Alchemy Emperor of the Divine Dao 1941 เขาคือ…อาจารย์ลุงของเผิงฮวาเหนียน

Now you are reading Alchemy Emperor of the Divine Dao Chapter 1941 เขาคือ...อาจารย์ลุงของเผิงฮวาเหนียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1941 เขาคือ…อาจารย์ลุงของเผิงฮวาเหนียน

 

ในที่พักของผู้สืบทอดนั้น แน่นอนว่าต้องมีห้องบ่มเพาะกาลเวลาอยู่ด้วย ซึ่งในที่แห่งนี้มีอยู่ด้วยกันสามประเภท

 

ประเภทแรกคือห้องเร่งเวลาห้าสิบเท่า ซึ่งจะถูกใช้โดยเหล่าผู้ติดของผู้สืบทอด แม้ประสิทธิภาพจะต่ำที่สุด แต่ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ที่ดีสําหรับคนที่เป็นผู้ติดตาม เนื่องจากสามารถใช้ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

 

ประเภทที่สองคือห้องเร่งเวลาหนึ่งร้อยเท่า ที่จะถูกใช้โดยเหล่าแขกของผู้สืบทอด ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีค่าใช้จ่ายเช่นกัน

 

ประเภทที่สามคือห้องเร่งเวลาสองร้อยเท่า ที่จะถูกใช้โดยตัวของผู้สืบทอดเอง คนอื่นจะสามารถใช้ได้ก็ต่อเมื่อ หลิวเจี๋ยอนุญาติเท่านั้น

 

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกหลิงฮันจะไปใช้ห้องเร่งเวลาสองร้อยเท่า และต้องเลือกใช้ห้องเร่งเวลาหนึ่งร้อยเท่าแทน

 

ตราบใดที่เข้ามายังที่พักของผู้สืบทอดได้ ก็จะสามารถใช้ห้องเร่งเวลาหนึ่งร้อยเท่าได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

 

หลิงฮันกับเยี่ยนเว่ยเข้าไปยังห้องบ่มเพาะกาลเวลาพร้อมกัน โดยที่ต่างฝ่ายต่างนําเตาหลอมออกมา และทําการเตรียมการหลอมเม็ดยา

 

พวกเขาปิดรูปแบบอาคมคุ้มกันเอาไว้ เพื่อที่ว่าคนนอกจะได้มองเห็นด้านในได้ชัดเจน

 

เนื่องจากนี่คือการประลอง ขั้นตอนทุกอย่างจึงต้องเปิดเผยอย่างยุติธรรม ไม่เช่นนั้นแล้ว หากมีฝ่ายใดนําเม็ดยานิรันดร์ระดับสูงออกมาจากอุปกรณ์มิติละ จะทําอย่างไร?

 

เมื่อได้ยินว่าจะมีการประลองหลอมเม็ดยาขึ้นที่นี่ ผู้คนที่ตามมาดูจึงมีมากมายยิ่งกว่าเดิม

 

“ข้าขอเปิดเดิมพัน ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายชนะ อัตราต่อรองก็จะเป็นหนึ่งต่อสอง” โม่ซวงส่งเสียงตะโกนออกมา เรื่องนี้เป็นสิ่งที่หลิงฮันบอกให้เขาทํา ก่อนจะเข้าสู่ห้องบ่มเพาะกาลเวลา

 

ใครหลายคนยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์ก็จริง แต่หลังจากรับรู้เรื่องราวต่างๆแล้ว พวกเขาก็ลงเดิมพันข้างเยี่ยนเว่ยโดยไม่คิด

 

หากต้องการได้ผลตอบแทน ก็ต้องเลือกฝ่ายที่มีชัยชนะมั่นคงอยู่แล้ว!

 

ไม่รู้ว่าโม่ซวงไปโดยลาที่ไหนถีบหัวมา เขาจึงได้เชื่อมั่นในตัวหลิงฮันขนาดนี้

 

หยางเจียที่เห็นก็จิตใจหวั่นไหวเล็กน้อย ในตอนแรกโม่ซวงยังปฏิเสธการประลองอยู่เลยแท้ๆ แต่ตอนนี้เหตุใดถึงเป็นฝ่ายเริ่มเปิดเดิมพันก่อนกัน? ไม่เห็นเข้าใจเลยแม้แต่น้อย

 

แต่จะอย่างไรก็ช่าง เพราะอย่างไรการประลองในครั้งนี้ก็มีการเดิมพันมาตั้งแต่ต้นแล้ว

 

ที่บนโต๊ะหิน มีอุปกรณ์มิติมากมายวางกองเอาไว้ ซึ่งคนที่ลงเดิมพันส่วนใหญ่แล้วจะใช้ศิลาดวงดาวเป็นของเดิมพัน มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ลงเดิมพันโดยใช้แร่โลหะกิ่งนิรันดร์ที่ล้ำค่าแทน

 

เมื่อเห็นของเดิมพันที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นบนโต๊ะหิน โม่ซวงก็เริ่มปาดเหงื่ออย่างเคร่งเครียด

 

ถ้าหากหลิงฮันเกิดแพ้ขึ้นมาล่ะก็ เกรงว่าเขาคงหมดตัวจนไม่เหลือแม้กระทั่งกางเกง

 

เพียงแต่ถ้าหากหลิงฮันชนะ ผลกอบโกยที่จะได้รับก็จะมหาศาลอย่างน่าอัศจรรย์เช่นกัน

 

“มีเรื่องอะไรกันงั้นรี ถึงได้ดูครึกครื้นกันขนาดนี้?” หานเทาเดินเข้ามา หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวที่คนอื่นๆ พูดถึงกันแล้ว ใบหน้าของเขาก็แสดงออกอย่างแปลกประหลาด

 

แม้จะน้อยนิด แต่เขาก็รู้พื้นเพส่วนหนึ่งของหลิงฮันเป็นอย่างดี ศิษย์น้องของปรมาจารย์นักปรุงยาสี่ดาว ด้วยสถานะนี้ยังไม่เพียงพอที่จะรับประกันชัยชนะงั้นรึ?

 

“ฮ่าๆ ถ้างั้นก็ขอข้าร่วมสนุกด้วยแล้วกัน” หานเทาหัวเราะ เขาไม่มีทางปล่อยโอกาสทําเงินทิ้งไปอย่างแน่นอน

 

“ปิดรับเดิมพันแล้วเปิดรับเดิมพันแล้ว!” โม่ซวงรีบกล่าวออกมา โดยไม่รอให้หานเทากล่าวอะไรไปมากกว่านี้

 

“โม่เจ็ด เหตุใดเจ้าถึงใจดําเช่นนี้?” หานเทายิ้ม “เจ้าที่ได้กินเนื้อไปแล้ว ไม่คิดจะเหลือน้ำซุปให้ข้ากินบ้างเลยรึ?”

 

เมื่อได้ยิ้นเช่นนี้ ผู้คนรอบด้านก็เริ่มรู้สึกประหลาดใจ ฟังจากน้ำเสียงของหานเทาแล้ว ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมั่นใจว่า หลิงฮันจะต้องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน

 

เขาไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหนกัน?

 

“ พี่ชายหาน ท่านหมายความว่าอย่างไรงั้นรึ?” ใครบางคนเอ่ยถาม

 

หานเทายิ้ม “ไม่ได้หมายความว่าอย่างไรทั้งนั้น ข้าแค่คิดว่าพี่ชายหลิงจะชนะก็เท่านั้น” เขากล่าวด้วยท่าที่ลวกๆ ขอไปที

 

ใครจะไปเชื่อกัน!

 

ทุกคนส่ายหัว ก่อนจะมีใครบางคนพูดโพล่งขึ้นมา “พี่ชายหาน หรือว่าหลิงฮันผู้นี้เป็นนักปรุงยาสามดาวกัน?”

 

“เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่รู้” หานเทาส่ายหัว “ที่จริงข้าก็ไม่รู้ว่าพี่ชายหลิงฮันนักปรุงยากี่ดาว หรือแท้จริงแล้วเป็นเนักปรุงยารึเปล่าข้าก็ยังไม่รู้”

 

ถ้าเช่นนั้นแล้ว เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน?

 

หานเทาเผยรอยยิ้มมีเลศนัย เมื่อทุกคนหันมามองที่เขา หานเทาก็เอ่ยกล่าวขึ้นอีกครั้ง “แต่ก็มีข้อมูลน้อยนิดที่ข้าพอรู้ และบอกกับพวกเจ้าได้”

 

“เผิงฮวาเหนียน หรือนักปรุงยาเผิง พวกเจ้าทุกคนคงรู้จักสินะ?”

 

ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เผิงฮวาเหนียนคือศิษย์ที่น่าภาคภูทิใจของปรมาจารย์จูเฟิง และเป็นนักปรุงยาที่มีโอกาสจะบรรลุเป็นนักปรุงยาสี่ดาวได้สําเร็จในอนาคต

 

แล้ว… เผิงฮวาเหนียนผู้นั้นเกี่ยวอะไรด้วย?

 

“อย่าบอกนะว่าหลิงฮันคือศิษย์สายตรงของเผิงฮวาเหนียน?” ใครบางคนอุทานออกมา เนื่องจากตกตะลึงกับสิ่งที่ตนเองคิด

 

อย่างโม่ซวง หยางเจีย หรือแม้แต่หานเทานั้น พวกเขาทุกคนคารวะนักปรุงยาเป็นอาจารย์ก็เพราะต้องการเรียนรู้ศาสตร์ปรุงยา เพื่อให้ได้มีสถานะในนามที่มีความเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์จูเฟิง

 

ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เผิงฮวาเหนียนจะรับพวกเขาเป็นศิษย์สายตรง และส่งนักปรุงยาหนึ่งดาวมาชี้แนะพวกเขาแทน

 

ถ้าผิงฮวาเหนียนจะรับศิษย์สายตรงจริงๆ ความหมายจะแตกต่างออกไปในทันที ซึ่งจะเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าหลิงฮันมีพรสวรรค์ในศาสตร์ปรุงยาขนาดไหน

 

“เป็นไปไม่ได้ หากนักปรุงยาเพิ่งรับศิษย์จริงๆ เหตุใดพวกเราถึงไม่เคยได้ยินข่าวมาก่อน?” ใครบางคนรู้สึกสงสัย เผิงฮวาเหนียนคือคนที่ติดตามปรมาจารย์จูเฟิงในศาสตร์ปรุงยา เพราะงั้นถ้าหากเขารับใครเป็นศิษย์ล่ะก็ เรื่องนี้ก็ต้องเป็นข่าวดังในเมืองผนึกแปรผันแห่งนี้แล้ว

 

“ หรือบางที่นักปรุงยาเผิงจะพบเจอเมล็ดพันธุ์ที่ดี ในขณะที่ออกเดินทางไปนอกเมือง?” ใครอีกคนกล่าวขึ้นมา

 

แม้จะเล็กน้อย แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นแบบนั้น

 

“พี่ชายหาน ท่านช่วยพูดต่อได้หรือไม่” คนที่ความอดทนต่ำ และคร้านจะคาดเดาเองผู้หนึ่งเอ่ยถามออกไปตรงๆ

 

หานเทายิ้มและมองไปยังโม่ซวง “นั่นก็ขึ้นอยู่กับโม่เจ็ดว่าต้องการจะเปิดเผยรึไม่”

 

จากที่ดูแล้ว ต่อให้ไม่พูดเองหานเทาก็ต้องพูดออกไปอยู่ดี โม่ซวงจึงกล่าวออกไป “เผิงฮวาเหนียนคือศิษย์หลานของพี่ชายหลิง!”

 

พรวด!

 

กลุ่มคนกว่าครึ่งสําลักออกมา ในขณะกลุ่มคนอีกกว่าครึ่งชะงักแข็งข้างจนดวงตาแทบถลน

 

ปฏิกิริยาแรกของทุกคน แน่นอนว่า คือความตกตะลึง

 

“ฮ่าๆๆๆ!” หยางเจียหัวเราะลั่น “โม่เจ็ด เจ้าเกือบจะหลอกข้าได้แล้วจริงๆ ไม่คาดคิดเลยว่าความสามารถในการมโนของเจ้าจะสูงส่งเพียงนี้ ข้าประทับใจยิ่งนัก”

 

แม้จะกล่าวว่าประทับใจ แต่ใบหน้าของหยางเจีย กลับแสดงออกถึงความเหยียดหยาม

 

โม่ซวงไม่แสดงท่าที่โมโหใดๆ ออกมา หากไม่เห็นด้วยตาตนเอง เขาก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่า หลิงฮันที่ยังเยาว์วัยขนาดนี้ จะเป็นอาจารย์ลุงของเผิงฮวาเหนียน

 

“นายน้อยโม่ จงถอนคําพูดของเจ้าเมื่อครู่ และขออภัยต่ออาจารย์ของข้าเดี๋ยวนี้!” รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งก้าวเดินเข้ามาอย่างเดือดดาล ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธ

 

ชื่อของเขาคือก๋วยเต๋อซุย เนื่องจากเขาเป็นลูกศิษย์สายตรงของเผิงฮวาเหนียน เมื่อได้ยินโม่ซวงหมิ่นประมาทอาจารย์ของเขา จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะโกรธ

 

ในด้านของผู้หนุนหลัง เขาไม่อาจเทียบเคียงกับโม่ซวงได้แม้แต่น้อย และในด้านของความอาวุโสนั้น โม่ซวงสมควรเรียกเขาว่าอาจารย์ด้วยซ้ำ เพียงแต่เขาก็ไม่กล้าบังคับให้อีกฝ่ายเรียกเขาแบบนั้น เพราะอย่างไรเขาก็เป็นเพียงนักปรุงยาหนึ่งดาวตัวจ้อยเท่านั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Alchemy Emperor of the Divine Dao 1941 เขาคือ…อาจารย์ลุงของเผิงฮวาเหนียน

Now you are reading Alchemy Emperor of the Divine Dao Chapter 1941 เขาคือ...อาจารย์ลุงของเผิงฮวาเหนียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1941 เขาคือ…อาจารย์ลุงของเผิงฮวาเหนียน

 

ในที่พักของผู้สืบทอดนั้น แน่นอนว่าต้องมีห้องบ่มเพาะกาลเวลาอยู่ด้วย ซึ่งในที่แห่งนี้มีอยู่ด้วยกันสามประเภท

 

ประเภทแรกคือห้องเร่งเวลาห้าสิบเท่า ซึ่งจะถูกใช้โดยเหล่าผู้ติดของผู้สืบทอด แม้ประสิทธิภาพจะต่ำที่สุด แต่ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ที่ดีสําหรับคนที่เป็นผู้ติดตาม เนื่องจากสามารถใช้ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

 

ประเภทที่สองคือห้องเร่งเวลาหนึ่งร้อยเท่า ที่จะถูกใช้โดยเหล่าแขกของผู้สืบทอด ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีค่าใช้จ่ายเช่นกัน

 

ประเภทที่สามคือห้องเร่งเวลาสองร้อยเท่า ที่จะถูกใช้โดยตัวของผู้สืบทอดเอง คนอื่นจะสามารถใช้ได้ก็ต่อเมื่อ หลิวเจี๋ยอนุญาติเท่านั้น

 

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกหลิงฮันจะไปใช้ห้องเร่งเวลาสองร้อยเท่า และต้องเลือกใช้ห้องเร่งเวลาหนึ่งร้อยเท่าแทน

 

ตราบใดที่เข้ามายังที่พักของผู้สืบทอดได้ ก็จะสามารถใช้ห้องเร่งเวลาหนึ่งร้อยเท่าได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

 

หลิงฮันกับเยี่ยนเว่ยเข้าไปยังห้องบ่มเพาะกาลเวลาพร้อมกัน โดยที่ต่างฝ่ายต่างนําเตาหลอมออกมา และทําการเตรียมการหลอมเม็ดยา

 

พวกเขาปิดรูปแบบอาคมคุ้มกันเอาไว้ เพื่อที่ว่าคนนอกจะได้มองเห็นด้านในได้ชัดเจน

 

เนื่องจากนี่คือการประลอง ขั้นตอนทุกอย่างจึงต้องเปิดเผยอย่างยุติธรรม ไม่เช่นนั้นแล้ว หากมีฝ่ายใดนําเม็ดยานิรันดร์ระดับสูงออกมาจากอุปกรณ์มิติละ จะทําอย่างไร?

 

เมื่อได้ยินว่าจะมีการประลองหลอมเม็ดยาขึ้นที่นี่ ผู้คนที่ตามมาดูจึงมีมากมายยิ่งกว่าเดิม

 

“ข้าขอเปิดเดิมพัน ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายชนะ อัตราต่อรองก็จะเป็นหนึ่งต่อสอง” โม่ซวงส่งเสียงตะโกนออกมา เรื่องนี้เป็นสิ่งที่หลิงฮันบอกให้เขาทํา ก่อนจะเข้าสู่ห้องบ่มเพาะกาลเวลา

 

ใครหลายคนยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์ก็จริง แต่หลังจากรับรู้เรื่องราวต่างๆแล้ว พวกเขาก็ลงเดิมพันข้างเยี่ยนเว่ยโดยไม่คิด

 

หากต้องการได้ผลตอบแทน ก็ต้องเลือกฝ่ายที่มีชัยชนะมั่นคงอยู่แล้ว!

 

ไม่รู้ว่าโม่ซวงไปโดยลาที่ไหนถีบหัวมา เขาจึงได้เชื่อมั่นในตัวหลิงฮันขนาดนี้

 

หยางเจียที่เห็นก็จิตใจหวั่นไหวเล็กน้อย ในตอนแรกโม่ซวงยังปฏิเสธการประลองอยู่เลยแท้ๆ แต่ตอนนี้เหตุใดถึงเป็นฝ่ายเริ่มเปิดเดิมพันก่อนกัน? ไม่เห็นเข้าใจเลยแม้แต่น้อย

 

แต่จะอย่างไรก็ช่าง เพราะอย่างไรการประลองในครั้งนี้ก็มีการเดิมพันมาตั้งแต่ต้นแล้ว

 

ที่บนโต๊ะหิน มีอุปกรณ์มิติมากมายวางกองเอาไว้ ซึ่งคนที่ลงเดิมพันส่วนใหญ่แล้วจะใช้ศิลาดวงดาวเป็นของเดิมพัน มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ลงเดิมพันโดยใช้แร่โลหะกิ่งนิรันดร์ที่ล้ำค่าแทน

 

เมื่อเห็นของเดิมพันที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นบนโต๊ะหิน โม่ซวงก็เริ่มปาดเหงื่ออย่างเคร่งเครียด

 

ถ้าหากหลิงฮันเกิดแพ้ขึ้นมาล่ะก็ เกรงว่าเขาคงหมดตัวจนไม่เหลือแม้กระทั่งกางเกง

 

เพียงแต่ถ้าหากหลิงฮันชนะ ผลกอบโกยที่จะได้รับก็จะมหาศาลอย่างน่าอัศจรรย์เช่นกัน

 

“มีเรื่องอะไรกันงั้นรี ถึงได้ดูครึกครื้นกันขนาดนี้?” หานเทาเดินเข้ามา หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวที่คนอื่นๆ พูดถึงกันแล้ว ใบหน้าของเขาก็แสดงออกอย่างแปลกประหลาด

 

แม้จะน้อยนิด แต่เขาก็รู้พื้นเพส่วนหนึ่งของหลิงฮันเป็นอย่างดี ศิษย์น้องของปรมาจารย์นักปรุงยาสี่ดาว ด้วยสถานะนี้ยังไม่เพียงพอที่จะรับประกันชัยชนะงั้นรึ?

 

“ฮ่าๆ ถ้างั้นก็ขอข้าร่วมสนุกด้วยแล้วกัน” หานเทาหัวเราะ เขาไม่มีทางปล่อยโอกาสทําเงินทิ้งไปอย่างแน่นอน

 

“ปิดรับเดิมพันแล้วเปิดรับเดิมพันแล้ว!” โม่ซวงรีบกล่าวออกมา โดยไม่รอให้หานเทากล่าวอะไรไปมากกว่านี้

 

“โม่เจ็ด เหตุใดเจ้าถึงใจดําเช่นนี้?” หานเทายิ้ม “เจ้าที่ได้กินเนื้อไปแล้ว ไม่คิดจะเหลือน้ำซุปให้ข้ากินบ้างเลยรึ?”

 

เมื่อได้ยิ้นเช่นนี้ ผู้คนรอบด้านก็เริ่มรู้สึกประหลาดใจ ฟังจากน้ำเสียงของหานเทาแล้ว ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมั่นใจว่า หลิงฮันจะต้องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน

 

เขาไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหนกัน?

 

“ พี่ชายหาน ท่านหมายความว่าอย่างไรงั้นรึ?” ใครบางคนเอ่ยถาม

 

หานเทายิ้ม “ไม่ได้หมายความว่าอย่างไรทั้งนั้น ข้าแค่คิดว่าพี่ชายหลิงจะชนะก็เท่านั้น” เขากล่าวด้วยท่าที่ลวกๆ ขอไปที

 

ใครจะไปเชื่อกัน!

 

ทุกคนส่ายหัว ก่อนจะมีใครบางคนพูดโพล่งขึ้นมา “พี่ชายหาน หรือว่าหลิงฮันผู้นี้เป็นนักปรุงยาสามดาวกัน?”

 

“เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่รู้” หานเทาส่ายหัว “ที่จริงข้าก็ไม่รู้ว่าพี่ชายหลิงฮันนักปรุงยากี่ดาว หรือแท้จริงแล้วเป็นเนักปรุงยารึเปล่าข้าก็ยังไม่รู้”

 

ถ้าเช่นนั้นแล้ว เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน?

 

หานเทาเผยรอยยิ้มมีเลศนัย เมื่อทุกคนหันมามองที่เขา หานเทาก็เอ่ยกล่าวขึ้นอีกครั้ง “แต่ก็มีข้อมูลน้อยนิดที่ข้าพอรู้ และบอกกับพวกเจ้าได้”

 

“เผิงฮวาเหนียน หรือนักปรุงยาเผิง พวกเจ้าทุกคนคงรู้จักสินะ?”

 

ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เผิงฮวาเหนียนคือศิษย์ที่น่าภาคภูทิใจของปรมาจารย์จูเฟิง และเป็นนักปรุงยาที่มีโอกาสจะบรรลุเป็นนักปรุงยาสี่ดาวได้สําเร็จในอนาคต

 

แล้ว… เผิงฮวาเหนียนผู้นั้นเกี่ยวอะไรด้วย?

 

“อย่าบอกนะว่าหลิงฮันคือศิษย์สายตรงของเผิงฮวาเหนียน?” ใครบางคนอุทานออกมา เนื่องจากตกตะลึงกับสิ่งที่ตนเองคิด

 

อย่างโม่ซวง หยางเจีย หรือแม้แต่หานเทานั้น พวกเขาทุกคนคารวะนักปรุงยาเป็นอาจารย์ก็เพราะต้องการเรียนรู้ศาสตร์ปรุงยา เพื่อให้ได้มีสถานะในนามที่มีความเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์จูเฟิง

 

ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เผิงฮวาเหนียนจะรับพวกเขาเป็นศิษย์สายตรง และส่งนักปรุงยาหนึ่งดาวมาชี้แนะพวกเขาแทน

 

ถ้าผิงฮวาเหนียนจะรับศิษย์สายตรงจริงๆ ความหมายจะแตกต่างออกไปในทันที ซึ่งจะเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าหลิงฮันมีพรสวรรค์ในศาสตร์ปรุงยาขนาดไหน

 

“เป็นไปไม่ได้ หากนักปรุงยาเพิ่งรับศิษย์จริงๆ เหตุใดพวกเราถึงไม่เคยได้ยินข่าวมาก่อน?” ใครบางคนรู้สึกสงสัย เผิงฮวาเหนียนคือคนที่ติดตามปรมาจารย์จูเฟิงในศาสตร์ปรุงยา เพราะงั้นถ้าหากเขารับใครเป็นศิษย์ล่ะก็ เรื่องนี้ก็ต้องเป็นข่าวดังในเมืองผนึกแปรผันแห่งนี้แล้ว

 

“ หรือบางที่นักปรุงยาเผิงจะพบเจอเมล็ดพันธุ์ที่ดี ในขณะที่ออกเดินทางไปนอกเมือง?” ใครอีกคนกล่าวขึ้นมา

 

แม้จะเล็กน้อย แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นแบบนั้น

 

“พี่ชายหาน ท่านช่วยพูดต่อได้หรือไม่” คนที่ความอดทนต่ำ และคร้านจะคาดเดาเองผู้หนึ่งเอ่ยถามออกไปตรงๆ

 

หานเทายิ้มและมองไปยังโม่ซวง “นั่นก็ขึ้นอยู่กับโม่เจ็ดว่าต้องการจะเปิดเผยรึไม่”

 

จากที่ดูแล้ว ต่อให้ไม่พูดเองหานเทาก็ต้องพูดออกไปอยู่ดี โม่ซวงจึงกล่าวออกไป “เผิงฮวาเหนียนคือศิษย์หลานของพี่ชายหลิง!”

 

พรวด!

 

กลุ่มคนกว่าครึ่งสําลักออกมา ในขณะกลุ่มคนอีกกว่าครึ่งชะงักแข็งข้างจนดวงตาแทบถลน

 

ปฏิกิริยาแรกของทุกคน แน่นอนว่า คือความตกตะลึง

 

“ฮ่าๆๆๆ!” หยางเจียหัวเราะลั่น “โม่เจ็ด เจ้าเกือบจะหลอกข้าได้แล้วจริงๆ ไม่คาดคิดเลยว่าความสามารถในการมโนของเจ้าจะสูงส่งเพียงนี้ ข้าประทับใจยิ่งนัก”

 

แม้จะกล่าวว่าประทับใจ แต่ใบหน้าของหยางเจีย กลับแสดงออกถึงความเหยียดหยาม

 

โม่ซวงไม่แสดงท่าที่โมโหใดๆ ออกมา หากไม่เห็นด้วยตาตนเอง เขาก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่า หลิงฮันที่ยังเยาว์วัยขนาดนี้ จะเป็นอาจารย์ลุงของเผิงฮวาเหนียน

 

“นายน้อยโม่ จงถอนคําพูดของเจ้าเมื่อครู่ และขออภัยต่ออาจารย์ของข้าเดี๋ยวนี้!” รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งก้าวเดินเข้ามาอย่างเดือดดาล ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธ

 

ชื่อของเขาคือก๋วยเต๋อซุย เนื่องจากเขาเป็นลูกศิษย์สายตรงของเผิงฮวาเหนียน เมื่อได้ยินโม่ซวงหมิ่นประมาทอาจารย์ของเขา จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะโกรธ

 

ในด้านของผู้หนุนหลัง เขาไม่อาจเทียบเคียงกับโม่ซวงได้แม้แต่น้อย และในด้านของความอาวุโสนั้น โม่ซวงสมควรเรียกเขาว่าอาจารย์ด้วยซ้ำ เพียงแต่เขาก็ไม่กล้าบังคับให้อีกฝ่ายเรียกเขาแบบนั้น เพราะอย่างไรเขาก็เป็นเพียงนักปรุงยาหนึ่งดาวตัวจ้อยเท่านั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+