Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1018 บุคคลนิรนาม ไป๋อวี้จิง

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1018 บุคคลนิรนาม ไป๋อวี้จิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อโคมจิตวิญญาณสามสิบสามชั้นที่จุดให้สว่างล้วนแสดงสีม่วงออกมา จิตใจของทุกคนรวมถึงเซียวชิงเหอก็ต่างตื่นเต้นกังวลขึ้นมาอย่างห้ามความรู้สึกไว้ไม่อยู่

ตอนนั้นอวิ๋นชิ่งไป๋จุดโคมจิตวิญญาณสีม่วงให้สว่างได้สามสิบสามดวง แต่ในสามชั้นจากนั้น กลับจุดได้เพียงโคมจิตวิญญาณสีทองสามดวง

แม้เป็นเช่นนี้ สถิตินี้ก็ยังอยู่ในสามอันดับแรกของอดีตและปัจจุบัน กิตติศัพท์เหลือคนา ลือชื่อสะท้านสี่ทิศ

เวลานี้ สถิตินี้เหมือนจะมีความเป็นไปได้ว่าจะถูกก้าวข้าม สิ่งนี้สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกปราณทุกคน!

แต่เวลาที่หลินสวินเหลือไว้ให้พวกเขามีปฏิกิริยาตอบสนองก็ไม่ได้มากมาย

หรือพูดว่า ในขณะที่ใจของทุกคนกำลังตื่นเต้น คาดเดาผลลัพธ์อย่างเฝ้ารอหรือต่อต้านอยู่ ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นก่อนแล้ว

ชั้นที่สามสิบสี่ โคมจิตวิญญาณสีม่วงสว่างขึ้น

ชั้นที่สามสิบห้า โคมจิตวิญญาณสีม่วงสว่างขึ้น

ชั้นที่สามสิบหก…

ก็เป็นโคมจิตวิญญาณสีม่วงเช่นกัน!

ชั่วพริบตาทั้งบนล่างของหอหลอมจิตวิญญาณ โคมจิตวิญญาณสีม่วงแต่ละดวงตั้งตรงแน่วราวมังกรใหญ่ ส่องแสงสว่างจ้า!

ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าเหล้านั้นนิ่งงันอยู่ตรงนั้น สั่นสะท้านจนใจลอย

เซียวชิงเหอกระตุกมุมปาก ร้องอย่างบ้าคลั่งในใจว่า ‘วิปริต! เขาแม่งวิปริตไปแล้ว! ช่าง… ช่างเหนือกฎสวรรค์ไปแล้ว…’

สถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้ตอนนั้น สามารถอยู่ในอันดับสามนับจากอดีตถึงปัจจุบันได้

แต่เท่าที่เซียวชิงเหอรู้มา ผู้ที่อยู่อันดับสองตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันก็คือ ‘บรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้า’ บรรพจารย์ผู้บุกเบิกสำนักกระบี่เทียมฟ้าคนนั้น!

ในยุคบรรพกาล สมัยบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้ามีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติก็เคยมาฝ่าด่านที่นี่ จุดโคมจิตวิญญาณสีม่วงไปสามสิบห้าดวงและโคมจิตวิญญาณสีทองอีกหนึ่งดวง!

นี่เป็นปาฏิหาริย์ที่รู้กันในใต้หล้าครั้งหนึ่ง ต่อให้เป็นสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้ก็ด้อยกว่าขั้นหนึ่ง

ส่วนสถิติอันดับหนึ่งตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันของหอหลอมจิตวิญญาณนั้น…

กระทั่งตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าสร้างขึ้นมาโดยผู้ใด!

มีข่าวลือว่า สถิตินี้สร้างขึ้นโดยผู้สร้าง ‘หอหลอมจิตวิญญาณ’ คนผู้นั้นเป็นบุคคลไร้เทียมทานที่มีความสามารถอัศจรรย์กว่าบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าผู้หนึ่ง

และยังมีข่าวลือว่า สถิตินี้เป็นผู้มากความสามารถที่บรรลุระดับ ‘ราชันอริยะ’ สร้างขึ้นในวัยเยาว์

ในตอนที่เขากลายเป็นราชันอริยะ ตัวตนของเขาก็เปลี่ยนไปประหนึ่งมหามรรคต้องห้าม ไม่ให้คนนอกล่วงรู้

แต่ไม่ว่าอย่างไร สถิติอันดับหนึ่งตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันนี้ อย่างน้อยก่อนวันนี้ก็ยังไม่เคยถูกก้าวข้ามไป

ทว่าตอนนี้…

มันได้ถูกทำลายลงไปแล้ว!

เซียวชิงเหอแข็งทื่อไปทั้งตัว รู้สึกขมปร่าที่ปาก เจ้าหมอนี่เป็นคนอย่างไรกันแน่ ช่างเหมือนสัตว์ประหลาดเย้ยฟ้าที่ผงาดเหนือนภา ขนาดพลังจิตวิญญาณยังแกร่งกล้าปานนี้

……

ชั้นบนสุดของหอหลอมจิตวิญญาณ

หลินสวินนั่งขัดสมาธิ หลังศีรษะปรากฏจักระเทพกลมเกลี้ยงส่องแสงเจิดจ้าสายหนึ่ง

ส่วนในห้วงนิมิตของเขา วิญญาณแห่งพลังจิตก็นั่งขัดสมาธิเช่นกัน ดอกเทพที่บริสุทธิ์ราวหยกขาวดอกหนึ่งคลี่ออกเหนือศีรษะ ละอองแสงคลุมเครือนับหมื่นพันไหววูบลอยละล่องออกมา ส่องสว่างจิตวิญญาณให้ทะลุปรุโปร่ง

ในขณะเดียวกัน แสงเทพสีม่วงสายแล้วสายเล่าก็ถักทอขึ้นเป็นรุ้งเทพ ถาโถมเข้าไปในจิตวิญญาณของหลินสวินจากทั่วสารทิศ

วู้ม!

เคล็ดเวทบริกรรมโคจร ทำให้จิตวิญญาณของหลินสวินอาบไล้ไปด้วยแสงเทพสีม่วง ได้รับการหล่อเลี้ยงและเสริมความแข็งแกร่งไม่ว่างเว้น อัศจรรย์หาใดเทียบ

ครู่ใหญ่ปรากฏการณ์ประหลาดทั้งหมดนี้ถึงมลายหายไป

หลินสวินลืมตาขึ้นโดยพลัน กลิ่นอายทั้งตัวเขาเหมือนได้แปรสภาพและขัดเกลา ยิ่งว่างเปล่าและหลุดพ้นโลกีย์ แต่ยังมีความอหังการทรงอำนาจยากคาดคิดอยู่รางๆ สูงส่งราวมรรคสวรรค์ และน่าหวั่นใจดั่งเหวลึก

แต่ไม่นานนักกลิ่นอายทั้งหมดก็เก็บกักสู่ภายใน กลับสู่ความเรียบสงบดุจคืนสู่ธรรมชาติ

“ระดับดอกเทพรวมยอดขั้นที่หนึ่งสมบูรณ์ทั้งหมดแล้ว…” หลินสวินพึมพำ

เขาสัมผัสได้ว่าหกรับรู้ของตนทะลุปรุโปร่งและแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน เพียงในใจไหวเคลื่อนก็เกิดความคิดนับหมื่นพันออกมา

ประสบการณ์ทั้งหมดในอดีตของตนล้วนแจ่มชัดขึ้นมา ฉายขึ้นในใจอย่างละเอียดหมดจด ประสบการณ์ทุกครั้งต่างแสดง ‘ลักษณ์จริงแท้’ อย่างปรุโปร่ง

ได้เห็นความจริงแท้ในอดีต ความยากแค้น การได้รับและสูญเสีย เกียรติยศและความอับอาย ความรักและความเกลียดชังทั้งหมด… ต่างเป็นร่องรอยมรรคของข้า หล่อเลี้ยงกายาข้า ปลุกรากฐานปัญญาข้า!

เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น หลินสวินก็มีสัญชาตญาณอย่างหนึ่งว่านับแต่นี้ไป โซ่ตรวนในวันวานจะไม่อาจผูกมัดมรรคาในตัวเขาได้อีก

ตรงกันข้าม โซ่ตรวนเหนี่ยวรั้งเช่นนี้จะกลายเป็นประสบการณ์และการเคี่ยวกรำอันล้ำค่าที่หายากอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมได้อย่างหนึ่ง ทำให้ตนได้ตระหนักรู้และเติบโต สามารถเดินบนวิถีแห่งมหามรรคได้อย่างมั่นคงและสุขุมเยือกเย็นยิ่งขึ้น!

