Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1156 ภายใต้ค่ายกลต้องห้ามมรรคราชัน

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1156 ภายใต้ค่ายกลต้องห้ามมรรคราชัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฟู่

ลมหายใจของหลินสวินเปลี่ยนเป็นหอบถี่

ทุกครั้งที่หายใจก็เจ็บสะท้านถึงภายในเหมือนกับเป็นตะคริวอย่างไรอย่างนั้น ทำให้สีหน้าเขาซีดขาวยิ่งขึ้น

โชคดีอย่างเดียวก็คือ บาดแผลบริเวณหน้าอกฟื้นฟูดีดังเดิมแล้ว

ปึ้ก!

ใต้ชายคาบ้านหลังหนึ่งที่ห่างออกไป เงาร่างของผู้ฝึกปราณคนหนึ่งล้มลงกับพื้น สิ้นใจอย่างเงียบเชียบ

ไม่นานนักบนถนนอีกด้านหนึ่งปรากฏร่างเงาจำนวนหนึ่งกรูออกมา ทว่าพวกเขายังไม่ทันได้ลงมือต่างก็ล้มลงไปนอนกองกับพื้นทีละคน สิ้นชีพอยู่ตรงนั้น

ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ หลินสวินไม่เคยหยุดฝีเท้าเลย ถึงขั้นไม่ได้หันไปมองด้วยซ้ำ

เขารู้ว่าขอเพียงเสี่ยวอิ๋นยังอยู่ ต่อให้บุคคลขอบเขตมกุฎจู่โจมก็ไม่อาจทำอันตรายตนได้

ไม่นาน มุมถนนเปลี่ยวที่ห่างไกลก็ปรากฏบ้านหลังหนึ่ง

นั่นคือที่พักที่หลินสวินเคยซื้อไว้ก่อนหน้านี้

‘นายท่าน สถานการณ์ดูไม่ชอบมาพากลนัก!’ เสียงเตือนสื่อจิตของเสี่ยวอิ๋นดังขึ้น น้ำเสียงเคร่งขรึม

หลินสวินก็สังเกตได้อย่างฉับไวว่าในเวลานี้มีแสงเคลื่อนงดงามเป็นสายๆ พุ่งออกมา ประดุจกระแสน้ำไหลมาจากทั่วทิศ

เห็นชัดว่าพวกเขามาจากขุมอำนาจใหญ่ที่แตกต่างกัน รวมตัวเป็นกลุ่ม ดูเหิมหาญยิ่งนัก

เมื่อมองไปยังที่ห่างไกล ทั่วทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยเงาร่างผู้ฝึกปราณ หนาแน่นดุจฝูงตั๊กแตน ทำให้ผู้คนหวาดผวา

เสียงที่ได้ยินล้วนเป็นเสียงของแสงเคลื่อนทะลวงอากาศ ฟังดูน่าอกสั่นขวัญแขวน

เห็นได้ชัดว่าผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่แต่ละแห่งที่ปักหลักอยู่ในเมืองต่างรีบเร่งมาทันทีที่ได้รับข่าว หมายจะฉวยโอกาสนี้บุกสังหารหลินสวินในคราวเดียว!

‘เสี่ยวอิ๋น กลับมาเถอะ ต่อจากนี้ไม่ต้องลำบากเจ้าลงมือแล้ว’

นัยน์ตาของหลินสวินเยียบเย็น แฝงด้วยความเรียบเฉยอย่างที่สุด

‘นายท่าน…’

เสี่ยวอิ๋นตะลึงงัน

‘ทำไม เจ้ายังไม่เชื่อใจข้าอีกอย่างนั้นหรือ’

ขณะที่หลินสวินกำลังเอ่ยวาจา การกระทำกลับไม่ได้หยุดลงแม้แต่น้อย ร่างกายพริบไหวมาถึงหน้าบ้านของตน

ทว่าเวลานี้เสี่ยวอิ๋นกลับดื้อดึงนัก สีหน้าเด็ดเดี่ยวเอ่ยว่า ‘นายท่าน แม้สู้จนตัวตายข้าก็ไม่ขอถอยกลับ ขอให้ข้าต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านเถิด!’

หลินสวินอึ้งงันในใจ พลันยิ้มออกมาและไม่กล่าวมากความอีก

ครืน!

ห้วงอากาศร้อนเร่า เปลวเพลิงสีทองโหมซัด เหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองปรากฏกายแล้ว ร่อนลงบนพื้นดิน สายตาจับจ้องหลินสวินเป็นอันดับแรก จ้องมองราวกับกำลังมองดูคนตายอย่างไรอย่างนั้น

“สหายยุทธ์เผ่าอีกาทองทุกท่าน สามารถปล่อยเจ้านี่ให้เขาวิญญาณหมื่นอสูรของพวกเราจัดการได้หรือไม่!”

ขณะเดียวกันหลูชวนแห่งเขาวิญญาณหมื่นอสูรก็พาผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งมาด้วย ท่าทีเด็ดเดี่ยวน่าเกรงขาม ปิดล้อมไว้ด้านหนึ่ง

“ไม่ได้ เทพมารหลินนี่จะต้องให้พวกเราชาวสำนักยุทธ์นครนิลเป็นคนจัดการ!”

“ทุกท่าน เทพมารหลินมีความแค้นฝังแน่นกับเผ่าของข้า หากปล่อยให้พวกเราจัดการ เผ่าวิญญาณสมุทรของข้าจะซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง”

“เหอะ เจ้านี่เป็นคนสังหารผู้สืบทอดลัทธิบูชาจันทร์ของเราในหุบเขาผลาญสวรรค์ ขอเตือนทุกท่านอย่าได้ยื่นมือเข้ามาสอด เทพมารหลินคนนี้พวกเราจะเป็นคนจัดการเอง!”

เสียงตะโกนร้องดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน

สิ้นเสียง เหล่าผู้แข็งแกร่งจากแต่ละขุมอำนาจต่างทยอยปรากฏกายออกมายังพื้นที่นี้ พร้อมล้อมปิดตายบ้านพักของหลินสวิน

ท่าทีของพวกเขาดูฮึกเหิม เผยไอสังหารออกมาให้เห็นอย่างหมดสิ้น ทำให้กลางอากาศแห่งนี้คละคลุ้งไปด้วยไอสังหารที่สะกดผู้คนเอาไว้

นัยน์ตาของหลินสวินเยียบเย็น จ้องมองนิ่งๆ กำลังจดจำชื่อของสำนักต่างๆ ที่ปรากฏตัวขึ้นไว้ในใจ

ห่างออกไปไกลยังมีผู้ฝึกปราณมากมายยืนชมอยู่

เมื่อมองเห็นภาพเช่นนี้ ก็อดหนาวสะท้านไปทั้งร่างไม่ได้ สถานการณ์ของเทพมารหลินในขณะนี้กล่าวได้ว่าถูกศัตรูรายล้อม รับการโจมตีจากทั่วทิศ!

เขาที่กำลังบาดเจ็บเจียนตายเรียกได้ว่าภยันตรายมีมากกว่าโชคเป็นแน่!

ทว่าสิ่งที่ทำให้คนใจสั่นที่สุดก็คือท่าทีของขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ที่กำลังโต้เถียงกันอย่างไม่ลดราวาศอก เห็นได้ชัดว่าหลินสวินกลายเป็นเหยื่ออันโอชะในสายตาของพวกเขา ที่ตอนนี้ยังไม่ได้ลงมือ ก็เพราะกำลังแย่งชิงสิทธิ์ครอบครองกันอยู่!

นี่ทำให้หลินสวินดูน่าเศร้าเป็นอย่างมาก

เขาก่อนหน้านี้เหิมหาญขนาดไหน พลานุภาพสะเทือนใต้หล้า กวาดสายตาไปทั่วทิศในแดนเผาเซียน แทบไม่มีผู้ใดอาจหาญต่อกรกับเขา

ทว่าเวลาเคลื่อนคล้อยไปกว่าครึ่งปี ผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งกลายเป็นราชัน กระโดดพ้นห้าระดับใหญ่ เหยียบย่างในยอดเขาที่สูงยิ่งกว่าแล้ว

ส่วนเทพมารหลิน ต่อให้จะเย้ยฟ้าอีกแค่ไหน กระนั้นจะสามารถเป็นคู่ประมือกับผู้แข็งแกร่งระดับราชันได้อย่างไร

ดังคาด เมื่อเขาปรากฏตัวก็ถูกผู้แข็งแกร่งระดับราชันจู่โจมทันทีจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ต่อให้รอดก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส

มาบัดนี้ยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์อับจนเช่นนี้ ถูกคนดูแคลนว่าเป็นเหยื่อ นี่ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าหรือ

ขณะนี้ไม่รู้มีผู้ที่กำลังชมการต่อสู้มากน้อยเท่าไรทอดถอนใจ พยัคฆ์ลำบากในที่ราบถูกสุนัขรังแก นี่เป็นคำอธิบายเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้าได้เป็นอย่างดี

“หยุดพูดจาเหลวไหล เทพมารหลินผู้นี้พวกเราจะสังหารเอง!”

ภายในลาน ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองสีหน้าอึมครึม ไม่ยอมคุมเชิงกับขุมอำนาจอื่น ชิงลงมือโดยตรง

โครม!

เปลวเพลิงสีทองเต็มฟ้าโฉบออกมา เจิดจ้าพร่าตาแผดเผาห้วงอากาศ นี่คือชายชุดทองคนหนึ่ง ทรงพลานุภาพและเผด็จการยิ่ง

“บังอาจ!”

“ถอยไป!”

ขุมอำนาจอื่นๆ ย่อมไม่พอใจ และแทบจะลงมือโจมตีใส่หลินสวินพร้อมกัน

ชั่วขณะเดียวบริเวณนี้ล้วนถูกแสงสมบัติพร่างพรายและวิชามากมายปกคลุม เสมือนใต้หล้าจมสู่ความเศร้าสลด เมฆลมเปลี่ยนสี

น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง!

ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ไกลออกไปต่างตกใจจนลมหายใจสะดุด ตกตะลึงอย่างยิ่ง

ภายใต้การปิดล้อมเช่นนี้ เทพมารหลินจะหลบหนีได้อย่างไร

ผู้ฝึกปราณไม่น้อยที่นับถือหลินสวินก็ล้วนแต่ทำใจดูต่อไปไม่ไหว ภายในใจเกิดความทุกข์โศกและเวทนาหลินสวิน

ทว่าทันใดนั้นการเปลี่ยนแปลงผิดวิสัยก็บังเกิดขึ้น…

บ้านที่หลินสวินพำนักอยู่ปรากฏระลอกคลื่นต้องห้ามโหมกระหน่ำราวกับผืนสมุทรกว้าง กระบวนค่ายกลสลักวิญญาณไหวกะพริบ ทำให้การจู่โจมและแสงสมบัติเต็มฟ้าห่างไปสิ้น

วู้ม

ค่ายกลใหญ่ส่องประกาย ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึง

เมื่อมองไปที่ลานอีกครั้ง ก็ไร้เงาร่างของหลินสวินนานแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาหลบซ่อนอยู่ในค่ายกลใหญ่!

“สมควรตาย!”

“ที่นี่มีค่ายกลต้องห้ามเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรกัน”

ภายในลานผู้ฝึกปราณจากขุมอำนาจใหญ่ล้วนแต่ตกตะลึง ให้หลังสีหน้าพลันบึ้งตึง โกรธจนหน้าเขียว

นี่เป็นสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง

ทางด้านผู้ฝึกปราณที่ชมการต่อสู้อยู่ไกลออกไปต่างก็ตกตะลึงเสียจนอ้าปากค้างไปตามๆ กัน

“เห็นได้ชัดว่าเทพมารหลินเตรียมค่ายกลต้องห้ามนี้ไว้แต่แรก ตอนแรกที่เขาทำเช่นนี้ เกรงว่าก็เพื่อป้องกันเรื่องที่จะเกิดขึ้นในวันนี้!”

มีคนตื่นตะลึง ชื่นชมการเตรียมพร้อมล่วงหน้าของหลินสวิน

ตูม!

มีบางคนไม่จำยอม เรียกสมบัติออกมาชิ้นหนึ่งแล้วโจมตีใส่บ้านหลังนั้น

ทว่าสมบัติชิ้นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการโยนหินลงในมหาสมุทร เพียงระลอกคลื่นซัดสาดเข้ามาก็อันตรธานลับไป

ไม่เพียงไม่อาจทลายค่ายกลลงได้ มิหนำซ้ำยังเสียสมบัติไปอีก!

นี่ทำให้คนที่ลงมือผู้นั้นโมโหจนแทบจะกระอักเลือด

“ให้ข้าจัดการเอง!”

ผู้แข็งแกร่งจากเผ่าอีกาทองคนหนึ่งตะคอกงขึ้นมา ตีปีกสีทองอร่ามซัดเปลวไฟเป็นระลอกเข้าไปราวกระแสน้ำ ไหลพุ่งไปยังบ้านพักหลังนั้น

ทว่ากลับไม่เป็นผลเช่นเดิม!

กลับกันยิ่งเป็นเหตุให้เผาผลาญพลังมากเกินไป จนทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนนั้นต้องหอบแฮ่กไม่หยุด

ผู้แข็งแกร่งจากขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลายในที่นั้นต่างมีสีหน้าไม่น่าดู

เทพมารหลินในสมัยก่อนก็สามารถทำให้ใครต่อใครหวาดกลัวแล้ว ทว่าเขาในขณะนี้ทั้งที่บาดเจ็บสาหัสเจียนตาย แต่ดันหนีเข้าไปอยู่ในค่ายกลต้องห้ามเสียนี่!

แล้วจะสู้อย่างไรดี

“ให้ข้าลองเอง!”

ผู้แข็งแกร่งจากเขาวิญญาณหมื่นอสูรคนหนึ่งเคลื่อนไหว นัยน์ตาคู่นั้นของเขาพลันเปลี่ยนเป็นสีเงินอ่อนแปลกประหลาด ปลดปล่อยลำแสงสีเงินสองสายทะลวงเข้าค่ายกลต้องห้าม

ครู่หนึ่งหลังจากนั้นผู้แข็งแกร่งคนนี้กลับมีสีหน้าอึมครึม กัดฟันกรอดกล่าวว่า “นี่คือกระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชันของเผ่าหงส์เขียว พลานุภาพมากพอจะขังสังหารราชันได้ ไม่ใช่ของที่ถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย!”

หลังสิ้นเสียงผู้คนในลานล้วนแต่มีสีหน้าคร่ำเคร่ง อารมณ์ความรู้สึกผิดแปลก กระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชัน! ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าหลินสวินยังมีวิชาเช่นนี้

“น่าชังนัก!”

มีคนโกรธจนอดตะโกนออกไปไม่ได้

โอกาสทองครั้งเดียวในการบุกสังหารหลินสวิน แต่ช้าไปเพียงก้าวเดียวสถานการณ์กลับพลิกผันไปเช่นนี้ ใครเล่าจะไม่อัดอั้น

“ไม่ใช่ว่าพลังที่อยู่ในเมืองสามารถยับยั้งพลังระดับราชันได้หรือ”

มีคนเอ่ยถามขึ้นมา

“นี่คือกระบวนผนึกมรรคราชัน เป็นค่ายกล! มันคนละเรื่องกับการครอบครองพลังระดับราชัน เข้าใจหรือไม่!”

มีคนแย้งกลับไป

“หยุดโต้เถียงได้แล้ว จะไปสนใจค่ายกลพรรค์นั้นทำไมกัน ขอแค่โจมตีไปเรื่อยๆ ก็จะสามารถเผาผลาญพลังของมันให้หมดสิ้นลงได้! ถึงตอนนั้นก็คือเวลาทลายค่ายกล!”

ผู้แข็งแกร่งแห่งเผ่าอีกาทองตะโกนขึ้นมา ทำให้ผู้อื่นในลานต่างเงียบเสียงลง

นี่อาจเป็นวิธีที่สุดแสนโง่เขลา ทว่ากลับเป็นทางเดียวที่มีอยู่ในขณะนี้แล้ว

“นอกจากนี้ ไปเชิญนักสลักวิญญาณส่วนหนึ่งมาเร่งศึกษาความลี้ลับของค่ายกลนี้ซะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะทลายมันไม่ได้!”

เพียงชั่วครู่ขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลายต่างเริ่มเคลื่อนไหว

ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจกล้าถ่วงเวลา ด้วยเหตุที่ยิ่งล่าช้าไปนานเท่าใด ยิ่งเป็นการให้เวลาเทพมารหลินฟื้นฟูพลังมากยิ่งขึ้น

หากให้เขาฟื้นฟูพลังจนถึงระดับสูงสุดแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาแค่คิดก็พาให้คนหนาวสะท้านแล้ว!

ควรรู้ว่าผู้แข็งแกร่งระดับราชันไม่อาจเข้ามาในเมืองได้ นี่ย่อมหมายความว่าที่พึ่งซึ่งทรงอานุภาพที่สุดของแต่ละขุมอำนาจถูกสยบสิ้น

เทพมารหลินที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์สูงสุด ใครเล่าจะอาจหาญเข้าขัดขวาง

“เร็วเข้า โจมตีไปเต็มกำลัง!”

ชั่วครู่หนึ่งที่แห่งนั้นบังเกิดเสียงโครมครามไม่หยุดหย่อน ผู้ฝึกปราณหลายคนพากันสำแดงพลังอย่างสุดความสามารถ โจมตีใส่กระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชันเพื่อให้พลังของค่ายกลสลายไป

เมื่อมีผู้ฝึกปราณที่เค้นพลังจนหมดสิ้นจนเกือบจะยืนหยันไว้ไม่อยู่ ก็จะมีคนอื่นเข้ามาแทนที่ ดำเนินล้อมโจมตีอย่างต่อเนื่อง

โครมครืน!

ฟ้าดินแถบนี้บังเกิดเสียงดังครั่นครืน แสงประกายเรืองรองราวกับระดมจุดพลุก็ไม่ปาน พวยพุ่งและปะทุออกมาดารดาษจนสว่างพร่างพรายอย่างต่อเนื่อง

พร้อมกันนี้ก็มีนักสลักวิญญาณกลุ่มหนึ่งถูกเชิญมา ใช้สารพัดวิธีอนุมานและทลายความลี้ลับของกระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชัน

ที่แห่งนี้คึกคักยิ่ง

พลังของขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลายยังมารวมตัวกันที่นี่อย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าหมายมั่นปั้นมือจะสังหารให้จงได้ จึงทุ่มเททุกอย่างในการกำจัดหลินสวิน

และทั่วทั้งเมืองโบราณเผาเซียนแห่งนี้จึงตกสู่ความโกลาหลและเดือดปะทุเพราะเหตุนี้ ผู้ฝึกปราณจำนวนไม่น้อยที่ได้ยินข่าวต่างเดินทางมาชมการต่อสู้ที่นี่

ชั่วขณะหนึ่งบ้านพักที่หลินสวินอาศัยอยู่ดูเหมือนจะกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน และทุกขุมอำนาจต่างให้ความสำคัญทั้งสิ้น!

หลินสวินจะสามารถหนีพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้หรือไม่

และเหล่าขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลาย จะสามารถทลายกระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชันได้หรือไม่

นี่คือสิ่งที่ทุกคนล้วนให้ความสนใจที่สุด!

เพียงแต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับหลินสวินแล้ว หลังจากก้าวเข้าที่พัก เขาก็เริ่มกระตุ้นกระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชันให้โคจรเต็มกำลัง

เขานำแกนวิญญาณทั้งหมดของตนออกมาเป็นแหล่งพลังของกระบวนค่ายกลนี้ พร้อมกับมอบหมายให้เสี่ยวอิ๋นทำหน้าที่เฝ้ายาม คอยจับตาดูสถานการณ์

ส่วนตัวเขาเริ่มนั่งสมาธิฟื้นฟูบาดแผล ไม่เคยล่าช้าหรือปล่อยเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์แม้แต่น้อย

ข้างกายเขาจัดวางไผ่อสนีหมื่นเคราะห์ของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ น้ำค้างหยกลมทองของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ น้ำยาควบรวมจิตของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ลูกกลอนเจ็ดช่องดาราของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ น้ำแร่อมฤตของแดนพิสุทธิ์อมตะ แร่กระดูกหยกหลากสีของสำนักยุทธ์สมุทรคราม…

แม้แต่โอสถราชันเป็นมัดๆ ก็ยังมี

ครั้งนี้หลินสวินไม่มัวเสียดาย ปรารถนาเพียงฟื้นฟูแผลมรรคให้หายโดยเร็วที่สุด

เมื่อถึงเวลานั้น ย่อมเป็นเวลาแห่งการโต้กลับ!

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1156 ภายใต้ค่ายกลต้องห้ามมรรคราชัน

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1156 ภายใต้ค่ายกลต้องห้ามมรรคราชัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฟู่

ลมหายใจของหลินสวินเปลี่ยนเป็นหอบถี่

ทุกครั้งที่หายใจก็เจ็บสะท้านถึงภายในเหมือนกับเป็นตะคริวอย่างไรอย่างนั้น ทำให้สีหน้าเขาซีดขาวยิ่งขึ้น

โชคดีอย่างเดียวก็คือ บาดแผลบริเวณหน้าอกฟื้นฟูดีดังเดิมแล้ว

ปึ้ก!

ใต้ชายคาบ้านหลังหนึ่งที่ห่างออกไป เงาร่างของผู้ฝึกปราณคนหนึ่งล้มลงกับพื้น สิ้นใจอย่างเงียบเชียบ

ไม่นานนักบนถนนอีกด้านหนึ่งปรากฏร่างเงาจำนวนหนึ่งกรูออกมา ทว่าพวกเขายังไม่ทันได้ลงมือต่างก็ล้มลงไปนอนกองกับพื้นทีละคน สิ้นชีพอยู่ตรงนั้น

ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ หลินสวินไม่เคยหยุดฝีเท้าเลย ถึงขั้นไม่ได้หันไปมองด้วยซ้ำ

เขารู้ว่าขอเพียงเสี่ยวอิ๋นยังอยู่ ต่อให้บุคคลขอบเขตมกุฎจู่โจมก็ไม่อาจทำอันตรายตนได้

ไม่นาน มุมถนนเปลี่ยวที่ห่างไกลก็ปรากฏบ้านหลังหนึ่ง

นั่นคือที่พักที่หลินสวินเคยซื้อไว้ก่อนหน้านี้

‘นายท่าน สถานการณ์ดูไม่ชอบมาพากลนัก!’ เสียงเตือนสื่อจิตของเสี่ยวอิ๋นดังขึ้น น้ำเสียงเคร่งขรึม

หลินสวินก็สังเกตได้อย่างฉับไวว่าในเวลานี้มีแสงเคลื่อนงดงามเป็นสายๆ พุ่งออกมา ประดุจกระแสน้ำไหลมาจากทั่วทิศ

เห็นชัดว่าพวกเขามาจากขุมอำนาจใหญ่ที่แตกต่างกัน รวมตัวเป็นกลุ่ม ดูเหิมหาญยิ่งนัก

เมื่อมองไปยังที่ห่างไกล ทั่วทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยเงาร่างผู้ฝึกปราณ หนาแน่นดุจฝูงตั๊กแตน ทำให้ผู้คนหวาดผวา

เสียงที่ได้ยินล้วนเป็นเสียงของแสงเคลื่อนทะลวงอากาศ ฟังดูน่าอกสั่นขวัญแขวน

เห็นได้ชัดว่าผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่แต่ละแห่งที่ปักหลักอยู่ในเมืองต่างรีบเร่งมาทันทีที่ได้รับข่าว หมายจะฉวยโอกาสนี้บุกสังหารหลินสวินในคราวเดียว!

‘เสี่ยวอิ๋น กลับมาเถอะ ต่อจากนี้ไม่ต้องลำบากเจ้าลงมือแล้ว’

นัยน์ตาของหลินสวินเยียบเย็น แฝงด้วยความเรียบเฉยอย่างที่สุด

‘นายท่าน…’

เสี่ยวอิ๋นตะลึงงัน

‘ทำไม เจ้ายังไม่เชื่อใจข้าอีกอย่างนั้นหรือ’

ขณะที่หลินสวินกำลังเอ่ยวาจา การกระทำกลับไม่ได้หยุดลงแม้แต่น้อย ร่างกายพริบไหวมาถึงหน้าบ้านของตน

ทว่าเวลานี้เสี่ยวอิ๋นกลับดื้อดึงนัก สีหน้าเด็ดเดี่ยวเอ่ยว่า ‘นายท่าน แม้สู้จนตัวตายข้าก็ไม่ขอถอยกลับ ขอให้ข้าต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านเถิด!’

หลินสวินอึ้งงันในใจ พลันยิ้มออกมาและไม่กล่าวมากความอีก

ครืน!

ห้วงอากาศร้อนเร่า เปลวเพลิงสีทองโหมซัด เหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองปรากฏกายแล้ว ร่อนลงบนพื้นดิน สายตาจับจ้องหลินสวินเป็นอันดับแรก จ้องมองราวกับกำลังมองดูคนตายอย่างไรอย่างนั้น

“สหายยุทธ์เผ่าอีกาทองทุกท่าน สามารถปล่อยเจ้านี่ให้เขาวิญญาณหมื่นอสูรของพวกเราจัดการได้หรือไม่!”

ขณะเดียวกันหลูชวนแห่งเขาวิญญาณหมื่นอสูรก็พาผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งมาด้วย ท่าทีเด็ดเดี่ยวน่าเกรงขาม ปิดล้อมไว้ด้านหนึ่ง

“ไม่ได้ เทพมารหลินนี่จะต้องให้พวกเราชาวสำนักยุทธ์นครนิลเป็นคนจัดการ!”

“ทุกท่าน เทพมารหลินมีความแค้นฝังแน่นกับเผ่าของข้า หากปล่อยให้พวกเราจัดการ เผ่าวิญญาณสมุทรของข้าจะซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง”

“เหอะ เจ้านี่เป็นคนสังหารผู้สืบทอดลัทธิบูชาจันทร์ของเราในหุบเขาผลาญสวรรค์ ขอเตือนทุกท่านอย่าได้ยื่นมือเข้ามาสอด เทพมารหลินคนนี้พวกเราจะเป็นคนจัดการเอง!”

เสียงตะโกนร้องดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน

สิ้นเสียง เหล่าผู้แข็งแกร่งจากแต่ละขุมอำนาจต่างทยอยปรากฏกายออกมายังพื้นที่นี้ พร้อมล้อมปิดตายบ้านพักของหลินสวิน

ท่าทีของพวกเขาดูฮึกเหิม เผยไอสังหารออกมาให้เห็นอย่างหมดสิ้น ทำให้กลางอากาศแห่งนี้คละคลุ้งไปด้วยไอสังหารที่สะกดผู้คนเอาไว้

นัยน์ตาของหลินสวินเยียบเย็น จ้องมองนิ่งๆ กำลังจดจำชื่อของสำนักต่างๆ ที่ปรากฏตัวขึ้นไว้ในใจ

ห่างออกไปไกลยังมีผู้ฝึกปราณมากมายยืนชมอยู่

เมื่อมองเห็นภาพเช่นนี้ ก็อดหนาวสะท้านไปทั้งร่างไม่ได้ สถานการณ์ของเทพมารหลินในขณะนี้กล่าวได้ว่าถูกศัตรูรายล้อม รับการโจมตีจากทั่วทิศ!

เขาที่กำลังบาดเจ็บเจียนตายเรียกได้ว่าภยันตรายมีมากกว่าโชคเป็นแน่!

ทว่าสิ่งที่ทำให้คนใจสั่นที่สุดก็คือท่าทีของขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ที่กำลังโต้เถียงกันอย่างไม่ลดราวาศอก เห็นได้ชัดว่าหลินสวินกลายเป็นเหยื่ออันโอชะในสายตาของพวกเขา ที่ตอนนี้ยังไม่ได้ลงมือ ก็เพราะกำลังแย่งชิงสิทธิ์ครอบครองกันอยู่!

นี่ทำให้หลินสวินดูน่าเศร้าเป็นอย่างมาก

เขาก่อนหน้านี้เหิมหาญขนาดไหน พลานุภาพสะเทือนใต้หล้า กวาดสายตาไปทั่วทิศในแดนเผาเซียน แทบไม่มีผู้ใดอาจหาญต่อกรกับเขา

ทว่าเวลาเคลื่อนคล้อยไปกว่าครึ่งปี ผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งกลายเป็นราชัน กระโดดพ้นห้าระดับใหญ่ เหยียบย่างในยอดเขาที่สูงยิ่งกว่าแล้ว

ส่วนเทพมารหลิน ต่อให้จะเย้ยฟ้าอีกแค่ไหน กระนั้นจะสามารถเป็นคู่ประมือกับผู้แข็งแกร่งระดับราชันได้อย่างไร

ดังคาด เมื่อเขาปรากฏตัวก็ถูกผู้แข็งแกร่งระดับราชันจู่โจมทันทีจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ต่อให้รอดก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส

มาบัดนี้ยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์อับจนเช่นนี้ ถูกคนดูแคลนว่าเป็นเหยื่อ นี่ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าหรือ

ขณะนี้ไม่รู้มีผู้ที่กำลังชมการต่อสู้มากน้อยเท่าไรทอดถอนใจ พยัคฆ์ลำบากในที่ราบถูกสุนัขรังแก นี่เป็นคำอธิบายเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้าได้เป็นอย่างดี

“หยุดพูดจาเหลวไหล เทพมารหลินผู้นี้พวกเราจะสังหารเอง!”

ภายในลาน ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองสีหน้าอึมครึม ไม่ยอมคุมเชิงกับขุมอำนาจอื่น ชิงลงมือโดยตรง

โครม!

เปลวเพลิงสีทองเต็มฟ้าโฉบออกมา เจิดจ้าพร่าตาแผดเผาห้วงอากาศ นี่คือชายชุดทองคนหนึ่ง ทรงพลานุภาพและเผด็จการยิ่ง

“บังอาจ!”

“ถอยไป!”

ขุมอำนาจอื่นๆ ย่อมไม่พอใจ และแทบจะลงมือโจมตีใส่หลินสวินพร้อมกัน

ชั่วขณะเดียวบริเวณนี้ล้วนถูกแสงสมบัติพร่างพรายและวิชามากมายปกคลุม เสมือนใต้หล้าจมสู่ความเศร้าสลด เมฆลมเปลี่ยนสี

น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง!

ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ไกลออกไปต่างตกใจจนลมหายใจสะดุด ตกตะลึงอย่างยิ่ง

ภายใต้การปิดล้อมเช่นนี้ เทพมารหลินจะหลบหนีได้อย่างไร

ผู้ฝึกปราณไม่น้อยที่นับถือหลินสวินก็ล้วนแต่ทำใจดูต่อไปไม่ไหว ภายในใจเกิดความทุกข์โศกและเวทนาหลินสวิน

ทว่าทันใดนั้นการเปลี่ยนแปลงผิดวิสัยก็บังเกิดขึ้น…

บ้านที่หลินสวินพำนักอยู่ปรากฏระลอกคลื่นต้องห้ามโหมกระหน่ำราวกับผืนสมุทรกว้าง กระบวนค่ายกลสลักวิญญาณไหวกะพริบ ทำให้การจู่โจมและแสงสมบัติเต็มฟ้าห่างไปสิ้น

วู้ม

ค่ายกลใหญ่ส่องประกาย ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึง

เมื่อมองไปที่ลานอีกครั้ง ก็ไร้เงาร่างของหลินสวินนานแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาหลบซ่อนอยู่ในค่ายกลใหญ่!

“สมควรตาย!”

“ที่นี่มีค่ายกลต้องห้ามเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรกัน”

ภายในลานผู้ฝึกปราณจากขุมอำนาจใหญ่ล้วนแต่ตกตะลึง ให้หลังสีหน้าพลันบึ้งตึง โกรธจนหน้าเขียว

นี่เป็นสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง

ทางด้านผู้ฝึกปราณที่ชมการต่อสู้อยู่ไกลออกไปต่างก็ตกตะลึงเสียจนอ้าปากค้างไปตามๆ กัน

“เห็นได้ชัดว่าเทพมารหลินเตรียมค่ายกลต้องห้ามนี้ไว้แต่แรก ตอนแรกที่เขาทำเช่นนี้ เกรงว่าก็เพื่อป้องกันเรื่องที่จะเกิดขึ้นในวันนี้!”

มีคนตื่นตะลึง ชื่นชมการเตรียมพร้อมล่วงหน้าของหลินสวิน

ตูม!

มีบางคนไม่จำยอม เรียกสมบัติออกมาชิ้นหนึ่งแล้วโจมตีใส่บ้านหลังนั้น

ทว่าสมบัติชิ้นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการโยนหินลงในมหาสมุทร เพียงระลอกคลื่นซัดสาดเข้ามาก็อันตรธานลับไป

ไม่เพียงไม่อาจทลายค่ายกลลงได้ มิหนำซ้ำยังเสียสมบัติไปอีก!

นี่ทำให้คนที่ลงมือผู้นั้นโมโหจนแทบจะกระอักเลือด

“ให้ข้าจัดการเอง!”

ผู้แข็งแกร่งจากเผ่าอีกาทองคนหนึ่งตะคอกงขึ้นมา ตีปีกสีทองอร่ามซัดเปลวไฟเป็นระลอกเข้าไปราวกระแสน้ำ ไหลพุ่งไปยังบ้านพักหลังนั้น

ทว่ากลับไม่เป็นผลเช่นเดิม!

กลับกันยิ่งเป็นเหตุให้เผาผลาญพลังมากเกินไป จนทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนนั้นต้องหอบแฮ่กไม่หยุด

ผู้แข็งแกร่งจากขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลายในที่นั้นต่างมีสีหน้าไม่น่าดู

เทพมารหลินในสมัยก่อนก็สามารถทำให้ใครต่อใครหวาดกลัวแล้ว ทว่าเขาในขณะนี้ทั้งที่บาดเจ็บสาหัสเจียนตาย แต่ดันหนีเข้าไปอยู่ในค่ายกลต้องห้ามเสียนี่!

แล้วจะสู้อย่างไรดี

“ให้ข้าลองเอง!”

ผู้แข็งแกร่งจากเขาวิญญาณหมื่นอสูรคนหนึ่งเคลื่อนไหว นัยน์ตาคู่นั้นของเขาพลันเปลี่ยนเป็นสีเงินอ่อนแปลกประหลาด ปลดปล่อยลำแสงสีเงินสองสายทะลวงเข้าค่ายกลต้องห้าม

ครู่หนึ่งหลังจากนั้นผู้แข็งแกร่งคนนี้กลับมีสีหน้าอึมครึม กัดฟันกรอดกล่าวว่า “นี่คือกระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชันของเผ่าหงส์เขียว พลานุภาพมากพอจะขังสังหารราชันได้ ไม่ใช่ของที่ถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย!”

หลังสิ้นเสียงผู้คนในลานล้วนแต่มีสีหน้าคร่ำเคร่ง อารมณ์ความรู้สึกผิดแปลก กระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชัน! ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าหลินสวินยังมีวิชาเช่นนี้

“น่าชังนัก!”

มีคนโกรธจนอดตะโกนออกไปไม่ได้

โอกาสทองครั้งเดียวในการบุกสังหารหลินสวิน แต่ช้าไปเพียงก้าวเดียวสถานการณ์กลับพลิกผันไปเช่นนี้ ใครเล่าจะไม่อัดอั้น

“ไม่ใช่ว่าพลังที่อยู่ในเมืองสามารถยับยั้งพลังระดับราชันได้หรือ”

มีคนเอ่ยถามขึ้นมา

“นี่คือกระบวนผนึกมรรคราชัน เป็นค่ายกล! มันคนละเรื่องกับการครอบครองพลังระดับราชัน เข้าใจหรือไม่!”

มีคนแย้งกลับไป

“หยุดโต้เถียงได้แล้ว จะไปสนใจค่ายกลพรรค์นั้นทำไมกัน ขอแค่โจมตีไปเรื่อยๆ ก็จะสามารถเผาผลาญพลังของมันให้หมดสิ้นลงได้! ถึงตอนนั้นก็คือเวลาทลายค่ายกล!”

ผู้แข็งแกร่งแห่งเผ่าอีกาทองตะโกนขึ้นมา ทำให้ผู้อื่นในลานต่างเงียบเสียงลง

นี่อาจเป็นวิธีที่สุดแสนโง่เขลา ทว่ากลับเป็นทางเดียวที่มีอยู่ในขณะนี้แล้ว

“นอกจากนี้ ไปเชิญนักสลักวิญญาณส่วนหนึ่งมาเร่งศึกษาความลี้ลับของค่ายกลนี้ซะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะทลายมันไม่ได้!”

เพียงชั่วครู่ขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลายต่างเริ่มเคลื่อนไหว

ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจกล้าถ่วงเวลา ด้วยเหตุที่ยิ่งล่าช้าไปนานเท่าใด ยิ่งเป็นการให้เวลาเทพมารหลินฟื้นฟูพลังมากยิ่งขึ้น

หากให้เขาฟื้นฟูพลังจนถึงระดับสูงสุดแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาแค่คิดก็พาให้คนหนาวสะท้านแล้ว!

ควรรู้ว่าผู้แข็งแกร่งระดับราชันไม่อาจเข้ามาในเมืองได้ นี่ย่อมหมายความว่าที่พึ่งซึ่งทรงอานุภาพที่สุดของแต่ละขุมอำนาจถูกสยบสิ้น

เทพมารหลินที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์สูงสุด ใครเล่าจะอาจหาญเข้าขัดขวาง

“เร็วเข้า โจมตีไปเต็มกำลัง!”

ชั่วครู่หนึ่งที่แห่งนั้นบังเกิดเสียงโครมครามไม่หยุดหย่อน ผู้ฝึกปราณหลายคนพากันสำแดงพลังอย่างสุดความสามารถ โจมตีใส่กระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชันเพื่อให้พลังของค่ายกลสลายไป

เมื่อมีผู้ฝึกปราณที่เค้นพลังจนหมดสิ้นจนเกือบจะยืนหยันไว้ไม่อยู่ ก็จะมีคนอื่นเข้ามาแทนที่ ดำเนินล้อมโจมตีอย่างต่อเนื่อง

โครมครืน!

ฟ้าดินแถบนี้บังเกิดเสียงดังครั่นครืน แสงประกายเรืองรองราวกับระดมจุดพลุก็ไม่ปาน พวยพุ่งและปะทุออกมาดารดาษจนสว่างพร่างพรายอย่างต่อเนื่อง

พร้อมกันนี้ก็มีนักสลักวิญญาณกลุ่มหนึ่งถูกเชิญมา ใช้สารพัดวิธีอนุมานและทลายความลี้ลับของกระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชัน

ที่แห่งนี้คึกคักยิ่ง

พลังของขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลายยังมารวมตัวกันที่นี่อย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าหมายมั่นปั้นมือจะสังหารให้จงได้ จึงทุ่มเททุกอย่างในการกำจัดหลินสวิน

และทั่วทั้งเมืองโบราณเผาเซียนแห่งนี้จึงตกสู่ความโกลาหลและเดือดปะทุเพราะเหตุนี้ ผู้ฝึกปราณจำนวนไม่น้อยที่ได้ยินข่าวต่างเดินทางมาชมการต่อสู้ที่นี่

ชั่วขณะหนึ่งบ้านพักที่หลินสวินอาศัยอยู่ดูเหมือนจะกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน และทุกขุมอำนาจต่างให้ความสำคัญทั้งสิ้น!

หลินสวินจะสามารถหนีพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้หรือไม่

และเหล่าขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลาย จะสามารถทลายกระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชันได้หรือไม่

นี่คือสิ่งที่ทุกคนล้วนให้ความสนใจที่สุด!

เพียงแต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับหลินสวินแล้ว หลังจากก้าวเข้าที่พัก เขาก็เริ่มกระตุ้นกระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชันให้โคจรเต็มกำลัง

เขานำแกนวิญญาณทั้งหมดของตนออกมาเป็นแหล่งพลังของกระบวนค่ายกลนี้ พร้อมกับมอบหมายให้เสี่ยวอิ๋นทำหน้าที่เฝ้ายาม คอยจับตาดูสถานการณ์

ส่วนตัวเขาเริ่มนั่งสมาธิฟื้นฟูบาดแผล ไม่เคยล่าช้าหรือปล่อยเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์แม้แต่น้อย

ข้างกายเขาจัดวางไผ่อสนีหมื่นเคราะห์ของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ น้ำค้างหยกลมทองของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ น้ำยาควบรวมจิตของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ลูกกลอนเจ็ดช่องดาราของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ น้ำแร่อมฤตของแดนพิสุทธิ์อมตะ แร่กระดูกหยกหลากสีของสำนักยุทธ์สมุทรคราม…

แม้แต่โอสถราชันเป็นมัดๆ ก็ยังมี

ครั้งนี้หลินสวินไม่มัวเสียดาย ปรารถนาเพียงฟื้นฟูแผลมรรคให้หายโดยเร็วที่สุด

เมื่อถึงเวลานั้น ย่อมเป็นเวลาแห่งการโต้กลับ!

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+