Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1286 กาลเวลาดั่งนักเดินทางที่ผ่านเลยไป

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1286 กาลเวลาดั่งนักเดินทางที่ผ่านเลยไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฉับพลันดวงหน้าของเหวินฉงเฟิงก็บวมเป่งเป็นสีตับหมู คับแค้นปางตาย

เขา ถึงกับถอยกรูด!

ก้าวเดียวสั้นๆ ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดสักนิดก็เพียงพอจะพิสูจน์ได้ว่า เบื้องลึกในจิตใจเขาเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ

“ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!”

เหวินฉงเฟิงตะโกนลั่น สติแตกอย่างสิ้นเชิง เขาไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้

อาจกล่าวได้ว่าการถอยร่นครั้งนี้ก็เหมือนความอัปยศครั้งใหญ่ ทำเอาเขาได้รับการกระตุ้นรุนแรง ไม่สามารถประคองสติสัมปชัญญะได้อีกต่อไป

พรึ่บ!

ปราณกระบี่เจิดจ้าไร้ทัดเทียมสายหนึ่งโฉบออกมา ราวกับรุ้งวิเศษที่หอบม้วนจักรวาล

เพียงแต่การต่อต้านเหล่านี้ล้วนถูกกำหนดให้เสียแรงเปล่า

ต่อกรกับเหวินฉงเฟิงในสภาพสมบูรณ์สูงสุด บางทีอาจต้องสิ้นเปลืองฝีมือของหลินสวินไปส่วนหนึ่ง

ทว่าหากต่อกรกับเหวินฉงเฟิงที่ขาดสติ ก็ไม่มีภัยคุกคามและความระทึกขวัญให้เอ่ยถึงสักนิด

เพียงชั่วครู่เท่านั้นเหวินฉงเฟิงก็ถูกพิฆาต ถูกดาบสังหารด้วยนัยเร้นลับแห่งไม่เที่ยงแท้ หัวล้วนถูกตัดขาด พลังจิตดับสลาย

ในลานเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง เหล่าผู้กล้าต่างตะลึงงัน

ผู้แข็งแกร่งแกล้วกล้าแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าทั้งกลุ่ม วันนี้ถูกหลินสวินสังหารทีละคน ขนาดสัตว์ประหลาดยุคโบราณ สิบอันดับแรกในกระดานทองคำผู้กล้าอย่างเหวินฉงเฟิงก็ยังถูกพิฆาต!

ก่อนหน้านี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจคาดคิด

เวลานี้เมื่อทอดมองเงาร่างปราศจากมลทินของหลินสวินในลานนั่น หัวใจของทุกคนต่างผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา…

แดนเก้าบนในยามนี้ ผู้ใดยังจะสามารถหยุดยั้งอานุภาพแห่งเทพมารหลินได้

ในวันนี้ ข่าวเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งนี้แพร่กระจายออกไป แดนเก้าบนล้วนสั่นสะเทือน!

“สำนักกระบี่เทียมฟ้าจบเห่แล้ว…”

ขุมอำนาจใหญ่ส่วนหนึ่งต่างทอดถอนใจ

ที่ผ่านมาเพราะมีอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นกำลังหลัก สำนักกระบี่เทียมฟ้าเป็นเหมือนนายเหนือหัวที่ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกิน ไม่ว่าจะเป็นใครต่างไม่กล้าลูบคม ได้แต่ถอยฉากหลบเลี่ยง

แต่ตอนนี้ ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปแล้ว!

“ครึ่งปีแล้ว หลินสวินปรากฏตัว ศึกเดียวก็สยบฆ่าผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าทั้งกลุ่ม แสดงให้เห็นถึงพลังต่อสู้ที่ไร้เทียมทาน”

“แต่อวิ๋นชิ่งไป๋กลับโอ้เอ้ไม่เคยปรากฏตัว หากเขารู้ข่าวยังจะทนต่อไปได้อีกหรือ”

คนส่วนหนึ่งคลางแคลงใจไม่สิ้น

นี่ผิดปกติยิ่ง ตามอุปนิสัยของอวิ๋นชิ่งไป๋ เป็นไปได้หรือที่เขาจะทนต่อความอัปยศใหญ่หลวงเช่นนี้ได้

ขณะที่โลกภายนอกปั่นป่วน พื้นที่ละแวกสถูปเจดีย์เหมือนจะกลายเป็นแดนต้องห้ามแห่งหนึ่ง ไม่มีใครกล้าเฉียดใกล้

เพราะต่างรู้ดีว่าหลินสวินกำลังฝึกตนอยู่ภายในสามพันสถูปเจดีย์นั่น

หนำซ้ำเขาเองก็ไม่กลัวถูกคนรู้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่นี่สักนิด เสมือนกำลังเฝ้ารออวิ๋นชิ่งไป๋มาหาถึงที่โดยตลอด!

ท่าทีเช่นนี้เดิมทีก็เป็นพลังอำนาจเหยียดหยันอันไร้รูปอย่างหนึ่ง พาให้ผู้คนใจสะท้าน

ทว่าเหนือความคาดหมายของทุกคน พร้อมๆ กับเวลาที่เคลื่อนคล้อย อวิ๋นชิ่งไป๋ไม่เคยปรากฏตัวเลย…

‘อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสมาก แม้จะฟื้นตื้นขึ้นมา กลัวแต่ว่าคงไม่กล้ามุ่งหน้ามาข้าทันทีทันใด เพราะเขาย่อมไม่อาจทนให้ประสบความล้มเหลวอีกเป็นครั้งที่สองอย่างเด็ดขาด’

มีเพียงหลินสวินเท่านั้นที่รู้ดีว่า ภายในเวลาอันสั้นไม่มีทางที่อวิ๋นชิ่งไป๋จะหวนคืนมาอีกครั้ง

เขาถึงขั้นสรุปชัด มีเพียงยามที่เตรียมตัวพร้อมเต็มที่ที่สุดแล้วเท่านั้น อวิ๋นชิ่งไป๋จึงจะปรากฏตัวต่อสายตาของคนทั่วหล้าอีกครั้ง

และตอนนั้น ระยะห่างจากวันแห่งศึกตัดสินของเขาและอวิ๋นชิ่งไป๋คงจะไม่ไกลเกินไปอย่างแน่นอน!

ในป่าลึกไร้คืนวัน ฤดูกาลไม่รู้รอบปี

การเคลื่อนคล้อยของเวลา ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกปราณหรือปุถุชนคนทั่วไปล้วนไม่อาจย้อนคืน

คำกล่าวที่ว่าฟ้าดินเหมือนที่พักรับรองแขก กาลเวลาดั่งนักเดินทางที่ผ่านเลยไปคงจะเป็นเช่นนี้

นับตั้งแต่วันนั้นที่หลินสวินสังหารเหวินฉงเฟิงเป็นต้นมา ก็ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว

ช่วงเวลาหนึ่งปีนี้บรรยากาศในแดนเก้าบนยิ่งเดือดระอุมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกแห่งหนล้วนอุบัติการเข่นฆ่านองเลือด การต่อสู้ไร้ปรานี

มีขุมอำนาจดุจนายเหนือหัวเผด็จการ ร่วงโรยจมดิ่งกลางเพลิงสงคราม

และมีบุคคลขอบเขตมกุฎที่แต่เดิมชื่อเสียงยังไม่โดดเด่น ในหนึ่งปีก็ผงาดง้ำดุจดาวหาง ดึงดูดความสนใจทั่วแดนเก้าบน

มีคนร่ำไห้ มีคนหัวเราะ มีคนผิดหวัง มีคนได้ใจ สุขโศกมากมายเคล้าระคน รักโลภโกรธหลงล้วนบังเกิดในแดนเก้าบน

หลายแห่งชื่นมื่น หลายแห่งโศกศัลย์

ช่วงหนึ่งปีนี้ลำดับรายชื่อร้อยอันดับแรกของกระดานทองคำผู้กล้าก็เปลี่ยนไปด้วยความเร็วที่พาให้ผู้คนปากอ้าตาค้าง พาให้ผู้คนจับตามองไม่ทัน

ยอดกำแพงเมืองผันเปลี่ยนธงราชัน ฝ่ายท่านสรรเสริญข้าขึ้นแท่นบัลลังก์!

แต่มีเพียงตำแหน่งที่หนึ่งของอวิ๋นชิ่งไป๋เท่านั้นที่ไม่เคยถูกคนสั่นคลอน

ขณะเดียวกัน ชื่อของหลินสวินก็ไม่เคยปรากฏบนกระดานทองคำผู้กล้าเช่นกัน

ถึงขนาดหนึ่งปีมานี้ ก็ไม่มีข่าวเกี่ยวกับหลินสวินแพร่กระจายออกมาอีกเลย

เพราะเขาเอาแต่ปิดด่านอยู่ภายในสถูปเจดีย์

หนึ่งปีนี้ เป็นปีที่เจ็ดที่แดนมกุฎปรากฏในดินแดนรกร้างโบราณ ระยะเวลาในการต่อสู้แห่งมกุฎครั้งนี้ ก็เหลือไม่ถึงสามปีแล้ว

ลมฝนดั่งเลือนราง กระดูกขาวกองเป็นภูเขา

หลังจากหนึ่งปีแห่งการเปลี่ยนแปลง พื้นที่สถูปก็กลับสู่ความเงียบสงบและว่างเปล่าดังที่ผ่านมา

ที่นี่ สุดท้ายก็เป็นแดนธรรมสถูปอันเป็นแดนดินหฤโหดที่เต็มไปด้วยอันตรายและความอัปมงคล ไม่ใช่ว่าใครจะมีปัญญาตั้งหลักปักฐานที่นี่ได้

เสียงการต่อสู้ดุเดือดที่สะเทือนจนหูจะหนวกระลอกหนึ่งดังก้องขึ้น

ก็เห็นปราณกระบี่แข็งกร้าวสายแล้วสายเล่าผสานเข้าด้วยกัน ฉีกทึ้งห้วงอากาศแตกเป็นเสี่ยง ดุดันพาให้เมฆลมเปลี่ยนสี

ดาบหักขาวกระจ่างดุจหิมะสายหนึ่งแล่นผ่านภายในนั้น กำลังต่อสู้ดุเดือดกับปราณกระบี่น่าสะพรึงที่เบียดเสียดแน่นขนัดเหล่านั้น

เมื่อสังเกตดีๆ เงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งกำลังบุกฆ่า ผมดำปลิวไสว เผยให้เห็นโครงหน้าที่หล่อเหลาเด็ดเดี่ยว

เงาร่างของเขาเปล่งประกาย ไหลเวียนด้วยแสงมรรคแพรวพราว รูปจำลองหุบเหวใหญ่ปรากฏอยู่เบื้องหลังเขา ประหนึ่งสามารถกลืนกินแปดทิศทาง

คนผู้นี้ก็คือหลินสวิน

และคู่ต่อสู้ของเขา กลับเป็นโครงกระดูกร่างคนสีขาวหิมะตนหนึ่ง ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น สันหลังเหยียดตรงดุจกระบี่ โครงกระดูกแต่ละข้อล้วนประทับประกายเจตกระบี่คมกริบ

ยามที่ต่อสู้ดุเดือด ทุกครั้งที่หลินสวินบุกโจมตี หมายจะทำลายโครงกระดูกนี้ ก็จะมีปราณกระบี่เกลื่อนฟ้าพุ่งออกมา มีอานุภาพกายสิทธิ์ แข็งกร้าวไร้ทัดเทียม!

นี่ก็คือโครงกระดูกอริยะกระบี่!

ร่างแยกของกู่ฝอจื่อเคยกล่าวว่า นี่คือโครงกระดูกอริยะกระบี่แห่ง ‘ดินแดนโบราณต้าหลัว’ คนหนึ่ง ในสมัยต้นบรรพกาล เพื่อสยบคนผู้นี้อริยพุทธผู้นั้นก็ทำเอาตนได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน สุดท้ายเมื่อสร้างสามพันสถูปเจดีย์ อริยพุทธผู้นี้ก็นิพพาน ดับขันธ์โดยพลัน

ด้วยเหตุนี้ แค่คิดก็รู้ว่าโครงกระดูกอริยะกระบี่เป็นตัวตยที่แข็งแกร่งปานใด

โครงกระดูกของเขายืนตระหง่านกลางฟ้าดิน ผ่านการกัดกร่อนจากกาลเวลาไร้สิ้นสุด แต่กลับไม่เคยทำให้กระดูกสันหลังคดงอแม้แต่เสี้ยวเดียว ปราณกระบี่ที่ประทับบนโครงกระดูกของเขาก็ไม่เคยถูกกำจัดไปอย่างสิ้นเชิง!

เพียงแต่ตอนนี้โครงกระดูกอริยะกระบี่นี้กลับกลายเป็นเป้าแห่งการเคี่ยวกรำวิถียุทธ์ของหลินสวิน…

ตูม!

เสียงกึกก้องดังลั่นสะเทือนแก้วหูจนหูจะหนวก โครงกระดูกอริยะกระบี่นั่นบังเกิดอาการสั่นระริกน้อยๆ ราวกับมีสัญญาณจะถูกซัดสะเทือนทรุดล้ม

ชิ้ง!

และในเวลานี้ หลินสวินเก็บดาบหักไป ขบคิดเงียบๆ ในใจ ‘อย่างมากที่สุดไม่เกินสามเดือน จะต้องทำลายโครงกระดูกอริยะกระบี่นี่ได้ และหลอมพลังที่อยู่ภายใต้ประทับของมัน…’

หนึ่งปีมานี้ปราณของหลินสวินก็รุดหน้าแบบก้าวกระโดด

ยามนี้เขาได้ข้ามอมตะเคราะห์ด่านที่ห้า ‘เคราะห์หกปรารถนา’ แล้ว ซ้ำยังบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับอมตะเคราะห์ด่านห้าแล้ว

พลังต่อสู้แห่งตนบังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่พลิกฟ้าคว่ำพสุธาตั้งนานแล้ว

ในการฝึกปราณมหามรรค มหามรรคทั้งปวงที่เขาเชี่ยวชาญล้วนแล้วแต่บรรลุถึงขั้นระเบียบมรรค!

แม้แต่การเคี่ยวกรำจิตวิญญาณก็บรรลุถึงระดับขีดสุดที่ไม่เคยมีมาก่อนของ ‘ระดับดอกเทพรวมยอด’ แต่เพราะข้อจำกัดของปราณแห่งตน จึงไม่สามารถฝ่าทะลวงได้อีกต่อไป

เหนือระดับดอกเทพรวมยอดก็คือ ‘ระดับจิตลอยล่อง’ ‘ระดับแปรเทพเปลี่ยนอริยะ’ เป็นส่วนหนึ่งของระดับอริยะ คลุมเครือยากเข้าใจ ไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินในยามนี้จะสามารถหยั่งถึงและสัมผัสได้

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ทอดสายตามองในระดับอมตะ ความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของหลินสวินก็เพียงพอจะยืนสันโดษในระดับนี้ เหยียดหยันเหล่าผู้กล้า!

เนื่องจากพลังจิตของเขาแปลงหนึ่งเป็นสาม เดิมก็แตกต่างจากคนอื่นๆ อยู่แล้ว

นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงของพลังยุทธ์

เมื่อหนึ่งปีก่อนมหาอริยะเสวียนคงเคยชี้แนะหลินสวิน ทำให้เขาก้าวสู่ระดับ ‘กระจ่างจิต’ ในวิถียุทธ์

และยามนี้ ไม่ว่าสำแดงเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร หรือจะใช้หกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า ดรรชนีมหาอุดมสลายมายา หยิบยกมาส่งๆ ก็สามารถใช้ระดับกระจ่างจิตได้!

หากอิงตามการแบ่งขอบเขต สามารถจัดอยู่ในขั้นเข้าถึงชำนาญในระดับกระจ่างจิต

การเปลี่ยนแปลงทั้งชุดนี้ล้วนได้มาจากการหยั่งถึงยามปิดด่านในช่วงหนึ่งปีมานี้

แต่ว่า เหตุที่สามารถทะลวงขั้นภายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้ ปัจจัยสำคัญก็อยู่ที่คุณประโยชน์ของมุกพิสุทธิ์ฟ้าประทาน

สมบัตินี้เป็นวัตถุอริยะหลอมปราณอย่างแน่นอน ทำให้ตอนที่ฝึกปราณ หลินสวินประหยัดพลังและเวลาได้มหาศาล

ฟู่!

หลินสวินพ่นไอขุ่นมัวเฮือกยาว กำลังคิดจะจากไป จู่ๆ เงาร่างโปร่งแสงดุจมายาสายหนึ่งพลันมาเยือนจากระยะไกล

“นายท่าน ข้าข้ามอมตะเคราะห์ด่านสองแล้ว!”

เป็นเสี่ยวอิ๋น เพียงแต่บนดวงหน้าหล่อเหลาที่เย็นชาหาใดเปรียบในอดีตของเจ้าตัวน้อย เวลานี้กลับเต็มไปด้วยความฮึกเหิมและเบิกบาน

หนึ่งปีมานี้ พัฒนาการของเสี่ยวอิ๋นก็เรียกได้ว่ารวดเร็วระดับเทพ

บางทีหากพูดถึงระดับอาจเทียบหลินสวินไม่ติด แต่ควรรู้ว่ามันเป็นถึงราชันหนอนที่เหยียบย่างระดับมกุฎราชันตัวแรกในเผ่าหนอนกินเทพ

กอปรกับพลังพรสวรรค์น่าสะพรึงที่ติดตัวมันมาแต่เกิด ข้ามระดับฆ่าศัตรูไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปสักนิด

ถึงขนาดว่าด้วยศักยภาพในยามนี้ของหลินสวิน หากเจอกับการลอบฆ่าของเสี่ยวอิ๋น ก็ต้องถอยกรูดสุดกำลังเป็นแน่

“ไม่เลว ไม่เลว”

หลินสวินพอใจยิ่ง แรกเริ่มเดิมทีเพื่อจะบ่มเพาะเสี่ยวอิ๋น ทำให้เขาสิ้นเปลืองเวลาและพละกำลังมากมายไปรวบรวมสมบัติเพื่อความก้าวหน้าให้เสี่ยวอิ๋น

แต่หลายปีมานี้ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลยสักนิด

เพราะเสี่ยวอิ๋นมีศักยภาพในการเลื่อนระดับด้วยตัวเองแล้ว มรรคาของมันก็เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์เช่นกัน จำเป็นต้องให้มันไปแสวงหาด้วยตัวเอง

แม้แต่หลินสวินก็ช่วยอะไรไม่ได้

“นายท่าน พวกเราจะออกจากที่แห่งนี้เมื่อไหร่”

เสี่ยวอิ๋นเอ่ยถาม

“รออีกระยะหนึ่ง”

หลินสวินมีคำตอบอยู่ในใจ ขณะพูดก็พาเสี่ยวอิ๋นกลับไปที่สามพันสถูปเจดีย์

เพิ่งเดินเข้าไปในเจดีย์ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะบ้าคลั่งดังขึ้นระลอกหนึ่ง…

“ฮ่าๆๆ สวรรค์ไม่รังแกข้า ในที่สุดก็ให้ข้าหยั่งถึงนัยเร้นลับส่วนหนึ่งของลายมรรคหินสลักสิบแปดแผ่นนี่เสียที!”

เป็นเสียงของเจ้าคางคก

หลินสวินจิตใจไหวสะท้าน ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ เจ้าคางคกและนกทมิฬร่วมกันศึกษาและสำรวจมาหนึ่งปีกว่า ทั้งคู่ต่างลงความเห็นว่ามหาศุภโชคที่ซุกซ่อนในสามพันสถูปเจดีย์ ก็อยู่ในลายมรรคหินสลักสิบแปดแผ่นนี่แหละ

แต่ก็เพิ่งวันนี้เองที่ได้ยินเจ้าคางคกบอกข่าวดีนี้ออกมา!

ควรรู้ว่าเจ้าคางคกเป็นถึงทายาทเผ่าคางคกทองสามขา แยกแยะสรรพสิ่งได้โดยกำเนิด รอบรู้อดีตและปัจจุบัน ส่วนนกทมิฬก็ไม่ธรรมดา ล่วงรู้ความลับที่น่าเหลือเชื่อมากมาย

แต่กลับเสียเวลาไปหนึ่งปีกว่าถึงค้นพบนัยเร้นลับภายในนั้น แค่คิดก็รู้ว่าศุภโชคชิ้นนี้ซุกซ่อนอยู่ลึกปานไหน

และเจ้าคางคกกับนกทมิฬ ทุ่มเทแรงกายแรงใจและอุตสาหะเพื่อสิ่งนี้มากมายเท่าใดกัน

หลินสวินพลันเดินขึ้นไปบนชั้นสิบแปดโดยไม่ลังเล

ก็เห็นเจ้าคางคกอยู่กับนกทมิฬ ดวงตาต่างทอประกาย จับจ้องลายมรรคหินสลักบนกำแพงอย่างตื่นเต้นหาใดเปรียบ

อาการเช่นนั้นเหมือนผีหื่นกระหายจับจ้องสาวงามชัดๆ ถูหมัดเช็ดฝ่ามือ ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือ

“พบอะไรหรือ”

หลินสวินเดินเข้าไป เอ่ยถามอย่างใคร่รู้

…………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1286 กาลเวลาดั่งนักเดินทางที่ผ่านเลยไป

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1286 กาลเวลาดั่งนักเดินทางที่ผ่านเลยไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฉับพลันดวงหน้าของเหวินฉงเฟิงก็บวมเป่งเป็นสีตับหมู คับแค้นปางตาย

เขา ถึงกับถอยกรูด!

ก้าวเดียวสั้นๆ ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดสักนิดก็เพียงพอจะพิสูจน์ได้ว่า เบื้องลึกในจิตใจเขาเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ

“ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!”

เหวินฉงเฟิงตะโกนลั่น สติแตกอย่างสิ้นเชิง เขาไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้

อาจกล่าวได้ว่าการถอยร่นครั้งนี้ก็เหมือนความอัปยศครั้งใหญ่ ทำเอาเขาได้รับการกระตุ้นรุนแรง ไม่สามารถประคองสติสัมปชัญญะได้อีกต่อไป

พรึ่บ!

ปราณกระบี่เจิดจ้าไร้ทัดเทียมสายหนึ่งโฉบออกมา ราวกับรุ้งวิเศษที่หอบม้วนจักรวาล

เพียงแต่การต่อต้านเหล่านี้ล้วนถูกกำหนดให้เสียแรงเปล่า

ต่อกรกับเหวินฉงเฟิงในสภาพสมบูรณ์สูงสุด บางทีอาจต้องสิ้นเปลืองฝีมือของหลินสวินไปส่วนหนึ่ง

ทว่าหากต่อกรกับเหวินฉงเฟิงที่ขาดสติ ก็ไม่มีภัยคุกคามและความระทึกขวัญให้เอ่ยถึงสักนิด

เพียงชั่วครู่เท่านั้นเหวินฉงเฟิงก็ถูกพิฆาต ถูกดาบสังหารด้วยนัยเร้นลับแห่งไม่เที่ยงแท้ หัวล้วนถูกตัดขาด พลังจิตดับสลาย

ในลานเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง เหล่าผู้กล้าต่างตะลึงงัน

ผู้แข็งแกร่งแกล้วกล้าแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าทั้งกลุ่ม วันนี้ถูกหลินสวินสังหารทีละคน ขนาดสัตว์ประหลาดยุคโบราณ สิบอันดับแรกในกระดานทองคำผู้กล้าอย่างเหวินฉงเฟิงก็ยังถูกพิฆาต!

ก่อนหน้านี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจคาดคิด

เวลานี้เมื่อทอดมองเงาร่างปราศจากมลทินของหลินสวินในลานนั่น หัวใจของทุกคนต่างผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา…

แดนเก้าบนในยามนี้ ผู้ใดยังจะสามารถหยุดยั้งอานุภาพแห่งเทพมารหลินได้

ในวันนี้ ข่าวเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งนี้แพร่กระจายออกไป แดนเก้าบนล้วนสั่นสะเทือน!

“สำนักกระบี่เทียมฟ้าจบเห่แล้ว…”

ขุมอำนาจใหญ่ส่วนหนึ่งต่างทอดถอนใจ

ที่ผ่านมาเพราะมีอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นกำลังหลัก สำนักกระบี่เทียมฟ้าเป็นเหมือนนายเหนือหัวที่ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกิน ไม่ว่าจะเป็นใครต่างไม่กล้าลูบคม ได้แต่ถอยฉากหลบเลี่ยง

แต่ตอนนี้ ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปแล้ว!

“ครึ่งปีแล้ว หลินสวินปรากฏตัว ศึกเดียวก็สยบฆ่าผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าทั้งกลุ่ม แสดงให้เห็นถึงพลังต่อสู้ที่ไร้เทียมทาน”

“แต่อวิ๋นชิ่งไป๋กลับโอ้เอ้ไม่เคยปรากฏตัว หากเขารู้ข่าวยังจะทนต่อไปได้อีกหรือ”

คนส่วนหนึ่งคลางแคลงใจไม่สิ้น

นี่ผิดปกติยิ่ง ตามอุปนิสัยของอวิ๋นชิ่งไป๋ เป็นไปได้หรือที่เขาจะทนต่อความอัปยศใหญ่หลวงเช่นนี้ได้

ขณะที่โลกภายนอกปั่นป่วน พื้นที่ละแวกสถูปเจดีย์เหมือนจะกลายเป็นแดนต้องห้ามแห่งหนึ่ง ไม่มีใครกล้าเฉียดใกล้

เพราะต่างรู้ดีว่าหลินสวินกำลังฝึกตนอยู่ภายในสามพันสถูปเจดีย์นั่น

หนำซ้ำเขาเองก็ไม่กลัวถูกคนรู้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่นี่สักนิด เสมือนกำลังเฝ้ารออวิ๋นชิ่งไป๋มาหาถึงที่โดยตลอด!

ท่าทีเช่นนี้เดิมทีก็เป็นพลังอำนาจเหยียดหยันอันไร้รูปอย่างหนึ่ง พาให้ผู้คนใจสะท้าน

ทว่าเหนือความคาดหมายของทุกคน พร้อมๆ กับเวลาที่เคลื่อนคล้อย อวิ๋นชิ่งไป๋ไม่เคยปรากฏตัวเลย…

‘อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสมาก แม้จะฟื้นตื้นขึ้นมา กลัวแต่ว่าคงไม่กล้ามุ่งหน้ามาข้าทันทีทันใด เพราะเขาย่อมไม่อาจทนให้ประสบความล้มเหลวอีกเป็นครั้งที่สองอย่างเด็ดขาด’

มีเพียงหลินสวินเท่านั้นที่รู้ดีว่า ภายในเวลาอันสั้นไม่มีทางที่อวิ๋นชิ่งไป๋จะหวนคืนมาอีกครั้ง

เขาถึงขั้นสรุปชัด มีเพียงยามที่เตรียมตัวพร้อมเต็มที่ที่สุดแล้วเท่านั้น อวิ๋นชิ่งไป๋จึงจะปรากฏตัวต่อสายตาของคนทั่วหล้าอีกครั้ง

และตอนนั้น ระยะห่างจากวันแห่งศึกตัดสินของเขาและอวิ๋นชิ่งไป๋คงจะไม่ไกลเกินไปอย่างแน่นอน!

ในป่าลึกไร้คืนวัน ฤดูกาลไม่รู้รอบปี

การเคลื่อนคล้อยของเวลา ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกปราณหรือปุถุชนคนทั่วไปล้วนไม่อาจย้อนคืน

คำกล่าวที่ว่าฟ้าดินเหมือนที่พักรับรองแขก กาลเวลาดั่งนักเดินทางที่ผ่านเลยไปคงจะเป็นเช่นนี้

นับตั้งแต่วันนั้นที่หลินสวินสังหารเหวินฉงเฟิงเป็นต้นมา ก็ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว

ช่วงเวลาหนึ่งปีนี้บรรยากาศในแดนเก้าบนยิ่งเดือดระอุมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกแห่งหนล้วนอุบัติการเข่นฆ่านองเลือด การต่อสู้ไร้ปรานี

มีขุมอำนาจดุจนายเหนือหัวเผด็จการ ร่วงโรยจมดิ่งกลางเพลิงสงคราม

และมีบุคคลขอบเขตมกุฎที่แต่เดิมชื่อเสียงยังไม่โดดเด่น ในหนึ่งปีก็ผงาดง้ำดุจดาวหาง ดึงดูดความสนใจทั่วแดนเก้าบน

มีคนร่ำไห้ มีคนหัวเราะ มีคนผิดหวัง มีคนได้ใจ สุขโศกมากมายเคล้าระคน รักโลภโกรธหลงล้วนบังเกิดในแดนเก้าบน

หลายแห่งชื่นมื่น หลายแห่งโศกศัลย์

ช่วงหนึ่งปีนี้ลำดับรายชื่อร้อยอันดับแรกของกระดานทองคำผู้กล้าก็เปลี่ยนไปด้วยความเร็วที่พาให้ผู้คนปากอ้าตาค้าง พาให้ผู้คนจับตามองไม่ทัน

ยอดกำแพงเมืองผันเปลี่ยนธงราชัน ฝ่ายท่านสรรเสริญข้าขึ้นแท่นบัลลังก์!

แต่มีเพียงตำแหน่งที่หนึ่งของอวิ๋นชิ่งไป๋เท่านั้นที่ไม่เคยถูกคนสั่นคลอน

ขณะเดียวกัน ชื่อของหลินสวินก็ไม่เคยปรากฏบนกระดานทองคำผู้กล้าเช่นกัน

ถึงขนาดหนึ่งปีมานี้ ก็ไม่มีข่าวเกี่ยวกับหลินสวินแพร่กระจายออกมาอีกเลย

เพราะเขาเอาแต่ปิดด่านอยู่ภายในสถูปเจดีย์

หนึ่งปีนี้ เป็นปีที่เจ็ดที่แดนมกุฎปรากฏในดินแดนรกร้างโบราณ ระยะเวลาในการต่อสู้แห่งมกุฎครั้งนี้ ก็เหลือไม่ถึงสามปีแล้ว

ลมฝนดั่งเลือนราง กระดูกขาวกองเป็นภูเขา

หลังจากหนึ่งปีแห่งการเปลี่ยนแปลง พื้นที่สถูปก็กลับสู่ความเงียบสงบและว่างเปล่าดังที่ผ่านมา

ที่นี่ สุดท้ายก็เป็นแดนธรรมสถูปอันเป็นแดนดินหฤโหดที่เต็มไปด้วยอันตรายและความอัปมงคล ไม่ใช่ว่าใครจะมีปัญญาตั้งหลักปักฐานที่นี่ได้

เสียงการต่อสู้ดุเดือดที่สะเทือนจนหูจะหนวกระลอกหนึ่งดังก้องขึ้น

ก็เห็นปราณกระบี่แข็งกร้าวสายแล้วสายเล่าผสานเข้าด้วยกัน ฉีกทึ้งห้วงอากาศแตกเป็นเสี่ยง ดุดันพาให้เมฆลมเปลี่ยนสี

ดาบหักขาวกระจ่างดุจหิมะสายหนึ่งแล่นผ่านภายในนั้น กำลังต่อสู้ดุเดือดกับปราณกระบี่น่าสะพรึงที่เบียดเสียดแน่นขนัดเหล่านั้น

เมื่อสังเกตดีๆ เงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งกำลังบุกฆ่า ผมดำปลิวไสว เผยให้เห็นโครงหน้าที่หล่อเหลาเด็ดเดี่ยว

เงาร่างของเขาเปล่งประกาย ไหลเวียนด้วยแสงมรรคแพรวพราว รูปจำลองหุบเหวใหญ่ปรากฏอยู่เบื้องหลังเขา ประหนึ่งสามารถกลืนกินแปดทิศทาง

คนผู้นี้ก็คือหลินสวิน

และคู่ต่อสู้ของเขา กลับเป็นโครงกระดูกร่างคนสีขาวหิมะตนหนึ่ง ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น สันหลังเหยียดตรงดุจกระบี่ โครงกระดูกแต่ละข้อล้วนประทับประกายเจตกระบี่คมกริบ

ยามที่ต่อสู้ดุเดือด ทุกครั้งที่หลินสวินบุกโจมตี หมายจะทำลายโครงกระดูกนี้ ก็จะมีปราณกระบี่เกลื่อนฟ้าพุ่งออกมา มีอานุภาพกายสิทธิ์ แข็งกร้าวไร้ทัดเทียม!

นี่ก็คือโครงกระดูกอริยะกระบี่!

ร่างแยกของกู่ฝอจื่อเคยกล่าวว่า นี่คือโครงกระดูกอริยะกระบี่แห่ง ‘ดินแดนโบราณต้าหลัว’ คนหนึ่ง ในสมัยต้นบรรพกาล เพื่อสยบคนผู้นี้อริยพุทธผู้นั้นก็ทำเอาตนได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน สุดท้ายเมื่อสร้างสามพันสถูปเจดีย์ อริยพุทธผู้นี้ก็นิพพาน ดับขันธ์โดยพลัน

ด้วยเหตุนี้ แค่คิดก็รู้ว่าโครงกระดูกอริยะกระบี่เป็นตัวตยที่แข็งแกร่งปานใด

โครงกระดูกของเขายืนตระหง่านกลางฟ้าดิน ผ่านการกัดกร่อนจากกาลเวลาไร้สิ้นสุด แต่กลับไม่เคยทำให้กระดูกสันหลังคดงอแม้แต่เสี้ยวเดียว ปราณกระบี่ที่ประทับบนโครงกระดูกของเขาก็ไม่เคยถูกกำจัดไปอย่างสิ้นเชิง!

เพียงแต่ตอนนี้โครงกระดูกอริยะกระบี่นี้กลับกลายเป็นเป้าแห่งการเคี่ยวกรำวิถียุทธ์ของหลินสวิน…

ตูม!

เสียงกึกก้องดังลั่นสะเทือนแก้วหูจนหูจะหนวก โครงกระดูกอริยะกระบี่นั่นบังเกิดอาการสั่นระริกน้อยๆ ราวกับมีสัญญาณจะถูกซัดสะเทือนทรุดล้ม

ชิ้ง!

และในเวลานี้ หลินสวินเก็บดาบหักไป ขบคิดเงียบๆ ในใจ ‘อย่างมากที่สุดไม่เกินสามเดือน จะต้องทำลายโครงกระดูกอริยะกระบี่นี่ได้ และหลอมพลังที่อยู่ภายใต้ประทับของมัน…’

หนึ่งปีมานี้ปราณของหลินสวินก็รุดหน้าแบบก้าวกระโดด

ยามนี้เขาได้ข้ามอมตะเคราะห์ด่านที่ห้า ‘เคราะห์หกปรารถนา’ แล้ว ซ้ำยังบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับอมตะเคราะห์ด่านห้าแล้ว

พลังต่อสู้แห่งตนบังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่พลิกฟ้าคว่ำพสุธาตั้งนานแล้ว

ในการฝึกปราณมหามรรค มหามรรคทั้งปวงที่เขาเชี่ยวชาญล้วนแล้วแต่บรรลุถึงขั้นระเบียบมรรค!

แม้แต่การเคี่ยวกรำจิตวิญญาณก็บรรลุถึงระดับขีดสุดที่ไม่เคยมีมาก่อนของ ‘ระดับดอกเทพรวมยอด’ แต่เพราะข้อจำกัดของปราณแห่งตน จึงไม่สามารถฝ่าทะลวงได้อีกต่อไป

เหนือระดับดอกเทพรวมยอดก็คือ ‘ระดับจิตลอยล่อง’ ‘ระดับแปรเทพเปลี่ยนอริยะ’ เป็นส่วนหนึ่งของระดับอริยะ คลุมเครือยากเข้าใจ ไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินในยามนี้จะสามารถหยั่งถึงและสัมผัสได้

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ทอดสายตามองในระดับอมตะ ความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของหลินสวินก็เพียงพอจะยืนสันโดษในระดับนี้ เหยียดหยันเหล่าผู้กล้า!

เนื่องจากพลังจิตของเขาแปลงหนึ่งเป็นสาม เดิมก็แตกต่างจากคนอื่นๆ อยู่แล้ว

นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงของพลังยุทธ์

เมื่อหนึ่งปีก่อนมหาอริยะเสวียนคงเคยชี้แนะหลินสวิน ทำให้เขาก้าวสู่ระดับ ‘กระจ่างจิต’ ในวิถียุทธ์

และยามนี้ ไม่ว่าสำแดงเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร หรือจะใช้หกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า ดรรชนีมหาอุดมสลายมายา หยิบยกมาส่งๆ ก็สามารถใช้ระดับกระจ่างจิตได้!

หากอิงตามการแบ่งขอบเขต สามารถจัดอยู่ในขั้นเข้าถึงชำนาญในระดับกระจ่างจิต

การเปลี่ยนแปลงทั้งชุดนี้ล้วนได้มาจากการหยั่งถึงยามปิดด่านในช่วงหนึ่งปีมานี้

แต่ว่า เหตุที่สามารถทะลวงขั้นภายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้ ปัจจัยสำคัญก็อยู่ที่คุณประโยชน์ของมุกพิสุทธิ์ฟ้าประทาน

สมบัตินี้เป็นวัตถุอริยะหลอมปราณอย่างแน่นอน ทำให้ตอนที่ฝึกปราณ หลินสวินประหยัดพลังและเวลาได้มหาศาล

ฟู่!

หลินสวินพ่นไอขุ่นมัวเฮือกยาว กำลังคิดจะจากไป จู่ๆ เงาร่างโปร่งแสงดุจมายาสายหนึ่งพลันมาเยือนจากระยะไกล

“นายท่าน ข้าข้ามอมตะเคราะห์ด่านสองแล้ว!”

เป็นเสี่ยวอิ๋น เพียงแต่บนดวงหน้าหล่อเหลาที่เย็นชาหาใดเปรียบในอดีตของเจ้าตัวน้อย เวลานี้กลับเต็มไปด้วยความฮึกเหิมและเบิกบาน

หนึ่งปีมานี้ พัฒนาการของเสี่ยวอิ๋นก็เรียกได้ว่ารวดเร็วระดับเทพ

บางทีหากพูดถึงระดับอาจเทียบหลินสวินไม่ติด แต่ควรรู้ว่ามันเป็นถึงราชันหนอนที่เหยียบย่างระดับมกุฎราชันตัวแรกในเผ่าหนอนกินเทพ

กอปรกับพลังพรสวรรค์น่าสะพรึงที่ติดตัวมันมาแต่เกิด ข้ามระดับฆ่าศัตรูไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปสักนิด

ถึงขนาดว่าด้วยศักยภาพในยามนี้ของหลินสวิน หากเจอกับการลอบฆ่าของเสี่ยวอิ๋น ก็ต้องถอยกรูดสุดกำลังเป็นแน่

“ไม่เลว ไม่เลว”

หลินสวินพอใจยิ่ง แรกเริ่มเดิมทีเพื่อจะบ่มเพาะเสี่ยวอิ๋น ทำให้เขาสิ้นเปลืองเวลาและพละกำลังมากมายไปรวบรวมสมบัติเพื่อความก้าวหน้าให้เสี่ยวอิ๋น

แต่หลายปีมานี้ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลยสักนิด

เพราะเสี่ยวอิ๋นมีศักยภาพในการเลื่อนระดับด้วยตัวเองแล้ว มรรคาของมันก็เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์เช่นกัน จำเป็นต้องให้มันไปแสวงหาด้วยตัวเอง

แม้แต่หลินสวินก็ช่วยอะไรไม่ได้

“นายท่าน พวกเราจะออกจากที่แห่งนี้เมื่อไหร่”

เสี่ยวอิ๋นเอ่ยถาม

“รออีกระยะหนึ่ง”

หลินสวินมีคำตอบอยู่ในใจ ขณะพูดก็พาเสี่ยวอิ๋นกลับไปที่สามพันสถูปเจดีย์

เพิ่งเดินเข้าไปในเจดีย์ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะบ้าคลั่งดังขึ้นระลอกหนึ่ง…

“ฮ่าๆๆ สวรรค์ไม่รังแกข้า ในที่สุดก็ให้ข้าหยั่งถึงนัยเร้นลับส่วนหนึ่งของลายมรรคหินสลักสิบแปดแผ่นนี่เสียที!”

เป็นเสียงของเจ้าคางคก

หลินสวินจิตใจไหวสะท้าน ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ เจ้าคางคกและนกทมิฬร่วมกันศึกษาและสำรวจมาหนึ่งปีกว่า ทั้งคู่ต่างลงความเห็นว่ามหาศุภโชคที่ซุกซ่อนในสามพันสถูปเจดีย์ ก็อยู่ในลายมรรคหินสลักสิบแปดแผ่นนี่แหละ

แต่ก็เพิ่งวันนี้เองที่ได้ยินเจ้าคางคกบอกข่าวดีนี้ออกมา!

ควรรู้ว่าเจ้าคางคกเป็นถึงทายาทเผ่าคางคกทองสามขา แยกแยะสรรพสิ่งได้โดยกำเนิด รอบรู้อดีตและปัจจุบัน ส่วนนกทมิฬก็ไม่ธรรมดา ล่วงรู้ความลับที่น่าเหลือเชื่อมากมาย

แต่กลับเสียเวลาไปหนึ่งปีกว่าถึงค้นพบนัยเร้นลับภายในนั้น แค่คิดก็รู้ว่าศุภโชคชิ้นนี้ซุกซ่อนอยู่ลึกปานไหน

และเจ้าคางคกกับนกทมิฬ ทุ่มเทแรงกายแรงใจและอุตสาหะเพื่อสิ่งนี้มากมายเท่าใดกัน

หลินสวินพลันเดินขึ้นไปบนชั้นสิบแปดโดยไม่ลังเล

ก็เห็นเจ้าคางคกอยู่กับนกทมิฬ ดวงตาต่างทอประกาย จับจ้องลายมรรคหินสลักบนกำแพงอย่างตื่นเต้นหาใดเปรียบ

อาการเช่นนั้นเหมือนผีหื่นกระหายจับจ้องสาวงามชัดๆ ถูหมัดเช็ดฝ่ามือ ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือ

“พบอะไรหรือ”

หลินสวินเดินเข้าไป เอ่ยถามอย่างใคร่รู้

…………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+