Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1184 ศิลาศึกอัคคีทักษิณ

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1184 ศิลาศึกอัคคีทักษิณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“จริงสิ เวินเอ้าไห่ไปไหนล่ะ”

หลินสวินพลันเอ่ยถาม

รุ่ยม่านชิงอึ้งไป จากนั้นในใจก็พลันสั่นไหว เทพมารหลินผู้นี้กังวลว่าศิษย์พี่เวินอ้าวหมิ่งจะรีบกลับมาหรือ

เห็นทีเขาก็ไม่ได้ไม่กลัวอะไรเลย!

คิดถึงตรงนี้รุ่ยม่านหรงสูดหายใจลึก เอ่ยว่า “สองวันก่อนศิษย์พี่เวินได้ไปยังที่ที่ ‘ศิลาศึกอัคคีทักษิณ’ ตั้งอยู่ จะเข้าทะลวงการทดสอบกระดานทองคำผู้กล้า!”

ศิลาศึกอัคคีทักษิณ!

หลินสวินเคยได้ยินเจ้าคางคกพูดว่า ในแต่ละแดนของแดนเก้าบนล้วนมีศิลาศึกเช่นนี้อยู่

มีเพียงเข้าทดสอบหน้าศิลาศึก ถึงมีคุณสมบัติพาตัวเองขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้า

“ระดับมกุฎราชันก็สามารถพาตัวเองขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้าด้วยหรือ” หลินสวินถามอย่างประหลาดใจ

ในความเข้าใจของเขาก่อนหน้านี้ มีเพียงบุคคลขอบเขตมกุฎที่อยู่ในระดับกระบวนแปรจุติ ถึงมีคุณสมบัติไปแข่งขันและพาตัวเองขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้า

เมื่อได้ยินคำถามของหลินสวิน ในดวงตารุ่ยม่านหรงก็ฉายแววดูถูกอย่างยากสังเกตเห็น เทพมารหลินผู้นี้แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้เสียอย่างนั้น

ทว่าที่น่าเศร้าก็ตรงนี้ ต่อให้ใจนางดูแคลน แต่ติดที่อำนาจกดขี่ของหลินสวิน นางจึงไม่อาจไม่ตอบ

“ก่อนแดนมกุฎคราวนี้จะมาถึง กระดานทองคำผู้กล้าปรากฏขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งในยุคบรรพกาลเท่านั้น ตอนนั้นยังไม่เคยมีระดับมกุฎราชันเลยสักคน”

“ดังนั้นผู้แข็งแกร่งที่สามารถพาตัวเองขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้า จึงมีเพียงบุคคลขอบเขตมกุฎในระดับกระบวนแปรจุติ”

“แต่คราวนี้ไม่เหมือนกัน เป็นมหายุคที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แดนมกุฎก็เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเพราะเหตุนี้”

“ในตอนนี้ผู้แข็งแกร่งที่กระจายตัวอยู่ในแดนเก้าบนต่างรู้ดีว่า หากต้องการพาตัวเองขึ้นสู่หนึ่งร้อยอันดับแรกของกระดานทองคำผู้กล้า ต้องมีพลังที่แท้จริงของระดับมกุฎราชัน”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของรุ่ยม่านหรง หลินสวินถึงเพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งในตอนนี้

ไม่นานนักรุ่ยม่านหรงก็จากไป หลินสวินเริ่มฝึกตน

ในช่วงหนึ่งวันหนึ่งคือที่เสี่ยงภัยอยู่ในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกนั่น ทำให้เขาใช้พลังไปมากมายนัก พิษร้ายของยุงโลหิตหกปีกที่อยู่บนตัวยังไม่สลายไป

ฟู่!

หลินสวินนั่งขัดสมาธิลงบนศิลาต้นกำเนิดสีทองอ่อนนั้น ชั่วพริบตาก็สังเกตได้อย่างฉับไวว่าไอวิญญาณที่ไพศาลและบริสุทธิ์พุ่งเข้ามาในร่างกายของตนราวธารน้ำสายยาว

ไม่ต้องดูดซับอย่างยากลำบากก็สามารถหลอมได้อย่างสบาย!

‘ยอดเลย ฝึกปราณที่นี่วันเดียวก็เทียบเท่ากับฝึกหนึ่งเดือนแล้ว…’

หลินสวินทอดถอนใจในใจ สมเป็นแดนเก้าบน แดนมงคลฝึกปราณเช่นนี้ หากอยู่ในโลกภายนอกต้องชักนำให้สำนักใหญ่ต่างๆ เกิดความละโมบและแก่งแย่งกันแน่

แต่ในแดนอัคคีทักษิณแห่งนี้ กลับมีไม่น้อย!

ฮูม!

ไม่นานนักละอองแสงไอวิญญาณราวน้ำตกก็ท่วมตัวหลินสวิน ตัวเขาดูดกลืนและหลอมพลังอย่างบ้าคลั่งเหมือนเหวลึกเหวหนึ่ง

กระทั่งต่อมาภายในบ้านหินทั้งหลังก็เกิดเสียงดังครึกโครมแปลกประหลาด ประหนึ่งพายุสายฟ้าปั่นป่วน ทั้งเหมือนเสียงธรรมกำลังดังก้อง

เลื่อนระดับเป็นราชัน พลังที่จำเป็นต่อการฝึกก็แตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง

เฉกเช่นในตอนนี้ ไอวิญญาณที่หลินสวินหลอมไปในชั่วหนึ่งลมหายใจ ก็เทียบเท่ากับพลังที่หลอมในหนึ่งวันสมัยอยู่ในระดับกระบวนแปรจุติ!

มองจากตาก็เห็นว่าบาดแผลและพิษร้ายตามร่างกายของหลินสวินกำลังจางลงทีละน้อย ถูกฟื้นฟูขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ

ตัวเขารางเลือนอยู่ท่ามกลางละอองแสงไอวิญญาณ พิสุทธิ์ยากจับต้อง

……

หากมองดูจากโลกภายนอก บ้านหินที่หลินสวินอยู่เหมือนวังน้ำวนมหึมาลูกหนึ่งกำลังหมุนวน ทันทีที่ไอวิญญาณทั่วทุกทิศรวมตัวเข้ามา ก็ถูกกลืนกินจนไม่หลงเหลือแม้สักหยด

ครืน!

พร้อมกับที่วังน้ำวนโคจร ยังมีเสียงอึกทึกครึกโครมน่าตระหนกดังขึ้น สั่นสะท้านจิตวิญญาณ

หากไม่ได้เห็นกับตาก็ยากจะจินตนาการได้ว่า นี่คือความเคลื่อนไหวที่ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งก่อให้เกิดขึ้นยามฝึกปราณ

ผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูรทุกคนรวมตัวที่ไหล่เขา

เมื่อแหงนหน้ามองดูตรงยอดเขา พวกเขาต่างสีหน้าอึมครึมหาใดเทียบ เผยให้เห็นความเคียดแค้น ไม่ยินยอม อดสูและขุ่นเคือง

ที่นี่เดิมทีเป็นอาณาเขตของพวกเขาเขาวิญญาณหมื่นอสูร แต่ตอนนี้กลับถูกเทพมารหลินยึดครองไปแล้ว หนำซ้ำยังบีบบังคับให้พวกเขายอมสยบเป็นข้ารับใช้!

นี่จะให้พวกเขาไม่แค้นได้อย่างไร

‘ศิษย์พี่เมิ่ง ศิษย์พี่เวินเอ้าไห่จะกลับมาเมื่อไรกันแน่’ มีคนสื่อจิตสอบถามอย่างอดไม่ได้

คนอื่นต่างก็ทอดสายตาไปยังชายหนุ่มชุดแดงผู้นั้น

เขามีนามว่าเมิ่งอิงหวา บารมีสูงส่ง เมื่อได้ยินคำถามนี้เขาก็ครุ่นคิดเล็กน้อยค่อยพูดว่า ‘คงไม่เกินครึ่งเดือน’

‘ครึ่งเดือนหรือ’

ทุกคนต่างออกจะนั่งไม่ติดแล้ว “แค่ทะลวงอันดับกระดานทองคำผู้กล้า ดูเหมือนไม่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นกระมัง”

ตอนนี้พวกเขามองเวินเอ้าไห่เป็นดวงดาวช่วยชีวิตเพียงดวงเดียวแล้ว ย่อมต้องการให้เวินเอ้าไห่รีบกลับมาในทันที

‘ไม่ นอกจากทะลวงกระดานทองคำผู้กล้า ศิษย์พี่เวินยังต้องไปเยี่ยมเยียนขุมอำนาจใหญ่อีกสองสามแห่งเพื่อหารือการใหญ่เรื่องหนึ่ง’

เมิ่งอิงหวาสายตาไหวเคลื่อน

‘การใหญ่อะไรหรือ’ มีคนถามอย่างอดไม่ได้

‘ข้าบอกพวกเจ้าได้แค่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศุภโชคเย้ยฟ้าที่ผนึกในกาลเวลาอันยาวนานชิ้นหนึ่ง หากทำได้อย่างราบรื่น เช่นนั้นผลประโยชน์ก็จะมากมายนัก’

เมิ่งอิงหวาพูดถึงตรงนี้ สายตาก็แปรเปลี่ยนเป็นลุกวาว

ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมเยียบเย็น เอ่ยว่า ‘ทุกคนอย่ากระวนกระวายใจ ช่วงนี้อดทนสักไม่กี่วันไปก่อน รอวันที่ศิษย์พี่เวินเอ้าไห่เสร็จธุระกลับมา ก็จะเป็นเวลาที่เทพมารหลินผู้นี้สิ้นชีพ!’

ทุกคนล้วนพยักหน้า ในใจไม่ท้อแท้สิ้นหวังอีก พวกเขารู้ว่าเวินอ้าวถิงต้องกลับมาแน่!

ก็ในตอนนี้เองเสียงเฉยชาสงบนิ่งของหลินสวินนั้นก็ดังขึ้นที่ไหล่เขาทันที “พวกเจ้ามารวมตัวกันทำอะไร ไม่ใช่บอกให้พวกเจ้าไปขุดแร่หรือ ถ้ากล้าอู้อีก เกรงว่าจะรอศิษย์พี่เวินของพวกเจ้าไม่ได้อีกแล้ว”

ถ้อยคำนี้มีนัยเร้นลับแห่งเสียงคำรามผูเหลาอยู่ ทันทีที่ดังขึ้นก็สั่นสะเทือนจนพวกเมิ่งอิงหวายากรับไหวจนแทบกระอักเลือด ดวงตาพร่ามัว

สารเลว!

ทุกคนสีหน้าย่ำแย่หาใดเทียบ แค้นจนกัดฟันแทบแตก

‘อดทนไว้ก่อน อย่าไปโต้เถียงกับเขา!’

เมิ่งอิงหวาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ปลอบใจทุกคน จากนั้นก็เดินเข้าไปในอุโมงค์ทางเดินภูเขาที่อยู่อีกด้านหนึ่ง

ขุดแร่

จริงๆ แล้วก็คือไปขุดเอาหินแร่ที่มีทองเทพสมประสงค์ในภูเขาแห่งนี้

ทว่าหินแร่เหล่านี้ขุดเอามาได้ยากเย็นถึงที่สุด แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับราชันยังสั่นคลอนหินแร่เหล่านั้นได้ยาก ทำได้เพียงใช้ของมีคมขุดเจาะทีละนิด

อีกทั้งทองเทพสมประสงค์กระจายตัวไม่สม่ำเสมอ บางครั้งหินแร่ที่ง่วนขุดอยู่ครึ่งวัน ก็มีทองเทพสมประสงค์ขนาดเท่าเมล็ดงาเพียงก้อนเดียว

พูดง่ายๆ นี่ก็คืองานใช้แรงงานหนักงานหนึ่ง!

เมื่อก่อนพวกเมิ่งอิงหวาขุดแร่ก็ไม่รู้สึกลำบาก ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว พวกเขาถูกมองเป็นทาส แม้แต่สมบัติที่ขุดออกมายังต้องมอบให้หลินสวินทั้งหมด นี่ช่างน่าคับข้องใจเกินไปแล้ว

เป็นถึงผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูร ตอนนี้กลับตกเป็นทาสขุดแร่ หากแพร่งพรายออกไปต้องกลายเป็นตัวตลกตายแน่

“จำไว้ ถ้าขุดทองเทพสมประสงค์ได้ไม่ถึงหนึ่งจิน[1] ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน”

เสียงของหลินสวินดังขึ้นอีกครั้งหนึ่งอย่างเย็นชา ทำให้พวกเมิ่งอิงหวาหน้าทะมึน โกรธจนแทบกระอักเลือด

ทองเทพสมประสงค์หนึ่งจินหรือ

สิ่งนี้เป็นถึงวัตถุดิบเทพหายากเชียวนะ ขุดได้ก้อนเท่าหัวแม่โป้งสักก้อนก็จุดธูปขอบคุณสวรรค์ได้แล้ว

ใครจะกล้าคิดขุดหนึ่งจินกัน

นี่มันคิดจะบีบพวกเขาไปตายชัดๆ เลยนะ!

“ทุกคนอย่าหุนหันไป อดทนต่อไป ยอมให้มันกำเริบเสิบสานไปก่อน”

เมิ่งอิงหวารีบร้อนเกลี้ยกล่อม ด้วยกังวลว่าทุกคนจะคุมความรู้สึกไม่อยู่แล้วทำเรื่องไม่เหมาะสม

ทุกคนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง อดทนไว้!

……

แดนเก้าบน รวมตัวขึ้นจากแดนใหญ่เก้าแดน

แดนอัคคีทักษิณก็เป็นหนึ่งในนั้น

นอกจากนี้ยังมีแดนใหญ่อีกแปดแดนอย่างแดนวารีอุดร แดนฟ้าพายัพ แดนปฐพีหรดี แดนวาโยอาคเนย์ แดนคีรีอีสาน แดนกระแสประจิม แดนอสนีบูรพา และแดนยอดศูนย์กลาง

ทุกแดนล้วนเหมือนโลกใบใหญ่ใบหนึ่ง เชื่อมต่อกันเป็นรูปตารางเก้าช่อง

ภายในนั้นมีเพียงแดนยอดศูนย์กลางที่พิเศษสุด ถูกมองว่าเป็น ‘แดนศูนย์กลางเทพ’ มีนัยถึงสถานที่ใจกลางที่ได้รับการดูแลจากวิญญาณเทพ

อีกทั้งตามธรรมเนียมแต่ก่อน แดนยอดศูนย์กลางนี้จะเปิดออกอีกแปดปีให้หลัง

และในปีที่เก้าที่แดนมกุฎมาเยือน ผู้แข็งแกร่งที่กระจายกันอยู่ในแดนอื่นถึงมีโอกาสเข้าไปในแดนยอดศูนย์กลาง

นี่ก็หมายความว่าผู้แข็งแกร่งที่เข้ามายังแดนเก้าบนจากสามพันแดน ตอนนี้ต่างกระจายตัวอยู่ในแดนใหญ่ทั้งแปดที่อยู่นอกแดนยอดศูนย์กลาง!

จากจุดนี้แค่คิดก็รู้ว่า ผู้แข็งแกร่งกับขุมอำนาจที่รวมตัวอยู่ในแต่ละแดนจะมากมายปานไหน การแข่งขันก็ต้องโหดร้ายหาใดเทียบ

เวินเอ้าไห่รู้เรื่องนี้ดี

ตอนนี้เขายืนอยู่เบื้องหน้าป้ายหินมหึมาแท่นหนึ่ง

ป้ายหินเก่าแก่ ด้านบนเทียมขอบฟ้าประหนึ่งเสาค้ำสวรรค์ สีดำสนิทไปทั้งแท่น บนนั้นมีสัญลักษณ์เร้นลับบิดเบี้ยวพิสดารประทับอยู่

ภาพที่สัญลักษณ์แต่ละอันแสดงออกมาก็แตกต่างกันไป บ้างเป็นภาพสุริยันจันทราภูผาธารา บุปผาวิหคแมลงมัจฉา ทั้งยังมีภาพจักรวาลเวิ้งว้าง เดือนปีดึกดำบรรพ์

ล้วนอบอวลไปด้วยกลิ่นอายเก่าแก่ ยิ่งใหญ่ไพศาลและศักดิ์สิทธิ์

ยืนอยู่หน้าป้ายหินก็เหมือนมดมองฟ้า เกิดความรู้สึกเล็กจ้อยขึ้นเอง

ที่นี่ก็คือศิลาศึกอัคคีทักษิณ!

ในแต่ละแดนต่างมีศิลาศึกทำนองนี้แท่นหนึ่ง

มีเพียงผ่านการทดสอบของศิลาศึกถึงมีความเป็นไปได้ที่จะพาตัวเอาเข้าสู่กระดานทองคำผู้กล้า!

ตอนนี้ไม่เพียงเวินเอ้าไห่ ที่บริเวณใกล้เคียงกับศิลาศึกอัคคีทักษิณยังมีเงาร่างหลายสิบร่างยืนอยู่ทั้งชายหญิง กลิ่นอายล้วนทรงพลังถึงที่สุด

ยืนอยู่ที่นี่ ก็เหมือนราชันองค์แล้วองค์เล่าช่วงชิงความเป็นหนึ่ง!

แม้จะบรรลุเป็นระดับมกุฎราชันแล้ว เวินเอ้าไห่ในตอนนี้กลับต้องอ่อนน้อมถ่อมตัว

เพราะผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในที่นั้น ไม่มีใครไม่ใช่ผู้บรรลุระดับมกุฎราชัน!

กลิ่นอายของบางคนในกลุ่มนั้นยังแก่กล้ายิ่งกว่า ทำให้เวินเอ้าไห่รู้สึกถึงความกดดันยากบรรยาย

‘ยังไม่ถึงหนึ่งเดือน ก็มีระดับมกุฎราชันเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้แล้ว…’

เวินเอ้าไห่ทอดถอนใจในใจ รู้สึกหนักอึ้งอยู่บ้าง

สิ่งที่เห็นตรงหน้ายังเป็นแค่สิ่งที่เขาได้เห็น ที่อื่นต้องมีระดับมกุฎราชันมากกว่านี้แน่!

‘มหายุคคราวนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนดังคาด ระดับมกุฎราชันที่ยังไม่เคยถือกำเนิดขึ้นมาก่อน ตอนนี้กลับปรากฏตัวอย่างไม่ขาดสาย เรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อนและจะไม่มีอีกในอนาคตแล้ว…’

เดิมทีเวินเอ้าไห่ยังอวดดีนัก แต่ตอนนี้เขากลับรู้ชัดแล้วว่ามีเพียงบรรลุเป็นระดับมกุฎราชัน ถึงจะมีความสามารถอยู่ในแดนเก้าบนแห่งนี้ได้

คิดจะฝ่าถนนโลหิตท่ามกลางระดับมกุฎราชันทั้งมวล ต้องรีบเพิ่มพูนพลังต่อสู้โดยเร็วที่สุด

และคิดจะเพิ่มพูนพลังต่อสู้ วิธีที่รวดเร็วที่สุดก็คือไปเสาะหาและช่วงชิงศุภโชคเย้ยฟ้าที่ถูกผนึกมาในกาลเวลาชั่วนิรันดร์เหล่านั้น!

นอกจากทำเช่นนี้ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว

‘สหายยุทธ์เวิน อีกเดี๋ยวเมื่อออกมาแล้ว ขอเชิญท่านมาคุยกันหน่อย’

ทันใดนั้นเสียงสื่อจิตเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในโสตประสาท เวินเอ้าไห่เงยหน้าขึ้นมองไป ก็เห็นว่าเงาร่างสีทองเจิดจรัสร่างหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก กลิ่นอายอหังการผงาดผยองแผ่กระจายออกมาทั่วร่าง ดูสะดุดตาถึงที่สุด

องค์ชายเก้าเผ่าอีกาทอง… อูหลิงเฟิง!

เขาเป็นน้องชายของอูหลิงเฟย องค์ชายเจ็ดเผ่าอีกาทอง แต่อูหลิงเฟยถูกหลินสวินสังหารไปแล้ว ส่วนอูหลิงเฟิงผู้นี้ตอนนี้ก็กลายเป็นระดับมกุฎราชันแล้ว!

อีกทั้งในแดนอัคคีทักษิณตอนนี้มีสี่ขุมอำนาจใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุด ดุจดั่งนายเหนือหัวทั้งสี่ หนึ่งในนั้นก็คือเผ่าอีกาทอง

ข้างกายอูหลิงเฟิงยังมีชายหญิงยืนอยู่หลายคน ต่างเป็นมกุฎราชันที่มาจากขุมอำนาจต่างๆ

เวินเอ้าไห่ไตร่ตรองแล้วพยักหน้าตอบรับทันควัน

เขารู้ว่าเรื่องที่อูหลิงเฟิงต้องการพูดคุย จะต้องเกี่ยวข้องกับมหาศุภโชคเย้ยฟ้าที่ผนึกไว้ในกาลเวลาชั่วนิรันดร์นั่นแน่!

——

[1] จิน เป็นหน่วยชั่งน้ำหนักของจีน มีน้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม และยังนิยมใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1184 ศิลาศึกอัคคีทักษิณ

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1184 ศิลาศึกอัคคีทักษิณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“จริงสิ เวินเอ้าไห่ไปไหนล่ะ”

หลินสวินพลันเอ่ยถาม

รุ่ยม่านชิงอึ้งไป จากนั้นในใจก็พลันสั่นไหว เทพมารหลินผู้นี้กังวลว่าศิษย์พี่เวินอ้าวหมิ่งจะรีบกลับมาหรือ

เห็นทีเขาก็ไม่ได้ไม่กลัวอะไรเลย!

คิดถึงตรงนี้รุ่ยม่านหรงสูดหายใจลึก เอ่ยว่า “สองวันก่อนศิษย์พี่เวินได้ไปยังที่ที่ ‘ศิลาศึกอัคคีทักษิณ’ ตั้งอยู่ จะเข้าทะลวงการทดสอบกระดานทองคำผู้กล้า!”

ศิลาศึกอัคคีทักษิณ!

หลินสวินเคยได้ยินเจ้าคางคกพูดว่า ในแต่ละแดนของแดนเก้าบนล้วนมีศิลาศึกเช่นนี้อยู่

มีเพียงเข้าทดสอบหน้าศิลาศึก ถึงมีคุณสมบัติพาตัวเองขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้า

“ระดับมกุฎราชันก็สามารถพาตัวเองขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้าด้วยหรือ” หลินสวินถามอย่างประหลาดใจ

ในความเข้าใจของเขาก่อนหน้านี้ มีเพียงบุคคลขอบเขตมกุฎที่อยู่ในระดับกระบวนแปรจุติ ถึงมีคุณสมบัติไปแข่งขันและพาตัวเองขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้า

เมื่อได้ยินคำถามของหลินสวิน ในดวงตารุ่ยม่านหรงก็ฉายแววดูถูกอย่างยากสังเกตเห็น เทพมารหลินผู้นี้แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้เสียอย่างนั้น

ทว่าที่น่าเศร้าก็ตรงนี้ ต่อให้ใจนางดูแคลน แต่ติดที่อำนาจกดขี่ของหลินสวิน นางจึงไม่อาจไม่ตอบ

“ก่อนแดนมกุฎคราวนี้จะมาถึง กระดานทองคำผู้กล้าปรากฏขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งในยุคบรรพกาลเท่านั้น ตอนนั้นยังไม่เคยมีระดับมกุฎราชันเลยสักคน”

“ดังนั้นผู้แข็งแกร่งที่สามารถพาตัวเองขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้า จึงมีเพียงบุคคลขอบเขตมกุฎในระดับกระบวนแปรจุติ”

“แต่คราวนี้ไม่เหมือนกัน เป็นมหายุคที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แดนมกุฎก็เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเพราะเหตุนี้”

“ในตอนนี้ผู้แข็งแกร่งที่กระจายตัวอยู่ในแดนเก้าบนต่างรู้ดีว่า หากต้องการพาตัวเองขึ้นสู่หนึ่งร้อยอันดับแรกของกระดานทองคำผู้กล้า ต้องมีพลังที่แท้จริงของระดับมกุฎราชัน”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของรุ่ยม่านหรง หลินสวินถึงเพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งในตอนนี้

ไม่นานนักรุ่ยม่านหรงก็จากไป หลินสวินเริ่มฝึกตน

ในช่วงหนึ่งวันหนึ่งคือที่เสี่ยงภัยอยู่ในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกนั่น ทำให้เขาใช้พลังไปมากมายนัก พิษร้ายของยุงโลหิตหกปีกที่อยู่บนตัวยังไม่สลายไป

ฟู่!

หลินสวินนั่งขัดสมาธิลงบนศิลาต้นกำเนิดสีทองอ่อนนั้น ชั่วพริบตาก็สังเกตได้อย่างฉับไวว่าไอวิญญาณที่ไพศาลและบริสุทธิ์พุ่งเข้ามาในร่างกายของตนราวธารน้ำสายยาว

ไม่ต้องดูดซับอย่างยากลำบากก็สามารถหลอมได้อย่างสบาย!

‘ยอดเลย ฝึกปราณที่นี่วันเดียวก็เทียบเท่ากับฝึกหนึ่งเดือนแล้ว…’

หลินสวินทอดถอนใจในใจ สมเป็นแดนเก้าบน แดนมงคลฝึกปราณเช่นนี้ หากอยู่ในโลกภายนอกต้องชักนำให้สำนักใหญ่ต่างๆ เกิดความละโมบและแก่งแย่งกันแน่

แต่ในแดนอัคคีทักษิณแห่งนี้ กลับมีไม่น้อย!

ฮูม!

ไม่นานนักละอองแสงไอวิญญาณราวน้ำตกก็ท่วมตัวหลินสวิน ตัวเขาดูดกลืนและหลอมพลังอย่างบ้าคลั่งเหมือนเหวลึกเหวหนึ่ง

กระทั่งต่อมาภายในบ้านหินทั้งหลังก็เกิดเสียงดังครึกโครมแปลกประหลาด ประหนึ่งพายุสายฟ้าปั่นป่วน ทั้งเหมือนเสียงธรรมกำลังดังก้อง

เลื่อนระดับเป็นราชัน พลังที่จำเป็นต่อการฝึกก็แตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง

เฉกเช่นในตอนนี้ ไอวิญญาณที่หลินสวินหลอมไปในชั่วหนึ่งลมหายใจ ก็เทียบเท่ากับพลังที่หลอมในหนึ่งวันสมัยอยู่ในระดับกระบวนแปรจุติ!

มองจากตาก็เห็นว่าบาดแผลและพิษร้ายตามร่างกายของหลินสวินกำลังจางลงทีละน้อย ถูกฟื้นฟูขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ

ตัวเขารางเลือนอยู่ท่ามกลางละอองแสงไอวิญญาณ พิสุทธิ์ยากจับต้อง

……

หากมองดูจากโลกภายนอก บ้านหินที่หลินสวินอยู่เหมือนวังน้ำวนมหึมาลูกหนึ่งกำลังหมุนวน ทันทีที่ไอวิญญาณทั่วทุกทิศรวมตัวเข้ามา ก็ถูกกลืนกินจนไม่หลงเหลือแม้สักหยด

ครืน!

พร้อมกับที่วังน้ำวนโคจร ยังมีเสียงอึกทึกครึกโครมน่าตระหนกดังขึ้น สั่นสะท้านจิตวิญญาณ

หากไม่ได้เห็นกับตาก็ยากจะจินตนาการได้ว่า นี่คือความเคลื่อนไหวที่ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งก่อให้เกิดขึ้นยามฝึกปราณ

ผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูรทุกคนรวมตัวที่ไหล่เขา

เมื่อแหงนหน้ามองดูตรงยอดเขา พวกเขาต่างสีหน้าอึมครึมหาใดเทียบ เผยให้เห็นความเคียดแค้น ไม่ยินยอม อดสูและขุ่นเคือง

ที่นี่เดิมทีเป็นอาณาเขตของพวกเขาเขาวิญญาณหมื่นอสูร แต่ตอนนี้กลับถูกเทพมารหลินยึดครองไปแล้ว หนำซ้ำยังบีบบังคับให้พวกเขายอมสยบเป็นข้ารับใช้!

นี่จะให้พวกเขาไม่แค้นได้อย่างไร

‘ศิษย์พี่เมิ่ง ศิษย์พี่เวินเอ้าไห่จะกลับมาเมื่อไรกันแน่’ มีคนสื่อจิตสอบถามอย่างอดไม่ได้

คนอื่นต่างก็ทอดสายตาไปยังชายหนุ่มชุดแดงผู้นั้น

เขามีนามว่าเมิ่งอิงหวา บารมีสูงส่ง เมื่อได้ยินคำถามนี้เขาก็ครุ่นคิดเล็กน้อยค่อยพูดว่า ‘คงไม่เกินครึ่งเดือน’

‘ครึ่งเดือนหรือ’

ทุกคนต่างออกจะนั่งไม่ติดแล้ว “แค่ทะลวงอันดับกระดานทองคำผู้กล้า ดูเหมือนไม่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นกระมัง”

ตอนนี้พวกเขามองเวินเอ้าไห่เป็นดวงดาวช่วยชีวิตเพียงดวงเดียวแล้ว ย่อมต้องการให้เวินเอ้าไห่รีบกลับมาในทันที

‘ไม่ นอกจากทะลวงกระดานทองคำผู้กล้า ศิษย์พี่เวินยังต้องไปเยี่ยมเยียนขุมอำนาจใหญ่อีกสองสามแห่งเพื่อหารือการใหญ่เรื่องหนึ่ง’

เมิ่งอิงหวาสายตาไหวเคลื่อน

‘การใหญ่อะไรหรือ’ มีคนถามอย่างอดไม่ได้

‘ข้าบอกพวกเจ้าได้แค่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศุภโชคเย้ยฟ้าที่ผนึกในกาลเวลาอันยาวนานชิ้นหนึ่ง หากทำได้อย่างราบรื่น เช่นนั้นผลประโยชน์ก็จะมากมายนัก’

เมิ่งอิงหวาพูดถึงตรงนี้ สายตาก็แปรเปลี่ยนเป็นลุกวาว

ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมเยียบเย็น เอ่ยว่า ‘ทุกคนอย่ากระวนกระวายใจ ช่วงนี้อดทนสักไม่กี่วันไปก่อน รอวันที่ศิษย์พี่เวินเอ้าไห่เสร็จธุระกลับมา ก็จะเป็นเวลาที่เทพมารหลินผู้นี้สิ้นชีพ!’

ทุกคนล้วนพยักหน้า ในใจไม่ท้อแท้สิ้นหวังอีก พวกเขารู้ว่าเวินอ้าวถิงต้องกลับมาแน่!

ก็ในตอนนี้เองเสียงเฉยชาสงบนิ่งของหลินสวินนั้นก็ดังขึ้นที่ไหล่เขาทันที “พวกเจ้ามารวมตัวกันทำอะไร ไม่ใช่บอกให้พวกเจ้าไปขุดแร่หรือ ถ้ากล้าอู้อีก เกรงว่าจะรอศิษย์พี่เวินของพวกเจ้าไม่ได้อีกแล้ว”

ถ้อยคำนี้มีนัยเร้นลับแห่งเสียงคำรามผูเหลาอยู่ ทันทีที่ดังขึ้นก็สั่นสะเทือนจนพวกเมิ่งอิงหวายากรับไหวจนแทบกระอักเลือด ดวงตาพร่ามัว

สารเลว!

ทุกคนสีหน้าย่ำแย่หาใดเทียบ แค้นจนกัดฟันแทบแตก

‘อดทนไว้ก่อน อย่าไปโต้เถียงกับเขา!’

เมิ่งอิงหวาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ปลอบใจทุกคน จากนั้นก็เดินเข้าไปในอุโมงค์ทางเดินภูเขาที่อยู่อีกด้านหนึ่ง

ขุดแร่

จริงๆ แล้วก็คือไปขุดเอาหินแร่ที่มีทองเทพสมประสงค์ในภูเขาแห่งนี้

ทว่าหินแร่เหล่านี้ขุดเอามาได้ยากเย็นถึงที่สุด แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับราชันยังสั่นคลอนหินแร่เหล่านั้นได้ยาก ทำได้เพียงใช้ของมีคมขุดเจาะทีละนิด

อีกทั้งทองเทพสมประสงค์กระจายตัวไม่สม่ำเสมอ บางครั้งหินแร่ที่ง่วนขุดอยู่ครึ่งวัน ก็มีทองเทพสมประสงค์ขนาดเท่าเมล็ดงาเพียงก้อนเดียว

พูดง่ายๆ นี่ก็คืองานใช้แรงงานหนักงานหนึ่ง!

เมื่อก่อนพวกเมิ่งอิงหวาขุดแร่ก็ไม่รู้สึกลำบาก ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว พวกเขาถูกมองเป็นทาส แม้แต่สมบัติที่ขุดออกมายังต้องมอบให้หลินสวินทั้งหมด นี่ช่างน่าคับข้องใจเกินไปแล้ว

เป็นถึงผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูร ตอนนี้กลับตกเป็นทาสขุดแร่ หากแพร่งพรายออกไปต้องกลายเป็นตัวตลกตายแน่

“จำไว้ ถ้าขุดทองเทพสมประสงค์ได้ไม่ถึงหนึ่งจิน[1] ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน”

เสียงของหลินสวินดังขึ้นอีกครั้งหนึ่งอย่างเย็นชา ทำให้พวกเมิ่งอิงหวาหน้าทะมึน โกรธจนแทบกระอักเลือด

ทองเทพสมประสงค์หนึ่งจินหรือ

สิ่งนี้เป็นถึงวัตถุดิบเทพหายากเชียวนะ ขุดได้ก้อนเท่าหัวแม่โป้งสักก้อนก็จุดธูปขอบคุณสวรรค์ได้แล้ว

ใครจะกล้าคิดขุดหนึ่งจินกัน

นี่มันคิดจะบีบพวกเขาไปตายชัดๆ เลยนะ!

“ทุกคนอย่าหุนหันไป อดทนต่อไป ยอมให้มันกำเริบเสิบสานไปก่อน”

เมิ่งอิงหวารีบร้อนเกลี้ยกล่อม ด้วยกังวลว่าทุกคนจะคุมความรู้สึกไม่อยู่แล้วทำเรื่องไม่เหมาะสม

ทุกคนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง อดทนไว้!

……

แดนเก้าบน รวมตัวขึ้นจากแดนใหญ่เก้าแดน

แดนอัคคีทักษิณก็เป็นหนึ่งในนั้น

นอกจากนี้ยังมีแดนใหญ่อีกแปดแดนอย่างแดนวารีอุดร แดนฟ้าพายัพ แดนปฐพีหรดี แดนวาโยอาคเนย์ แดนคีรีอีสาน แดนกระแสประจิม แดนอสนีบูรพา และแดนยอดศูนย์กลาง

ทุกแดนล้วนเหมือนโลกใบใหญ่ใบหนึ่ง เชื่อมต่อกันเป็นรูปตารางเก้าช่อง

ภายในนั้นมีเพียงแดนยอดศูนย์กลางที่พิเศษสุด ถูกมองว่าเป็น ‘แดนศูนย์กลางเทพ’ มีนัยถึงสถานที่ใจกลางที่ได้รับการดูแลจากวิญญาณเทพ

อีกทั้งตามธรรมเนียมแต่ก่อน แดนยอดศูนย์กลางนี้จะเปิดออกอีกแปดปีให้หลัง

และในปีที่เก้าที่แดนมกุฎมาเยือน ผู้แข็งแกร่งที่กระจายกันอยู่ในแดนอื่นถึงมีโอกาสเข้าไปในแดนยอดศูนย์กลาง

นี่ก็หมายความว่าผู้แข็งแกร่งที่เข้ามายังแดนเก้าบนจากสามพันแดน ตอนนี้ต่างกระจายตัวอยู่ในแดนใหญ่ทั้งแปดที่อยู่นอกแดนยอดศูนย์กลาง!

จากจุดนี้แค่คิดก็รู้ว่า ผู้แข็งแกร่งกับขุมอำนาจที่รวมตัวอยู่ในแต่ละแดนจะมากมายปานไหน การแข่งขันก็ต้องโหดร้ายหาใดเทียบ

เวินเอ้าไห่รู้เรื่องนี้ดี

ตอนนี้เขายืนอยู่เบื้องหน้าป้ายหินมหึมาแท่นหนึ่ง

ป้ายหินเก่าแก่ ด้านบนเทียมขอบฟ้าประหนึ่งเสาค้ำสวรรค์ สีดำสนิทไปทั้งแท่น บนนั้นมีสัญลักษณ์เร้นลับบิดเบี้ยวพิสดารประทับอยู่

ภาพที่สัญลักษณ์แต่ละอันแสดงออกมาก็แตกต่างกันไป บ้างเป็นภาพสุริยันจันทราภูผาธารา บุปผาวิหคแมลงมัจฉา ทั้งยังมีภาพจักรวาลเวิ้งว้าง เดือนปีดึกดำบรรพ์

ล้วนอบอวลไปด้วยกลิ่นอายเก่าแก่ ยิ่งใหญ่ไพศาลและศักดิ์สิทธิ์

ยืนอยู่หน้าป้ายหินก็เหมือนมดมองฟ้า เกิดความรู้สึกเล็กจ้อยขึ้นเอง

ที่นี่ก็คือศิลาศึกอัคคีทักษิณ!

ในแต่ละแดนต่างมีศิลาศึกทำนองนี้แท่นหนึ่ง

มีเพียงผ่านการทดสอบของศิลาศึกถึงมีความเป็นไปได้ที่จะพาตัวเอาเข้าสู่กระดานทองคำผู้กล้า!

ตอนนี้ไม่เพียงเวินเอ้าไห่ ที่บริเวณใกล้เคียงกับศิลาศึกอัคคีทักษิณยังมีเงาร่างหลายสิบร่างยืนอยู่ทั้งชายหญิง กลิ่นอายล้วนทรงพลังถึงที่สุด

ยืนอยู่ที่นี่ ก็เหมือนราชันองค์แล้วองค์เล่าช่วงชิงความเป็นหนึ่ง!

แม้จะบรรลุเป็นระดับมกุฎราชันแล้ว เวินเอ้าไห่ในตอนนี้กลับต้องอ่อนน้อมถ่อมตัว

เพราะผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในที่นั้น ไม่มีใครไม่ใช่ผู้บรรลุระดับมกุฎราชัน!

กลิ่นอายของบางคนในกลุ่มนั้นยังแก่กล้ายิ่งกว่า ทำให้เวินเอ้าไห่รู้สึกถึงความกดดันยากบรรยาย

‘ยังไม่ถึงหนึ่งเดือน ก็มีระดับมกุฎราชันเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้แล้ว…’

เวินเอ้าไห่ทอดถอนใจในใจ รู้สึกหนักอึ้งอยู่บ้าง

สิ่งที่เห็นตรงหน้ายังเป็นแค่สิ่งที่เขาได้เห็น ที่อื่นต้องมีระดับมกุฎราชันมากกว่านี้แน่!

‘มหายุคคราวนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนดังคาด ระดับมกุฎราชันที่ยังไม่เคยถือกำเนิดขึ้นมาก่อน ตอนนี้กลับปรากฏตัวอย่างไม่ขาดสาย เรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อนและจะไม่มีอีกในอนาคตแล้ว…’

เดิมทีเวินเอ้าไห่ยังอวดดีนัก แต่ตอนนี้เขากลับรู้ชัดแล้วว่ามีเพียงบรรลุเป็นระดับมกุฎราชัน ถึงจะมีความสามารถอยู่ในแดนเก้าบนแห่งนี้ได้

คิดจะฝ่าถนนโลหิตท่ามกลางระดับมกุฎราชันทั้งมวล ต้องรีบเพิ่มพูนพลังต่อสู้โดยเร็วที่สุด

และคิดจะเพิ่มพูนพลังต่อสู้ วิธีที่รวดเร็วที่สุดก็คือไปเสาะหาและช่วงชิงศุภโชคเย้ยฟ้าที่ถูกผนึกมาในกาลเวลาชั่วนิรันดร์เหล่านั้น!

นอกจากทำเช่นนี้ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว

‘สหายยุทธ์เวิน อีกเดี๋ยวเมื่อออกมาแล้ว ขอเชิญท่านมาคุยกันหน่อย’

ทันใดนั้นเสียงสื่อจิตเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในโสตประสาท เวินเอ้าไห่เงยหน้าขึ้นมองไป ก็เห็นว่าเงาร่างสีทองเจิดจรัสร่างหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก กลิ่นอายอหังการผงาดผยองแผ่กระจายออกมาทั่วร่าง ดูสะดุดตาถึงที่สุด

องค์ชายเก้าเผ่าอีกาทอง… อูหลิงเฟิง!

เขาเป็นน้องชายของอูหลิงเฟย องค์ชายเจ็ดเผ่าอีกาทอง แต่อูหลิงเฟยถูกหลินสวินสังหารไปแล้ว ส่วนอูหลิงเฟิงผู้นี้ตอนนี้ก็กลายเป็นระดับมกุฎราชันแล้ว!

อีกทั้งในแดนอัคคีทักษิณตอนนี้มีสี่ขุมอำนาจใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุด ดุจดั่งนายเหนือหัวทั้งสี่ หนึ่งในนั้นก็คือเผ่าอีกาทอง

ข้างกายอูหลิงเฟิงยังมีชายหญิงยืนอยู่หลายคน ต่างเป็นมกุฎราชันที่มาจากขุมอำนาจต่างๆ

เวินเอ้าไห่ไตร่ตรองแล้วพยักหน้าตอบรับทันควัน

เขารู้ว่าเรื่องที่อูหลิงเฟิงต้องการพูดคุย จะต้องเกี่ยวข้องกับมหาศุภโชคเย้ยฟ้าที่ผนึกไว้ในกาลเวลาชั่วนิรันดร์นั่นแน่!

——

[1] จิน เป็นหน่วยชั่งน้ำหนักของจีน มีน้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม และยังนิยมใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+