Alchemy Emperor of the Divine Dao 488

Now you are reading Alchemy Emperor of the Divine Dao Chapter 488 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ระหว่างทางมาที่นี่พวกเจ้าพบอันตรายอะไรหรือไม่?” หลิงฮันถาม

“ทุกอย่างราบรื่นดี พวกเราพบสัตว์อสูรบ้าง แต่พวกมันทุกตัวก็ถูกพวกเราจัดการหมดแล้ว และยังเก็บเกี่ยวสมุนไพรมาได้หลายอย่างด้วย!’ ชูหวู่จิ่วพูดด้วยรอยยิ้ม

หลิวอู๋ตงจูงมือของจูเสวี่ยนเอ๋อแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมและพูดว่า “ทั้งหมดนี่เป็นเพราะเสวี่ยนเอ๋อ ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือหลายต่อหลายครั้งของนาง อย่างน้อยพวกเราคงจะได้รับบาดเจ็บไปแล้ว”

หลิงฮันพยักหน้า ทั้งกลุ่มของพวกนาง นอกเหนือจากจูเสวี่ยนเอ๋อที่เป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณแล้ว คนอื่นนั้นเป็นจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณ และนางจะรู้สึกตกดันก็ต่อเมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ ถ้าพวกเขาพบกับสัตว์อสูรระดับบุปผาผลิบานเข้า แม้แต่จูเสวี่ยนเอ๋อก็ทำได้เพียงแค่วิ่งหนี

ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์ของจูเสวี่ยนเอ๋อนั้นบาดเจ็บอยู่ เพียงแค่มีชีวิตอยู่ก็ยากลำบากแล้ว แล้วอาจารย์ของนางจะสร้างม้วนคำสั่งให้นางได้อย่างไร?

…มันมีความขัดแย้งหลายอย่างระหว่างตระกูลภายในนิกาย ยกตัวอย่างเช่นนิกายจันทราเหมันตร์ ถ้าผู้อาวุโสตระกูลเย่วตาย ผู้อาวุโสตระกูลอ้าวจะมอบม้วนคำสั่งให้เย่วไค่หยู่หรือไม่?

เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นเรื่องตลก

“ประตูเมืองนี้สามารถผ่านได้หรือไม่?” หลิงฮันถาม

“นั่นเป็นเรื่องที่ยากมาก!” หลิวอู๋ตงส่ายหัวของนางและพูดว่า “ในหมู่พวกเรามีเพียงแค่จูเสวี่ยนเอ๋อและฮูหนิวเท่านั้นที่สามารถผ่านไปได้อย่างง่ายดาย แต่ช่างเย่และข้านั้นเดินได้ไม่กี่ก้าว ในขณะที่ชูหวู่จิ่วดูเหมือนจะเดินได้แค่สองสามก้าวเท่านั้น”

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเพื่อที่จะผ่านประตูเมืองนั้นยากกว่าการต่อสู้แย่งชิงอันดับเสียอีก!

หลิงฮันมองไปรอบๆและไม่เห็นอวี่คุนหลุน หยานจุนฮ่าว และคนอื่นๆ เขาจึงสันนิษฐานว่าพวกเขาเหล่านั้นผ่านประตูเมืองไปแล้ว

“พวกเราไม่จำเป็นต้องรีบ อย่างแรกไปด้านข้างกันก่อน” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม หลังจากที่พาทุกคนไปอยู่ด้านข้างแล้ว เขาก็นำเนื้อส่วนขาของสัตว์อสูรยักษ์ ปลาแก่นแท้เหมันต์เยือกแข็งและหยดวิญญาณเจือจางออกมา “พวกนี้จะช่วยบำรุงร่างกายของพวกเจ้าเล็กน้อยและยกระดับความแข็งแกร่งของพวกเจ้า แล้วพวกเราทุกคนจะสามารถเข้าไปข้างในได้”

ฮูหนิวเลิกเกาะขาหลิงฮันทันทีและหยิบเนื้อส่วนขาของสัตว์อสูรก่อนเป็นอันดับแรก ตามด้วยปลา และพูดออกมาอย่างรีบร้อนว่า “ห้ามทุกคนหยิบ ทุกอย่างเป็นของหนิว!”

ทุกคนหัวเราะเสียงดังออกมาทันที  เมื่อมันเกี่ยวข้องกับอาหาร เด็กสาวตัวน้อยจะเผยนิสัยที่แท้จริงออกมา แสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของนาง

หลิงฮันเริ่มต้มน้ำ มีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถควบคุมจิตวิญญาณเปลวเพลิงเพื่อดึงพลังออกมาจากเนื้อสัตว์อสูร และเขาใส่สมุนไพรหลายอย่างลงไป ในไม่ช้ากลิ่นหอมโชยก็เตะจมูกของทุกคน ทำให้ทุกคนเริ่มน้ำลายไหล

“เทพธิดาจู เจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของนายน้อยฮันแล้วสินะ!” เย่วไค่หยู่พูดอย่างโศกเศร้าและโกรธ นี่คือเทพธิดาที่สมบูรณ์แบบในสายตาของเขา

จูเสวี่ยนเอ๋อหันสายตาไปมอง และใบหน้าที่งดงามของนางก็แดงก่ำจากความเขินอาย นางไม่เคยเห็นใครพูดตรงไปตรงมาแบบนี้มาก่อน โชคดีที่นางสวมผ้าคลุมขาวปกปิดใบหน้าอยู่ คนอื่นจึงมองไม่เห็นใบหน้าที่เขินอายของนาง

“อย่าใช้ความคิดชั่วร้ายของเจ้าทำให้เกียรติของข้าต้องแปดเปื้อน!” หลิงฮันพูดอย่างตรงไปตรงมา

“ฮึ่ม!” เย่วไค่หยู่แสยะยิ้ม หลังจากที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหลกับหลิงฮันมาหลายวัน เขาจึงมีความกล้าหาญมากยิ่งขึ้นและดูเหมือนว่าจะลืมไปแล้วว่าหลิงฮันนั่นยังคงมีสถานะนักปรุงยาระดับสวรรค์อยู่ จึงปฏิบัติกับหลิงฮันเหมือนกับคนรุ่นเดียวกัน

นั่นเป็นเพราะนิสัยที่ตรงไปตรงมาและไม่บิดเบือนของเย่วไค่หยู่

“หลิงฮันเป็นของหนิว!” ฮูหนิวรีบพูดออกมาทันทีและคว้าคอของหลิงฮันเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ

หลิงฮันใบหน้าบิดเบี้ยวและพูดว่า “เจ้ารัดคอข้าแรงไปแล้ว ข้าจะตายอยู่แล้ว!”

ฮูหนิวรีบปล่อยหลิงฮันและนางจูบไปที่แก้มของเขา แล้วหันไปบุ้ยปากใส่จูเสวี่ยนเอ๋อ

“เอาล่ะมากินกันเถอะ!” หลิงฮันตักซุปใส่ชามของทุกคนและให้แต่ละคนและมอบขวดหยกหยดวิญญาณเจือจางให้กับทุกคน

ทุกคนเทหยดวิญญาณเหมือนกับไวน์ และในขณะที่พวกเขากินเนื้อสัตว์อสูรและดื่มซุป ในไม่ช้าแสงหลากสีได้ส่องสว่างออกมาจากตัวของพวกเขา ราวกับว่าโลหิตและพลังปราณกำลังไหลทะลักออกมา และเริ่มบ่มเพาะพลังทีละคน

จากลำดักที่ปลีกตัวออกไปบ่มเพาะพลังนั้นแสดงให้เห็นถึงระดับพลังและพรสวรรค์ในวิถีวรยุทธ หลีซื่อฉางเห็นได้ชัดว่าอ่อนแอที่สุด ถึงแม้ว่านางจะก้าวหน้าขึ้นจากก่อนหน้านี้สองเท่า แต่นางเพียงแค่กัดเนื้อสัตว์อสูรคำเดียวและกินซุปสองซ้อนก็ต้องบ่มเพาะพลังแล้ว ถัดมาคือชูหวู่จิ่ว ชางเย่ และหลิ่วอู๋ตง กว่างหยวนแล้วจูเสวี่ยนเอ๋อ

อย่างไรก็ตาม หลิงฮันและฮูหนิวยังคงนั่งกินอยู่และกินนู้นกินนี่อย่างมีความสุข

จนกระทั่งอาหารในหม้อถูกกินจนสะอาด แม้แต่น้ำซุปหยดเดียวก็ยังไม่เหลือ จากนั้นหลิงฮันก็เริ่มนั่งบ่มเพาะพลังเพื่อสกัดและดูดซับพลัง ในขณะที่ฮูหนิวไม่ต้องทำ อะไรก็ตามที่เข้าไปในท้องของนางนั้นจะเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณให้นางทันที

หลังจากผ่านไปสองสามชั่วโมง ทุกคนต่างก็มีความก้าวหน้าอย่างมากและอยากลองที่จะผ่านประตูเมือง

หลิงฮันไม่สนใจ แม้ว่าจะมีใครบางคนไม่สามารถเข้าไปได้ มันก็ไม่สำคัญ เพราะทุกคนนั้นสามารถเข้าไปในหอคอยทมิฬได้และเพียงแค่เขาเดินผ่านประตูเมืองเพียงคนเดียวก็เกินพอ อย่างไรก็ตาม นอกจากหลี่ซื่อฉางผู้ที่ทุ่มเทหัวใจและวิญญาณไปกับศาสตร์ปรุงยาแล้วนั้น คนอื่นทุกคนต่างเดินอยู่บนวิถีวรยุทธ ดังนั้นหลิงฮันจึงหวังว่าพวกเขาจะผ่านประตูเมืองไปได้ด้วยพลังของตัวเอง

นี่ไม่เพียงแต่จะเป็นการยืนยันพรสวรรค์และความสามารถของพวกเขา แต่มันยังเพิ่มความมั่นใจให้พวกเขาได้อย่างมากเช่นเดียวกัน

นั่นเป็นเพราะ หลิวอู๋ตงและคนอื่นนั้นต่างมาจากสถานที่เล็กๆอย่างแคว้นพิรุณ ซึ่งย่อมมีความคิดที่ว่าตัวเองนั้นอ่อนด้อยเมื่อเผชิญหน้ากับศิษย์จากนิกายใหญ่ของภูมิภาคเหนือ

“ลองอีกครั้ง” พวกเดินไปที่ประตูเมืองและเริ่มพยายามที่จะผ่านเข้าไป

ตึง แรงกดดันอันหนักหน่วงกดทับพวกเขาทันที พวกเขาราวกับเป็นมนุษย์ธรรมดาที่กำลังเดินอยู่ในโคลน แต่ละย่างก้าวนั้นเดินได้อย่างยากลำบากมาก ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเดินไปได้ไกลเท่าไหร่ แรงกดดันยิ่งหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น

ไม่แปลกที่แม้แต่หลิ่วอู๋ตงและชางเย่ไม่สามารถผ่านมันไปได้ การทดสอบนี่ไม่ใช่การทดสอบธรรมดาอย่างแน่นอน

“ข้าจะแสดงเคล็ดลับให้พวกเจ้าดู” หลิงฮันกล่าว

“นายน้อยฮัน ท่านกำลังเยาะเย้ยพวกเรา?” ชูหวู่จิ่วแทบจะร้องไห้ออกมาเพราะถึงแม้ว่าหลิงฮันจะพูดว่าจะแสดงเคล็ดลับให้ดู แต่เขาก็แค่เอามือไขว้ไว้ด้านหลังและเดินอย่างผ่อนคลาย

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” ฮูหนิวหัวเราะเสียงดัง นางวิ่งตรงไปข้างหน้าแล้ววิ่งกลับวนไปวนมาอย่างง่ายดาย

หลิงฮันพยักหน้าอยู่ในใจ การทดสอบนี่แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล คนที่มีระดับพลังสูง แรงกดดันที่จะได้รับก็จะมากขึ้น มิฉะนั้นจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณคงไม่อาจผ่านไปได้ และจะมีเพียงแค่ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณเท่านั้นที่จะผ่านไปได้

ความแข็งแกร่งของหลิ่วอู๋ตงและชางเย่ก้าวหน้าขึ้นมาก เดิมทีพวกเขาเดินได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้น แต่ทว่าครั้งนี้พวกเขากลับเดินได้อย่างผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

แต่มันเป็นเรื่องยากสำหรับชูหวู่จิ่ว หลังจากที่เดินได้สิบก้าว เขาก็เริ่มเหงื่อท่วมหัวและใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยว แสดงให้เห็นว่าเขาตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด

หลิงฮันและฮูหนิวผ่านการทดสอบที่ประตูเมืองโดยที่ไม่รู้สึกกดดันแม้แต่น้อย เมื่อพวกเขาเดินผ่านประตูเมืองได้หนึ่งร้อยเมตร แรงกดดันก็ได้หายไปอัตโนมัติและกลับมาเป็นปกติ ในขณะที่เย่วไค่หยู่ หลิ่วอู๋ตงและช่างเย่เดินมาที่นี่ทีละคนทีละคน

ส่วนกว่างหยวนและชูหวู่จิ่วเดินได้แค่สามในสี่

“นายน้อยฮัน พวกเราวางแผนที่จะบ่มเพาะพลังอยู่ที่นี่” พวกเขาทั้งสองคนกล่าวด้วยความหนักแน่น

หลิงฮันคิดและพูดว่า “ตกลง นี่อาจเป็นการทดสอบ แต่มันก็เป็นสถานที่ที่เหมาะสมแก่การบ่มเพาะพลังเช่นกัน”

“ขอรับ!” ทั้งสองคนพยักหน้า แม้ว่าพวกเขาจะไปได้ไกลกว่านี้ แต่ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถช่วยเหลือหลิงฮันได้ มันคงจะเป็นการดีกว่าที่จะบ่มเพาะพลังอยู่ที่นี่เพื่อยกระดับพลังของพวกเขาเพื่อพวกเขาจะได้ช่วยเหลือหลิงฮันได้ในอนาคต

หลิงฮันยังคงพาหลี่ซื่อฉางเข้าไปในหอคอยทมิฬ หากปล่อยให้สาวงามอยู่ด้านนอกมันจะดึงดูดความวุ่นวายเข้ามาหา รวมถึงนางไม่ได้มุ่งมั่นในวิถีวรยุทธจึงไม่จำเป็นต้องฝึกฝนอยู่ที่นี่

ดังนั้น หลิงฮัน ฮูหนิว หลี่ซื่อฉาง จูเสวี่ยนเอ๋อ ชางเย่และเย่วไค่หยู่ พวกเขาทั้งหกคนยังคงเดินหน้าต่อไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด