Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย 589 แอบลอบ

Now you are reading Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย Chapter 589 แอบลอบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนนี้ฟานเจี้ยนที่พึ่งออกมาจากการประลองของเสาหิน ก็ก้มลงมองของที่อยู่ในมือ มันเป็น…

 

ตรา?

 

เป็นตราที่หน้าตาแปลกๆ รูปทรงดาวห้าแฉก ภาพตรงกลางก็มีลวดลายที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และเขาไม่สามารถเข้าใจได้เลยสักนิด ก่อนที่ฟานเจี้ยนจะเข้าไปทำการประเมิณ ชูฮันเคยบอกเขาไว้ว่าเขาจะได้รับรางวัลเมื่อเข้าไปทำการประเมิณ แต่รางวัลคือสิ่งนี้?

 

นี้มันมีประโยชน์ด้วยเหรอ เพื่อการตกแต่ง?

 

ฟานเจี้ยนที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ขี้เกียจที่จะมาขลคิดต่อ หลังจากเก็บตราที่ได้มาไปแล้ว เขาก็หันกลับไปมองเสาหินที่ด้านหลัง และหันหน้ากลับมาส่ายหัว “อันดับนี่ดูดีมาก มีสองคนตามหลังฉันงั้นเหรอ?”

 

ฟานเจี้ยนเป็นคนที่ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะเข้าใจได้ ในความคิดของเขา คำตอบมันจะเองไม่ช้าก็เร็ว มันไม่จำเป็นที่จะต้องคิดให้หัวระเบิด เพราะงั้นเขาจึงเก็บข้าวของและออกเดิน

 

ในเวลาเดียวกัน ชูฮันก็พาทั้งสามทีมเดินผ่านเส้นทางลัด และเข้าใกล้ระยะเตือนภัยของค่ายเจียนอี๋ด้วยความเร็วสูง

 

ค่ายเจียนอี๋เคยถูกกองทัพเขี้ยวหมาป่าของชูฮันจัดการมาแล้วครั้งหนึ่ง ทำให้ตอนนี้ประตูทางค่ายของเขาจึงมีความหนาแน่นและมีการป้องกันมากกว่าเดิม เจ้าหน้าที่เฝ้ายามไม่มีท่าทางผ่อนคลายเลยสักนิด ทุกคนยืนเฝ้าอย่างขึงขังและเอาจริงเอาจัง

 

“เปิดประตู” จู่ๆก็มีทีมของทหารสิบนายเดินออกมาและคนที่เป็นหัวหน้าก็ตะโกนขึ้น “พวกเราเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งของค่าย ทำภารกิจให้สำเร็จแล้วกลับมา”

 

หลังจากสังเกตอยู่สักพักโดยเจ้าหน้าที่เฝ้ายาม พวกเขาก็เปิดประตูออกพร้อมกับทีมสิบคนที่เดินออกไป ในขณะเดียวเหล่าเจ้าหน้าที่เฝ้ายามก็อดไม่ได้ที่จะกระซิบคุยกัน

 

“ประตูนี่หนักชะมัด ฉันเหนื่อยมากที่จะต้องคอยเปิดปิดประตูนี่ทุกวัน!”

 

“ใช่ มีแต่พระเจ้าที่รู้ว่าทำไมพวกเขาต้องระมัดระวังขนาดนี้? นี้มันครั้งที่สิบของวันแล้วที่เราต้องเปิดประตู”

 

“จะดีกว่ามั้ยถ้าเราแง้มมันไว้เล็กน้อย? แล้วเราค่อยปิดตอนกลางคืน”

 

“ชู่ววว พลโทหลูอี๋สั่งไว้ชัดเจนแล้วว่าห้ามทำแบบนั้น”

 

“ต้องเชื่อฟังเหรอไง อย่างกับมันจะมีโจร? ก็แค่พวกเนื้อแห้งที่หายไปไม่เท่าไหร่ จำเป็นจะต้องเข้มงวดขนาดนี้มั้ย?”

 

“ชู่วววว นี่แกกล้าบอกว่าแกลืมความเจ็บปวดที่แสนจะน่าอับอายของพลโทหลูอี๋และพลเอกชูฮันแล้วเหรอไง?”

 

“อ่า เรื่องเก่าๆ!”

 

“อย่าพะวงเกินเหตุ นั่นมันไม่ใช่เรื่อง” ทหารอีกนายที่ไม่เคยปริปากพูด ถอนหายใจอย่างทนไม่ไหว “เนื้อแห้งเป็นร้อยชิ้นนั่นมันเล็กน้อย แต่มันก็สมควรอยู่แล้วที่เราจะต้องป้องกันและระวังเอาไว้”

 

“อืม” คนอื่นๆไม่ค่อยเข้าใจ หากพวกเขาก็ไม่ได้บ่นต่อ ทหารผ่านศึกคนนี้ก็เป็นนายทหารอาวุโสของหลูอี๋ตั้งแต่ยุคศิวิไลซ์ แต่มันเป็นเพราะเขาไม่ได้กลายเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่

 

นายทหารอาวุโสยิ้มและส่ายหัว “การป้องกันรอบๆค่ายของเรานั้นเป็นสิ่งที่ต้องเข้มงวดที่สุด ตามมาโกดังเก็บอาหาร อย่างพวกเนื้ออบแห้งนั้นเป็นสิ่งที่ขนและพกพาได้ง่ายและยังให้พลังงานสูง มันถูกเก็บไว้ในโกดังที่ได้รับการป้องกันอย่างเข้มงวดและยังอยู่ใกล้ที่พักของท่านหลูอี๋อีก การป้องกันที่แน่นหนาและเข้มงวด แต่การที่เน้ือแห้งพวกนั้นยังสามารถหายไปได้จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมาก”

 

“ไม่ใช่ว่าพวกหนูกินไปเหรอครับ?” บางคนอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา “การป้องกันมันเข้มงวดสุดๆ ไม่มีทางที่ใครจะเข้าไปขโมยได้แน่ๆ ไม่ใช่ว่ามันมีรังหนูอยู่ในโกดังอาหารเหรอครับ?”

 

“นั่นเป็นไปไม่ได้!” นายทหารอาวุโสแสยะยิ้ม “ท่านหลูอี๋ระวังอย่างมาก ท่านได้ตรวจสอบทั่วทั้งโกดังอย่างละเอียดหมดจน มันไม่มีร่องรอยของพวกหนูเลยสักนิดแต่มันมีร่องรอยที่เกิดจากคนอยู่”

 

“หรือว่าขโมยของอยู่ในค่าย?” นายทหารรอบๆบางคนเริ่มมองไปรอบๆอย่างระแวง “ใครมันกล้าทำแบบนี้!”

 

“ถ้าคนในค่ายของเรามีความสามารถในการขโมยเนื้อมากขนาดนนี้และยังไม่ถูกพบเจอ คนคนนั้นจะต้องมีทักษะที่สูงมาก คาดว่าท่านหลูอี๋อาจจะไม่ลงโทษแต่จะให้เข้าร่วมกับกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดแทนด้วยซ้ำ” นายทหารอาวุโสส่ายหัวและยิ้ม “แต่ฉันกลัวว่านี่จะไม่ใช่ฝีมือของคนภายในค่าย”

 

“อะไรน่ะ?”

 

“คนแปลกหน้า? ใครกัน?”

 

มีคนแปลกหน้านอกค่ายแอบลอบเข้ามาในค่ายของพวกเขาเงียบๆโดยไม่มีใครรู้ และสามารถผ่านการป้องกันแน่นหนาเข้าไปได้ถึงโกดังเก็บอาหารและขโมยเนื้ออบแห้งหลายร้อยชิ้นของพวกเขาไป?

 

“ดังนั้นพวกคุณเข้าใจรึยังว่าทำไมการป้องกันของค่ายถึงได้เข้มงวดแบบนี้?” นายทหารอาวุโสยิ้มอย่างลึกลับ “แต่มันก็ยังดีที่อีกฝ่ายไม่ได้ประสงค์ร้ายกับเรา ไม่อย่างนั้นมันอาจเป็นการลอบสังหารแทนได้”

 

เหล่านายทหารเฝ้ายามต่างมีอาการหวาดกลัว ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าท่านหลูอี๋คิดมากและระแวงจนเกินเหตุ แต่หลังจากได้ฟังคำอธิบายของนายทหารอาวุโส ในที่สุดทุกคนก็เข้าใจความเชื่อมโยงทั้งหมด ถ้ามันมีความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยเกิดขึ้น มันอาจจะตามมาด้วยวิกฤตใหญ่ และตอนนี้ค่ายเจียนอี๋ของพวกเขากำลังมีปัญหาเรื่องช่องโหว่ของการป้องกันขนาดใหญ่!

 

ขณะนี้ความตื่นตัวและสัญชาตญาณของทุกคนยกระดับขึ้นสูงสุด เสียงบ่นได้หายไปหมดแล้ว ทุกคนต่างเต็มใจและมุ่งมั่นต่อหน้าที่ของตัวเอง

 

หากมันไม่ช่วยอะไร…

 

“สวัสดี?” จู่ๆมันก็มีเสียงดังขึ้นมาจากข้างล่าง “นี่ไม่ใช่ค่ายเขี้ยวหมาป่ามั้ย? พวกเรามาหาชูฮัน เปิดประตูหน่อย!”

 

พรึบ!

 

สายตาแหลมคมจ้องมาที่กลุ่มคนสิบห้าคนที่อยู่ในเสื้อผ้ามอมแมม หากท่าทางดูหยิ่งและหน้าตาบูดบึ้ง

 

เหล่าทหารเฝ้ายาม ณ ตรงนั้น ชะงักค้างเป็นอัมพาตไปแล้ว พวกค่ายเขี้ยวหมาป่า พวกเขายังจำได้อยู่เลย กองทัพเขี้ยวหมาป่าพึ่งจากไปไม่นาน ยามที่คิดถึงกองทัพเขี้ยวหมาป่า และเมื่อตอนที่พวกเขาไปที่สนามรบกลางภูเขา ภาพที่ได้เห็นมันทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดและอับอาย

 

นี่มันน่าโมโหชะมัด!

 

“เดี๋ยว อย่าพึ่งไล่พวกเขาไป” เป็นนายทหารอาวุโส เขาส่งยิ้มให้นายทหารคนอื่นๆและพูดต่อ “เปิดประตู ค่ายของเราคลาดกับท่านพลเอกชูฮันที่สงครามกลางภูเขาไป ตอนนี้เราขาดคนมีความสามารถ เอาพวกเขาเข้ามาก่อน พยายามให้พวกเขาอยู่ที่ค่ายเราไว้”

 

“วางกับดัก?” เหล่าทหารเฝ้ายามมีสีหน้าพอใจอย่างมาก พวกเขารีบเปิดประตู ต้อนรับเหล่าคนมาใหม่อย่างกระตือรือร้น

 

“เฮ้ สุดยอดมาก แน่นอนว่าค่ายของท่านพลเอกชูฮันนี่สุดยอดอย่างที่คิด!” คนที่เป็นหัวหน้าเดินนำทีมเข้ามาในค่ายก่อน และตามมาด้วยสมาชิกในทีมสิบกว่าคนที่มีสีหน้าท่าทางแบบเดียวกัน

 

“มีผู้หญิงมั้ย?”

 

“เฮ้ย ไอ้เวร! นี่มันค่ายปกติ ฉันกลัวว่าแกไม่สามารถมาทำตัวไร้มารยาทที่นี่ได้!”

 

“สนเหรอไง พวกเราเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ เป็นขุนนางท่ามกลางคนธรรมดา พวกเรามีสิทธิจะทำตัวยังไงก็ได้”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

เมื่อเห็นท่าทางผยองและไร้มารยาทของกลุ่มคนที่มาใหม่ หลายคนในค่ายก็เริ่มทนไม่ไหวจนแทบจะระเบิดอารมณ์ออกมา

 

ในตอนนั้นชูฮันที่ซ่อนตัวอยู่บนเนินเขาไกลออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะลอบยิ้มอย่างตลกในใจ 15 คนแรกของทีมนักฆ่าขนนกได้เข้าไปแล้ว

 

แต่ทำไมถึงมีแค่ 15 คน? แล้วอีก 5 คนที่เหลือล่ะ?

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด