Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1279 เคราะห์เจ็ดอารมณ์

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1279 เคราะห์เจ็ดอารมณ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หินผา ต้นหญ้า บ่อบึง สายธาร… ล้วนมลายหายไปท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม

ห้วงอากาศกำลังยุบตัว ผืนปฐพีแยกออกเป็นโพรงมหึมาน่าสะท้านขวัญ พื้นที่รัศมีพันลี้ราวเกิดแผ่นดินไหวที่ไม่เคยอุบัติขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ โกลาหลยุ่งเหยิงไปหมด

ปราณกระบี่ที่ระเบิดออกมาริ้วแล้วริ้วเล่ายังอ้อยอิ่งอยู่ในห้วงอากาศ ล้วนเต็มไปด้วยไอพิฆาตหนาวยะเยือก เนิ่นนานก็ยังไม่สลายไป

ท่ามกลางหมอกควันตลบอบอวล หลินสวินไอเบาๆ ครั้งหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองรอบด้าน ใจเคร่งเครียด

“ตายไหม”

นกทมิฬโผล่หน้าเอ่ยถามจากด้านหนึ่ง

“ไม่ตาย”

หลินสวินหวนนึกถึงภาพก่อนหน้านั้น ระหว่างที่ปราณกระบี่ปะทะกัน แม้อวิ๋นชิ่งไป๋รับการจู่โจมไว้แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายป่นปี้

ท่ามกลางความคลุมเครือ เพียงเห็นว่าเขาแปรสภาพเป็นแสงมายาสายหนึ่ง แล้วหายลับไปอย่างไร้ร่องรอย

“อีกนิดเดียวเอง!”

นกทมิฬผิดหวังนัก

“เดิมข้าก็ไม่ได้คาดหวังมากมายนักหรอก”

หลินสวินกลับเยือกเย็นนัก เพราะเขารู้ดีว่าคนอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋ย่อมไม่มีทางฆ่าง่ายปานนี้

คราวนี้โจมตีจนเขาหัวซุกหัวซุน บาดเจ็บสาหัสเจียนตายได้ ก็เป็นเพราะเขาคาดไม่ถึง เล่นงานตอนเขาไม่ได้ตั้งตัว

“แต่ว่า ความรุนแรงของอาการบาดเจ็บที่เขาได้รับคราวนี้ ต่อให้ฟื้นตัวขึ้นมาได้ก็ต้องใช้เวลานานมาก”

หลินสวินพ่นลมหายใจ

เขารู้สึกเหนื่อยล้าไปทั้งกาย

การต่อสู้นี้ดูเหมือนชนะหวุดหวิด แต่กลับทำให้เขารับรู้ได้อย่างแจ่มชัดว่า หากประลองซึ่งหน้ากับอวิ๋นชิ่งไป๋ในสภาพสูงสุด เขาถึงขั้นไม่แน่ใจว่าจะโจมตีอีกฝ่ายได้

สาเหตุก็อยู่ที่พลังปราณของเขาต่างกับอวิ๋นชิ่งไป๋สองระดับ!

หากระดับเท่ากัน หลินสวินเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าจะฆ่าเขาได้อย่างแน่นอน!

“จะไล่ตามต่อไหม”

นกทมิฬเอ่ยถาม

หลินสวินส่ายหัว ไม่มีโอกาสแล้ว บุคคลอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋ ทันทีที่หนีไปได้ ด้วยสติปัญญาและความสามารถของเขาย่อมไม่อาจถูกหาเจอได้อีก

“กลับไปเถอะ ไปดูที่สถูปเจดีย์เสียหน่อย”

หลินสวินตัดสินใจ

การต่อสู้นี้เขาจำเป็นต้องไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเป็นต้องวิเคราะห์พลังต่อสู้ของอวิ๋นชิ่งไป๋อย่างแม่นยำ

“ได้”

นกทมิฬพยักหน้ารับ

มันก็รู้ว่าในการต่อสู้นี้หลินสวินได้เปรียบอยู่มาก

จุดสำคัญมีอยู่สองอย่าง หนึ่งคือตอนที่พวกเขาเห็นอวิ๋นชิ่งไป๋ อีกฝ่ายกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญในการหลอมพลังพรสวรรค์ของกู่ฝอจื่อพอดี ไม่อาจใช้พลังทั้งหมดได้

สองคือ อวิ๋นชิ่งไป๋ไม่ได้คาดเอาไว้ว่าในร่างแยกของกู่ฝอจื่อได้ถูกนกทมิฬวางผนึกลี้ลับผนึกหนึ่งไว้ก่อนแล้ว

เดิมทีที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อคิดบัญชีร่างต้นของกู่ฝอจื่อ ทำให้เขาประสบเคราะห์ตอนหลอมรวมกับร่างแยก

จะคิดได้อย่างไรว่าร่างต้นของกู่ฝอจื่อถูกอวิ๋นชิ่งไป๋ฆ่าไปก่อนแล้ว กลับเป็นเพราะหลอมพลังพรสวรรค์ที่ชิงมาจากร่างแยกของกู่ฝอจื่อ ถึงได้รับ ‘ของกำนัลชิ้นใหญ่’ ที่เดิมเตรียมไว้ให้ร่างต้นของกู่ฝอจื่อไปโดยอ้อม

นี่ก็เป็นสาเหตุที่อวิ๋นชิ่งไป๋บาดเจ็บกระอักเลือด ทันทีที่นกทมิฬเปล่งคาถาลับคาถาหนึ่งออกมาตอนที่อยู่ในสถูปเจดีย์

สรุปแล้ว ความบังเอิญชุดหนึ่งทบซ้อนกัน จึงทำให้คราวนี้อวิ๋นชิ่งไป๋ตกอยู่ในสภาพอับจนถูกกระทำถึงที่สุด จำต้องหลบหนี

หากประลองกันซึ่งหน้า นกทมิฬก็คิดว่าความหวังที่หลินสวินจะฆ่าอีกฝ่ายได้มีไม่มากนัก

แต่ภายหน้าก็ไม่แน่แล้ว

ตามการคาดเดาของนกทมิฬ อวิ๋นชิ่งไป๋บาดเจ็บเจียนตาย ในช่วงที่ฟื้นตัวนี้ ขอเพียงหลินสวินรีบเร่งทะลวงปราณ ต้องสามารถทำให้ศักยภาพเปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกฟ้าพลิกดินแน่นอน!

……

ครึ่งวันผ่านไป

หลินสวินกับนกทมิฬกลับมาที่สถูปเจดีย์

หลินสวินฝืนความเหนื่อยล้าง่วงงุน วางกระบวนผนึกลายมรรคชั้นหนึ่งโดยรอบสถูปเจดีย์นี้ จากนั้นก็เริ่มปิดด่านทันที

นกทมิฬที่รีบรุดตลอดทางก็ง่วงจนหมดแรงแล้ว ล้มตัวลงนอนหลับลึกในกระทะดำใหญ่ของตน

‘อันดับหนึ่งแห่งกระดานทองผู้กล้าอวิ๋นชิ่งไป๋ ถูกเทพมารหลินตามฆ่า!’

ที่โลกภายนอก ข่าวทำนองนี้เริ่มแพร่กระจายอย่างฉับไวราวพายุ ไม่นานนักก็สะเทือนทั่วแดนคีรีอีสาน จากนั้นก็แผ่ขยายไปทั้งแดนเก้าบน

ชั่วขณะเดียวก็ก่อให้เกิดพายุปั่นป่วนลูกใหญ่!

“หลังจากหายเงียบมาสี่ปี ทันทีที่เทพมารหลินปรากฏตัวขึ้นในโลกก็กำราบบุตรนรกกับกู่ฝอจื่อตามลำดับ นี่ยังไม่ทันไรก็โจมตีอวิ๋นชิ่งไป๋เสียยับเยินจนหนีไปเลยหรือ”

มีคนสั่นสะท้าน

“นี่ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่าตอนนี้หลินสวินมีพลังต่อสู้เป็นอันดับหนึ่งในกระดานผู้กล้าหรือ แต่เขาเพิ่งมีพลังปราณอมตะเคราะห์ด่านสามเองไม่ใช่หรือ”

มีคนตื่นตะลึง

“นี่ต้องเป็นเรื่องโกหกแน่! อวิ๋นชิ่งไป๋ไร้เทียมทาน ดุจสุริยันกลางนภาที่สาดส่องจักรวาลเพียงหนึ่งเดียว แสงหิ่งห้อยอย่างหลินสวินจะไปแข่งรัศมีได้หรือ”

ทั้งยังมีคนไม่เชื่อ แสดงท่าทีเอือมระอา

“แล้วคนสำนักกระบี่เทียมฟ้าล่ะ ทำไม่ถึงไม่อธิบายเรื่องนี้ หรืออวิ๋นชิ่งไป๋จะถูกเทพมารหลินตามฆ่าตลอดทางจริงๆ”

…เสียงวิพากษ์วิจารณ์ฮือฮาต่างๆ เกิดขึ้นในแดนเก้าบน คลื่นลมไม่รู้เท่าไรซัดสาด

ไม่ว่าข่าวจะจริงหรือเท็จ ชั่วขณะเดียวทำให้กิตติศัพท์ของหลินสวินโด่งดังขึ้นมาก มีแนวโน้มว่าจะไม่มีใครในใต้หล้าไม่รู้จักเขา

……

แดนวารีอุดร ส่วนลึกของมหาสมุทรสีดำแห่งหนึ่ง มีเกาะร้างเกาะหนึ่งอยู่

“อ๊าก…!”

วันนี้ เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองเคียดแค้นเสียงหนึ่งดังออกมาราวสายฟ้าฟาด สั่นสะท้านถาโถม

ชั่วขณะเดียวแถบทะเลแห่งนี้ปั่นป่วน สัตว์ปีศาจที่จำศีลอยู่ในน้ำทะเลต่างขวัญหนีดีฝ่อ ร้อนรนหลบหนี

ครู่ใหญ่เสียงถึงเงียบไป

บนเกาะร้าง อวิ๋นชิ่งไป๋นั่งอ่อนเปลี้ยอยู่กับพื้น ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง หอบหายใจติดขัด สีหน้าคล้ำเขียวจนน่ากลัว ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยเลือด

ยามพินิจโดยละเอียด ร่างของเขาเหมือนเครื่องกระเบื้องที่แตกออก เต็มไปด้วยรอยแผลรอยแล้วรอยเล่า เลือดไหลโชก น่าตื่นตระหนกยิ่งนัก

ได้รับบาดเจ็บคราวนี้ เกินกว่าที่อวิ๋นชิ่งไป๋คาดคิดไปมาก!

ถูกขัดจังหวะตอนหลอมพลังพรสวรรค์ของกู่ฝอจื่อ ทำให้เขาถูกพลังสะท้อนกลับ ฐานมรรคในตัวเกิดรอยแตก

และคาถาลับของนกทมิฬนั่นก็ทำให้เขาบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง สร้างความเสียหายถึงมรรควิถีของเขาไปแล้ว!

ที่ทำให้อวิ๋นชิ่งไป๋เคียดแค้นที่สุดก็คือ ระหว่างเข้าต้านปราณกระบี่ของหลินสวิน วิชามรรคกระบี่ที่เขาภาคภูมิใจหาใดเทียบมาโดยตลอดถึงกับรับการโจมตีนั้นไม่อยู่ ทำเอาร่างของเขาแหลกเละ จิตวิญญาณก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก!

ทั้งหมดนี้จะให้อวิ๋นชิ่งไป๋ผู้หยิ่งทระนงกล้ำกลืนความแค้นนี้ไปได้อย่างไร

ตั้งแต่เขาฝึกปราณกระทั่งตอนนี้ เขาสู้ทีไรก็ชนะทุกครั้ง ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในมรรคา เคยได้รับความพ่ายแพ้เช่นนี้เสียที่ไหน

อัปยศอดสูนัก!

กระทั่งครู่ใหญ่อวิ๋นชิ่งไป๋ถึงสงบใจลง สภาวะจิตก็คืนสู่ความสงบนิ่งมั่นคงดังเก่า

มรรคกระบี่ของเขาไม่อาจถูกโจมตีย่อยยับเช่นนี้

อวิ๋นชิ่งไป๋สามารถโดดเด่นเหนือผู้อื่นในรุ่นเดียวกัน กระทั่งตอนนี้ประกาศศักดาเป็นอันดับหนึ่งของกระดานทองคำผู้กล้าจวบจนปัจจุบัน เขาย่อมไม่อาจเทียบได้กับอัจฉริยะในความหมายทั่วไป

พรสวรรค์ สติปัญญา ความปราดเปรื่อง และรากฐานพลังของเขาล้วนเป็นเลิศในยุคปัจจุบัน หากล้มแล้วลุกขึ้นไม่ได้เพียงเพราะความพ่ายแพ้ครั้งเดียว นั่นก็ไม่ใช่อวิ๋นชิ่งไป๋แล้ว!

“รอข้ากลับไป ก็จะเป็นเวลาที่พวกเจ้าขวัญกระเจิง…”

ระหว่างพึมพำ อวิ๋นชิ่งไป๋สีหน้าเฉยชา หว่างคิ้วมีแต่ไอพิฆาต

……

หลายวันผ่านไป

หลินสวินตื่นขึ้นจากการนั่งสมาธิ ดวงตาลึกล้ำ กระจ่างใสสงบนิ่ง

เอาชนะอวิ๋นชิ่งไป๋ แม้ไม่ได้สังหารเขา แต่ประสบการณ์ครั้งนี้กลับทำให้สภาวะจิตของหลินสวินเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ชนะในการประมือครั้งแรกกับอวิ๋นชิ่งไป๋!

แม้จะมีโชคช่วย แต่โชคก็เป็นศักยภาพอย่างหนึ่งเช่นกัน!

‘ไม่เกินสามวันก็จะทะลวงระดับขึ้นไปได้’

เค้าลางหนึ่งอุบัติขึ้นในใจหลินสวิน

ที่จริงตั้งแต่ตอนอยู่ที่แดนแห่งความตายไม่นานมานี้ พลังปราณของเขาก็ทะลวงถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว ขาดเพียงโอกาสบรรลุระดับ

และตอนนี้ฉุกคิดขึ้นได้ทันตา สังหรณ์ถึงโอกาสบรรลุระดับ ก็เป็นเรื่องถูกจังหวะเป็นขั้นตอน

สวบ!

สามวันต่อมาเงาร่างหลินสวินไหวเคลื่อน แล้วปรากฏตัวเหนือสามพันสถูปเจดีย์

พร้อมๆ กับที่กลิ่นอายทั้งกายเขาปลดปล่อยออกมา เมฆาเคราะห์สีดำดุจกระแสธารก็เข้าปกคลุมเหนือเวิ้งฟ้า แผ่กลิ่นอายที่สามารถทำให้ทุกคนในโลกต่างตัวสั่นงันงก

หลินสวินยืนตระหง่านอยู่เหนือห้วงอากาศ ผมดำปลิวไสว สีหน้าสงบนิ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ระดับอมตะเคราะห์เก้าด่าน แบ่งออกเป็นสามพิบัติหกเคราะห์

สามพิบัติแรก เขาฝ่าได้ในคราวเดียวไปนานแล้ว และตอนนี้ที่มาเยือนก็คืออมตะเคราะห์ครั้งที่สี่ มีนามว่า ‘เคราะห์เจ็ดอารมณ์’!

ขอเพียงเป็นสิ่งมีชีวิต ต่างมีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาทั้งนั้น

อารมณ์ทั้งเจ็ดนี้คือ ยินดี โกรธ เศร้า กลัว รัก เกลียด และความใคร่ ฉายส่องภายในสภาวะจิต มีอิทธิพลต่อการฝึกของผู้ฝึกปราณ

อมตะเคราะห์ด่านสี่ ที่เผชิญหน้าก็คือเคราะห์แห่งอารมณ์ทั้งเจ็ด!

ครืน

ฟ้าดินมืดมน สรรพสิ่งเย็นเยียบ ส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ที่ปิดฟ้าคลุมตะวัน แผ่เสียงอสนีหนักอึ้งที่ชวนให้อกสั่นขวัญแขวนออกมาระลอกหนึ่ง

สายฟ้างดงามดั่งงูยักษ์เลื้อยโค้งสายแล้วสายเล่าฉายวาบ แผ่อานุภาพสวรรค์ที่สามารถมลายโลกาได้ ทำให้ห้วงอากาศปั่นป่วนยุ่งเหยิง

แต่ในดวงตาดำของหลินสวินกลับสงบนิ่งไม่ไหวหวั่น ไม่ยินดีหรือเศร้าสร้อย

เปรี้ยง!

อสนีบาตรเจิดจรัสหาใดเทียบสายหนึ่งพลันฟาดผ่าลงมาราวทวนศึกสะบั้นเวิ้งฟ้า ส่งเสียงสะท้านโลกออกมา

ในขณะเดียวกันหลินสวินที่เดิมไม่ไหวติง จู่ๆ ก็เงยหน้าแล้วกระโจนขึ้นไปหา!

“มีคนกำลังข้ามด่านเคราะห์!”

ในแดนธรรมสถูป บนภูเขาใหญ่กระดูกขาวลูกหนึ่ง เงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งดวงตาหรี่ลง มองไปยังที่ไกลออกไป

ที่นั่นเมฆาเคราะห์กรรโชก อสนีบาตกราดเกรี้ยว งูสายฟ้าเริงระบำบ้าคลั่ง ความยิ่งใหญ่ของสภาพการณ์ประหนึ่งวันโลกาวินาศ

“เคราะห์เจ็ดอารมณ์! เพียงแต่พิบัติเคราะห์นี้จะน่ากลัวเกินไปแล้ว ทั้งชีวิตไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ดูท่าจะเป็นพวกร้ายกาจที่สามารถเย้ยฟ้าได้คนหนึ่งกำลังทะลวงระดับ!”

เงาร่างสูงโปร่งมีผมยาวสีแดงดุจเปลวเพลิงทั้งหัว ท่วงท่าองอาจ ดวงตาดุจคมดาบ อหังการและโอหังถึงที่สุด

ยามสังเกตเห็นภาพนี้เข้า เงาร่างของเขาไหวเคลื่อน พุ่งไปยังที่ที่เคราะห์สวรรค์ตกลงมาซึ่งอยู่ไกลออกไป

“หือ?”

ในขณะเดียวกัน ที่หน้าโครงกระดูกอริยะกระบี่ซึ่งตั้งตระหง่านกลางฟ้าดินนั้น หญิงสาวซึ่งอาบไล้อยู่ในหิมะน้ำแข็งผู้หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมองออกไปไกล

“ที่นั่นน่าจะเป็นที่ตั้งของสามพันสถูปเจดีย์ มีคนเลือกข้ามด่านเคราะห์ที่นั่นเสียได้ ไม่กลัวถูกผู้อื่นจับจ้องหรือ”

หญิงสาวแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีฟ้าเข้มทั้งตัว เงาร่างสูงโปร่งอรชร ผมยาวสีเงินราวน้ำตกปลิวไสว เผยใบหน้าขาวขาวกระจ่างงดงามหาใดเปรียบออกมา

นางครุ่นคิดเล็กน้อย เงาร่างก็ลอยไปตามลมประหนึ่งเทพธิดาที่เยื้องย่างท่ามกลางพายุหิมะ ออกตัวไปโดยพลัน

“รูปการใหญ่โตนัก!”

“ไป ไปดูกัน”

ตอนนี้ผู้ฝึกปราณที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ของแดนธรรมสถูปต่างตื่นตระหนกอย่างต่อเนื่อง สายตาวูบไหว เคลื่อนที่ไปยังที่ที่สามพันสถูปเจดีย์ตั้งอยู่

ทุกครั้งที่ผู้ฝึกปราณข้ามด่านเคราะห์ มักจะเลือกสถานที่ที่ปลอดภัยสักแห่ง เพื่อกันไม่ให้ถูกผู้อื่นรบกวนจนถึงขั้นประสบเคราะห์ในพิบัติเคราะห์

แต่ตอนนี้ในแดนธรรมสถูปที่อันตรายหาใดเทียบแห่งนี้ ดันมีคนใจกล้าถึงขั้นเลือกข้ามด่านเคราะห์ที่นี่เสียได้ เรื่องนี้ดูเตะตามากอยู่แล้ว

ทั้งหมดนี้หลินสวินไม่รับรู้เลย ผมดำของเขาปลิวไสว แสงมรรคไพศาลไหลวนไปทั่วกาย กำลังพิชิตเย้ยฟ้า!

สายฟ้าฟาดแยงตาสายแล้วสายเล่าเทลงมา ขับให้เงาร่างของเขาเหมือนเทพเทวาองค์หนึ่ง มีพลังสั่นสะท้านใจคน

——

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1279 เคราะห์เจ็ดอารมณ์

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1279 เคราะห์เจ็ดอารมณ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หินผา ต้นหญ้า บ่อบึง สายธาร… ล้วนมลายหายไปท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม

ห้วงอากาศกำลังยุบตัว ผืนปฐพีแยกออกเป็นโพรงมหึมาน่าสะท้านขวัญ พื้นที่รัศมีพันลี้ราวเกิดแผ่นดินไหวที่ไม่เคยอุบัติขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ โกลาหลยุ่งเหยิงไปหมด

ปราณกระบี่ที่ระเบิดออกมาริ้วแล้วริ้วเล่ายังอ้อยอิ่งอยู่ในห้วงอากาศ ล้วนเต็มไปด้วยไอพิฆาตหนาวยะเยือก เนิ่นนานก็ยังไม่สลายไป

ท่ามกลางหมอกควันตลบอบอวล หลินสวินไอเบาๆ ครั้งหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองรอบด้าน ใจเคร่งเครียด

“ตายไหม”

นกทมิฬโผล่หน้าเอ่ยถามจากด้านหนึ่ง

“ไม่ตาย”

หลินสวินหวนนึกถึงภาพก่อนหน้านั้น ระหว่างที่ปราณกระบี่ปะทะกัน แม้อวิ๋นชิ่งไป๋รับการจู่โจมไว้แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายป่นปี้

ท่ามกลางความคลุมเครือ เพียงเห็นว่าเขาแปรสภาพเป็นแสงมายาสายหนึ่ง แล้วหายลับไปอย่างไร้ร่องรอย

“อีกนิดเดียวเอง!”

นกทมิฬผิดหวังนัก

“เดิมข้าก็ไม่ได้คาดหวังมากมายนักหรอก”

หลินสวินกลับเยือกเย็นนัก เพราะเขารู้ดีว่าคนอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋ย่อมไม่มีทางฆ่าง่ายปานนี้

คราวนี้โจมตีจนเขาหัวซุกหัวซุน บาดเจ็บสาหัสเจียนตายได้ ก็เป็นเพราะเขาคาดไม่ถึง เล่นงานตอนเขาไม่ได้ตั้งตัว

“แต่ว่า ความรุนแรงของอาการบาดเจ็บที่เขาได้รับคราวนี้ ต่อให้ฟื้นตัวขึ้นมาได้ก็ต้องใช้เวลานานมาก”

หลินสวินพ่นลมหายใจ

เขารู้สึกเหนื่อยล้าไปทั้งกาย

การต่อสู้นี้ดูเหมือนชนะหวุดหวิด แต่กลับทำให้เขารับรู้ได้อย่างแจ่มชัดว่า หากประลองซึ่งหน้ากับอวิ๋นชิ่งไป๋ในสภาพสูงสุด เขาถึงขั้นไม่แน่ใจว่าจะโจมตีอีกฝ่ายได้

สาเหตุก็อยู่ที่พลังปราณของเขาต่างกับอวิ๋นชิ่งไป๋สองระดับ!

หากระดับเท่ากัน หลินสวินเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าจะฆ่าเขาได้อย่างแน่นอน!

“จะไล่ตามต่อไหม”

นกทมิฬเอ่ยถาม

หลินสวินส่ายหัว ไม่มีโอกาสแล้ว บุคคลอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋ ทันทีที่หนีไปได้ ด้วยสติปัญญาและความสามารถของเขาย่อมไม่อาจถูกหาเจอได้อีก

“กลับไปเถอะ ไปดูที่สถูปเจดีย์เสียหน่อย”

หลินสวินตัดสินใจ

การต่อสู้นี้เขาจำเป็นต้องไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเป็นต้องวิเคราะห์พลังต่อสู้ของอวิ๋นชิ่งไป๋อย่างแม่นยำ

“ได้”

นกทมิฬพยักหน้ารับ

มันก็รู้ว่าในการต่อสู้นี้หลินสวินได้เปรียบอยู่มาก

จุดสำคัญมีอยู่สองอย่าง หนึ่งคือตอนที่พวกเขาเห็นอวิ๋นชิ่งไป๋ อีกฝ่ายกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญในการหลอมพลังพรสวรรค์ของกู่ฝอจื่อพอดี ไม่อาจใช้พลังทั้งหมดได้

สองคือ อวิ๋นชิ่งไป๋ไม่ได้คาดเอาไว้ว่าในร่างแยกของกู่ฝอจื่อได้ถูกนกทมิฬวางผนึกลี้ลับผนึกหนึ่งไว้ก่อนแล้ว

เดิมทีที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อคิดบัญชีร่างต้นของกู่ฝอจื่อ ทำให้เขาประสบเคราะห์ตอนหลอมรวมกับร่างแยก

จะคิดได้อย่างไรว่าร่างต้นของกู่ฝอจื่อถูกอวิ๋นชิ่งไป๋ฆ่าไปก่อนแล้ว กลับเป็นเพราะหลอมพลังพรสวรรค์ที่ชิงมาจากร่างแยกของกู่ฝอจื่อ ถึงได้รับ ‘ของกำนัลชิ้นใหญ่’ ที่เดิมเตรียมไว้ให้ร่างต้นของกู่ฝอจื่อไปโดยอ้อม

นี่ก็เป็นสาเหตุที่อวิ๋นชิ่งไป๋บาดเจ็บกระอักเลือด ทันทีที่นกทมิฬเปล่งคาถาลับคาถาหนึ่งออกมาตอนที่อยู่ในสถูปเจดีย์

สรุปแล้ว ความบังเอิญชุดหนึ่งทบซ้อนกัน จึงทำให้คราวนี้อวิ๋นชิ่งไป๋ตกอยู่ในสภาพอับจนถูกกระทำถึงที่สุด จำต้องหลบหนี

หากประลองกันซึ่งหน้า นกทมิฬก็คิดว่าความหวังที่หลินสวินจะฆ่าอีกฝ่ายได้มีไม่มากนัก

แต่ภายหน้าก็ไม่แน่แล้ว

ตามการคาดเดาของนกทมิฬ อวิ๋นชิ่งไป๋บาดเจ็บเจียนตาย ในช่วงที่ฟื้นตัวนี้ ขอเพียงหลินสวินรีบเร่งทะลวงปราณ ต้องสามารถทำให้ศักยภาพเปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกฟ้าพลิกดินแน่นอน!

……

ครึ่งวันผ่านไป

หลินสวินกับนกทมิฬกลับมาที่สถูปเจดีย์

หลินสวินฝืนความเหนื่อยล้าง่วงงุน วางกระบวนผนึกลายมรรคชั้นหนึ่งโดยรอบสถูปเจดีย์นี้ จากนั้นก็เริ่มปิดด่านทันที

นกทมิฬที่รีบรุดตลอดทางก็ง่วงจนหมดแรงแล้ว ล้มตัวลงนอนหลับลึกในกระทะดำใหญ่ของตน

‘อันดับหนึ่งแห่งกระดานทองผู้กล้าอวิ๋นชิ่งไป๋ ถูกเทพมารหลินตามฆ่า!’

ที่โลกภายนอก ข่าวทำนองนี้เริ่มแพร่กระจายอย่างฉับไวราวพายุ ไม่นานนักก็สะเทือนทั่วแดนคีรีอีสาน จากนั้นก็แผ่ขยายไปทั้งแดนเก้าบน

ชั่วขณะเดียวก็ก่อให้เกิดพายุปั่นป่วนลูกใหญ่!

“หลังจากหายเงียบมาสี่ปี ทันทีที่เทพมารหลินปรากฏตัวขึ้นในโลกก็กำราบบุตรนรกกับกู่ฝอจื่อตามลำดับ นี่ยังไม่ทันไรก็โจมตีอวิ๋นชิ่งไป๋เสียยับเยินจนหนีไปเลยหรือ”

มีคนสั่นสะท้าน

“นี่ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่าตอนนี้หลินสวินมีพลังต่อสู้เป็นอันดับหนึ่งในกระดานผู้กล้าหรือ แต่เขาเพิ่งมีพลังปราณอมตะเคราะห์ด่านสามเองไม่ใช่หรือ”

มีคนตื่นตะลึง

“นี่ต้องเป็นเรื่องโกหกแน่! อวิ๋นชิ่งไป๋ไร้เทียมทาน ดุจสุริยันกลางนภาที่สาดส่องจักรวาลเพียงหนึ่งเดียว แสงหิ่งห้อยอย่างหลินสวินจะไปแข่งรัศมีได้หรือ”

ทั้งยังมีคนไม่เชื่อ แสดงท่าทีเอือมระอา

“แล้วคนสำนักกระบี่เทียมฟ้าล่ะ ทำไม่ถึงไม่อธิบายเรื่องนี้ หรืออวิ๋นชิ่งไป๋จะถูกเทพมารหลินตามฆ่าตลอดทางจริงๆ”

…เสียงวิพากษ์วิจารณ์ฮือฮาต่างๆ เกิดขึ้นในแดนเก้าบน คลื่นลมไม่รู้เท่าไรซัดสาด

ไม่ว่าข่าวจะจริงหรือเท็จ ชั่วขณะเดียวทำให้กิตติศัพท์ของหลินสวินโด่งดังขึ้นมาก มีแนวโน้มว่าจะไม่มีใครในใต้หล้าไม่รู้จักเขา

……

แดนวารีอุดร ส่วนลึกของมหาสมุทรสีดำแห่งหนึ่ง มีเกาะร้างเกาะหนึ่งอยู่

“อ๊าก…!”

วันนี้ เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองเคียดแค้นเสียงหนึ่งดังออกมาราวสายฟ้าฟาด สั่นสะท้านถาโถม

ชั่วขณะเดียวแถบทะเลแห่งนี้ปั่นป่วน สัตว์ปีศาจที่จำศีลอยู่ในน้ำทะเลต่างขวัญหนีดีฝ่อ ร้อนรนหลบหนี

ครู่ใหญ่เสียงถึงเงียบไป

บนเกาะร้าง อวิ๋นชิ่งไป๋นั่งอ่อนเปลี้ยอยู่กับพื้น ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง หอบหายใจติดขัด สีหน้าคล้ำเขียวจนน่ากลัว ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยเลือด

ยามพินิจโดยละเอียด ร่างของเขาเหมือนเครื่องกระเบื้องที่แตกออก เต็มไปด้วยรอยแผลรอยแล้วรอยเล่า เลือดไหลโชก น่าตื่นตระหนกยิ่งนัก

ได้รับบาดเจ็บคราวนี้ เกินกว่าที่อวิ๋นชิ่งไป๋คาดคิดไปมาก!

ถูกขัดจังหวะตอนหลอมพลังพรสวรรค์ของกู่ฝอจื่อ ทำให้เขาถูกพลังสะท้อนกลับ ฐานมรรคในตัวเกิดรอยแตก

และคาถาลับของนกทมิฬนั่นก็ทำให้เขาบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง สร้างความเสียหายถึงมรรควิถีของเขาไปแล้ว!

ที่ทำให้อวิ๋นชิ่งไป๋เคียดแค้นที่สุดก็คือ ระหว่างเข้าต้านปราณกระบี่ของหลินสวิน วิชามรรคกระบี่ที่เขาภาคภูมิใจหาใดเทียบมาโดยตลอดถึงกับรับการโจมตีนั้นไม่อยู่ ทำเอาร่างของเขาแหลกเละ จิตวิญญาณก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก!

ทั้งหมดนี้จะให้อวิ๋นชิ่งไป๋ผู้หยิ่งทระนงกล้ำกลืนความแค้นนี้ไปได้อย่างไร

ตั้งแต่เขาฝึกปราณกระทั่งตอนนี้ เขาสู้ทีไรก็ชนะทุกครั้ง ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในมรรคา เคยได้รับความพ่ายแพ้เช่นนี้เสียที่ไหน

อัปยศอดสูนัก!

กระทั่งครู่ใหญ่อวิ๋นชิ่งไป๋ถึงสงบใจลง สภาวะจิตก็คืนสู่ความสงบนิ่งมั่นคงดังเก่า

มรรคกระบี่ของเขาไม่อาจถูกโจมตีย่อยยับเช่นนี้

อวิ๋นชิ่งไป๋สามารถโดดเด่นเหนือผู้อื่นในรุ่นเดียวกัน กระทั่งตอนนี้ประกาศศักดาเป็นอันดับหนึ่งของกระดานทองคำผู้กล้าจวบจนปัจจุบัน เขาย่อมไม่อาจเทียบได้กับอัจฉริยะในความหมายทั่วไป

พรสวรรค์ สติปัญญา ความปราดเปรื่อง และรากฐานพลังของเขาล้วนเป็นเลิศในยุคปัจจุบัน หากล้มแล้วลุกขึ้นไม่ได้เพียงเพราะความพ่ายแพ้ครั้งเดียว นั่นก็ไม่ใช่อวิ๋นชิ่งไป๋แล้ว!

“รอข้ากลับไป ก็จะเป็นเวลาที่พวกเจ้าขวัญกระเจิง…”

ระหว่างพึมพำ อวิ๋นชิ่งไป๋สีหน้าเฉยชา หว่างคิ้วมีแต่ไอพิฆาต

……

หลายวันผ่านไป

หลินสวินตื่นขึ้นจากการนั่งสมาธิ ดวงตาลึกล้ำ กระจ่างใสสงบนิ่ง

เอาชนะอวิ๋นชิ่งไป๋ แม้ไม่ได้สังหารเขา แต่ประสบการณ์ครั้งนี้กลับทำให้สภาวะจิตของหลินสวินเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ชนะในการประมือครั้งแรกกับอวิ๋นชิ่งไป๋!

แม้จะมีโชคช่วย แต่โชคก็เป็นศักยภาพอย่างหนึ่งเช่นกัน!

‘ไม่เกินสามวันก็จะทะลวงระดับขึ้นไปได้’

เค้าลางหนึ่งอุบัติขึ้นในใจหลินสวิน

ที่จริงตั้งแต่ตอนอยู่ที่แดนแห่งความตายไม่นานมานี้ พลังปราณของเขาก็ทะลวงถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว ขาดเพียงโอกาสบรรลุระดับ

และตอนนี้ฉุกคิดขึ้นได้ทันตา สังหรณ์ถึงโอกาสบรรลุระดับ ก็เป็นเรื่องถูกจังหวะเป็นขั้นตอน

สวบ!

สามวันต่อมาเงาร่างหลินสวินไหวเคลื่อน แล้วปรากฏตัวเหนือสามพันสถูปเจดีย์

พร้อมๆ กับที่กลิ่นอายทั้งกายเขาปลดปล่อยออกมา เมฆาเคราะห์สีดำดุจกระแสธารก็เข้าปกคลุมเหนือเวิ้งฟ้า แผ่กลิ่นอายที่สามารถทำให้ทุกคนในโลกต่างตัวสั่นงันงก

หลินสวินยืนตระหง่านอยู่เหนือห้วงอากาศ ผมดำปลิวไสว สีหน้าสงบนิ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ระดับอมตะเคราะห์เก้าด่าน แบ่งออกเป็นสามพิบัติหกเคราะห์

สามพิบัติแรก เขาฝ่าได้ในคราวเดียวไปนานแล้ว และตอนนี้ที่มาเยือนก็คืออมตะเคราะห์ครั้งที่สี่ มีนามว่า ‘เคราะห์เจ็ดอารมณ์’!

ขอเพียงเป็นสิ่งมีชีวิต ต่างมีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาทั้งนั้น

อารมณ์ทั้งเจ็ดนี้คือ ยินดี โกรธ เศร้า กลัว รัก เกลียด และความใคร่ ฉายส่องภายในสภาวะจิต มีอิทธิพลต่อการฝึกของผู้ฝึกปราณ

อมตะเคราะห์ด่านสี่ ที่เผชิญหน้าก็คือเคราะห์แห่งอารมณ์ทั้งเจ็ด!

ครืน

ฟ้าดินมืดมน สรรพสิ่งเย็นเยียบ ส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ที่ปิดฟ้าคลุมตะวัน แผ่เสียงอสนีหนักอึ้งที่ชวนให้อกสั่นขวัญแขวนออกมาระลอกหนึ่ง

สายฟ้างดงามดั่งงูยักษ์เลื้อยโค้งสายแล้วสายเล่าฉายวาบ แผ่อานุภาพสวรรค์ที่สามารถมลายโลกาได้ ทำให้ห้วงอากาศปั่นป่วนยุ่งเหยิง

แต่ในดวงตาดำของหลินสวินกลับสงบนิ่งไม่ไหวหวั่น ไม่ยินดีหรือเศร้าสร้อย

เปรี้ยง!

อสนีบาตรเจิดจรัสหาใดเทียบสายหนึ่งพลันฟาดผ่าลงมาราวทวนศึกสะบั้นเวิ้งฟ้า ส่งเสียงสะท้านโลกออกมา

ในขณะเดียวกันหลินสวินที่เดิมไม่ไหวติง จู่ๆ ก็เงยหน้าแล้วกระโจนขึ้นไปหา!

“มีคนกำลังข้ามด่านเคราะห์!”

ในแดนธรรมสถูป บนภูเขาใหญ่กระดูกขาวลูกหนึ่ง เงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งดวงตาหรี่ลง มองไปยังที่ไกลออกไป

ที่นั่นเมฆาเคราะห์กรรโชก อสนีบาตกราดเกรี้ยว งูสายฟ้าเริงระบำบ้าคลั่ง ความยิ่งใหญ่ของสภาพการณ์ประหนึ่งวันโลกาวินาศ

“เคราะห์เจ็ดอารมณ์! เพียงแต่พิบัติเคราะห์นี้จะน่ากลัวเกินไปแล้ว ทั้งชีวิตไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ดูท่าจะเป็นพวกร้ายกาจที่สามารถเย้ยฟ้าได้คนหนึ่งกำลังทะลวงระดับ!”

เงาร่างสูงโปร่งมีผมยาวสีแดงดุจเปลวเพลิงทั้งหัว ท่วงท่าองอาจ ดวงตาดุจคมดาบ อหังการและโอหังถึงที่สุด

ยามสังเกตเห็นภาพนี้เข้า เงาร่างของเขาไหวเคลื่อน พุ่งไปยังที่ที่เคราะห์สวรรค์ตกลงมาซึ่งอยู่ไกลออกไป

“หือ?”

ในขณะเดียวกัน ที่หน้าโครงกระดูกอริยะกระบี่ซึ่งตั้งตระหง่านกลางฟ้าดินนั้น หญิงสาวซึ่งอาบไล้อยู่ในหิมะน้ำแข็งผู้หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมองออกไปไกล

“ที่นั่นน่าจะเป็นที่ตั้งของสามพันสถูปเจดีย์ มีคนเลือกข้ามด่านเคราะห์ที่นั่นเสียได้ ไม่กลัวถูกผู้อื่นจับจ้องหรือ”

หญิงสาวแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีฟ้าเข้มทั้งตัว เงาร่างสูงโปร่งอรชร ผมยาวสีเงินราวน้ำตกปลิวไสว เผยใบหน้าขาวขาวกระจ่างงดงามหาใดเปรียบออกมา

นางครุ่นคิดเล็กน้อย เงาร่างก็ลอยไปตามลมประหนึ่งเทพธิดาที่เยื้องย่างท่ามกลางพายุหิมะ ออกตัวไปโดยพลัน

“รูปการใหญ่โตนัก!”

“ไป ไปดูกัน”

ตอนนี้ผู้ฝึกปราณที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ของแดนธรรมสถูปต่างตื่นตระหนกอย่างต่อเนื่อง สายตาวูบไหว เคลื่อนที่ไปยังที่ที่สามพันสถูปเจดีย์ตั้งอยู่

ทุกครั้งที่ผู้ฝึกปราณข้ามด่านเคราะห์ มักจะเลือกสถานที่ที่ปลอดภัยสักแห่ง เพื่อกันไม่ให้ถูกผู้อื่นรบกวนจนถึงขั้นประสบเคราะห์ในพิบัติเคราะห์

แต่ตอนนี้ในแดนธรรมสถูปที่อันตรายหาใดเทียบแห่งนี้ ดันมีคนใจกล้าถึงขั้นเลือกข้ามด่านเคราะห์ที่นี่เสียได้ เรื่องนี้ดูเตะตามากอยู่แล้ว

ทั้งหมดนี้หลินสวินไม่รับรู้เลย ผมดำของเขาปลิวไสว แสงมรรคไพศาลไหลวนไปทั่วกาย กำลังพิชิตเย้ยฟ้า!

สายฟ้าฟาดแยงตาสายแล้วสายเล่าเทลงมา ขับให้เงาร่างของเขาเหมือนเทพเทวาองค์หนึ่ง มีพลังสั่นสะท้านใจคน

——

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+