นี่ก็คือพลังสมบูรณ์ของขั้นเห็นอดีตซึ่งเป็นขั้นที่หนึ่งของระดับดอกเทพรวมยอด

ระดับจิตวิญญาณแบ่งออกเป็นหกระดับใหญ่ได้แก่ ‘สัมผัสรู้’ ‘จิตรับรู้’ ‘วิญญาณเทพ’ ‘ดอกเทพรวมยอด’ ‘จิตลอยล่อง’ และ ‘แปรเทพเปลี่ยนอริยะ’

ในระดับเหล่านี้ ระดับดอกเทพรวมยอดแบ่งออกเป็นสามขั้นย่อยได้แก่ ‘เห็นอดีต’ ‘เห็นปัจจุบัน’ และ ‘เห็นอนาคต’

โดยทั่วไป ระดับดอกเทพรวมยอดมีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับราชันเท่านั้นถึงครอบครองพลังจิตวิญญาณได้ แต่เห็นได้ชัดว่าสภาพทั่วไปเช่นนี้เอามาใช้กับหลินสวินไม่ได้!

อย่างน้อยในระดับกระบวนแปรจุติ แม้พลังจิตวิญญาณของเขาไม่ได้เป็นที่หนึ่ง แต่อย่างน้อยก็สามารถขนานนามได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่หาตัวจับได้ยากแล้ว

นี่ก็เป็นพลังอันเป็นที่พึ่งที่ทำให้หลินสวินสามารถฝ่าขึ้นไปบนหอหลอมจิตวิญญาณทั้งสามสิบหกชั้น จุดโคมจิตวิญญาณสีม่วงสามสิบหกดวงได้อย่างราบคาบ

‘แต่ก่อนเมื่อนานมากแล้ว ข้าก็ฝึกวิชาเคล็ดเวทบริกรรม จากนั้นก็จุดโคมวิญญาณพิเศษที่สามารถทำให้ทั้งอดีตและปัจจุบันเงียบงันดวงหนึ่งให้สว่างได้ในเทศกาลโคมกถามรรค ส่งผลให้ข้าชิงบรรลุระดับดอกเทพรวมยอดได้ก่อน…’

‘จิตวิญญาณดั่งดวงโคม ส่องสว่างตัวข้า ทั้งยังเป็นกุญแจสำคัญในการหลอมมรรคกลายเป็นราชัน ยามเลื่อนขั้นสู่ระดับราชัน พลังจิตวิญญาณจะไม่ใช่โซ่ตรวนของข้าอีก…’

หลินสวินยืดกายลุกขึ้น สายตาเรียบสงบ ในใจมีความเชื่อมั่นในตนเองอย่างไม่เคยมีมาก่อน

โครม!

ป้ายหินป้ายหนึ่งปรากฏขึ้นกะทันหัน ตั้งตระหง่านกลางห้วงอากาศ มั่นคงหนักแน่นดั่งภูผา

บนนั้นมีชื่อแล้วชื่อเล่าประทับไว้

บนตำแหน่งอันดับสามมีชื่อของอวิ๋นชิ่งไป๋สลักอยู่

ส่วนตำแหน่งอันดับสอง กลับเป็นเงากระบี่ราวภาพมายาเงาหนึ่ง เพ่งพลังสัมผัสโดยละเอียดก็ไม่อาจมองทะลุถึงรูปลักษณ์ที่แท้จริงได้

เงากระบี่เทียมฟ้า!

นี่เป็นสิ่งที่บรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าหลงเหลือไว้ตอนนั้น

ส่วนตรงตำแหน่งอันดับหนึ่ง…

หือ?

ดวงตาดำของหลินสวินพลันหดหรี่ ค้นพบอย่างตกตะลึงว่าบนตำแหน่งอันดับหนึ่งนั้นกลับว่างเปล่า

‘น่าสนใจ หรือคนผู้นี้จะไม่ต้องการเปิดเผยฐานะที่นี่เหมือนกับข้ากันนะ…’ หลินสวินครุ่นคิด

ทันใดนั้นอันดับบนป้ายหินก็เริ่มเปลี่ยนแปลง

ช่องว่างอันดับหนึ่งนั้นเคลื่อนลงมาหนึ่งอันดับ ในขณะเดียวกัน พู่กันที่เกิดจากพลังผนึกรวมตัวกันเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหลินสวิน

นี่หมายความว่าหลินสวินทำลายสถิติในอดีตทั้งหมด ขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง สามารถทิ้งชื่อเสียงเรียงนามของตนไว้ที่นี่

หลินสวินย่อมไม่ต้องการทิ้งชื่อไว้ที่นี่ เพียงแต่ตอนที่เขาคิดจะจากไป ก็สังเกตได้ในทันใดว่าบนช่องว่างอันดับสองที่ถูกดันลงไปนั้น กลับปรากฏชื่อชื่อหนึ่ง…

ไป๋อวี้จิง!

หลินสวินใจสะท้าน ประหลาดใจจนไม่รู้จะหาสิ่งใดมาบรรยาย

ไป๋อวี้จิง (นครหยกขาว) นี่เป็นถึงชื่อแคว้นแคว้นหนึ่ง ในยุคบรรพกาลก็มีอยู่แล้ว เหตุใดถึงกลายเป็นชื่อของคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่นี่

หรือไป๋อวี้จิงนี้จะไม่ใช่นครหยกขาวนั่น

“มรรคข้าไม่เดียวดาย!”

ทันใดนั้นในชื่อนั้นก็มีเสียงหัวเราะภาคภูมิและผ่าเผยดังลั่นขึ้นมา “สหายน้อย วันที่เจ้ากลายเป็นอริยะ หลุดออกจากกรงมหามรรค ก็จะเป็นเวลาที่เจ้ากับข้าได้พบกัน…”

ตอนแรกเสียงดังจนคนหูหนวกยังได้ยิน แต่ไม่นานนักก็ค่อยๆ เบาลงจนไม่ได้ยิน ก่อนจะมลายหายไป

ที่หายไปพร้อมกับเสียง ยังมีชื่อ ‘ไป๋อวี้จิง’ ซึ่งแปลกประหลาดและลี้ลับนี้

กลายเป็นอริยะ?

พบกัน?

หลินสวินนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ไป๋อวี้จิงผู้นี้เป็นใครกันแน่

กลอนบทหนึ่งที่ส่งต่อมาในนครหยกขาวปรากฏขึ้นในสมองเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

‘สรวงสวรรค์นครหยกขาว สิบสองหอห้าเมือง

เซียนโอบศีรษะข้า ผูกเกศาประทานอมตะ’

นครหยกขาว แดนฝึกปราณศักดิ์สิทธิ์ในสายตาผู้คนบนโลก รวมสิบสองหอห้าเมืองไว้ภายใน มีสำนักกระบี่เทียมฟ้าแห่งนี้ครองอาณาเขต

แต่ตอนนี้หลินสวินกลับพบว่า ที่แท้บนโลกนี้ยังเคยมีคนชื่อ ‘ไป๋อวี้จิง’ อยู่คนหนึ่ง…

เขาเป็นใครกัน

…..

“เมื่อกี้ละเลยไปแล้ว คราวนี้ต้องดูเสียหน่อยว่าศิษย์พี่คนไหนในสำนักกระบี่เทียมฟ้าของพวกเราฝ่าด่านที่นี่ได้”

“ใช่แล้ว จุดโคมจิตวิญญาณสีม่วงได้สามสิบหกดวง นี่แข็งแกร่งกว่าสถิติที่บรรพจารย์ของพวกเราตอนมีพลังระดับกระบวนแปรจุติเคยสร้างไว้!”

“ออกมาแล้ว!”

นอกหอหลอมจิตวิญญาณ เมื่อเห็นเงาร่างของหลินสวินเดินออกมา ในที่นั้นก็พลันอึกทึกครึกโครม

สายตาทุกคู่พากันรวมตัวไป สีหน้าเจือไปด้วยความสั่นสะท้าน สงสัย และบ้าคลั่งอย่างไม่ปกปิด

แต่ไม่นานนักผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าเหล่านั้นก็ตะลึงงัน ตอนนี้ถึงพบในทันใดว่าคนผู้นั้นเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่มีใครคุ้นหน้าผู้หนึ่ง

“รีบไปเร็ว ถ้าเจ้าพวกนี้รู้ว่าเจ้าไม่ใช่ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้า จะต้องคลุ้มคลั่งแน่”

เซียวชิงเหอก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ทิ้งร่องรอย อาศัยช่วงที่ทุกคนยังไม่ทันตอบสนองรีบพาหลินสวินจากไป

แน่นอนว่าถ้าหลินสวินไม่อยากไป ต่อให้เขาอยากพาตัวไปก็พาไปไม่ได้

ดังคาด ก็ในตอนที่พวกเขาเพิ่งจากไป ใกล้กับหอหลอมจิตวิญญาณนั้นก็มีเสียงร้องเจ็บปวดถึงที่สุดระลอกหนึ่งดังขึ้น

“น่าชังนัก! ไอ้หมอนั่นกลับไม่ใช่ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าของพวกเรา!”

“มันเป็นใคร ตอนนี้หอหลอมจิตวิญญาณไม่เปิดให้คนนอกเข้านานแล้ว อนุญาตแค่ผู้สืบทอดสำนักเราเข้าไปฝึกในนั้นเท่านั้น เหตุใดเขากลับเข้าไปได้”

“อัปยศจริง คนนอกผู้หนึ่งกลับมาทำลายสถิติที่ท่านบรรพจารย์และศิษย์พี่อวิ๋นชิ่งไป๋เคยสร้างไว้กับมือ ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปสำนักของเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

“เร็วเข้า ไปสืบว่าเจ้าหมอนั่นเป็นใครกันแน่!”

เพียงแต่เมื่อผู้สืบทอดของสำนักเทียมฟ้าเหล่านี้ได้สติกลับมา หลินสวินกับเซียวชิงเหอก็หายลับไปก่อนแล้ว

……

“ให้ตายสิ ข้าว่าแล้วว่าผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าจะต้องไม่ยอม ถ้าถูกพวกเขาขวางไว้ จะต้องชักนำความยุ่งยากมาไม่น้อยแน่”

บนถนนท่ามกลางฝูงชนพลุกพล่านจอแจ เซียวชิงเหอเอ่ยปากพลางหัวเราะหยัน

หลินสวินชำเลืองมองเขาครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเป็นถึงผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา จะต้องกลัวเรื่องยุ่งยากด้วยหรือ”

เซียวชิงเหอยักไหล่ แล้วพูดอย่างจนใจว่า “นครหยกขาวแห่งนี้เป็นอาณาเขตของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ผู้ฝึกปราณสายกระบี่เหล่านี้แต่ละคนนิสัยใจคอเหมือนกระบี่ สังหารเด็ดขาด ไม่ถูกคอก็ตีกันเลย เป็นพวกคนที่รับมือด้วยยากที่สุด แม้ข้าจะไม่กลัวแต่ก็ไม่อยากมีเรื่องวุ่นวาย”

‘นิสัยใจคอเหมือนกระบี่ สังหารเด็ดขาด…’ หลินสวินนึกถึงอวิ๋นชิ่งไป๋ ก็ต้องยอมรับว่าความเห็นนี้ของเซียวชิงเหอแม่นยำจริง

“เจ้าเคยได้ยินเรื่องของคนชื่อไป๋อวี้จิงไหม” จู่ๆ เขาก็เอ่ยถาม

“คนหรือ”

เซียวชิงเหออึ้งไป สีหน้าพิกล “ไป๋อวี้จิง (นครหยกขาว) ตั้งแต่บรรพกาลกระทั่งตอนนี้ก็เป็นชื่อแคว้นนี้มาโดยตลอด จะไปมีคนโง่ใช้ชื่อนี้ได้อย่างไร ไม่กลัวละเมิดข้อห้ามหรือ”

พูดถึงตรงนี้เขาก็อดไม่ได้เบิกบานขึ้นมา พูดว่า “ถ้ามีคนกล้าตั้งชื่อนี้จริงๆ เกรงว่าคงถูกสำนักกระบี่เทียมฟ้าตามฆ่าไปทั่วโลกนานแล้ว คนคนเดียวคิดจะเป็นตัวแทนของทั้งนครหยกขาวหรือ นี่เป็นการไม่เห็นสำนักกระบี่เทียมฟ้าอยู่ในสายตาชัดๆ นะ”

หลินสวินพูดอย่างครุ่นคิดว่า “ข้าได้ยินมาว่าในยุคบรรพกาล สมัยบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าบุกเบิกสำนักกระบี่เทียมฟ้า นครหยกขาวซึ่งมีสิบสองหอห้าเมืองแห่งนี้ก็มีอยู่แล้ว ชื่อสถานที่นี้ จะตั้งตามนามของคนใหญ่คนโตบางคนในยุคบรรพกาลได้หรือไม่”

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด