Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1370 มุ่งไปยังทิศใต้

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1370 มุ่งไปยังทิศใต้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“หนีสิ!”

หลังจากความเงียบงันแสนสั้น กองทัพคนเถื่อนวารีก็หลบหนีอย่างแตกตื่น ตกใจกลัวจนหัวหดไปโดยสิ้นเชิง แต่ละคนอยากจะให้มีขางอกขึ้นมาเพิ่มสักสองขาเต็มแก่

ชั่วขณะเดียวราชันเถื่อนสามคนต่างถูกสังหารอย่างง่ายดาย นี่ช่างเหมือนฝันร้ายอันน่ากลัว!

ขอเพียงสมองปกติเสียหน่อย ก็จะรู้ว่าแค่มีชายหนุ่มที่จู่ๆ ตกลงมาจากฟ้าคนนั้นอยู่ ศึกใหญ่ครั้งนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินต่อไปแล้ว

นี่ก็คือประโยชน์ของระดับราชัน คนเดียวเท่ากับกำลังนับล้าน!

และหลินสวินก็ไม่ได้เป็นแค่ระดับราชันธรรมดา

“ยังอึ้งอะไรอยู่ ฆ่า!”

จ่างซุนสยงตะคอกลั่น จิตใจฮึกเหิม

ศึกใหญ่ที่ดำเนินมากว่าเดือนครั้งหนึ่ง พอมาถึงวันนี้ฝั่งกองทัพจักรวรรดิเฉียดใกล้อันตราย แนวป้องกันกำลังจะถูกตีแตกแล้ว

แต่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนี้เอง กลับมีชายหนุ่มคนหนึ่งตกลงมาจากฟากฟ้าดั่งทวยเทพ ใช้พลังเพียงคนเดียวก็พลิกแพ้เป็นชนะได้อย่างง่ายดาย!

นี่จะไม่ทำให้จ่างซุนสยงตื่นเต้นได้อย่างไร

“ฆ่า!”

“ฆ่าไอ้สวะพ่อมดเถื่อนพวกนั้น!”

ฝั่งกองทัพจักรวรรดิไล่กวดพวกศัตรูที่ถอยหนี เปิดฉากโจมตีกลับ เสียงเป่าเขาสัตว์ก้องสะท้อนอยู่กลางฟ้าดิน

พลทหารจักรวรรดิทุกคนต่างกำลังใจเต็มเปี่ยม!

“คุณชาย ขอคุยด้วยได้ไหม”

สายตาจ่างซุนสยงมองที่หลินสวิน เจือไปด้วยความเคารพจากภายในจิตใจ

ด้วยประสบการณ์และสายตาของเขา ปราดเดียวก็ดูออกว่าหลินสวินย่อมไม่ใช่สัตว์ประหลาดเฒ่าที่มีชีวิตมานานปี

และเพราะเป็นเช่นนี้ถึงทำให้ในใจเขายิ่งสะท้าน ลอบพึมพำในใจว่าหรือนี่จะเป็นสัตว์ประหลาดน้อยที่สำนักศึกษามฤคมรกตแห่งจักรวรรดิบ่มเพาะออกมาคนหนึ่ง

พอฟ้าดินแปรผันฉับพลัน หลายปีมานี้ในจักรวรรดิก็มีคนหนุ่มสาวที่โดดเด่นสะดุดตาจำนวนมากปรากฏตัว ผงาดขึ้นอย่างก้าวกระโดด เหยียบย่างสู่ระดับราชัน ชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าไปด้วย

ในหมู่คนหนุ่มสาวเหล่านี้ กว่าครึ่งมาจากสำนักศึกษามฤคมรกต!

ดังนั้นจ่างซุนสยงถึงได้สันนิษฐานเช่นนี้

หลินสวินพยักหน้า ออกจากสนามรบแห่งนี้ไปกับจ่างซุนสยง

เขาเพิ่งกลับมาที่โลกชั้นล่าง จึงมีเรื่องที่จำเป็นต้องรู้มากมาย ถึงอย่างไรก็ไม่ได้กลับมาสิบกว่าปี โลกชั้นล่างแห่งนี้ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปเป็นเช่นไรแล้ว

……

งานเลี้ยงจัดขึ้นในกระโจมหลังหนึ่ง หลินสวินถูกเชิญให้นั่งในตำแหน่งสูงสุด โดยมีจ่างซุนสยงนั่งเคียงข้าง

บนที่นั่งสองฝั่งล้วนเป็นคนใหญ่คนโตในกองทัพแนวป้องกันเหนือสุดของจักรวรรดิ

“ขอเรียนถามว่าคุณชายมีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร”

จ่างซุนสยงดื่มคารวะหลินสวินจอกหนึ่ง ตอนนี้ถึงเอ่ยถาม

“เรียกข้าว่าหลินสือเอ้อร์ก็ได้”

หลินสวินเอ่ย นี่เป็นรหัสแทนตัวที่เขาใช้สมัยฝึกที่ค่ายกระหายเลือด ตอนอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดเขาก็ใช้ชื่อนี้เช่นกัน

‘หลินสือเอ้อร์…’

จ่างซุนสยงทวนซ้ำเงียบๆ ในใจ ชั่วพริบตาก็นึกถึงค่ายกระหายเลือด แต่ไม่ว่าคิดจนหัวแตกอย่างไรก็คิดไม่ออก ว่าในค่ายกระหายเลือดไปมีชายหนุ่มเย้ยฟ้าเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นตอนไหน

หลินสวินไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพ หลายปีมานี้ข้าผู้แซ่หลินรอนแรมในดินแดนรกร้างโบราณมาโดยตลอด และเพิ่งกลับมาวันนี้ ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ในจักรวรรดิตอนนี้เป็นอย่างไร ขอท่านชี้แนะด้วย”

รอนแรมในดินแดนรกร้างโบราณ!

จ่างซุนสยงกับทุกคนที่อยู่ในงานเลี้ยงสะท้านใจอย่างรุนแรง ตอนนี้ถึงรับรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาต่างทายผิดหมดแล้ว ชายหนุ่มตรงหน้านี้ถึงกับกลับมาจากดินแดนรกร้างโบราณ!

“มิน่าคุณชายหลินถึงได้แข็งแกร่งปานนี้ เคยไปฝึกปราณที่โลกชั้นบนหรือนี่” จ่างซุนซยงเอ่ยเสียงค่อย

สำหรับคนใหญ่คนโตในจักรวรรดิเหล่านั้นแล้ว ย่อมรู้ถึงการมีอยู่ของดินแดนรกร้างโบราณไม่มากก็น้อย ที่นั่นถูกมองว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ในการฝึกปราณ เป็นสถานที่ที่ผู้ฝึกปราณทุกคนเฝ้าฝันจะไปเยือน

และหลินสวินกลับมาจากดินแดนรกร้างโบราณ ทำให้สายตาที่ทุกคนมองมาที่เขาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

พวกเขาต่างรู้ดีว่าผู้ที่สามารถไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณจากโลกชั้นล่างได้ แทบไม่มีใครธรรมดาสักคน!

ในการพูดคุยต่อมา หลินสวินก็พอจะเข้าใจเรื่องราวในโลกชั้นล่างบ้างแล้ว

อย่างเช่นผลกระทบที่มีต่อจักรวรรดิจากการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน

อย่างเช่นความวุ่นวายโกลาหลที่สัตว์อสูรมารปีศาจก่อขึ้นอย่างเหิมเกริมในอาณาเขตจักรวรรดิ

อย่างเช่นสนามรบรอบด้านที่พ่อมดเถื่อนเก้าสายชักนำให้เกิดขึ้นได้กลายเป็นไฟลามทุ่ง แผ่ขยายไปตามชายแดนใหญ่แต่ละแห่งในจักรวรรดิแล้ว

…พอถึงท้ายที่สุด ก็ทำให้หลินสวินลอบถอนใจในใจอย่างห้ามไม่ได้ หลังจากไปสิบกว่าปี โลกชั้นล่างก็แตกต่างไปจากเดิมเสียแล้ว

อย่างน้อยตอนที่เขาจากไป ภายในจักรวรรดิก็ยังสงบสุข แต่ตอนนี้กลับมีทั้งศึกในศึกนอก ไพร่พลพสกนิกรประสบเภทภัยไม่ว่างเว้น!

