Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล 1624 – อสูรรัตติกาลเย่เหมย

Now you are reading Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล Chapter 1624 - อสูรรัตติกาลเย่เหมย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 1624 – อสูรรัตติกาลเย่เหมย

 

จากร่างเงา ชิงสุ่ยสามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง ความมืดสลัวไม่ได้บดบังสายตาชิงสุ่ยอีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าสีดําปกปิดกายเกือบจะทั้งตัว เหลือไว้เพียงคู่ดวงตาที่ดูเย็นชา

 

ชิงสุ่ยไม่รู้ถึงอายุของอีกฝ่าย แต่เขาสามารถประเมินได้จากกลิ่นอาย หญิงผู้นี้นั้นแข็งแกร่งและอยู่ในช่วงวัยกําลังโต นี่หมายความว่าเธอไม่ได้ชรา จากท่าทางที่สง่างามของเธอ ชิงสุ่ยคาดเดาว่าเธอยังเยาว์

 

ชิงสุ่ยและถานท่ายหลิงเยียนห่างจากหญิงผู้นี้ประมาณ 100 เมตร ถานท่ายหลิงเยียนมองไปที่หญิงลึกลับและกล่าวขึ้นมาว่า “ถ้าข้าดูไม่ผิด เจ้าคือผู้ที่เรียกหาข้า”

 

“ถูกต้อง ข้ารู้สึกว่าพวกเราเป็นคนประเภทเดียวกัน ด้วยเหตุนี้พวกเราน่าจะมารวมมือกัน เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

 

ผู้หญิงคนนี้ตอบด้วยเสียงเบาๆที่มีพลังอันลึกลับ ดวงตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่ที่ถานท่ายหลิงเยียนและชิงสุ่ย

 

“เจ้าคืออสูรรัตติกาลหรือ!” ถานท่ายหลิงเยียนกล่าว

 

“เจ้าเองก็เป็นผู้ที่มีเลือดแห่งจอมอสูรไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายเช่นกัน เจ้าควรจะได้รู้ถึงแผนการของข้า ข้าอยากรู้ว่าเจ้าคิดอย่างไรกับข้อเสนอก่อนหน้านี้” หญิงผู้นี้กล่าว

 

“เจ้าอยู่เพียงลําพังงั้นหรือ?” ถานท่ายหลิงเยียนถามอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้กดดันอะไร เธอถูกเรียกโดยผู้หญิงคนนี้ มันจะดูแปลกประหลาดหากเธอตกลงกับทุกสิ่งโดยไม่มีคําถาม

 

“ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า ไม่นานนักที่ข้าเพิ่งได้รับมรดกแห่งจอมอสูรและฝึกฝนมันเพียงลําพัง” เธอจ้องมองถานท่ายหลิงเยียนและชิงสุ่ยขณะกล่าว ราวกับว่าเธอพยายามมองสิ่งที่อยู่ในใจพวกเขาให้ออก

 

“เจ้ารู้ถึงสายเลือดแห่งจอมอสูรหรือไม่?” คราวนี้ชิงสุ่ยเป็นคนถาม

 

หญิงผู้นี้มุ่งความสนใจไปที่ชิงสุ่ย แต่เธอก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงระดับความแข็งแกร่งของเขา เธอรู้ว่าพวกเขาไม่ได้ไว้ใจเธอ อย่างไรก็ตามด้วยการที่เธอเป็นผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูร เธอคิดว่าพวกเขาจะไม่ทําอันตรายเธอ

 

“ผู้สืบทอดมรดกของจอมอสูรต่างก็ได้รับเลือดแห่งจอมอสูร มันจะทําให้ผู้ที่ได้รับแข็งแกร่งขึ้น” เธอกล่าวตรงๆ

 

“เช่นนั้นเจ้าน่าจะรู้ว่ายิ่งพลังจากเลือดแห่งจอมอสูรทรงพลังขึ้นมากเท่าไหร่ เจ้าก็จะสูญเสียตัวตนไปมากเท่านั้น ความกระหายเลือดของเจ้าจะทําให้ลืมเลือนได้แม้กระทั่งครอบครัวและญาติมิตร” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

เธอเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ต่อให้พลังของเลือดแห่งจอมอสูรจะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่ง ตราบใดที่มียังมีความตั้งใจอันแน่วแน่ คนๆนั้นก็จะไม่หวั่นไหว แต่สําหรับเลือดแห่งจอมอสูร มันถือว่าเป็นข่าวลือมากกว่าความจริง

 

“ข้าเคยได้ยิน แต่มันก็ยังไม่มีสิ่งใดใช้ยืนยัน” เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

 

“เจ้าตั้งใจจะทําอะไร? เจ้าวางแผนที่จะชําระล้างมันงั้นหรือ?” ชิงสุ่ยถามหญิงผู้นี้อย่างใจเย็น 

 

เธอมองชิงสุ่ยและถานท่ายหลิงเยียนด้วยความงุนงง “ทําไม? ข้าไม่ต้องการทําอะไรเช่นนั้น ข้าได้รับประโยชน์มากมายจากมัน ข้าคงจะหมดความน่าเชื่อถือหากไม่ได้ทําตามเจตจํานงในการสืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรให้สําเร็จ”

 

ชิงสุ่ยได้ประเมินพลังของหญิงผู้นี้แล้ว อย่างน้อยที่สุดเธอก็ไม่ได้เป็นภัยคุต่อถานท่ายหลิงเยียนและตัวเขา ตราบใดที่เธอไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับพวกเขา มันก็จะไม่มีอันตรายอะไรเกิดขึ้น

 

ความแข็งแกร่งของอสูรรัตติกาลในเวลากลางคืนนั้นเป็นเรื่องโกหก มันก็แค่เป็นการดีกว่าที่จะหลบซ่อน เคลื่อนไหว ทําให้สับสน และอื่นๆตอนกลางคืน ชิงสุ่ยหัวเราะขณะที่ประเมินเธอ “การสืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเจ้า มันไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะต้องกลายเป็นคนชั่วร้ายเมื่อบรรลุมัน เจ้าควรจะดูว่าใครเป็นผู้บริสุทธิ์และใครสมควรถูกสังหาร”

 

ภายในโลก 9 มหาทวีป ความแข็งแกร่งในมือของผู้มีอํานาจเป็นตัวตัดสินถูกและผิด

 

“หลิงเยียนของข้าก็สืบทอดมรดกเหมือนกับเจ้า แต่นางจะไม่หลงผิดไปในทางที่ไม่ดี เจ้าต้องควบคุมจิตวิญญาณของตัวเอง มันไม่สามารถครอบงําเจ้าได้หากเจ้ายังคงตั้งมั่น ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว ในอนาคตเจ้าจะใช้ความแข็งแกร่งที่มีไปเพื่ออะไร? เจ้าจะคงอยู่เพียงเพื่อสังหารและมีชีวิตอย่างอสูร”

 

ถานท่ายหลิงเยี่ยนจับมือชิงสุ่ยเอาไว้ เพียงวูบเดียวจิตใจเธอแทบจะล่องลอยไป เธอกลายเป็นผู้หญิงของชิงสุ่ยตั้งแต่เมื่อไหร่ ชิงสุ่ยทําเพียงแค่จ้องมองดูเธอ

 

ถานท่ายหลิงเยียนยื่นมือออกไปและเขกลงบนศีรษะของชิงสุ่ย “ข้าคงจะสังหารเจ้าไปหลายสิบครั้งแล้ว หากเจ้าเป็นศัตรูของข้า”

 

ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว “นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมข้าถึงดีใจที่พวกเราอยู่ฝ่ายเดียวกัน”

 

หญิงตรงหน้าพวกเขาอยู่ในสภาพที่พูดไม่ออก เธอไม่เคยติดต่อกับผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรมาก่อน โชคยังดีที่เธอสืบทอดมรดกมาแล้วไม่ได้สูญเสียตัวตนไป

 

ชิงสุ่ยกล่าวต่อ “ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะสืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรหรือไม่ แต่ข้าไม่ต้องการเห็นเจ้าทําสิ่งที่ขัดต่อศีลธรรม ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่หากเป็นเช่นนั้น”

 

“แล้วข้าควรทําอย่างไรดี? ข้าอยู่เพียงลําพัง ข้ารู้สึกดีที่สัมผัสได้ว่ามีใครบางคนที่มีกลิ่นอายเหมือนกัน ข้าไม่มีครอบครัว ข้าแค่คิดว่าต่อไปนี้ข้าจะไม่ต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว” ทันใดนั้นแววตาของเธอก็ดูอ้างว้างและโดดเดี่ยว

 

ชิงสุ่ยเข้าใจถึงความเหงาที่เธอเป็นอยู่ แต่ในใจเขาก็ยังคิดว่าอสูรรัตติกาลอาจกําลังเสแสร้ง ชิงสุ่ยไม่สามารถเชื่อคําพูดของเธอได้ ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นคําพูดจากผู้อื่น เขาจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของถานท่ายหลิงเยี่ยนตัดสินใจ

 

ถานท่ายหลิงเยียนมองไปที่หญิงผู้นี้และกล่าว “ข้าเองก็รู้สึกดี เจ้าสามารถเลือกได้ว่าต้องการจะจากไปหรือมาอยู่กับข้า พวกเราอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม เจ้าต้องเป็นผู้ที่เลือกเอง!”

 

หญิงผู้นี้ลังเล เธอนึกย้อนไปถึงกลิ่นอายที่สัมผัสได้ก่อนหน้านี้ การตัดสินใจนั้นง่ายมาก เพราะเธอไม่มีอะไรอย่างอื่นที่จะให้ทํา “ข้าจะติดตามพี่สาวไป” เธอกล่าวตามที่คิด

 

หญิงผู้นี้เอาผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าอันเย็นชาแต่ก็งดงาม รูปร่างหน้าตาและนิสัยของเธอนั้นแตกต่างจากผู้หญิงที่ดูมีอายุ เธอย่อมจะต้องอายุน้อยกว่าชิงสุ่ย

 

“ข้าชื่อ เย่ เหมย ไม่ทราบว่าพี่สาวมีนามว่าอะไร? ชายผู้นี้คือพี่เขยงั้นหรือ?”

 

ชิงสุ่ยยิ้ม เขารู้สึกยินดีมากที่ได้ยินเช่นนั้นจากหญิงสาว แต่แล้วถานท่ายหลิงเยียนก็พูดแทรกขึ้นมา “ข้าชื่อ ถานท่าย หลิงเยียน เขาชื่อ ชิงสุ่ย พวกเราเป็นเพียงสหายกัน”

 

ถึงแม้ว่าเย่เหมยจะรู้อะไรได้เล็กน้อยจากกลิ่นอายของถานท่ายหลิงเยียน แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลจากการสืบทอดมรดกของถานท่ายหลิงเยียนเหมือนกับชิงสุ่ย

 

ชิงสุ่ยถึงกับอ้าปากค้าง “คืนนี้พวกเราพักกันที่นี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับ”

 

ชิงสุ่ยกําลังงุนงง หญิงสาวน่าจะดูมีเล่ห์เหลี่ยมกว่านี้จากชื่ออสูรรัตติกาล ถ้าไม่เช่นนั้นอสูรรัตติกาลก็คงจะเป็นเรื่องไร้สาระ กระนั้นเย่เหมยกลับดูไร้เดียงสาและเรียบๆ นี่มันช่างน่าแปลก เป็นไปได้ไหมว่าเธอเพิ่งจะเริ่มเป็นมัน?

 

เย่เหมยเสนอตัวที่จะเป็นคนออกไปล่าสัตว์ เนื่องจากพวกเขาไม่กลัวว่าเธอจะหลบหนี อีกทั้งเธอยังคุ้นเคยกับพื้นที่นี้ เช่นนั้นพวกเขาจึงเห็นด้วย

 

ชิงสุ่ยมองดูเย่เหมยที่หายลับไปในความมืด เขาหัวเราะ “เจ้าบอกอะไรเกี่ยวกับนางได้บ้าง?”

 

“อสูรรัตติกาลมีความเจ้าเล่ห์ซึ่งยากต่อการควบคุม แต่ข้าก็ไม่คิดว่านางกําลังพยายามปกปิดความแข็งแกร่ง มันจะดีกว่าหากพวกเราระวังตัวเอาไว้ก่อน บางทีสิ่งที่พวกเราเห็นอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้” ถานท่ายหลิงเยียนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

 

“ทําไมนางไปได้ไม่ไกลนักก็กลับมาแล้ว เจ้าสัมผัสได้หรือไม่?” ทันใดนั้นชิงสุ่ยกล่าวกับถานท่ายหลิงเยียน

 

“นางไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็นไปซะทีเดียว แม้จะไม่มีอะไร พวกเราก็ควรหาสถานที่อื่นเพื่อเอาไว้” ชิงสุ่ยพูดเพียงแค่ให้ถานท่ายหลิงเยียนได้ยินคนเดียวเท่านั้น

 

“หากเป็นผู้อื่น พวกเราควรจะเข้าไปในส่วนลึกของภูเขาอสูรรัตติกาล ข้ายังสัมผัสถึงกลิ่นอายอื่นๆไม่ได้ เจ้าคิดว่าจะเป็นผู้อื่นงั้นหรือ?”

 

“ข้าไม่รู้”

 

“นี่อาจจะเป็นคนใกล้ชิดของนางหรือไม่? ภายในภูเขาอันเงียบสงบแห่งนี้ การอยู่เพียงลําพังกับผู้ชายก็นับว่าไม่เลว” ชิงสุ่ยหัวเราะเบาๆ

 

ถานท่ายหลิงเยียนมองชิงสุ่ยด้วยสายอันหนาวเหน็บ “อย่ามองข้าเช่นนั้น ข้าใจคอไม่ดี”

 

ไม่นานเย่เหมยก็กลับมาถึงอย่างมีความสุขด้วยกระต่ายป่า 2 ตัวที่อยู่ในมือ “พี่สาว พี่ชายชิงชุ่ย ข้าจับกระต่ายมาได้ 2 ตัว เกี่ยวข้าจะนําพวกมันไปล้างก่อน แล้วพวกเราค่อยมาย่างกินกันเถอะ”

 

ทั้งสองพยักหน้าตอบ พวกเรารู้ว่าเย่เหมยต้องมีอะไรอยู่ในใจ พวกเขาตัดสินใจที่จะลองจับตาดูเธอ

 

เย่เหมยย่างเนื้อกระต่ายอย่างชํานาญ แม้ว่ามันจะเทียบไม่ได้กับชิงสุ่ย อย่างไรก็ตามเธอก็นับว่ามีฝีมือ สักพักชิงสุ่ยก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จังหวะการเต้นหัวใจของเย่เหมยกําลังเร็วขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย

 

“พี่สาว นี่สําหรับท่าน” เย่เหมยส่งขาหลังของกระต่ายให้ถานท่ายหลิงเยียน

 

จากนั้นเธอก็ส่งขาหลังอีกข้างหนึ่งให้กับชิงสุ่ย ส่วนเธอกินขาหน้าของกระต่าย

 

“โอ๊ะ ไม่เลวเลย เจ้ามีทักษะดีมาก” ชิงสุ่ยกล่าวในขณะที่กิน

 

ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วสําหรับแผนการของเย่เหมย มียาพิษอยู่ในกระต่ายตัวนี้ เขาจําได้ว่าอสูรรัตติกาลเก่งในการหลบซ่อน ลอบสังหาร พิษ และทําให้สับสน พิษของอสูรรัตติกาลจะต้องไม่ใช่เล่นๆอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่เธอเลือกเป้าหมายผิด

 

ชิงสุ่ยส่งข้อความไปถึงถานท่ายหลิงเขียนอย่างเงียบเชียบ “กระต่ายตัวนี้มีพิษ พวกเราค่อยจัดการนางทีหลัง พิษนี้จะสกัดการไหลเวียนลมปราณแรกเริ่มเป็นเวลา 2 ชั่วโมง

 

ขณะที่ชิงสุ่ยและถานท่ายหลิงเยียนกินขาหลังของกระต่าย ชิงสุ่ยก็กล่าวชมเฉยต่อ “มันอร่อยมาก! ข้าแน่ใจว่ามันคงมีสารอาหารที่ดี”

 

“ถูกต้อง ท่านต้องกินมันเยอะๆ” น้ำเสียงของเย่เหมยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ราวกับเธอโตขึ้นมาภายในช่วงเวลาอันสั้น

 

ชิงสุ่ยมองเธอด้วยความประหลาดใจ เย่เหมยยิ้ม “ท่านรู้สึกไม่สบายหรือเปล่า?”

 

การแสดงออกของชิงสุ่ยเปลี่ยนไป “เจ้าวางยาพิษพวกเราหรือ?”

 

ถานท่ายหลิงเยียนขมวดคิ้ว เธอรู้สึกอยากหัวเราะเมื่อมองดูการแสดงของชิงสุ่ย

 

เย่เหมยยังคงมั่นใจในพิษของเธอ เธอยิ้มอย่างมีความสุข ชิงสุ่ยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้อื่นจากระยะไกล

 

อย่างที่คาดไว้ มีคนอื่นอยู่ที่นี่ เสียงของถานท่ายหลิงเยียนส่งไปถึงชิงสุ่ย “ยังมีผู้อื่นที่ได้รับมรดกแห่งจอมอสูรอีก”

 

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล 1624 – อสูรรัตติกาลเย่เหมย

Now you are reading Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล Chapter 1624 - อสูรรัตติกาลเย่เหมย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 1624 – อสูรรัตติกาลเย่เหมย

 

จากร่างเงา ชิงสุ่ยสามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง ความมืดสลัวไม่ได้บดบังสายตาชิงสุ่ยอีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าสีดําปกปิดกายเกือบจะทั้งตัว เหลือไว้เพียงคู่ดวงตาที่ดูเย็นชา

 

ชิงสุ่ยไม่รู้ถึงอายุของอีกฝ่าย แต่เขาสามารถประเมินได้จากกลิ่นอาย หญิงผู้นี้นั้นแข็งแกร่งและอยู่ในช่วงวัยกําลังโต นี่หมายความว่าเธอไม่ได้ชรา จากท่าทางที่สง่างามของเธอ ชิงสุ่ยคาดเดาว่าเธอยังเยาว์

 

ชิงสุ่ยและถานท่ายหลิงเยียนห่างจากหญิงผู้นี้ประมาณ 100 เมตร ถานท่ายหลิงเยียนมองไปที่หญิงลึกลับและกล่าวขึ้นมาว่า “ถ้าข้าดูไม่ผิด เจ้าคือผู้ที่เรียกหาข้า”

 

“ถูกต้อง ข้ารู้สึกว่าพวกเราเป็นคนประเภทเดียวกัน ด้วยเหตุนี้พวกเราน่าจะมารวมมือกัน เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

 

ผู้หญิงคนนี้ตอบด้วยเสียงเบาๆที่มีพลังอันลึกลับ ดวงตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่ที่ถานท่ายหลิงเยียนและชิงสุ่ย

 

“เจ้าคืออสูรรัตติกาลหรือ!” ถานท่ายหลิงเยียนกล่าว

 

“เจ้าเองก็เป็นผู้ที่มีเลือดแห่งจอมอสูรไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายเช่นกัน เจ้าควรจะได้รู้ถึงแผนการของข้า ข้าอยากรู้ว่าเจ้าคิดอย่างไรกับข้อเสนอก่อนหน้านี้” หญิงผู้นี้กล่าว

 

“เจ้าอยู่เพียงลําพังงั้นหรือ?” ถานท่ายหลิงเยียนถามอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้กดดันอะไร เธอถูกเรียกโดยผู้หญิงคนนี้ มันจะดูแปลกประหลาดหากเธอตกลงกับทุกสิ่งโดยไม่มีคําถาม

 

“ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า ไม่นานนักที่ข้าเพิ่งได้รับมรดกแห่งจอมอสูรและฝึกฝนมันเพียงลําพัง” เธอจ้องมองถานท่ายหลิงเยียนและชิงสุ่ยขณะกล่าว ราวกับว่าเธอพยายามมองสิ่งที่อยู่ในใจพวกเขาให้ออก

 

“เจ้ารู้ถึงสายเลือดแห่งจอมอสูรหรือไม่?” คราวนี้ชิงสุ่ยเป็นคนถาม

 

หญิงผู้นี้มุ่งความสนใจไปที่ชิงสุ่ย แต่เธอก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงระดับความแข็งแกร่งของเขา เธอรู้ว่าพวกเขาไม่ได้ไว้ใจเธอ อย่างไรก็ตามด้วยการที่เธอเป็นผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูร เธอคิดว่าพวกเขาจะไม่ทําอันตรายเธอ

 

“ผู้สืบทอดมรดกของจอมอสูรต่างก็ได้รับเลือดแห่งจอมอสูร มันจะทําให้ผู้ที่ได้รับแข็งแกร่งขึ้น” เธอกล่าวตรงๆ

 

“เช่นนั้นเจ้าน่าจะรู้ว่ายิ่งพลังจากเลือดแห่งจอมอสูรทรงพลังขึ้นมากเท่าไหร่ เจ้าก็จะสูญเสียตัวตนไปมากเท่านั้น ความกระหายเลือดของเจ้าจะทําให้ลืมเลือนได้แม้กระทั่งครอบครัวและญาติมิตร” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

เธอเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ต่อให้พลังของเลือดแห่งจอมอสูรจะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่ง ตราบใดที่มียังมีความตั้งใจอันแน่วแน่ คนๆนั้นก็จะไม่หวั่นไหว แต่สําหรับเลือดแห่งจอมอสูร มันถือว่าเป็นข่าวลือมากกว่าความจริง

 

“ข้าเคยได้ยิน แต่มันก็ยังไม่มีสิ่งใดใช้ยืนยัน” เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

 

“เจ้าตั้งใจจะทําอะไร? เจ้าวางแผนที่จะชําระล้างมันงั้นหรือ?” ชิงสุ่ยถามหญิงผู้นี้อย่างใจเย็น 

 

เธอมองชิงสุ่ยและถานท่ายหลิงเยียนด้วยความงุนงง “ทําไม? ข้าไม่ต้องการทําอะไรเช่นนั้น ข้าได้รับประโยชน์มากมายจากมัน ข้าคงจะหมดความน่าเชื่อถือหากไม่ได้ทําตามเจตจํานงในการสืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรให้สําเร็จ”

 

ชิงสุ่ยได้ประเมินพลังของหญิงผู้นี้แล้ว อย่างน้อยที่สุดเธอก็ไม่ได้เป็นภัยคุต่อถานท่ายหลิงเยียนและตัวเขา ตราบใดที่เธอไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับพวกเขา มันก็จะไม่มีอันตรายอะไรเกิดขึ้น

 

ความแข็งแกร่งของอสูรรัตติกาลในเวลากลางคืนนั้นเป็นเรื่องโกหก มันก็แค่เป็นการดีกว่าที่จะหลบซ่อน เคลื่อนไหว ทําให้สับสน และอื่นๆตอนกลางคืน ชิงสุ่ยหัวเราะขณะที่ประเมินเธอ “การสืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเจ้า มันไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะต้องกลายเป็นคนชั่วร้ายเมื่อบรรลุมัน เจ้าควรจะดูว่าใครเป็นผู้บริสุทธิ์และใครสมควรถูกสังหาร”

 

ภายในโลก 9 มหาทวีป ความแข็งแกร่งในมือของผู้มีอํานาจเป็นตัวตัดสินถูกและผิด

 

“หลิงเยียนของข้าก็สืบทอดมรดกเหมือนกับเจ้า แต่นางจะไม่หลงผิดไปในทางที่ไม่ดี เจ้าต้องควบคุมจิตวิญญาณของตัวเอง มันไม่สามารถครอบงําเจ้าได้หากเจ้ายังคงตั้งมั่น ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว ในอนาคตเจ้าจะใช้ความแข็งแกร่งที่มีไปเพื่ออะไร? เจ้าจะคงอยู่เพียงเพื่อสังหารและมีชีวิตอย่างอสูร”

 

ถานท่ายหลิงเยี่ยนจับมือชิงสุ่ยเอาไว้ เพียงวูบเดียวจิตใจเธอแทบจะล่องลอยไป เธอกลายเป็นผู้หญิงของชิงสุ่ยตั้งแต่เมื่อไหร่ ชิงสุ่ยทําเพียงแค่จ้องมองดูเธอ

 

ถานท่ายหลิงเยียนยื่นมือออกไปและเขกลงบนศีรษะของชิงสุ่ย “ข้าคงจะสังหารเจ้าไปหลายสิบครั้งแล้ว หากเจ้าเป็นศัตรูของข้า”

 

ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว “นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมข้าถึงดีใจที่พวกเราอยู่ฝ่ายเดียวกัน”

 

หญิงตรงหน้าพวกเขาอยู่ในสภาพที่พูดไม่ออก เธอไม่เคยติดต่อกับผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรมาก่อน โชคยังดีที่เธอสืบทอดมรดกมาแล้วไม่ได้สูญเสียตัวตนไป

 

ชิงสุ่ยกล่าวต่อ “ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะสืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรหรือไม่ แต่ข้าไม่ต้องการเห็นเจ้าทําสิ่งที่ขัดต่อศีลธรรม ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่หากเป็นเช่นนั้น”

 

“แล้วข้าควรทําอย่างไรดี? ข้าอยู่เพียงลําพัง ข้ารู้สึกดีที่สัมผัสได้ว่ามีใครบางคนที่มีกลิ่นอายเหมือนกัน ข้าไม่มีครอบครัว ข้าแค่คิดว่าต่อไปนี้ข้าจะไม่ต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว” ทันใดนั้นแววตาของเธอก็ดูอ้างว้างและโดดเดี่ยว

 

ชิงสุ่ยเข้าใจถึงความเหงาที่เธอเป็นอยู่ แต่ในใจเขาก็ยังคิดว่าอสูรรัตติกาลอาจกําลังเสแสร้ง ชิงสุ่ยไม่สามารถเชื่อคําพูดของเธอได้ ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นคําพูดจากผู้อื่น เขาจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของถานท่ายหลิงเยี่ยนตัดสินใจ

 

ถานท่ายหลิงเยียนมองไปที่หญิงผู้นี้และกล่าว “ข้าเองก็รู้สึกดี เจ้าสามารถเลือกได้ว่าต้องการจะจากไปหรือมาอยู่กับข้า พวกเราอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม เจ้าต้องเป็นผู้ที่เลือกเอง!”

 

หญิงผู้นี้ลังเล เธอนึกย้อนไปถึงกลิ่นอายที่สัมผัสได้ก่อนหน้านี้ การตัดสินใจนั้นง่ายมาก เพราะเธอไม่มีอะไรอย่างอื่นที่จะให้ทํา “ข้าจะติดตามพี่สาวไป” เธอกล่าวตามที่คิด

 

หญิงผู้นี้เอาผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าอันเย็นชาแต่ก็งดงาม รูปร่างหน้าตาและนิสัยของเธอนั้นแตกต่างจากผู้หญิงที่ดูมีอายุ เธอย่อมจะต้องอายุน้อยกว่าชิงสุ่ย

 

“ข้าชื่อ เย่ เหมย ไม่ทราบว่าพี่สาวมีนามว่าอะไร? ชายผู้นี้คือพี่เขยงั้นหรือ?”

 

ชิงสุ่ยยิ้ม เขารู้สึกยินดีมากที่ได้ยินเช่นนั้นจากหญิงสาว แต่แล้วถานท่ายหลิงเยียนก็พูดแทรกขึ้นมา “ข้าชื่อ ถานท่าย หลิงเยียน เขาชื่อ ชิงสุ่ย พวกเราเป็นเพียงสหายกัน”

 

ถึงแม้ว่าเย่เหมยจะรู้อะไรได้เล็กน้อยจากกลิ่นอายของถานท่ายหลิงเยียน แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลจากการสืบทอดมรดกของถานท่ายหลิงเยียนเหมือนกับชิงสุ่ย

 

ชิงสุ่ยถึงกับอ้าปากค้าง “คืนนี้พวกเราพักกันที่นี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับ”

 

ชิงสุ่ยกําลังงุนงง หญิงสาวน่าจะดูมีเล่ห์เหลี่ยมกว่านี้จากชื่ออสูรรัตติกาล ถ้าไม่เช่นนั้นอสูรรัตติกาลก็คงจะเป็นเรื่องไร้สาระ กระนั้นเย่เหมยกลับดูไร้เดียงสาและเรียบๆ นี่มันช่างน่าแปลก เป็นไปได้ไหมว่าเธอเพิ่งจะเริ่มเป็นมัน?

 

เย่เหมยเสนอตัวที่จะเป็นคนออกไปล่าสัตว์ เนื่องจากพวกเขาไม่กลัวว่าเธอจะหลบหนี อีกทั้งเธอยังคุ้นเคยกับพื้นที่นี้ เช่นนั้นพวกเขาจึงเห็นด้วย

 

ชิงสุ่ยมองดูเย่เหมยที่หายลับไปในความมืด เขาหัวเราะ “เจ้าบอกอะไรเกี่ยวกับนางได้บ้าง?”

 

“อสูรรัตติกาลมีความเจ้าเล่ห์ซึ่งยากต่อการควบคุม แต่ข้าก็ไม่คิดว่านางกําลังพยายามปกปิดความแข็งแกร่ง มันจะดีกว่าหากพวกเราระวังตัวเอาไว้ก่อน บางทีสิ่งที่พวกเราเห็นอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้” ถานท่ายหลิงเยียนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

 

“ทําไมนางไปได้ไม่ไกลนักก็กลับมาแล้ว เจ้าสัมผัสได้หรือไม่?” ทันใดนั้นชิงสุ่ยกล่าวกับถานท่ายหลิงเยียน

 

“นางไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็นไปซะทีเดียว แม้จะไม่มีอะไร พวกเราก็ควรหาสถานที่อื่นเพื่อเอาไว้” ชิงสุ่ยพูดเพียงแค่ให้ถานท่ายหลิงเยียนได้ยินคนเดียวเท่านั้น

 

“หากเป็นผู้อื่น พวกเราควรจะเข้าไปในส่วนลึกของภูเขาอสูรรัตติกาล ข้ายังสัมผัสถึงกลิ่นอายอื่นๆไม่ได้ เจ้าคิดว่าจะเป็นผู้อื่นงั้นหรือ?”

 

“ข้าไม่รู้”

 

“นี่อาจจะเป็นคนใกล้ชิดของนางหรือไม่? ภายในภูเขาอันเงียบสงบแห่งนี้ การอยู่เพียงลําพังกับผู้ชายก็นับว่าไม่เลว” ชิงสุ่ยหัวเราะเบาๆ

 

ถานท่ายหลิงเยียนมองชิงสุ่ยด้วยสายอันหนาวเหน็บ “อย่ามองข้าเช่นนั้น ข้าใจคอไม่ดี”

 

ไม่นานเย่เหมยก็กลับมาถึงอย่างมีความสุขด้วยกระต่ายป่า 2 ตัวที่อยู่ในมือ “พี่สาว พี่ชายชิงชุ่ย ข้าจับกระต่ายมาได้ 2 ตัว เกี่ยวข้าจะนําพวกมันไปล้างก่อน แล้วพวกเราค่อยมาย่างกินกันเถอะ”

 

ทั้งสองพยักหน้าตอบ พวกเรารู้ว่าเย่เหมยต้องมีอะไรอยู่ในใจ พวกเขาตัดสินใจที่จะลองจับตาดูเธอ

 

เย่เหมยย่างเนื้อกระต่ายอย่างชํานาญ แม้ว่ามันจะเทียบไม่ได้กับชิงสุ่ย อย่างไรก็ตามเธอก็นับว่ามีฝีมือ สักพักชิงสุ่ยก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จังหวะการเต้นหัวใจของเย่เหมยกําลังเร็วขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย

 

“พี่สาว นี่สําหรับท่าน” เย่เหมยส่งขาหลังของกระต่ายให้ถานท่ายหลิงเยียน

 

จากนั้นเธอก็ส่งขาหลังอีกข้างหนึ่งให้กับชิงสุ่ย ส่วนเธอกินขาหน้าของกระต่าย

 

“โอ๊ะ ไม่เลวเลย เจ้ามีทักษะดีมาก” ชิงสุ่ยกล่าวในขณะที่กิน

 

ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วสําหรับแผนการของเย่เหมย มียาพิษอยู่ในกระต่ายตัวนี้ เขาจําได้ว่าอสูรรัตติกาลเก่งในการหลบซ่อน ลอบสังหาร พิษ และทําให้สับสน พิษของอสูรรัตติกาลจะต้องไม่ใช่เล่นๆอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่เธอเลือกเป้าหมายผิด

 

ชิงสุ่ยส่งข้อความไปถึงถานท่ายหลิงเขียนอย่างเงียบเชียบ “กระต่ายตัวนี้มีพิษ พวกเราค่อยจัดการนางทีหลัง พิษนี้จะสกัดการไหลเวียนลมปราณแรกเริ่มเป็นเวลา 2 ชั่วโมง

 

ขณะที่ชิงสุ่ยและถานท่ายหลิงเยียนกินขาหลังของกระต่าย ชิงสุ่ยก็กล่าวชมเฉยต่อ “มันอร่อยมาก! ข้าแน่ใจว่ามันคงมีสารอาหารที่ดี”

 

“ถูกต้อง ท่านต้องกินมันเยอะๆ” น้ำเสียงของเย่เหมยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ราวกับเธอโตขึ้นมาภายในช่วงเวลาอันสั้น

 

ชิงสุ่ยมองเธอด้วยความประหลาดใจ เย่เหมยยิ้ม “ท่านรู้สึกไม่สบายหรือเปล่า?”

 

การแสดงออกของชิงสุ่ยเปลี่ยนไป “เจ้าวางยาพิษพวกเราหรือ?”

 

ถานท่ายหลิงเยียนขมวดคิ้ว เธอรู้สึกอยากหัวเราะเมื่อมองดูการแสดงของชิงสุ่ย

 

เย่เหมยยังคงมั่นใจในพิษของเธอ เธอยิ้มอย่างมีความสุข ชิงสุ่ยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้อื่นจากระยะไกล

 

อย่างที่คาดไว้ มีคนอื่นอยู่ที่นี่ เสียงของถานท่ายหลิงเยียนส่งไปถึงชิงสุ่ย “ยังมีผู้อื่นที่ได้รับมรดกแห่งจอมอสูรอีก”

 

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+