่าเขาย่อมต้องการมัน

หลังจากสงบสุขอยู่ชั่วครู่ การปะทะก็เริ่มต้นอีกครั้ง

เนี่ยเทียนเฉิงและตันจิงอี่ลงมือด้วยกัน แต่ถึงแม้พวกเขาจะนำสมบัติออกมาด้วยก็ไม่ได้เปรียบแม้แต่น้อย ในทางกลับกลับพวกเขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบด้วยซ้ำเนื่องจากกลุ่มศัตรูนั้นแข็งแกร่งมาก และด้วยศัตรูที่โจมตีกันทั้งกลุ่มทำให้ทั้งสองคนไม่อาจรับมือไหว

ฉื่อหวงและเป่ยหวงเข้าไปช่วยเหลือ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังเสียเปรียบอยู่ดี

จักรพรรดิพิรุณคันไม้คันมือ เขาคำรามลากเสียงยาวและเข้าร่วมการต่อสู้

เมื่อเห็นท่าทางกระหายการต่อสู้ของศิษย์ทั้งสองหลิงฮันก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ติงผิงกับจิ่วเยาเข้าร่วมการต่อสู้ทันที

ติงผิงมีความสามารถติดตัวคือพลังกายที่ทรงพลัง ในระดับพลังเดียวกันนั้นไม่มีใครมีกำลังทัดเทียมเขาได้ หมัดที่ปล่อยออกไปอัดแน่นไปด้วยพลังอันหนักหน่วงที่ทรงอำนาจกว่าราชาระดับสามอย่างน้อยหนึ่งดาว

ทางด้านจิ่วเยานั้น รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ทั้งบนแขนของเขาส่องประกายพร้อมกับสัตว์อสูรที่ทรงพลังทั้งเก้าได้ปรากฏตัวออกมา ด้วยพลังต่อสู้ของเขาแล้วหากโจมตีร่วมกันกับสัตว์อสูรทั้งเก้าจะทำได้เปรียบเสมือนมีพลังต่อสู้เพิ่มขึ้นหนึ่งดาว

แม้หากมองดูแวบแรก จิ่วเยาจะไม่แข็งแกร่งเหมือนกันติงผิง แต่สัตว์อสูรทั้งเก้านั้นไม่มีวันตายแถมร่างของจิ่วเยาเองก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นหมอกได้อีก เพราะงั้นใครกันแน่ที่แข็งแกร่งกว่ากันนั้นไม่สามารถตัดสินง่ายๆเพียงเพราะกำลังและพลังบ่มเพาะ

แต่การต่อสู้ในหุบเขาเฉินเอี๋ยนแห่งนี้นั้น เห็นได้ชัดว่ายิ่งมีพลังโจมตีที่รุนแรงก็ยิ่งได้เปรียบเนื่องจากศัตรูจะไม่สามารถปกป้องแผ่นหินของตนเองจากการโจมตีที่รุนแรงได้

อย่างหลิงฮันนั้นเขายืนนิ่งราวกับไม่ทำอะไรเลยก็จริง แต่ที่จริงแล้วเขากำลังคุ้มกันการโจมตีทั้งหมดที่คาดว่าอาจจะทำลายแผ่นหินที่พวกเขายืนอยู่

จักรพรรดิพิรุณชื่นชอบการต่อสู้ที่ดุเดือด เขาไม่ได้มุ่งเป้าโจมตีไปยังแผ่นหินของศัตรูแต่เลือกที่จะเข้าปะทะกับศัตรูโดยตรง หากเอาชนะศัตรูทั้งหมดได้การทำลายแผ่นหินก็ย่อมไม่ใช่ปัญหา เพียงแค่ว่าการจัดการศัตรูให้ราบคาบกับทำลายแผ่นหินนั้น การทำลายแผ่นหินทำได้ง่ายกว่ามาก แต่จักรพรรดิพิรุณไม่สนใจเรื่องนี้อยู่แล้ว

ซึ่งการกระทำของจักรพรรดิพิรุณทำให้เนี่ยเทียนเฉิงและตันจิงอี่ไม่พอใจมาก

สวีเหลินกับสตรีนกอมตะเองก็เข้าร่วมต่อสู้ ส่วนเซียนหวู่เซียงนั้นด้วยความภูมิใจแห่งเซียนเขาจึงคร้านที่จะต่อสู้กับรุ่นเยาว์เหล่านี้

แต่ทำนี้ก็เพียงพอแล้ว

ถึงแม้จำนวนของคนที่เข้าร่วมต่อสู้ในกลุ่มพวกเขาจะมีน้อยแต่พลังของเขาทรงพลังกว่า จักรพรรดิพิรุณเป็นแนวหน้าในการบุกโจมตี เขากำราบศัตรูจนไร้ทางตอบโต้ เมื่อศัตรูเปิดช่องว่างคนที่เหลือก็ทำลายแผ่นหินจนแหลกเป็นเศษซาก โดยที่เศษหินทั้งหมดก็ได้ถูกดูดเข้ามารวมเข้ากับแผ่นหินของกลุ่มหลิงฮัน

หลังจากเอาชนะศัตรูได้อย่างบากลำบากแผ่นหินของพวกเขาก็ลอยสูงขึ้นเพียงสามฟุตเท่านั้น นี่แสดงให้เห็นว่าการจะขึ้นไปถึงยอดบนสุดนั้นยากลำบากขนาดไหน

ในตลอดหลายล้านปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเลยที่ขึ้นไปยังแผ่นหินสีทองบนยอดสูงสดได้

“ฮึ่ม พวกเจ้าทั้งสองช่างโอหังนัก ทุกคนต่างลงมือกันหมด เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ทำอะไรเลย?” หลังจากต่อสู้เสร็จสิ้น เนี่ยเทียนเฉิงก็เริ่มระบายความไม่พอใจกับหลิงฮันและเซียนหวู่เซียง

ติงผิงกับจิ่วเยาก้าวขึ้นไปที่ด้านหน้าหลิงฮันและจ้องมองเนี่ยเทียนเฉิง

“อย่างแรก การต่อสู้จบลงไปแล้วทำไมต้องมาทำให้เรื่องวุ่นวาย! อย่างที่สอง มีเหตุผลอันใดที่จำเป็นต้องให้อาจารย์ของพวกข้าลงมือด้วยตัวเอง?” พวกเขากล่าวอย่างภาคภูมิ

เนี่ยเทียนเฉิงขมวดคิ้วทันที หลิงฮันช่างโอหังนักที่ส่งเพียงลูกศิษย์ทั้งสองมาเผชิญหน้ากับเขา! เขามองออกว่าทั้งสองคนเพิ่งจะทะลวงผ่านระดับดาราสำเร็จเท่านั้น เหอๆ… ทั้งสองคนนี้หากเป็นด้านนอกหุบเขาเฉินเอี๋ยนเขาสามารถกำราบได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว

แต่หากเป็น ณ เวลานี้ต่อให้เขาจะมีอุปกรณ์เซียนอยู่ในมือเขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะทั้งคู่ได้ จากที่เห็นพลังต่อสู้ของทั้งสองผ่านการต่อสู้เมื่อครู่ เขาคงไม่มีโอกาสชนะได้เลย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด