Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1174 กษิติครรภ์สังหาร

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1174 กษิติครรภ์สังหาร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หอมกุฎอ้างว้างยิ่งกว่าเดิม

บันไดสวรรค์มหามรรคเปลี่ยนเป็นช่องทางมุ่งสู่แดนเก้าบน ผู้ฝึกปราณที่ไม่มีสิทธิ์แน่นอนว่าไม่อาจเข้าไปในหอมกุฎได้

ทั้งระยะเวลาที่แดนเก้าบนเปิดออกยังผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว ผู้แข็งแกร่งที่มีสิทธิ์เข้าสู่แดนเก้าบนล้วนจากไปเกือบหมดแล้ว

ในแดนเผาเซียนก็เช่นกัน

การต่อสู้มหามรรคต้องแข่งกับเวลา แน่นอนว่าเวลามีค่าหาใดเปรียบ

ด้วยเหตุนี้จึงมีน้อยคนนักที่เหมือนหลินสวิน เห็นชัดว่าดันตนขึ้นสู่อันดับหนึ่งบันไดสวรรค์มหามรรคนานแล้ว แต่จนป่านนี้กลับยังไม่เข้าไปในแดนเก้าบน

นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณในเมืองต่างรู้สึกแปลก เทพมารหลิน… กำลังรออะไรกันแน่

แต่สำหรับขุมอำนาจใหญ่ในเมืองพวกนั้นกลับรู้สึกห่อเหี่ยว เทพมารหลินไม่ไปหนึ่งวัน พวกเขาก็ไม่อาจวางใจได้หนึ่งวัน

เรื่องพวกนี้ไม่อาจทำให้หลินสวินสนใจได้

ไม่มีคนรู้ว่าเขาแค่รอโอกาสจุดเปลี่ยนหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่สามพันแดนหรือแดนเก้าบน สำหรับเขาแล้วล้วนไม่ต่างกันมากนัก

เพียงแต่เขาไม่มีทางทิ้งโอกาสเข้าสู่แดนเก้าบนเป็นแน่!

แดนเก้าบนมีศุภโชคพลิกฟ้าที่ถูกผนึกมาเป็นเวลาเนิ่นนาน และมีวาสนาใหญ่ที่คาดไม่ถึง ต่อให้เป็นระดับมกุฎราชันก็มีแรงดึงดูดอย่างไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่า

ทั้งแดนเก้าบนยังมีศัตรูมากมายรอเขาอยู่ หากไม่มุ่งหน้าไป ไม่เพียงแต่ไม่อาจสังหารศัตรู ยังจะถูกคนมองว่าขลาดกลัวได้!

‘ถึงตอนนี้อาหลู่ยังไม่กลับมา ดูท่าคงไปที่แดนเก้าบนแล้ว…’

‘เจ้าคางคกล่ะ เขาจะออกมาจากหุบเขาผลาญสวรรค์เมื่อไหร่’

หลินสวินนั่งสมาธิใคร่ครวญในตำหนัก

สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจ ก่อนที่ช่องทางแดนเก้าบนจะปิด ถ้าเจ้าคางคกยังไม่ปรากฏตัวเขาจะออกเดินทางคนเดียว

ไม่ช้าหลินสวินก็ถอนใจแผ่วเบา เขารอมาหลายวันแล้ว แต่จุดเปลี่ยนในการเลื่อนระดับนั้นยังไม่มาสักที

‘หรือต้องมุ่งหน้าไปยังแดนเก้าบนจุดเปลี่ยนนี้จึงจะมาถึง’

หลินสวินมุ่นคิ้วเล็กน้อย

การรอคอยบ่งชี้ว่าเป็นฝ่ายถูกกระทำ

เขาไม่ชอบความรู้สึกของการเป็นฝ่ายถูกกระทำเช่นนี้ที่สุด

โดยเฉพาะการรอคอยนี้ยังเกี่ยวข้องกับการบรรลุเป็นขอบเขตมกุฎระดับราชันของเขาด้วย!

เวลาล่วงเลย เหลือแค่สามวันก่อนช่องทางแดนเก้าบนจะปิด

หลินสวินไม่อาจทนกับการเป็นฝ่ายเฝ้ารอเช่นนี้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนอกตำหนัก เดินเล่นไปบนท้องถนนอย่างไร้จุดหมาย

เมืองโบราณเผาเซียนยังเจริญรุ่งเรืองและคึกคักเหมือนก่อน

เพียงแต่ความรื่นเริงพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับหลินสวิน เขาสันโดษตัวคนเดียว เดินไปตามท้องถนน ในใจคิดใคร่ครวญว่าจะออกจากเมืองไปลองดูที่หุบเขาผลาญสวรรค์ดีหรือไม่

หืม?

หลินสวินพลันชะงักเท้า หันขวับกลับไปทันที

ปักษาทมิฬรูปร่างคล้ายหงส์ดำตัวหนึ่งที่กรงเล็บหิ้วกระทะเหล็กท่าทางลับๆ ล่อๆ คิดลอบโจมตีเขาจากด้านหลัง

เห็นดังนี้ปักษาทมิฬรีบเก็บกระทะดำลงไปทันที ไม่เก้กังไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย จิตใจสงบนิ่งกล่าว “อ้าวน้องชาย พวกเราเจอกันอีกแล้ว”

หลินสวินยิ้มเย็น “ใช่แล้ว ทุกครั้งที่เจอกันมักพิเศษเช่นนี้เสมอ”

ปักษาทมิฬหัวเราะพลางกล่าว “เฮ้อ นิสัยเสียบางอย่างคงแก้ไม่หายในช่วงสั้นๆ ขอแค่น้องชายไม่เห็นว่าแปลกก็พอ”

เขาพูดพลางพุ่งหนีขึ้นไปบนฟ้า กระพือปีกรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ โฉบไปยังหอมกุฎที่ห่างออกไป

“ต้าเฮย เหตุใดเจ้าก็รอจนป่านนี้ค่อยจากไปเล่า” หลินสวินตะโกนถาม

ปักษาทมิฬตัวนี้แปลกเกินไปแล้ว ทุกครั้งที่เจอกันชอบทำตัวเหมือนหัวขโมย ไม่ทันไรก็ผลุบหาย ช่างผิดปกตินัก

“เจ้าน่ะเป็นห่วงตัวเองเถอะ มหันตภัยมาเยือนแล้วยังไม่รู้ตัว!”

เสียงปักษาทมิฬเจือกลิ่นอายมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเสี้ยวหนึ่ง

นัยน์ตาดำหลินสวินหดเกร็ง ขณะกำลังจะถามต่อ ปักษาทมิฬที่มักเผยกลิ่นอายสับปลับตัวนี้ก็พุ่งหายเข้าไปในหอมกุฎแล้ว

เห็นได้ชัดว่ามันไปที่แดนเก้าบนแล้ว

มหันตภัยมาเยือน?

หลินสวินมุ่นคิ้ว ฉับพลันเขาก็ค้นพบความผิดปกติ

บนท้องถนนใกล้เคียงไม่รู้ว่าว่างเปล่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่มีเงาร่างใครสักคน เปลี่ยวเหงาอ้างว้างไปทั้งแถบ

จิตรับรู้เขาแผ่ขยายออก ทว่าแค่เพียงแผ่ไปในรัศมีพันจั้งก็ถูกตัดขาด!

ค่ายกลรึ

นัยน์ตาดำหลินสวินเย็นชา เงาร่างสันโดษเปล่งแสงมรรคเจิดจรัส อานุภาพไร้รูปสายหนึ่งแผ่กระจายออกมา

“สหายยุทธ์หลิน พวกเรารอเจ้ามานานมากแล้ว”

ในห้วงอากาศที่ห่างออกไป ภิกษุชุดดำรูปหนึ่งปรากฏตัวออกมา

ผิวเขาขาวกระจ่าง มือถือลูกประคำดำสิบแปดเม็ด หน้าตานิ่งสงบ หน้าผากอิ่ม ร่างสูงตระหง่านดุจสนขจี ทว่าสีหน้ากลับมีความรู้สึกเฉยชาวังเวงที่ทำให้ผู้คนใจสั่น

มู่เจิ้ง!

หนึ่งในสิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์!

มองปราดเดียวหลินสวินก็จำฐานะของฝ่ายตรงข้ามได้

เขาเคยปะทะกับมู่เจิ้งในซากอารามเก่าแก่ใต้แม่น้ำพรมแดนมาก่อน และได้ยินความเป็นมาของสิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์จากแม่นางเยวี่ยที่มาจากลัทธิไร้สวรรค์แดนเร้นอริยะ

“รอข้ารึ”

หลินสวินยิ้มแล้ว นี่คงเป็น ‘มหันตภัยมาเยือน’ ที่ปักษาทมิฬนั่นกล่าวถึง

เขากล่าวต่อ “ได้ยินมานานแล้วว่าพวกเจ้าอารามกษิติครรภ์เห็นข้าเป็นพวกนอกรีตอันดับหนึ่ง หมายจะโปรดสัตว์ให้ข้า เช่นนั้นเจ้าปรากฏตัวที่นี่ก็ด้วยคิดทำเช่นนี้รึ”

มู่เจิ้งพนมมือ เอ่ยพุทธวจนะ “สหายยุทธ์หลินสายตาเฉียบแหลม”

หลินสวินยิ้มเยาะ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้คนอื่นออกมาเถอะ”

นัยน์ตามู่เจิ้งฉายแววประหลาดเสี้ยวหนึ่ง คล้ายคาดไม่ถึงว่าหลินสวินจะสังเกตเห็น จากนั้นเขาก็พยักหน้ากล่าว “สหายยุทธ์หลินมีอานุภาพแห่งเทพมาร พลังต่อสู้เหนือพิภพ อาศัยข้าคนเดียวคงเอาชนะสหายยุทธ์หลินไม่ได้จริงๆ”

เขาพูดพลางกล่าวเสียงขรึม “ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่าน เชิญออกมาพบกันหน่อย”

น้ำเสียงเพิ่งแผ่วลง ทิศทางต่างๆ รอบตัวหลินสวินก็ปรากฏเงาร่างมากมายอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง

ล้วนสวมจีวรดำ มือถือลูกประคำ เคร่งขรึมมีสง่า รวมทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน แม้ยืนอยู่เงียบๆ แต่กลับมีลักษณะพลังน่าเกรงขามราวห้วงสมุทร

สิบแปดคน เหมือนอรหันต์ทั้งสิบแปดที่ครองผลยืนตระหง่านอยู่บนภูเขาศพทะเลเลือดพอดี!

นี่ก็คือสิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์ แบ่งเป็นหกรับรู้ หกราก หกธุลีสามฝ่าย เป็นตัวแทนบุคคลขอบเขตมกุฎทั้งสิบแปดที่หลอมร่างทองอรหันต์สำเร็จ แต่ละคนล้วนครอบครองมรดกวิชาสยบหล้าอย่างหนึ่ง

สีหน้าหลินสวินนิ่งสงบดังเดิม เพียงแต่ในดวงตากลับฉายแววเยียบเย็น กล่าวว่า “พวกเจ้าอารามกษิติครรภ์ช่างให้ความสำคัญกับข้าซะจริง แม้แต่สิบแปดศิษย์ยังออกเคลื่อนไหวพร้อมกัน เพียงแต่พวกเจ้าไม่ห่วงว่าวันนี้จะหลั่งเลือดกันที่นี่หมดรึ”

สีหน้ามู่เจิ้งเฉยชาและเย็นเยียบ กล่าวไม่สะทกสะท้าน “พุทธองค์ตรัสว่า ข้าไม่ลงนรกผู้ใดเล่าจะตกนรก วันนี้ในเมื่อพวกข้าปรากฏตัวแล้วย่อมไม่สนความเป็นตาย”

ภิกษุชุดดำคนอื่นอีกสิบเจ็ดคนต่างสีหน้าเฉยชา

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเตรียมการมาก่อน!

บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบ

ท้องถนนที่ว่างเปล่า บรรยากาศที่เงียบสงัด หลินสวินตัวคนเดียวถูกผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์สิบแปดคนปิดล้อม ภาพนี้ช่างบีบใจคนนัก

“เหตุใดพวกเจ้าถึงเลือกลงมือตอนนี้” หลินสวินมุ่นคิ้ว ไม่เข้าใจอยู่บ้าง

“หากให้สหายยุทธ์เข้าไปในแดนเก้าบน เกรงว่าพวกข้าคงยากมีโอกาสโปรดสัตว์สหายยุทธ์แล้ว” มู่เจิ้งเปิดเผยนัก

แต่ท่าทีเปิดเผยเช่นนี้กลับทำให้ผู้คนหนาวเยือกในใจ

หลินสวินหรี่ตากล่าว “คิดดูแล้วข้าหาได้มีความแค้นใหญ่หลวงกับอารามกษิติครรภ์ เหตุใดทุกท่านยังต้องเพ่งเล็งข้าเช่นนี้เล่า”

อันที่จริงเขารู้คำตอบจากปากปักษาทมิฬอยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้ก็แค่อยากยืนยันสักหน่อยเท่านั้น

มู่เจิ้งกล่าวราบเรียบ “สหายยุทธ์ยังไม่เข้าใจหรือ เจ้าแย่งชิงคัมภีร์มรรคและไม้โพธิ์ท่อนหนึ่งที่บรรพจารย์ตู้จี้แห่งอารามกษิติครรภ์เราเหลือทิ้งไว้ไป เพื่อปกป้องมรดกสำนักไม่ให้รั่วไหล พวกข้าจึงได้แต่ต้องใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้”

หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง สีหน้าเจือความสบประมาท กล่าวว่า “มู่เจิ้ง เจ้ารู้เรื่องตอนนั้นดีที่สุด คัมภีร์มรรคและไม้โพธิ์นี้ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าอาศัยวาสนาได้มา เหตุใดถึงพูดว่าแย่งชิง”

“หากเป็นเช่นนั้น ศุภโชคและวาสนาในแดนมกุฎนี้ก็ล้วนไม่ใช่ของพวกเจ้าอารามกษิติครรภ์ แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงมาแย่งชิงเล่า”

กล่าวถึงตรงนี้หลินสวินก็ยิ้มเงียบๆ นัยน์ตาดำกวาดมองศิษย์ทั้งสิบแปดในที่นั้น ริมฝีปากขยับพูดไม่กี่คำอย่างแผ่วเบา “ยังมียางอายอยู่ไหม”

เสียงดั่งฟ้าร้องกัมปนาท!

สีหน้ามู่เจิ้งเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็กลับมาเฉยชาดังเดิมในฉับพลัน “สหายยุทธ์ เล่นลิ้นตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร”

ไม่ช้าเขาก็เปลี่ยนประเด็น “แน่นอนว่าพวกข้าไม่อยากให้สหายยุทธ์ลำบากใจเกินไป ขอแค่เจ้าส่งมอบคัมภีร์มรรคและไม้โพธิ์ออกมา ทั้งทำลายปราณตัวเอง พวกข้าจะเมตตาปล่อยให้สหายยุทธ์รอดชีวิต”

หลินสวินนิ่งงันไปก่อน จากนั้นค่อยหลุดขำออกมา กล่าวว่า “สมเป็นพวกลาชั่วหัวโล้น ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะยังกล่าววาจาไร้ยางอายเช่นนี้ได้”

“อาตมาจริงจัง ขอสหายยุทธ์ใคร่ครวญให้ดี” มู่เจิ้งกล่าวเฉยชา สีหน้าราบเรียบ ท่าทางมาดมั่น

“ขอสหายยุทธ์ใคร่ครวญให้ดี!”

ภิกษุชุดดำอีกสิบเจ็ดคนกล่าวพร้อมกันเสียงกึกก้อง แต่ละคนเคร่งขรึมมีสง่า

นัยน์ตาหลินสวินไอสังหารเยียบเย็นโหมกระหน่ำ ถูกยั่วโมโหโดยสมบูรณ์

ลาหัวโล้นพวกนี้แต่ละคนทรงเกียรติผ่าเผย ปากบอกว่าเมตตากรุณา ความจริงกลับเสแสร้งเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้คนอยากสำรอก สู้ไม่ได้แม้แต่พวกอันธพาลต่ำช้า!

“ข้าผู้แซ่หลินไร้สามารถ ฝึกวิชาลับทางพุทธมาบางส่วน วันนี้อยากลองดูว่าใครจะโปรดสัตว์ใครกันแน่!”

หลินสวินสูดหายใจลึกกล่าวเสียงขรึม พลังทั่วร่างพลันแผ่กลิ่นฌาณทรงภูมิประการหนึ่ง

นี่คือพลังของ ‘คัมภีร์มหาครรภ์จุติ’ !

นัยน์ตาพวกมู่เจิ้งหดรัดลงเล็กน้อย ในที่สุดก็ไม่อาจนิ่งสงบได้ สังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่ากลิ่นอายที่ไหลเคลื่อนบนตัวหลินสวินคล้ายคลึงกับพวกเขา แต่กลับมีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่ต่างกันเสี้ยวหนึ่ง

“เป็นพวกนอกรีตดังคาด!”

พวกมู่เจิ้งนัยน์ตาวาบประกายอสนีราวหมู่ภิกษุเดือดดาล จีวรดำบนร่างเกิดเสียงสะบัด ไอสังหารชวนประหวั่นพวยพุ่ง

“ลงมือเถอะ โปรดสัตว์เด็กนี่!”

ภิกษุโครงร่างใหญ่ หน้าตาเด็ดขาดรูปหนึ่งออกรบ แสงธรรมสีดำมหึมาโหมกระหน่ำแผ่คลุมไปทั้งตัว

เขาฉายามู่จิ้ง ทันทีที่ออกสังหารก็พนมมือ เหนือศีรษะปรากฏพุทธรูปพระเวททันใด ท่าทางอาจหาญแข็งแกร่ง ก้าวขึ้นไปบนอากาศปล่อยหมัดลงมาพิฆาตหลินสวินทันที

มรดกสยบหล้าอารามกษิติครรภ์… โทสะพระเวท!

ตูม!

พุทธรูปพระเวทร่างกำยำเปล่งแสงธรรมไร้จำกัด หมัดหนึ่งกดอัดลง พลังหมัดนั้นผสานเป็นรูปดอกบัว ประหนึ่งสามารถกล่อมเกลาและโปรดสัตว์สรรพสิ่ง ทรงพลังไร้ขอบเขต

กลับเห็นหลินสวินยิ้มเยาะ สองมือประสานกัน เหนือศีรษะปรากฏพุทธรูปพระเวทเช่นกัน!

ที่ต่างกันคือพุทธรูปนี้กลับมีเพลิงหงส์สีดำมากมายลุกโชนอยู่ทั่วองค์ ในความอาจหาญมีพลังแห่งการทำลายล้างเด็ดขาด

อีกทั้งยามปล่อยหมัด พลังหมัดนั้นยังปรากฏเป็นดอกบัว ใจกลางดอกบัวมีหงส์ทมิฬกำลังอาบไล้เปลวเพลิงเริงระบำ ราวปรารถนาเคลื่อนกวาดเก้าชั้นฟ้า!

ตึง!

พุทธรูปทั้งสองปะทะกันดั่งเทพเซียนสององค์กำลังต่อกร ระเบิดแสงไร้สิ้นสุด ส่งเสียงกัมปนาทป่วนเก้าชั้นฟ้า!

ทว่าจู่โจมเพียงคราเดียว พุทธรูปพระเวทที่มู่จิ้งควบรวมออกมาก็ถูกซัดกระจาย ถูกเพลิงหงส์ทมิฬไร้สิ้นสุดเผาผลาญกลายเป็นเถ้าถ่าน!

…………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1174 กษิติครรภ์สังหาร

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1174 กษิติครรภ์สังหาร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หอมกุฎอ้างว้างยิ่งกว่าเดิม

บันไดสวรรค์มหามรรคเปลี่ยนเป็นช่องทางมุ่งสู่แดนเก้าบน ผู้ฝึกปราณที่ไม่มีสิทธิ์แน่นอนว่าไม่อาจเข้าไปในหอมกุฎได้

ทั้งระยะเวลาที่แดนเก้าบนเปิดออกยังผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว ผู้แข็งแกร่งที่มีสิทธิ์เข้าสู่แดนเก้าบนล้วนจากไปเกือบหมดแล้ว

ในแดนเผาเซียนก็เช่นกัน

การต่อสู้มหามรรคต้องแข่งกับเวลา แน่นอนว่าเวลามีค่าหาใดเปรียบ

ด้วยเหตุนี้จึงมีน้อยคนนักที่เหมือนหลินสวิน เห็นชัดว่าดันตนขึ้นสู่อันดับหนึ่งบันไดสวรรค์มหามรรคนานแล้ว แต่จนป่านนี้กลับยังไม่เข้าไปในแดนเก้าบน

นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณในเมืองต่างรู้สึกแปลก เทพมารหลิน… กำลังรออะไรกันแน่

แต่สำหรับขุมอำนาจใหญ่ในเมืองพวกนั้นกลับรู้สึกห่อเหี่ยว เทพมารหลินไม่ไปหนึ่งวัน พวกเขาก็ไม่อาจวางใจได้หนึ่งวัน

เรื่องพวกนี้ไม่อาจทำให้หลินสวินสนใจได้

ไม่มีคนรู้ว่าเขาแค่รอโอกาสจุดเปลี่ยนหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่สามพันแดนหรือแดนเก้าบน สำหรับเขาแล้วล้วนไม่ต่างกันมากนัก

เพียงแต่เขาไม่มีทางทิ้งโอกาสเข้าสู่แดนเก้าบนเป็นแน่!

แดนเก้าบนมีศุภโชคพลิกฟ้าที่ถูกผนึกมาเป็นเวลาเนิ่นนาน และมีวาสนาใหญ่ที่คาดไม่ถึง ต่อให้เป็นระดับมกุฎราชันก็มีแรงดึงดูดอย่างไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่า

ทั้งแดนเก้าบนยังมีศัตรูมากมายรอเขาอยู่ หากไม่มุ่งหน้าไป ไม่เพียงแต่ไม่อาจสังหารศัตรู ยังจะถูกคนมองว่าขลาดกลัวได้!

‘ถึงตอนนี้อาหลู่ยังไม่กลับมา ดูท่าคงไปที่แดนเก้าบนแล้ว…’

‘เจ้าคางคกล่ะ เขาจะออกมาจากหุบเขาผลาญสวรรค์เมื่อไหร่’

หลินสวินนั่งสมาธิใคร่ครวญในตำหนัก

สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจ ก่อนที่ช่องทางแดนเก้าบนจะปิด ถ้าเจ้าคางคกยังไม่ปรากฏตัวเขาจะออกเดินทางคนเดียว

ไม่ช้าหลินสวินก็ถอนใจแผ่วเบา เขารอมาหลายวันแล้ว แต่จุดเปลี่ยนในการเลื่อนระดับนั้นยังไม่มาสักที

‘หรือต้องมุ่งหน้าไปยังแดนเก้าบนจุดเปลี่ยนนี้จึงจะมาถึง’

หลินสวินมุ่นคิ้วเล็กน้อย

การรอคอยบ่งชี้ว่าเป็นฝ่ายถูกกระทำ

เขาไม่ชอบความรู้สึกของการเป็นฝ่ายถูกกระทำเช่นนี้ที่สุด

โดยเฉพาะการรอคอยนี้ยังเกี่ยวข้องกับการบรรลุเป็นขอบเขตมกุฎระดับราชันของเขาด้วย!

เวลาล่วงเลย เหลือแค่สามวันก่อนช่องทางแดนเก้าบนจะปิด

หลินสวินไม่อาจทนกับการเป็นฝ่ายเฝ้ารอเช่นนี้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนอกตำหนัก เดินเล่นไปบนท้องถนนอย่างไร้จุดหมาย

เมืองโบราณเผาเซียนยังเจริญรุ่งเรืองและคึกคักเหมือนก่อน

เพียงแต่ความรื่นเริงพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับหลินสวิน เขาสันโดษตัวคนเดียว เดินไปตามท้องถนน ในใจคิดใคร่ครวญว่าจะออกจากเมืองไปลองดูที่หุบเขาผลาญสวรรค์ดีหรือไม่

หืม?

หลินสวินพลันชะงักเท้า หันขวับกลับไปทันที

ปักษาทมิฬรูปร่างคล้ายหงส์ดำตัวหนึ่งที่กรงเล็บหิ้วกระทะเหล็กท่าทางลับๆ ล่อๆ คิดลอบโจมตีเขาจากด้านหลัง

เห็นดังนี้ปักษาทมิฬรีบเก็บกระทะดำลงไปทันที ไม่เก้กังไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย จิตใจสงบนิ่งกล่าว “อ้าวน้องชาย พวกเราเจอกันอีกแล้ว”

หลินสวินยิ้มเย็น “ใช่แล้ว ทุกครั้งที่เจอกันมักพิเศษเช่นนี้เสมอ”

ปักษาทมิฬหัวเราะพลางกล่าว “เฮ้อ นิสัยเสียบางอย่างคงแก้ไม่หายในช่วงสั้นๆ ขอแค่น้องชายไม่เห็นว่าแปลกก็พอ”

เขาพูดพลางพุ่งหนีขึ้นไปบนฟ้า กระพือปีกรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ โฉบไปยังหอมกุฎที่ห่างออกไป

“ต้าเฮย เหตุใดเจ้าก็รอจนป่านนี้ค่อยจากไปเล่า” หลินสวินตะโกนถาม

ปักษาทมิฬตัวนี้แปลกเกินไปแล้ว ทุกครั้งที่เจอกันชอบทำตัวเหมือนหัวขโมย ไม่ทันไรก็ผลุบหาย ช่างผิดปกตินัก

“เจ้าน่ะเป็นห่วงตัวเองเถอะ มหันตภัยมาเยือนแล้วยังไม่รู้ตัว!”

เสียงปักษาทมิฬเจือกลิ่นอายมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเสี้ยวหนึ่ง

นัยน์ตาดำหลินสวินหดเกร็ง ขณะกำลังจะถามต่อ ปักษาทมิฬที่มักเผยกลิ่นอายสับปลับตัวนี้ก็พุ่งหายเข้าไปในหอมกุฎแล้ว

เห็นได้ชัดว่ามันไปที่แดนเก้าบนแล้ว

มหันตภัยมาเยือน?

หลินสวินมุ่นคิ้ว ฉับพลันเขาก็ค้นพบความผิดปกติ

บนท้องถนนใกล้เคียงไม่รู้ว่าว่างเปล่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่มีเงาร่างใครสักคน เปลี่ยวเหงาอ้างว้างไปทั้งแถบ

จิตรับรู้เขาแผ่ขยายออก ทว่าแค่เพียงแผ่ไปในรัศมีพันจั้งก็ถูกตัดขาด!

ค่ายกลรึ

นัยน์ตาดำหลินสวินเย็นชา เงาร่างสันโดษเปล่งแสงมรรคเจิดจรัส อานุภาพไร้รูปสายหนึ่งแผ่กระจายออกมา

“สหายยุทธ์หลิน พวกเรารอเจ้ามานานมากแล้ว”

ในห้วงอากาศที่ห่างออกไป ภิกษุชุดดำรูปหนึ่งปรากฏตัวออกมา

ผิวเขาขาวกระจ่าง มือถือลูกประคำดำสิบแปดเม็ด หน้าตานิ่งสงบ หน้าผากอิ่ม ร่างสูงตระหง่านดุจสนขจี ทว่าสีหน้ากลับมีความรู้สึกเฉยชาวังเวงที่ทำให้ผู้คนใจสั่น

มู่เจิ้ง!

หนึ่งในสิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์!

มองปราดเดียวหลินสวินก็จำฐานะของฝ่ายตรงข้ามได้

เขาเคยปะทะกับมู่เจิ้งในซากอารามเก่าแก่ใต้แม่น้ำพรมแดนมาก่อน และได้ยินความเป็นมาของสิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์จากแม่นางเยวี่ยที่มาจากลัทธิไร้สวรรค์แดนเร้นอริยะ

“รอข้ารึ”

หลินสวินยิ้มแล้ว นี่คงเป็น ‘มหันตภัยมาเยือน’ ที่ปักษาทมิฬนั่นกล่าวถึง

เขากล่าวต่อ “ได้ยินมานานแล้วว่าพวกเจ้าอารามกษิติครรภ์เห็นข้าเป็นพวกนอกรีตอันดับหนึ่ง หมายจะโปรดสัตว์ให้ข้า เช่นนั้นเจ้าปรากฏตัวที่นี่ก็ด้วยคิดทำเช่นนี้รึ”

มู่เจิ้งพนมมือ เอ่ยพุทธวจนะ “สหายยุทธ์หลินสายตาเฉียบแหลม”

หลินสวินยิ้มเยาะ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้คนอื่นออกมาเถอะ”

นัยน์ตามู่เจิ้งฉายแววประหลาดเสี้ยวหนึ่ง คล้ายคาดไม่ถึงว่าหลินสวินจะสังเกตเห็น จากนั้นเขาก็พยักหน้ากล่าว “สหายยุทธ์หลินมีอานุภาพแห่งเทพมาร พลังต่อสู้เหนือพิภพ อาศัยข้าคนเดียวคงเอาชนะสหายยุทธ์หลินไม่ได้จริงๆ”

เขาพูดพลางกล่าวเสียงขรึม “ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่าน เชิญออกมาพบกันหน่อย”

น้ำเสียงเพิ่งแผ่วลง ทิศทางต่างๆ รอบตัวหลินสวินก็ปรากฏเงาร่างมากมายอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง

ล้วนสวมจีวรดำ มือถือลูกประคำ เคร่งขรึมมีสง่า รวมทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน แม้ยืนอยู่เงียบๆ แต่กลับมีลักษณะพลังน่าเกรงขามราวห้วงสมุทร

สิบแปดคน เหมือนอรหันต์ทั้งสิบแปดที่ครองผลยืนตระหง่านอยู่บนภูเขาศพทะเลเลือดพอดี!

นี่ก็คือสิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์ แบ่งเป็นหกรับรู้ หกราก หกธุลีสามฝ่าย เป็นตัวแทนบุคคลขอบเขตมกุฎทั้งสิบแปดที่หลอมร่างทองอรหันต์สำเร็จ แต่ละคนล้วนครอบครองมรดกวิชาสยบหล้าอย่างหนึ่ง

สีหน้าหลินสวินนิ่งสงบดังเดิม เพียงแต่ในดวงตากลับฉายแววเยียบเย็น กล่าวว่า “พวกเจ้าอารามกษิติครรภ์ช่างให้ความสำคัญกับข้าซะจริง แม้แต่สิบแปดศิษย์ยังออกเคลื่อนไหวพร้อมกัน เพียงแต่พวกเจ้าไม่ห่วงว่าวันนี้จะหลั่งเลือดกันที่นี่หมดรึ”

สีหน้ามู่เจิ้งเฉยชาและเย็นเยียบ กล่าวไม่สะทกสะท้าน “พุทธองค์ตรัสว่า ข้าไม่ลงนรกผู้ใดเล่าจะตกนรก วันนี้ในเมื่อพวกข้าปรากฏตัวแล้วย่อมไม่สนความเป็นตาย”

ภิกษุชุดดำคนอื่นอีกสิบเจ็ดคนต่างสีหน้าเฉยชา

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเตรียมการมาก่อน!

บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบ

ท้องถนนที่ว่างเปล่า บรรยากาศที่เงียบสงัด หลินสวินตัวคนเดียวถูกผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์สิบแปดคนปิดล้อม ภาพนี้ช่างบีบใจคนนัก

“เหตุใดพวกเจ้าถึงเลือกลงมือตอนนี้” หลินสวินมุ่นคิ้ว ไม่เข้าใจอยู่บ้าง

“หากให้สหายยุทธ์เข้าไปในแดนเก้าบน เกรงว่าพวกข้าคงยากมีโอกาสโปรดสัตว์สหายยุทธ์แล้ว” มู่เจิ้งเปิดเผยนัก

แต่ท่าทีเปิดเผยเช่นนี้กลับทำให้ผู้คนหนาวเยือกในใจ

หลินสวินหรี่ตากล่าว “คิดดูแล้วข้าหาได้มีความแค้นใหญ่หลวงกับอารามกษิติครรภ์ เหตุใดทุกท่านยังต้องเพ่งเล็งข้าเช่นนี้เล่า”

อันที่จริงเขารู้คำตอบจากปากปักษาทมิฬอยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้ก็แค่อยากยืนยันสักหน่อยเท่านั้น

มู่เจิ้งกล่าวราบเรียบ “สหายยุทธ์ยังไม่เข้าใจหรือ เจ้าแย่งชิงคัมภีร์มรรคและไม้โพธิ์ท่อนหนึ่งที่บรรพจารย์ตู้จี้แห่งอารามกษิติครรภ์เราเหลือทิ้งไว้ไป เพื่อปกป้องมรดกสำนักไม่ให้รั่วไหล พวกข้าจึงได้แต่ต้องใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้”

หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง สีหน้าเจือความสบประมาท กล่าวว่า “มู่เจิ้ง เจ้ารู้เรื่องตอนนั้นดีที่สุด คัมภีร์มรรคและไม้โพธิ์นี้ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าอาศัยวาสนาได้มา เหตุใดถึงพูดว่าแย่งชิง”

“หากเป็นเช่นนั้น ศุภโชคและวาสนาในแดนมกุฎนี้ก็ล้วนไม่ใช่ของพวกเจ้าอารามกษิติครรภ์ แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงมาแย่งชิงเล่า”

กล่าวถึงตรงนี้หลินสวินก็ยิ้มเงียบๆ นัยน์ตาดำกวาดมองศิษย์ทั้งสิบแปดในที่นั้น ริมฝีปากขยับพูดไม่กี่คำอย่างแผ่วเบา “ยังมียางอายอยู่ไหม”

เสียงดั่งฟ้าร้องกัมปนาท!

สีหน้ามู่เจิ้งเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็กลับมาเฉยชาดังเดิมในฉับพลัน “สหายยุทธ์ เล่นลิ้นตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร”

ไม่ช้าเขาก็เปลี่ยนประเด็น “แน่นอนว่าพวกข้าไม่อยากให้สหายยุทธ์ลำบากใจเกินไป ขอแค่เจ้าส่งมอบคัมภีร์มรรคและไม้โพธิ์ออกมา ทั้งทำลายปราณตัวเอง พวกข้าจะเมตตาปล่อยให้สหายยุทธ์รอดชีวิต”

หลินสวินนิ่งงันไปก่อน จากนั้นค่อยหลุดขำออกมา กล่าวว่า “สมเป็นพวกลาชั่วหัวโล้น ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะยังกล่าววาจาไร้ยางอายเช่นนี้ได้”

“อาตมาจริงจัง ขอสหายยุทธ์ใคร่ครวญให้ดี” มู่เจิ้งกล่าวเฉยชา สีหน้าราบเรียบ ท่าทางมาดมั่น

“ขอสหายยุทธ์ใคร่ครวญให้ดี!”

ภิกษุชุดดำอีกสิบเจ็ดคนกล่าวพร้อมกันเสียงกึกก้อง แต่ละคนเคร่งขรึมมีสง่า

นัยน์ตาหลินสวินไอสังหารเยียบเย็นโหมกระหน่ำ ถูกยั่วโมโหโดยสมบูรณ์

ลาหัวโล้นพวกนี้แต่ละคนทรงเกียรติผ่าเผย ปากบอกว่าเมตตากรุณา ความจริงกลับเสแสร้งเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้คนอยากสำรอก สู้ไม่ได้แม้แต่พวกอันธพาลต่ำช้า!

“ข้าผู้แซ่หลินไร้สามารถ ฝึกวิชาลับทางพุทธมาบางส่วน วันนี้อยากลองดูว่าใครจะโปรดสัตว์ใครกันแน่!”

หลินสวินสูดหายใจลึกกล่าวเสียงขรึม พลังทั่วร่างพลันแผ่กลิ่นฌาณทรงภูมิประการหนึ่ง

นี่คือพลังของ ‘คัมภีร์มหาครรภ์จุติ’ !

นัยน์ตาพวกมู่เจิ้งหดรัดลงเล็กน้อย ในที่สุดก็ไม่อาจนิ่งสงบได้ สังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่ากลิ่นอายที่ไหลเคลื่อนบนตัวหลินสวินคล้ายคลึงกับพวกเขา แต่กลับมีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่ต่างกันเสี้ยวหนึ่ง

“เป็นพวกนอกรีตดังคาด!”

พวกมู่เจิ้งนัยน์ตาวาบประกายอสนีราวหมู่ภิกษุเดือดดาล จีวรดำบนร่างเกิดเสียงสะบัด ไอสังหารชวนประหวั่นพวยพุ่ง

“ลงมือเถอะ โปรดสัตว์เด็กนี่!”

ภิกษุโครงร่างใหญ่ หน้าตาเด็ดขาดรูปหนึ่งออกรบ แสงธรรมสีดำมหึมาโหมกระหน่ำแผ่คลุมไปทั้งตัว

เขาฉายามู่จิ้ง ทันทีที่ออกสังหารก็พนมมือ เหนือศีรษะปรากฏพุทธรูปพระเวททันใด ท่าทางอาจหาญแข็งแกร่ง ก้าวขึ้นไปบนอากาศปล่อยหมัดลงมาพิฆาตหลินสวินทันที

มรดกสยบหล้าอารามกษิติครรภ์… โทสะพระเวท!

ตูม!

พุทธรูปพระเวทร่างกำยำเปล่งแสงธรรมไร้จำกัด หมัดหนึ่งกดอัดลง พลังหมัดนั้นผสานเป็นรูปดอกบัว ประหนึ่งสามารถกล่อมเกลาและโปรดสัตว์สรรพสิ่ง ทรงพลังไร้ขอบเขต

กลับเห็นหลินสวินยิ้มเยาะ สองมือประสานกัน เหนือศีรษะปรากฏพุทธรูปพระเวทเช่นกัน!

ที่ต่างกันคือพุทธรูปนี้กลับมีเพลิงหงส์สีดำมากมายลุกโชนอยู่ทั่วองค์ ในความอาจหาญมีพลังแห่งการทำลายล้างเด็ดขาด

อีกทั้งยามปล่อยหมัด พลังหมัดนั้นยังปรากฏเป็นดอกบัว ใจกลางดอกบัวมีหงส์ทมิฬกำลังอาบไล้เปลวเพลิงเริงระบำ ราวปรารถนาเคลื่อนกวาดเก้าชั้นฟ้า!

ตึง!

พุทธรูปทั้งสองปะทะกันดั่งเทพเซียนสององค์กำลังต่อกร ระเบิดแสงไร้สิ้นสุด ส่งเสียงกัมปนาทป่วนเก้าชั้นฟ้า!

ทว่าจู่โจมเพียงคราเดียว พุทธรูปพระเวทที่มู่จิ้งควบรวมออกมาก็ถูกซัดกระจาย ถูกเพลิงหงส์ทมิฬไร้สิ้นสุดเผาผลาญกลายเป็นเถ้าถ่าน!

…………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+