Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1253 เห็นแจ้งลายมรรค

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1253 เห็นแจ้งลายมรรค at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นับจากวันนี้หลินสวินจะพักอยู่ที่เขาจำศีลหัวโล้นชั่วคราว

ยอดเขาหม่อนเขียว

ไผ่เขียว หินเก่าแก่ น้ำตกหลั่งริน เถาวัลย์โบราณ ธารน้ำใส ทิวทัศน์ดั่งภาพวาดประหนึ่งแดนเซียน

เดิมทีเขาจำศีลหัวโล้นก็เป็นเขาแดนมงคลลูกหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในแดนอัคคีทักษิณ ชีพจรปราณวิญญาณรวมตัวกัน ซึบซับพลังวิญญาณแห่งฟ้าดิน

ที่พักซึ่งจี้ซิงเหยาจัดเตรียมไว้ให้หลินสวินนี้เป็นแหล่งวิญญาณต้นกำเนิดแห่งหนึ่งบนเขาจำศีลหัวโล้น มีประโยชน์อย่างมากต่อการฝึกปราณ

ป่าไผ่ไหวโอน เขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ ลำธารสายหนึ่งไหลเอื่อยผ่านป่าไผ่ เสริมความงามเงียบสงบไร้สิ้นสุด

หลินสวินนั่งอยู่ริมธารระหว่างป่าไผ่ มือถือหินกระบวนขนาดเท่าฝ่ามือก้อนหนึ่ง พื้นผิวอาบย้อมด้วยคราบเลือด

ในสายตาผู้แข็งแกร่งระดับราชันก็ดูเค้าเงื่อนของหินก้อนนี้ไม่ออก แต่สำหรับนักสลักวิญญาณสิ่งนี้กลับเป็นยอดสมบัติชิ้นหนึ่ง!

ด้วยเกี่ยวข้องกับพลังผนึกต้องห้ามที่ลึกล้ำอย่างยิ่ง ความจริงแล้วในหินก้อนนี้ยังซ่อนความลับยิ่งใหญ่ไว้ด้วย

ในสายตานักสลักวิญญาณของสิ่งนี้ยังมีอีกชื่อหนึ่ง…

หินผนึกมรรค!

เวลานี้หลินสวินกำลังตั้้งสมาธิหยั่งรู้สมบัตินี้

ปีนั้นที่ข้ามแม่น้ำพรมแดนมาถึงเมืองเพลิงมรกตตรงชายแดนแดนชัยบูรพาครั้งแรก บนแผงลอยที่เร่ขายสมบัติหนึ่ง หลินสวินเก็บสมบัตินี้มาได้โดยไม่ตั้งใจ

เพียงแต่หลายปีนี้ยุ่งง่วน ของชิ้นนี้จึงถูกเก็บอยู่ในเจดีย์สมบัติไร้อักษรมาตลอดจนเกือบจะถูกลืม

แต่ช่วงนี้เมื่อได้ตรวจสอบสมบัติติดตัวจึงถูกหลินสวินเจออีกครั้ง

ว่าไปแล้วนอกจากหินผนึกมรรคที่แปลกประหลาดก้อนนี้ ตอนนั้นหลินสวินยังได้รังไหมสีดำชิ้นหนึ่งมาจากศิลาอุกกาบาตที่แตกออกใน ‘งานประเมินหิน’ ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองเพลิงมรกตด้วย

ที่จำศีลอยู่ในรังไหมคือตัวอ่อนผีเสื้อมารแยกฟ้าตัวหนึ่ง อยากจะวิวัฒนาการยิ่งยากลำบากกว่าหนอนกินเทพ เนื่องเพราะต้องการ ‘ผลึกอากาศลายเมฆ’ เฉพาะตัวอย่างหนึ่งมาให้กำเนิด

แต่ผลึกอากาศลายเมฆเป็นเจตวัตถุหายากที่กำเนิดในกฎระเบียบแห่งห้วงอากาศว่างเปล่า จัดอยู่ในสิ่งที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ในดินแดนรกร้างโบราณยังสาบสูญไปนานแล้ว

และด้วยเหตุนี้รังไหมของผีเสื้อมารแยกฟ้าจึงถูกเก็บลืมอยู่ในเจดีย์สมบัติไร้อักษรราวหินก้อนหนึ่งมาตลอด

ช่วยไม่ได้ หลินสวินฝึกปราณมาจนทุกวันนี้ก็รวบรวมเจตวัตถุชั้นดีจากธรรมชาติมาไม่น้อย แต่เห็นจะมีเพียงผลึกอากาศลายเมฆที่ไม่เคยเจอมาก่อน

เมื่อไม่มีวัตถุดิบก็ไม่อาจใช้ประโยชน์

แต่จากการคาดเดาของเสี่ยวอิ๋นเมื่อไม่นานมานี้ ในแดนเก้าบนนี้อาจจะมีผลึกอากาศลายเมฆอยู่

หากสามารถเสาะหาสิ่งนี้ได้ก็ไม่จำเป็นต้องรบกวนหลินสวินเลย ด้วยเสี่ยวอิ๋นสามารถช่วยฟูมฟักและดูแลพัฒนาการของผีเสื้อมารแยกฟ้าตัวนั้นได้

ป่าไผ่เงียบสงบ ลมภูเขาพัดผ่านส่งเสียงดังสวบสาบดุจเสียงจากธรรมชาติ

ข้างกายลำธารใสสะอาดหลั่งรินเรื่อยเฉื่อย

นั่งผ่อนคลายที่นี่ ทำให้คนลืมเรื่องทางโลกโดยไม่รู้ตัว

แต่ตอนนี้ในหัวหลินสวินกลับปรากฏภาพที่รวมตัวจากกระบวนสลักวิญญาณมากมาย แน่นขนัดมหาศาลดั่งทะเลหมอก

นี่คือมรดกรอยสลักวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในหินผนึกมรรค!

‘เห็นแจ้งลายมรรค…’

‘ข้าตั้งจิตหยั่งรู้วิถีสลักวิญญาณชั่วชีวิต ทุกอย่างที่หยั่งถึงล้วนจารึกลงในนี้ หวังเพียงสืบทอดไม่สิ้นสุดก็ไม่เสียดายแล้ว’

‘รอยสลักวิญญาณก็คือการเปลี่ยนแปลงของลายมรรค สมัยบรรพกาลคนในอดีตศึกษาเส้นชีพจรปราณแห่งสรรพสิ่งทั่วหล้าจนหยั่งรู้วิชาสลักวิญญาณและย้อนรอยต้นกำเนิดของมัน รอยสลักวิญญาณนานัปการ กระบวนค่ายกลเรือนหมื่น ล้วนเป็นร่องรอยแห่งมหามรรคทั้งสิ้น’

หลินสวินพลันเลิกคิ้ว ในใจค่อนข้างตกตะลึงอยู่บ้าง

เขาติดตามท่านลู่เรียนรู้วิถีสลักวิญญาณตั้งแต่เด็ก เคยได้ยินท่านลู่พูดเช่นกันว่า หมื่นเปลี่ยนแปลงใจความคงเดิม รอยสลักวิญญาณแปรเปลี่ยนหลายหลาก รู้จักในนามความอัศจรรย์แห่งการเปลี่ยนแปลงไร้สิ้นสุด แต่หากสังเกตแก่นจริงแท้ของมัน ก็เป็นแค่การเปลี่ยนแปลงของลวดลายมหามรรคเท่านั้น!

คำอธิบายใน ‘เห็นแจ้งลายมรรค’ ที่มีต่อรอยสลักวิญญาณ เหมือนกับแนวคิดของท่านลู่ไม่มีผิด

เท่านี้ก็ทำให้หลินสวินคาดหวังกับ ‘เห็นแจ้งลายมรรค’ นี้ยิ่งกว่าเดิมแล้ว

‘ลายมรรค แก่นแห่งรอยสลักวิญญาณ ลักษณ์แห่งต้นกำเนิดนั้นไม่มีสิ่งใดไม่สอดคล้องกับมหามรรค ดังเช่นดินฟ้าอากาศ หยินหยางปัญจธาตุ…’

‘แม้จะเล็กดั่งใบหญ้า ก็ยังมีชีพจรปราณปรากฏ’

‘แม้ยิ่งใหญ่ราวจักรวาลดารา ก็ต้องโคจรตามกฎเกณฑ์’

‘ด้วยเหตุนี้ความอัศจรรย์ของมันไม่มีแบ่งสูงต่ำ ล้วนแต่เป็นลักษณ์แห่งมหามรรค สามารถแสดงแก่นแห่งสรรพสิ่งทั่วหล้าออกมาได้ทั้งสิ้น’

‘ตัวข้าศึกษาค้นคว้าลายมรรค เข้าใจหลักการ หยั่งรู้ความอัศจรรย์ของมันเพื่อให้พวกเราได้ใช้งาน อาศัยรอยสลักวิญญาณมาขับเคลื่อนอานุภาพแห่งฟ้าดิน’

‘แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นมหามรรคก็เกินคาดเดา ลายมรรคยังเร้นลับยากบรรยาย…’

สีหน้าหลินสวินเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเรื่อยๆ นานเข้าจิตใจก็ยิ่งจดจ่อ ไม่นานก็ดื่มด่ำอยู่กับมัน

แทนที่จะพูดว่า ‘เห็นแจ้งลายมรรค’ เป็นมรดกวิชาศึกษารอยสลักวิญญาณหนึ่ง สู้บอกว่าเป็นคัมภีร์มหามรรคที่อธิบายถึงลายมรรคยังดีกว่า!

หากเปลี่ยนเป็นนักสลักวิญญาณทั่วไปคงสิ้นหวัง ด้วยในคัมภีร์มหามรรคนี้ไม่ใช่วิชาสลักวิญญาณอย่างเป็นรูปธรรม ไม่สามารถเลียนแบบและฝึกฝนได้

แต่สำหรับหลินสวิน เห็นแจ้งลายมรรคกลับเรียกได้ว่าประเมินค่าไม่ได้!

อาศัยระดับความรู้อันลึกซึ้งในการสลักวิญญาณของเขาทุกวันนี้ บางทีอาจควบคุมกระบวนผนึกมรรคราชันได้อย่างง่ายดาย แต่หากมากกว่านี้ก็ยังความสามารถไม่ถึง

นี่ก็เหมือนคอขวดทำให้เขายากทะลวงขึ้นไปอีก

แต่การปรากฏของเห็นแจ้งลายมรรคกลับมอบความเป็นไปได้ที่จะทะลวงขั้นบนวิถีสลักวิญญาณแก่เขา!

และตอนนี้หลินสวินเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณแล้ว หากเลื่อนขั้นขึ้นไปอีกก็จะเป็นระดับใหม่ทั้งหมด…

นักสลักลายมรรค!

ลายมรรค (道纹) รอยสลักวิญญาณ (灵纹) ต่างกันเพียงหนึ่งอักษร แต่สิ่งที่สื่อถึงกลับเป็นแนวคิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

โดยทั่วไปผู้ที่สามารถกลายเป็นนักสลักลายมรรคได้ ล้วนแต่เป็นคนที่มองทะลุแก่นแท้แห่งรอยสลักวิญญาณ เริ่มย้อนทวนต้นกำเนิด ศึกษาค้นคว้าลายมรรคทั้งสิ้น

กล่าวได้ว่าบุคคลเช่นนี้หลุดออกจากขอบเขตของการสลักรอยสลักวิญญาณแล้ว เริ่มเสาะหาปริศนาแห่งแก่นแท้ของวิถีสลักรอยวิญญาณ!

การฝึกปราณของหลินสวินหลายปีนี้ยังไม่เคยเจอนักสลักลายมรรคสักคน

อย่างน้อยแค่คิดก็รู้แล้วว่าในดินแดนรกร้างโบราณ นักสลักลายมรรคต้องเป็นบุคคลที่หายากแน่นอน!

และตอนนี้หลินสวินก็ตัดสินได้แล้วว่า…

ยอดบุคคลที่ประพันธ์ ‘เห็นแจ้งลายมรรค’ ผู้นี้ต้องเป็นนักสลักลายมรรคคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีความคิดที่ลึกล้ำเช่นนี้แน่

การเขียนตำราขอแค่มีความรู้บ้างก็สามารถทำได้

แต่หากสามารถ ‘เขียนตำราเป็นคัมภีร์’ ก็ไม่ต่างอะไรกับการบรรลุอริยะแล้ว!

คัมภีร์ เพียงคำเดียวแต่ซ่อนมหาจักรวาล!

หลินสวินมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่าหากตนสามารถเข้าใจ ‘เห็นแจ้งลายมรรค’ ได้อย่างลึกซึ้ง จะต้องบรรลุระดับใหม่บนวิถีสลักวิญญาณแน่

ถึงตอนนั้นจะวางกระบวนค่ายกลล้อมสังหารบุคคลขอบเขตมกุฎที่ก้าวผ่านอมตะเคราะห์แล้ว ก็คงไม่ใช่เรื่องยาก

แน่นอนว่าหลินสวินยังมีอีกความคิดหนึ่ง

เขาไม่มีทางอยู่ที่เขาจำศีลหัวโล้น ช่วยเรือนกระบี่เร้นปุจฉาสลายการรุกรานจากศัตรูภายนอกได้ตลอด

แต่ก่อนจากไป การวางกระบวนผนึกที่พอจะทำให้ศัตรูภายนอกหวั่นหวาดให้กับเขาจำศีลหัวโล้น กลับเป็นเรื่องที่สามารถทำได้

“พี่หลินกำลังทำอะไรรึ”

บนยอดเขาจำศีลหัวโล้น โม่เทียนเหออดถามไม่ได้

“ฝึกตน”

จี้ซิงเหยากล่าวลอยๆ

โม่เทียนเหอตกตะลึง ไม่นานก็เอ่ยชม “สวรรค์ย่อมตอบแทนคนหมั่นเพียร พี่หลินประสบความสำเร็จเช่นทุกวันนี้ได้ต้องหยั่งรู้แก่นแท้ลึกซึ้งแน่ เปรียบเทียบกันแล้วช่างทำให้พวกเราละอายนัก”

จี้ซิงเหยากลอกตาใส่ “ทำไมข้าถึงดูไม่ออกว่าศิษย์พี่โม่ก็พูดจาประจบประแจงเป็นแล้ว”

โม่เทียนเหอหัวเราะลั่นไม่ใส่ใจ

ก่อนหน้านี้เขาอาจมีอคติกับหลินสวิน แต่ตอนนี้มองหลินสวินเป็นสหายนานแล้ว เรื่องผิดใจเล็กน้อยในอดีตก็หายไปด้วย

“ศิษย์พี่โม่ หลินสวินพักอยู่ที่เขาจำศีลหัวโล้น สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าต่อจากนี้ต้องมีคลื่นลมมากมายม้วนพัดมาแน่ พวกเราไม่อาจประมาทแล้ว”

จี้ซิงเหยากล่าวเตือน

โม่เทียนเหอผงะในใจวูบหนึ่ง พยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ

ผ่านไปสี่ปี หลินสวินรอดชีวิตกลับมาแล้ว!

ข่าวนี้ราวลมกาฬวาตลูกหนึ่ง อาศัยความเร็วน่าเหลือเชื่อแพร่สะพัดไปทั่วแดนอัคคีทักษิณ ทำให้บรรยากาศที่เดิมเงียบสงบถูกระเบิดลงทันที

“เทพมารหลินยังมีชีวิตอยู่ นี่เป็นไปได้อย่างไร”

คนมากมายล้วนงงไปหมด ไม่อาจจะเชื่อ

สี่ปีก่อน ทุกข่าวที่เกี่ยวกับการตายของหลินสวินเปิดฉากอึกทึกสะเทือนทั่วแดนเก้าบนจนมืดฟ้ามัวดิน

แต่ตอนนี้กลับมีข่าวบอกว่าหลินสวินฟื้นคืนจากความตาย กลับมาอย่างแข็งกร้าว!

ในเวลาอันสั้นไม่ว่าใครก็คงยากจะเชื่อ

“เป็นไปไม่ได้ นี่ต้องเป็นข่าวลวงแน่!”

และมีคนมากมายตั้งข้อสงสัย คิดว่านี่เป็นข่าวลือ

ไม่ว่าอย่างไรตามข่าวนี้ก็เผยแพร่ออกไปแล้ว สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็ด้วยสองคำเท่านั้น…

ชื่อเสียง!

สี่ปีก่อนชื่อของเทพมารหลินดั่งดวงตะวันส่องประกายบนเวิ้งฟ้าแห่งหนึ่ง เป็นที่รู้จักของคนในใต้หล้า ไม่ว่ามิตรหรือศัตรูล้วนไม่อาจไม่ยอมรับว่าเขาแข็งแกร่ง

โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขายิ่งเหมือนดั่งตำนาน

ถึงแม้สี่ปีมานี้ชื่อของหลินสวินจะค่อยๆ หายไปจากสายตาผู้คนนานแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่อาจถูกลืมเลือน!

ด้วยเหตุนี้เมื่อมีข่าวว่าหลินสวินรอดกลับมา แค่คิดก็รู้แล้วว่าความอึกทึกครึกโครมที่เกิดขึ้นจะยิ่งใหญ่ระดับใด

เพียงชั่วขณะ สถานการณ์ที่ตกสู่ความสงบชั่วคราวในช่วงนี้ก็ถูกทำลายตามการแพร่กระจายของข่าวนี้

ขุมอำนาจไม่รู้เท่าไรถูกทำให้ตระหนก และไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งเท่าไหร่กำลังส่งเสียงอื้ออึง

“เป็นเรื่องจริง วันนั้นขุมอำนาจแดนนรกปิดล้อมเขาจำศีลหัวโล้น หมายบีบให้เรือนกระบี่เร้นปุจฉาสวามิภักดิ์ แต่ด้วยการปรากฏตัวของหลินสวินทำให้แผนของขุมอำนาจแดนนรกพังทลายในพริบตา!”

เมื่อข่าวโดยละเอียดนี้แพร่ออกไป ประกอบกับมีสถานที่และเรื่องอ้างอิง จึงทำให้แดนอัคคีทักษิณอึกทึกครึกโครมทันที

ที่ตามมาติดๆ ก็คือข่าวที่ละเอียดกว่าแพร่ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ

“กำลังพลที่ออกปฏิบัติการของขุมอำนาจแดนนรกพ่ายแพ้สิ้น ภายในนั้นมีขุนพลสามคนเสียชีวิต ขุนพลคนหนึ่งหนีเอาชีวิตรอด คนอื่นถูกฆ่าหมด!”

ในแดนเก้าบนทุกวันนี้ แดนนรกเป็นขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่มหึมาแห่งหนึ่ง อำนาจอิทธิพลผงาดกร้าวไม่มีสิ่งใดกีดขวาง

แต่ตอนนี้ขุนพลสี่คนในขุมอำนาจต่างพ่ายแพ้สิ้น นี่ก็ทำให้ผู้คนประหลาดใจแล้ว

“เทพมารหลินก้าวสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านสามแล้ว!”

เมื่อทราบข่าวนี้ขุมอำนาจมากมายต่างแตกตื่น ไม่อาจนิ่งเฉย

หายไปสี่ปี เทพมารหลินนี่ไม่เพียงแต่รอดกลับมา พลังต่อสู้ยังไม่อาจนำมาเทียบกับอดีตด้วย!

“อ๊าก…”

อาณาเขตขุมอำนาจแดนนรกวันนี้ไม่รู้มีเสียงคำรามอย่างเดือดดาลดังขึ้นกี่หน แทบอยากจะเคลื่อนพลไปกำราบหลินสวินเสียเดี๋ยวนั้น

หลินสวินรอดกลับมาไม่ใช่ปัญหา

แต่การกลับมาของเขายังมาพร้อมพายุโลหิตที่กำจัดผู้แข็งแกร่งแดนนรกของพวกเขา นี่ทำให้อำนาจของพวกเขาแดนนรกถูกโจมตีอย่างหนัก!

“เขาถึงกับยังมีชีวิตอยู่…”

“คนชั่วอายุยืนพันปีรึ”

“เจ้าหมอนี่กลับมาตอนนี้ สามารถคาดเดาได้เลยว่าในแดนอัคคีทักษิณต้องไม่สงบแน่!”

ถึงตอนนี้ทุกคนต่างแน่ใจแล้วว่าข่าวการมีชีวิตอยู่ของหลินสวินไม่มีทางเป็นเท็จ คนไม่น้อยถึงขั้นเริ่มสันนิษฐานว่าหลินสวินปรากฏตัวคราวนี้ จะชักนำให้เกิดคลื่นลมเช่นไร

ที่สามารถแน่ใจได้คือ คลื่นลมคราวนี้ต้องไม่เล็กแน่!

…………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1253 เห็นแจ้งลายมรรค

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1253 เห็นแจ้งลายมรรค at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นับจากวันนี้หลินสวินจะพักอยู่ที่เขาจำศีลหัวโล้นชั่วคราว

ยอดเขาหม่อนเขียว

ไผ่เขียว หินเก่าแก่ น้ำตกหลั่งริน เถาวัลย์โบราณ ธารน้ำใส ทิวทัศน์ดั่งภาพวาดประหนึ่งแดนเซียน

เดิมทีเขาจำศีลหัวโล้นก็เป็นเขาแดนมงคลลูกหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในแดนอัคคีทักษิณ ชีพจรปราณวิญญาณรวมตัวกัน ซึบซับพลังวิญญาณแห่งฟ้าดิน

ที่พักซึ่งจี้ซิงเหยาจัดเตรียมไว้ให้หลินสวินนี้เป็นแหล่งวิญญาณต้นกำเนิดแห่งหนึ่งบนเขาจำศีลหัวโล้น มีประโยชน์อย่างมากต่อการฝึกปราณ

ป่าไผ่ไหวโอน เขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ ลำธารสายหนึ่งไหลเอื่อยผ่านป่าไผ่ เสริมความงามเงียบสงบไร้สิ้นสุด

หลินสวินนั่งอยู่ริมธารระหว่างป่าไผ่ มือถือหินกระบวนขนาดเท่าฝ่ามือก้อนหนึ่ง พื้นผิวอาบย้อมด้วยคราบเลือด

ในสายตาผู้แข็งแกร่งระดับราชันก็ดูเค้าเงื่อนของหินก้อนนี้ไม่ออก แต่สำหรับนักสลักวิญญาณสิ่งนี้กลับเป็นยอดสมบัติชิ้นหนึ่ง!

ด้วยเกี่ยวข้องกับพลังผนึกต้องห้ามที่ลึกล้ำอย่างยิ่ง ความจริงแล้วในหินก้อนนี้ยังซ่อนความลับยิ่งใหญ่ไว้ด้วย

ในสายตานักสลักวิญญาณของสิ่งนี้ยังมีอีกชื่อหนึ่ง…

หินผนึกมรรค!

เวลานี้หลินสวินกำลังตั้้งสมาธิหยั่งรู้สมบัตินี้

ปีนั้นที่ข้ามแม่น้ำพรมแดนมาถึงเมืองเพลิงมรกตตรงชายแดนแดนชัยบูรพาครั้งแรก บนแผงลอยที่เร่ขายสมบัติหนึ่ง หลินสวินเก็บสมบัตินี้มาได้โดยไม่ตั้งใจ

เพียงแต่หลายปีนี้ยุ่งง่วน ของชิ้นนี้จึงถูกเก็บอยู่ในเจดีย์สมบัติไร้อักษรมาตลอดจนเกือบจะถูกลืม

แต่ช่วงนี้เมื่อได้ตรวจสอบสมบัติติดตัวจึงถูกหลินสวินเจออีกครั้ง

ว่าไปแล้วนอกจากหินผนึกมรรคที่แปลกประหลาดก้อนนี้ ตอนนั้นหลินสวินยังได้รังไหมสีดำชิ้นหนึ่งมาจากศิลาอุกกาบาตที่แตกออกใน ‘งานประเมินหิน’ ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองเพลิงมรกตด้วย

ที่จำศีลอยู่ในรังไหมคือตัวอ่อนผีเสื้อมารแยกฟ้าตัวหนึ่ง อยากจะวิวัฒนาการยิ่งยากลำบากกว่าหนอนกินเทพ เนื่องเพราะต้องการ ‘ผลึกอากาศลายเมฆ’ เฉพาะตัวอย่างหนึ่งมาให้กำเนิด

แต่ผลึกอากาศลายเมฆเป็นเจตวัตถุหายากที่กำเนิดในกฎระเบียบแห่งห้วงอากาศว่างเปล่า จัดอยู่ในสิ่งที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ในดินแดนรกร้างโบราณยังสาบสูญไปนานแล้ว

และด้วยเหตุนี้รังไหมของผีเสื้อมารแยกฟ้าจึงถูกเก็บลืมอยู่ในเจดีย์สมบัติไร้อักษรราวหินก้อนหนึ่งมาตลอด

ช่วยไม่ได้ หลินสวินฝึกปราณมาจนทุกวันนี้ก็รวบรวมเจตวัตถุชั้นดีจากธรรมชาติมาไม่น้อย แต่เห็นจะมีเพียงผลึกอากาศลายเมฆที่ไม่เคยเจอมาก่อน

เมื่อไม่มีวัตถุดิบก็ไม่อาจใช้ประโยชน์

แต่จากการคาดเดาของเสี่ยวอิ๋นเมื่อไม่นานมานี้ ในแดนเก้าบนนี้อาจจะมีผลึกอากาศลายเมฆอยู่

หากสามารถเสาะหาสิ่งนี้ได้ก็ไม่จำเป็นต้องรบกวนหลินสวินเลย ด้วยเสี่ยวอิ๋นสามารถช่วยฟูมฟักและดูแลพัฒนาการของผีเสื้อมารแยกฟ้าตัวนั้นได้

ป่าไผ่เงียบสงบ ลมภูเขาพัดผ่านส่งเสียงดังสวบสาบดุจเสียงจากธรรมชาติ

ข้างกายลำธารใสสะอาดหลั่งรินเรื่อยเฉื่อย

นั่งผ่อนคลายที่นี่ ทำให้คนลืมเรื่องทางโลกโดยไม่รู้ตัว

แต่ตอนนี้ในหัวหลินสวินกลับปรากฏภาพที่รวมตัวจากกระบวนสลักวิญญาณมากมาย แน่นขนัดมหาศาลดั่งทะเลหมอก

นี่คือมรดกรอยสลักวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในหินผนึกมรรค!

‘เห็นแจ้งลายมรรค…’

‘ข้าตั้งจิตหยั่งรู้วิถีสลักวิญญาณชั่วชีวิต ทุกอย่างที่หยั่งถึงล้วนจารึกลงในนี้ หวังเพียงสืบทอดไม่สิ้นสุดก็ไม่เสียดายแล้ว’

‘รอยสลักวิญญาณก็คือการเปลี่ยนแปลงของลายมรรค สมัยบรรพกาลคนในอดีตศึกษาเส้นชีพจรปราณแห่งสรรพสิ่งทั่วหล้าจนหยั่งรู้วิชาสลักวิญญาณและย้อนรอยต้นกำเนิดของมัน รอยสลักวิญญาณนานัปการ กระบวนค่ายกลเรือนหมื่น ล้วนเป็นร่องรอยแห่งมหามรรคทั้งสิ้น’

หลินสวินพลันเลิกคิ้ว ในใจค่อนข้างตกตะลึงอยู่บ้าง

เขาติดตามท่านลู่เรียนรู้วิถีสลักวิญญาณตั้งแต่เด็ก เคยได้ยินท่านลู่พูดเช่นกันว่า หมื่นเปลี่ยนแปลงใจความคงเดิม รอยสลักวิญญาณแปรเปลี่ยนหลายหลาก รู้จักในนามความอัศจรรย์แห่งการเปลี่ยนแปลงไร้สิ้นสุด แต่หากสังเกตแก่นจริงแท้ของมัน ก็เป็นแค่การเปลี่ยนแปลงของลวดลายมหามรรคเท่านั้น!

คำอธิบายใน ‘เห็นแจ้งลายมรรค’ ที่มีต่อรอยสลักวิญญาณ เหมือนกับแนวคิดของท่านลู่ไม่มีผิด

เท่านี้ก็ทำให้หลินสวินคาดหวังกับ ‘เห็นแจ้งลายมรรค’ นี้ยิ่งกว่าเดิมแล้ว

‘ลายมรรค แก่นแห่งรอยสลักวิญญาณ ลักษณ์แห่งต้นกำเนิดนั้นไม่มีสิ่งใดไม่สอดคล้องกับมหามรรค ดังเช่นดินฟ้าอากาศ หยินหยางปัญจธาตุ…’

‘แม้จะเล็กดั่งใบหญ้า ก็ยังมีชีพจรปราณปรากฏ’

‘แม้ยิ่งใหญ่ราวจักรวาลดารา ก็ต้องโคจรตามกฎเกณฑ์’

‘ด้วยเหตุนี้ความอัศจรรย์ของมันไม่มีแบ่งสูงต่ำ ล้วนแต่เป็นลักษณ์แห่งมหามรรค สามารถแสดงแก่นแห่งสรรพสิ่งทั่วหล้าออกมาได้ทั้งสิ้น’

‘ตัวข้าศึกษาค้นคว้าลายมรรค เข้าใจหลักการ หยั่งรู้ความอัศจรรย์ของมันเพื่อให้พวกเราได้ใช้งาน อาศัยรอยสลักวิญญาณมาขับเคลื่อนอานุภาพแห่งฟ้าดิน’

‘แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นมหามรรคก็เกินคาดเดา ลายมรรคยังเร้นลับยากบรรยาย…’

สีหน้าหลินสวินเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเรื่อยๆ นานเข้าจิตใจก็ยิ่งจดจ่อ ไม่นานก็ดื่มด่ำอยู่กับมัน

แทนที่จะพูดว่า ‘เห็นแจ้งลายมรรค’ เป็นมรดกวิชาศึกษารอยสลักวิญญาณหนึ่ง สู้บอกว่าเป็นคัมภีร์มหามรรคที่อธิบายถึงลายมรรคยังดีกว่า!

หากเปลี่ยนเป็นนักสลักวิญญาณทั่วไปคงสิ้นหวัง ด้วยในคัมภีร์มหามรรคนี้ไม่ใช่วิชาสลักวิญญาณอย่างเป็นรูปธรรม ไม่สามารถเลียนแบบและฝึกฝนได้

แต่สำหรับหลินสวิน เห็นแจ้งลายมรรคกลับเรียกได้ว่าประเมินค่าไม่ได้!

อาศัยระดับความรู้อันลึกซึ้งในการสลักวิญญาณของเขาทุกวันนี้ บางทีอาจควบคุมกระบวนผนึกมรรคราชันได้อย่างง่ายดาย แต่หากมากกว่านี้ก็ยังความสามารถไม่ถึง

นี่ก็เหมือนคอขวดทำให้เขายากทะลวงขึ้นไปอีก

แต่การปรากฏของเห็นแจ้งลายมรรคกลับมอบความเป็นไปได้ที่จะทะลวงขั้นบนวิถีสลักวิญญาณแก่เขา!

และตอนนี้หลินสวินเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณแล้ว หากเลื่อนขั้นขึ้นไปอีกก็จะเป็นระดับใหม่ทั้งหมด…

นักสลักลายมรรค!

ลายมรรค (道纹) รอยสลักวิญญาณ (灵纹) ต่างกันเพียงหนึ่งอักษร แต่สิ่งที่สื่อถึงกลับเป็นแนวคิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

โดยทั่วไปผู้ที่สามารถกลายเป็นนักสลักลายมรรคได้ ล้วนแต่เป็นคนที่มองทะลุแก่นแท้แห่งรอยสลักวิญญาณ เริ่มย้อนทวนต้นกำเนิด ศึกษาค้นคว้าลายมรรคทั้งสิ้น

กล่าวได้ว่าบุคคลเช่นนี้หลุดออกจากขอบเขตของการสลักรอยสลักวิญญาณแล้ว เริ่มเสาะหาปริศนาแห่งแก่นแท้ของวิถีสลักรอยวิญญาณ!

การฝึกปราณของหลินสวินหลายปีนี้ยังไม่เคยเจอนักสลักลายมรรคสักคน

อย่างน้อยแค่คิดก็รู้แล้วว่าในดินแดนรกร้างโบราณ นักสลักลายมรรคต้องเป็นบุคคลที่หายากแน่นอน!

และตอนนี้หลินสวินก็ตัดสินได้แล้วว่า…

ยอดบุคคลที่ประพันธ์ ‘เห็นแจ้งลายมรรค’ ผู้นี้ต้องเป็นนักสลักลายมรรคคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีความคิดที่ลึกล้ำเช่นนี้แน่

การเขียนตำราขอแค่มีความรู้บ้างก็สามารถทำได้

แต่หากสามารถ ‘เขียนตำราเป็นคัมภีร์’ ก็ไม่ต่างอะไรกับการบรรลุอริยะแล้ว!

คัมภีร์ เพียงคำเดียวแต่ซ่อนมหาจักรวาล!

หลินสวินมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่าหากตนสามารถเข้าใจ ‘เห็นแจ้งลายมรรค’ ได้อย่างลึกซึ้ง จะต้องบรรลุระดับใหม่บนวิถีสลักวิญญาณแน่

ถึงตอนนั้นจะวางกระบวนค่ายกลล้อมสังหารบุคคลขอบเขตมกุฎที่ก้าวผ่านอมตะเคราะห์แล้ว ก็คงไม่ใช่เรื่องยาก

แน่นอนว่าหลินสวินยังมีอีกความคิดหนึ่ง

เขาไม่มีทางอยู่ที่เขาจำศีลหัวโล้น ช่วยเรือนกระบี่เร้นปุจฉาสลายการรุกรานจากศัตรูภายนอกได้ตลอด

แต่ก่อนจากไป การวางกระบวนผนึกที่พอจะทำให้ศัตรูภายนอกหวั่นหวาดให้กับเขาจำศีลหัวโล้น กลับเป็นเรื่องที่สามารถทำได้

“พี่หลินกำลังทำอะไรรึ”

บนยอดเขาจำศีลหัวโล้น โม่เทียนเหออดถามไม่ได้

“ฝึกตน”

จี้ซิงเหยากล่าวลอยๆ

โม่เทียนเหอตกตะลึง ไม่นานก็เอ่ยชม “สวรรค์ย่อมตอบแทนคนหมั่นเพียร พี่หลินประสบความสำเร็จเช่นทุกวันนี้ได้ต้องหยั่งรู้แก่นแท้ลึกซึ้งแน่ เปรียบเทียบกันแล้วช่างทำให้พวกเราละอายนัก”

จี้ซิงเหยากลอกตาใส่ “ทำไมข้าถึงดูไม่ออกว่าศิษย์พี่โม่ก็พูดจาประจบประแจงเป็นแล้ว”

โม่เทียนเหอหัวเราะลั่นไม่ใส่ใจ

ก่อนหน้านี้เขาอาจมีอคติกับหลินสวิน แต่ตอนนี้มองหลินสวินเป็นสหายนานแล้ว เรื่องผิดใจเล็กน้อยในอดีตก็หายไปด้วย

“ศิษย์พี่โม่ หลินสวินพักอยู่ที่เขาจำศีลหัวโล้น สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าต่อจากนี้ต้องมีคลื่นลมมากมายม้วนพัดมาแน่ พวกเราไม่อาจประมาทแล้ว”

จี้ซิงเหยากล่าวเตือน

โม่เทียนเหอผงะในใจวูบหนึ่ง พยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ

ผ่านไปสี่ปี หลินสวินรอดชีวิตกลับมาแล้ว!

ข่าวนี้ราวลมกาฬวาตลูกหนึ่ง อาศัยความเร็วน่าเหลือเชื่อแพร่สะพัดไปทั่วแดนอัคคีทักษิณ ทำให้บรรยากาศที่เดิมเงียบสงบถูกระเบิดลงทันที

“เทพมารหลินยังมีชีวิตอยู่ นี่เป็นไปได้อย่างไร”

คนมากมายล้วนงงไปหมด ไม่อาจจะเชื่อ

สี่ปีก่อน ทุกข่าวที่เกี่ยวกับการตายของหลินสวินเปิดฉากอึกทึกสะเทือนทั่วแดนเก้าบนจนมืดฟ้ามัวดิน

แต่ตอนนี้กลับมีข่าวบอกว่าหลินสวินฟื้นคืนจากความตาย กลับมาอย่างแข็งกร้าว!

ในเวลาอันสั้นไม่ว่าใครก็คงยากจะเชื่อ

“เป็นไปไม่ได้ นี่ต้องเป็นข่าวลวงแน่!”

และมีคนมากมายตั้งข้อสงสัย คิดว่านี่เป็นข่าวลือ

ไม่ว่าอย่างไรตามข่าวนี้ก็เผยแพร่ออกไปแล้ว สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็ด้วยสองคำเท่านั้น…

ชื่อเสียง!

สี่ปีก่อนชื่อของเทพมารหลินดั่งดวงตะวันส่องประกายบนเวิ้งฟ้าแห่งหนึ่ง เป็นที่รู้จักของคนในใต้หล้า ไม่ว่ามิตรหรือศัตรูล้วนไม่อาจไม่ยอมรับว่าเขาแข็งแกร่ง

โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขายิ่งเหมือนดั่งตำนาน

ถึงแม้สี่ปีมานี้ชื่อของหลินสวินจะค่อยๆ หายไปจากสายตาผู้คนนานแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่อาจถูกลืมเลือน!

ด้วยเหตุนี้เมื่อมีข่าวว่าหลินสวินรอดกลับมา แค่คิดก็รู้แล้วว่าความอึกทึกครึกโครมที่เกิดขึ้นจะยิ่งใหญ่ระดับใด

เพียงชั่วขณะ สถานการณ์ที่ตกสู่ความสงบชั่วคราวในช่วงนี้ก็ถูกทำลายตามการแพร่กระจายของข่าวนี้

ขุมอำนาจไม่รู้เท่าไรถูกทำให้ตระหนก และไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งเท่าไหร่กำลังส่งเสียงอื้ออึง

“เป็นเรื่องจริง วันนั้นขุมอำนาจแดนนรกปิดล้อมเขาจำศีลหัวโล้น หมายบีบให้เรือนกระบี่เร้นปุจฉาสวามิภักดิ์ แต่ด้วยการปรากฏตัวของหลินสวินทำให้แผนของขุมอำนาจแดนนรกพังทลายในพริบตา!”

เมื่อข่าวโดยละเอียดนี้แพร่ออกไป ประกอบกับมีสถานที่และเรื่องอ้างอิง จึงทำให้แดนอัคคีทักษิณอึกทึกครึกโครมทันที

ที่ตามมาติดๆ ก็คือข่าวที่ละเอียดกว่าแพร่ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ

“กำลังพลที่ออกปฏิบัติการของขุมอำนาจแดนนรกพ่ายแพ้สิ้น ภายในนั้นมีขุนพลสามคนเสียชีวิต ขุนพลคนหนึ่งหนีเอาชีวิตรอด คนอื่นถูกฆ่าหมด!”

ในแดนเก้าบนทุกวันนี้ แดนนรกเป็นขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่มหึมาแห่งหนึ่ง อำนาจอิทธิพลผงาดกร้าวไม่มีสิ่งใดกีดขวาง

แต่ตอนนี้ขุนพลสี่คนในขุมอำนาจต่างพ่ายแพ้สิ้น นี่ก็ทำให้ผู้คนประหลาดใจแล้ว

“เทพมารหลินก้าวสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านสามแล้ว!”

เมื่อทราบข่าวนี้ขุมอำนาจมากมายต่างแตกตื่น ไม่อาจนิ่งเฉย

หายไปสี่ปี เทพมารหลินนี่ไม่เพียงแต่รอดกลับมา พลังต่อสู้ยังไม่อาจนำมาเทียบกับอดีตด้วย!

“อ๊าก…”

อาณาเขตขุมอำนาจแดนนรกวันนี้ไม่รู้มีเสียงคำรามอย่างเดือดดาลดังขึ้นกี่หน แทบอยากจะเคลื่อนพลไปกำราบหลินสวินเสียเดี๋ยวนั้น

หลินสวินรอดกลับมาไม่ใช่ปัญหา

แต่การกลับมาของเขายังมาพร้อมพายุโลหิตที่กำจัดผู้แข็งแกร่งแดนนรกของพวกเขา นี่ทำให้อำนาจของพวกเขาแดนนรกถูกโจมตีอย่างหนัก!

“เขาถึงกับยังมีชีวิตอยู่…”

“คนชั่วอายุยืนพันปีรึ”

“เจ้าหมอนี่กลับมาตอนนี้ สามารถคาดเดาได้เลยว่าในแดนอัคคีทักษิณต้องไม่สงบแน่!”

ถึงตอนนี้ทุกคนต่างแน่ใจแล้วว่าข่าวการมีชีวิตอยู่ของหลินสวินไม่มีทางเป็นเท็จ คนไม่น้อยถึงขั้นเริ่มสันนิษฐานว่าหลินสวินปรากฏตัวคราวนี้ จะชักนำให้เกิดคลื่นลมเช่นไร

ที่สามารถแน่ใจได้คือ คลื่นลมคราวนี้ต้องไม่เล็กแน่!

…………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+