ทั้งหมดนี้ว่ากันถึงแก่นแล้วล้วนเป็นเพราะ ‘ฟ้าดินแปรผันฉับพลัน’

ตั้งแต่ตอนออกจากดินแดนรกร้างโบราณ หลินสวินก็เคยได้ยินเรื่องฟ้าดินแปรผันฉับพลัน กระทั่งรู้ว่า ‘ฟ้าดินแปรผันฉับพลัน’ ที่ว่านี้ แท้จริงแล้วก็คือตัวแปรที่เกิดขึ้นหลังจากมหายุคมาเยือน

เพียงแต่ต่างจากดินแดนรกร้างโบราณ ในมหายุคครั้งนี้จักรวรรดิตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจมองในแง่ดีได้ ภายในมีสัตว์อสูรมารปีศาจเหิมเกริม ภายนอกมีพ่อมดเถื่อนเก้าสายรุกรานชายแดน เรียกได้ว่าอยู่กลางพายุฝน โกลาหลไม่สงบ

“ท่านแม่ทัพ ข้าลาล่ะ”

หลังจากงานเลี้ยงจบลงหลินสวินก็บอกลาทันที

หลายปีมานี้โลกชั้นล่างเกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายเกินไปแล้ว หลินสวินคิดจะกลับไปนครต้องห้ามก่อนเพื่อดูสถานการณ์ของตระกูลหลินแห่งเขาชำระจิต ในขณะเดียวกันก็ต้องการรู้ความจริงเรื่องคดีนองเลือดของตระกูลหลินในตอนนั้น

พวกจ่างซุนสยงร่วมกันมาส่งหลินสวินด้วยตัวเอง

พอมองเงาร่างเขาหายลับไปในเส้นขอบฟ้าไกล ชายวัยกลางคนทรงอำนาจคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า “ข้าจำได้ว่าประมาณสิบหกปีก่อน ผู้นำตระกูลหลินแห่งนครต้องห้าม เด็กหนุ่มที่ถูกยกให้เป็น ‘ผู้มีอำนาจทั่วนครหลวง’ คนนั้นออกจากโลกชั้นล่างไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณ”

ประโยคเดียวทำให้คนอื่นนัยน์ตาหดรัด ต่างนึกออกแล้วว่าตอนนั้นตระกูลหลินมีพวกร้ายกาจราวกับปีศาจคนหนึ่ง อาศัยพลังของตัวคนเดียวผงาดขึ้นอย่างแข็งกร้าว ในนครต้องห้ามซึ่งเต็มไปด้วยตระกูลทรงอิทธิพลและหมู่มวลผู้แข็งแกร่งโดยฉับพลัน

ด้านวีรกรรมของเขา คนรุ่นเยาว์อาจจะลืมไปนานแล้ว แต่สำหรับพวกจ่างซุนสยงย่อมลืมไม่ได้เด็ดขาด ว่าตอนนั้นเด็กหนุ่มคนนั้นก่อความวุ่นวาย สร้างชื่อระบือใต้หล้าไว้อย่างไรบ้าง!

“เจ้าจะบอกว่า เป็นไปได้มากที่คนเมื่อกี้จะเป็นหลินสวินหรือ”

จ่างซุนสยงแววตาไหววูบ

ชายวัยกลางคนทรงอำนาจพยักหน้า “สิบกว่าปีก่อนข้าเคยรับคำสั่งในสมรภูมิกระหายเลือด เคยได้ยินชื่อหลินสือเอ้อร์นี้ เพียงแต่ตอนนั้นหลินสือเอ้อร์ยังมีพลังปราณระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น ถึงขนาดว่าตอนข้าได้พบคนเมื่อกี้ก็ออกจะทำใจเชื่อได้ยาก ถึงอย่างไรระดับก็ต่างกันมากเกินไปจริงๆ…”

พวกจ่างซุนสยงต่างพยักหน้า

ความต่างชั้นไม่เพียงมากเท่านั้น ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสิบกว่าปีก็ก้าวกระโดดจากระดับหยั่งสัจจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชันที่ไร้เทียมทานคนหนึ่งได้ เรื่องนี้ดูน่าเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย!

“หากหลินสือเอ๋อร์ผู้นี้คือผู้นำเขาชำระจิตในตอนนั้นจริง เช่นนั้นเขากลับมาคราวนี้… เกรงว่าในนครต้องห้ามจะวุ่นวายชนิดพลิกฟ้าเสียแล้ว…”

บางคนมีแววประหลาดปรากฏขึ้นในดวงตา

จ่างซุนสยงนิ่วหน้า “พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

“หลายปีก่อนในนครต้องห้ามก็มีข่าวหนึ่งเลื่องลือ ว่าเมื่อฟ้าดินแปรผันฉับพลันปรากฏขึ้น จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างโลกชั้นล่างกับดินแดนรกร้างโบราณขาดสะบั้นโดยสมบูรณ์ ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิที่เข้าไปในดินแดนรกร้างโบราณ ชาตินี้จะไม่อาจกลับมาโลกชั้นล่างได้อีก”

คนผู้นั้นเอ่ยเสียงขรึม “เป็นเพราะข่าวนี้ ทำให้สถานการณ์ของตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตไม่ชอบมาพากลขึ้นมา เพราะรู้ดีว่าหลินสวินคนนี้คือเสาหลักของตระกูลหลิน หากชาตินี้เขากลับมาไม่ได้… เจ้าว่าคนในตระกูลหลินพวกนั้นจะคิดอย่างไร”

พวกจ่างซุนสยงต่างแววตาวูบไหว พวกเขาย่อมรู้ดีว่าหากขุมอำนาจใหญ่แห่งหนึ่งไม่มีเสาหลักแล้ว ก็เหมือนกับหมู่มังกรไร้เศียร จะต้องถูกพายุฝนจากทั่วสารทิศโจมตีแน่!

“หากเพียงเท่านี้ก็ช่างเถิด ถ้ามีหลินสวินอยู่ ยังสามารถขู่ขวัญศัตรูภายนอกของตระกูลหลินเหล่านั้นได้ แต่ถ้าเขาไม่อยู่ ศัตรูพวกนั้นจะพลาดโอกาสแก้แค้นตระกูลหลินไปได้อย่างไร”

คนผู้นั้นถอนใจช้าๆ “เท่าที่ข้ารู้ ช่วงหลายปีมานี้ตระกูลหลินนับวันยิ่งลำบากขึ้นแล้ว”

“ศัตรูคู่แค้นของตระกูลหลินมีมากหรือ”

มีคนถามอย่างตกตะลึง

“หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าในหมู่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งเจ็ด ยังมีสักกี่ตระกูลที่หลินสวินคนนั้นไม่เคยล่วงเกิน”

ประโยคเดียวทำให้ทุกคนอดทอดถอนใจไม่ได้

ตอนหลินสวินผงาดขึ้นในนครต้องห้าม คู่ต่อสู้มีมากมายจริงๆ แค่เพียงในหมู่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งเจ็ดก็มีตระกูลจั่ว ฉิน ฉื่อ ฮวา ซ่ง และเซี่ย!

“ถ้าเป็นเช่นนี้จริง เกรงว่าในนครต้องห้ามจะโกลาหลพลิกฟ้าเข้าจริงๆ แล้ว…”

จ่างซุนสยงพึมพำ เขานึกถึงภาพที่หลินสวินสังหารราชันเถื่อนสามคนนั้น ในใจก็รู้สึกหนาวเหน็บอย่างไร้สาเหตุ

ชายหนุ่มที่พลังต่อสู้เย้ยฟ้าเช่นนี้คนหนึ่ง หากรู้สถานการณ์ในปัจจุบันของตระกูลหลินเข้า ต้องก่อให้เกิดพายุฝนนองเลือดคับฟ้าครั้งหนึ่งแน่!

……

ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล ยานขนส่งอวกาศแปรสภาพเป็นแสงเคลื่อนสายหนึ่งมุ่งไปยังทิศใต้

บนยาน หลินสวิน เจ้าคางคกและจ้าวจิ่งเซวียนกำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน

“พลังฟ้าดินแห่งนี้ต่างไปจริงๆ ไอวิญญาณเข้มข้นกว่าตอนข้าอยู่ในจักรวรรดิหลายสิบเท่า”

หลินสวินจุ๊ปากเอ่ยด้วยความประหลาดใจ

“กลิ่นอายมหามรรคก็เปลี่ยนเป็นหนาแน่น ทำให้ผู้ฝึกปราณยิ่งรับรู้ได้ง่ายขึ้น…”

จ้าวจิ่งเซวียนพยักหน้า

“เพียงแต่ยังสู้แดนมกุฎไม่ได้อยู่ดี”

เจ้าคางคกพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็นิ่วหน้าเอ่ยว่า “พวกเจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่าในพลังกฎระเบียบกลางฟ้าดินนี้มีพลานุภาพกดข่มที่บอกไม่ถูกอยู่ ทำให้ข้ารู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง”

หลินสวินกับจ้าวจิ่งเซวียนสบตากันครั้งหนึ่งแล้วต่างพยักหน้า

“ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด นี่คือพลัง ‘เจตจำนงฟ้าดิน’ ของโลกชั้นล่าง พลังปราณยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งรู้สึกได้อย่างแจ่มชัดว่า เมื่อพลังปราณแข็งแกร่งไปถึงระดับหนึ่งย่อมถูก ‘เจตจำนงฟ้าดิน’ นี้กำราบและขจัดไป!”

เจ้าคางคกพูดงึมงำว่า “ข้าสงสัยว่า ขีดจำกัดที่เจตจำนงฟ้าดินของโลกชั้นล่างแห่งนี้รับได้ก็คือต่ำกว่าระดับอริยะ ทันทีที่เหยียบย่างเข้าสู่ระดับอริยะ ก็จะถูกเจตจำนงฟ้าดินต่อต้าน เพราะพลังทำลายล้างของระดับอริยะมากเกินไปแล้ว ผลลัพธ์ที่สร้างขึ้นตอนต่อสู้ก็น่ากลัวยิ่งนัก”

จริงๆ แล้วเรื่องนี้เข้าใจได้ง่ายมาก ถ้าโลกชั้นล่างเหมือนเมืองเมืองหนึ่ง เช่นนั้นอริยะก็เหมือนมังกรเจินหลงตัวหนึ่ง เมืองเล็กๆ จะไปทนรับการเคี่ยวกรำจากมังกรเจินหลงตัวหนึ่งได้อย่างไร

การมีอยู่ของเจตจำนงฟ้าดิน ก็เพื่อไม่ให้ในเมืองมีสัตว์ขนาดมหึมาอย่างมังกรเจินหลงปรากฏขึ้น!

“เรื่องนี้ก็ไม่เชิง”

หลินสวินส่ายหน้า เขานึกถึงถ้อยคำที่เหมิงชิวจิ้งเคยพูดไว้ ว่าระดับกึ่งจักรพรรดินามว่าปาฉีผู้นั้น ตอนนั้นก็เคยพาอวิ๋นชิ่งไป๋ลงมาที่โลกชั้นล่าง

อีกทั้งปาฉียังเคยพูดว่าโลกชั้นล่างแห่งนี้มีระดับจักรพรรดิแท้จริงผู้หนึ่งจำศีลอยู่!

ระดับจักรพรรดิเป็นระดับที่เหนือล้ำกว่าระดับอริยะ หากถูกโลกชั้นล่างต่อต้าน จะยังปรากฏตัวอยู่ในโลกชั้นล่างได้อย่างไร

จะต้องมีความลับบางอย่างในเรื่องนี้แน่

“พี่ใหญ่ ข้าไปนครต้องห้ามเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว”

ทันใดนั้นเจ้าคางคกก็เอ่ยปาก “ข้าอยากกลับไป ‘สุสานสมุทรฝังมรรค’ ที่ทะเลกลืนวิญญาณดูสักครั้ง เจ้าก็รู้ว่าข้าตื่นขึ้นที่นั่น ข้าอยากไปสืบหา… ความจริงบางอย่าง”

หลินสวินอึ้งไป พอพูดถึงสุสานสมุทรฝังมรรค ก็ทำให้เขานึกถึงภิกษุตาบอดผู้ลึกลับพิสดารคนนั้น กับสตรีหมอกที่เงาร่างรางเลือนคลุมเครือผู้หนึ่งขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

——

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1370 มุ่งไปยังทิศใต้

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1370 มุ่งไปยังทิศใต้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“หนีสิ!”

หลังจากความเงียบงันแสนสั้น กองทัพคนเถื่อนวารีก็หลบหนีอย่างแตกตื่น ตกใจกลัวจนหัวหดไปโดยสิ้นเชิง แต่ละคนอยากจะให้มีขางอกขึ้นมาเพิ่มสักสองขาเต็มแก่

ชั่วขณะเดียวราชันเถื่อนสามคนต่างถูกสังหารอย่างง่ายดาย นี่ช่างเหมือนฝันร้ายอันน่ากลัว!

ขอเพียงสมองปกติเสียหน่อย ก็จะรู้ว่าแค่มีชายหนุ่มที่จู่ๆ ตกลงมาจากฟ้าคนนั้นอยู่ ศึกใหญ่ครั้งนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินต่อไปแล้ว

นี่ก็คือประโยชน์ของระดับราชัน คนเดียวเท่ากับกำลังนับล้าน!

และหลินสวินก็ไม่ได้เป็นแค่ระดับราชันธรรมดา

“ยังอึ้งอะไรอยู่ ฆ่า!”

จ่างซุนสยงตะคอกลั่น จิตใจฮึกเหิม

ศึกใหญ่ที่ดำเนินมากว่าเดือนครั้งหนึ่ง พอมาถึงวันนี้ฝั่งกองทัพจักรวรรดิเฉียดใกล้อันตราย แนวป้องกันกำลังจะถูกตีแตกแล้ว

แต่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนี้เอง กลับมีชายหนุ่มคนหนึ่งตกลงมาจากฟากฟ้าดั่งทวยเทพ ใช้พลังเพียงคนเดียวก็พลิกแพ้เป็นชนะได้อย่างง่ายดาย!

นี่จะไม่ทำให้จ่างซุนสยงตื่นเต้นได้อย่างไร

“ฆ่า!”

“ฆ่าไอ้สวะพ่อมดเถื่อนพวกนั้น!”

ฝั่งกองทัพจักรวรรดิไล่กวดพวกศัตรูที่ถอยหนี เปิดฉากโจมตีกลับ เสียงเป่าเขาสัตว์ก้องสะท้อนอยู่กลางฟ้าดิน

พลทหารจักรวรรดิทุกคนต่างกำลังใจเต็มเปี่ยม!

“คุณชาย ขอคุยด้วยได้ไหม”

สายตาจ่างซุนสยงมองที่หลินสวิน เจือไปด้วยความเคารพจากภายในจิตใจ

ด้วยประสบการณ์และสายตาของเขา ปราดเดียวก็ดูออกว่าหลินสวินย่อมไม่ใช่สัตว์ประหลาดเฒ่าที่มีชีวิตมานานปี

และเพราะเป็นเช่นนี้ถึงทำให้ในใจเขายิ่งสะท้าน ลอบพึมพำในใจว่าหรือนี่จะเป็นสัตว์ประหลาดน้อยที่สำนักศึกษามฤคมรกตแห่งจักรวรรดิบ่มเพาะออกมาคนหนึ่ง

พอฟ้าดินแปรผันฉับพลัน หลายปีมานี้ในจักรวรรดิก็มีคนหนุ่มสาวที่โดดเด่นสะดุดตาจำนวนมากปรากฏตัว ผงาดขึ้นอย่างก้าวกระโดด เหยียบย่างสู่ระดับราชัน ชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าไปด้วย

ในหมู่คนหนุ่มสาวเหล่านี้ กว่าครึ่งมาจากสำนักศึกษามฤคมรกต!

ดังนั้นจ่างซุนสยงถึงได้สันนิษฐานเช่นนี้

หลินสวินพยักหน้า ออกจากสนามรบแห่งนี้ไปกับจ่างซุนสยง

เขาเพิ่งกลับมาที่โลกชั้นล่าง จึงมีเรื่องที่จำเป็นต้องรู้มากมาย ถึงอย่างไรก็ไม่ได้กลับมาสิบกว่าปี โลกชั้นล่างแห่งนี้ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปเป็นเช่นไรแล้ว

……

งานเลี้ยงจัดขึ้นในกระโจมหลังหนึ่ง หลินสวินถูกเชิญให้นั่งในตำแหน่งสูงสุด โดยมีจ่างซุนสยงนั่งเคียงข้าง

บนที่นั่งสองฝั่งล้วนเป็นคนใหญ่คนโตในกองทัพแนวป้องกันเหนือสุดของจักรวรรดิ

“ขอเรียนถามว่าคุณชายมีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร”

จ่างซุนสยงดื่มคารวะหลินสวินจอกหนึ่ง ตอนนี้ถึงเอ่ยถาม

“เรียกข้าว่าหลินสือเอ้อร์ก็ได้”

หลินสวินเอ่ย นี่เป็นรหัสแทนตัวที่เขาใช้สมัยฝึกที่ค่ายกระหายเลือด ตอนอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดเขาก็ใช้ชื่อนี้เช่นกัน

‘หลินสือเอ้อร์…’

จ่างซุนสยงทวนซ้ำเงียบๆ ในใจ ชั่วพริบตาก็นึกถึงค่ายกระหายเลือด แต่ไม่ว่าคิดจนหัวแตกอย่างไรก็คิดไม่ออก ว่าในค่ายกระหายเลือดไปมีชายหนุ่มเย้ยฟ้าเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นตอนไหน

หลินสวินไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพ หลายปีมานี้ข้าผู้แซ่หลินรอนแรมในดินแดนรกร้างโบราณมาโดยตลอด และเพิ่งกลับมาวันนี้ ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ในจักรวรรดิตอนนี้เป็นอย่างไร ขอท่านชี้แนะด้วย”

รอนแรมในดินแดนรกร้างโบราณ!

จ่างซุนสยงกับทุกคนที่อยู่ในงานเลี้ยงสะท้านใจอย่างรุนแรง ตอนนี้ถึงรับรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาต่างทายผิดหมดแล้ว ชายหนุ่มตรงหน้านี้ถึงกับกลับมาจากดินแดนรกร้างโบราณ!

“มิน่าคุณชายหลินถึงได้แข็งแกร่งปานนี้ เคยไปฝึกปราณที่โลกชั้นบนหรือนี่” จ่างซุนซยงเอ่ยเสียงค่อย

สำหรับคนใหญ่คนโตในจักรวรรดิเหล่านั้นแล้ว ย่อมรู้ถึงการมีอยู่ของดินแดนรกร้างโบราณไม่มากก็น้อย ที่นั่นถูกมองว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ในการฝึกปราณ เป็นสถานที่ที่ผู้ฝึกปราณทุกคนเฝ้าฝันจะไปเยือน

และหลินสวินกลับมาจากดินแดนรกร้างโบราณ ทำให้สายตาที่ทุกคนมองมาที่เขาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

พวกเขาต่างรู้ดีว่าผู้ที่สามารถไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณจากโลกชั้นล่างได้ แทบไม่มีใครธรรมดาสักคน!

ในการพูดคุยต่อมา หลินสวินก็พอจะเข้าใจเรื่องราวในโลกชั้นล่างบ้างแล้ว

อย่างเช่นผลกระทบที่มีต่อจักรวรรดิจากการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน

อย่างเช่นความวุ่นวายโกลาหลที่สัตว์อสูรมารปีศาจก่อขึ้นอย่างเหิมเกริมในอาณาเขตจักรวรรดิ

อย่างเช่นสนามรบรอบด้านที่พ่อมดเถื่อนเก้าสายชักนำให้เกิดขึ้นได้กลายเป็นไฟลามทุ่ง แผ่ขยายไปตามชายแดนใหญ่แต่ละแห่งในจักรวรรดิแล้ว

…พอถึงท้ายที่สุด ก็ทำให้หลินสวินลอบถอนใจในใจอย่างห้ามไม่ได้ หลังจากไปสิบกว่าปี โลกชั้นล่างก็แตกต่างไปจากเดิมเสียแล้ว

อย่างน้อยตอนที่เขาจากไป ภายในจักรวรรดิก็ยังสงบสุข แต่ตอนนี้กลับมีทั้งศึกในศึกนอก ไพร่พลพสกนิกรประสบเภทภัยไม่ว่างเว้น!

ทั้งหมดนี้ว่ากันถึงแก่นแล้วล้วนเป็นเพราะ ‘ฟ้าดินแปรผันฉับพลัน’

ตั้งแต่ตอนออกจากดินแดนรกร้างโบราณ หลินสวินก็เคยได้ยินเรื่องฟ้าดินแปรผันฉับพลัน กระทั่งรู้ว่า ‘ฟ้าดินแปรผันฉับพลัน’ ที่ว่านี้ แท้จริงแล้วก็คือตัวแปรที่เกิดขึ้นหลังจากมหายุคมาเยือน

เพียงแต่ต่างจากดินแดนรกร้างโบราณ ในมหายุคครั้งนี้จักรวรรดิตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจมองในแง่ดีได้ ภายในมีสัตว์อสูรมารปีศาจเหิมเกริม ภายนอกมีพ่อมดเถื่อนเก้าสายรุกรานชายแดน เรียกได้ว่าอยู่กลางพายุฝน โกลาหลไม่สงบ

“ท่านแม่ทัพ ข้าลาล่ะ”

หลังจากงานเลี้ยงจบลงหลินสวินก็บอกลาทันที

หลายปีมานี้โลกชั้นล่างเกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายเกินไปแล้ว หลินสวินคิดจะกลับไปนครต้องห้ามก่อนเพื่อดูสถานการณ์ของตระกูลหลินแห่งเขาชำระจิต ในขณะเดียวกันก็ต้องการรู้ความจริงเรื่องคดีนองเลือดของตระกูลหลินในตอนนั้น

พวกจ่างซุนสยงร่วมกันมาส่งหลินสวินด้วยตัวเอง

พอมองเงาร่างเขาหายลับไปในเส้นขอบฟ้าไกล ชายวัยกลางคนทรงอำนาจคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า “ข้าจำได้ว่าประมาณสิบหกปีก่อน ผู้นำตระกูลหลินแห่งนครต้องห้าม เด็กหนุ่มที่ถูกยกให้เป็น ‘ผู้มีอำนาจทั่วนครหลวง’ คนนั้นออกจากโลกชั้นล่างไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณ”

ประโยคเดียวทำให้คนอื่นนัยน์ตาหดรัด ต่างนึกออกแล้วว่าตอนนั้นตระกูลหลินมีพวกร้ายกาจราวกับปีศาจคนหนึ่ง อาศัยพลังของตัวคนเดียวผงาดขึ้นอย่างแข็งกร้าว ในนครต้องห้ามซึ่งเต็มไปด้วยตระกูลทรงอิทธิพลและหมู่มวลผู้แข็งแกร่งโดยฉับพลัน

ด้านวีรกรรมของเขา คนรุ่นเยาว์อาจจะลืมไปนานแล้ว แต่สำหรับพวกจ่างซุนสยงย่อมลืมไม่ได้เด็ดขาด ว่าตอนนั้นเด็กหนุ่มคนนั้นก่อความวุ่นวาย สร้างชื่อระบือใต้หล้าไว้อย่างไรบ้าง!

“เจ้าจะบอกว่า เป็นไปได้มากที่คนเมื่อกี้จะเป็นหลินสวินหรือ”

จ่างซุนสยงแววตาไหววูบ

ชายวัยกลางคนทรงอำนาจพยักหน้า “สิบกว่าปีก่อนข้าเคยรับคำสั่งในสมรภูมิกระหายเลือด เคยได้ยินชื่อหลินสือเอ้อร์นี้ เพียงแต่ตอนนั้นหลินสือเอ้อร์ยังมีพลังปราณระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น ถึงขนาดว่าตอนข้าได้พบคนเมื่อกี้ก็ออกจะทำใจเชื่อได้ยาก ถึงอย่างไรระดับก็ต่างกันมากเกินไปจริงๆ…”

พวกจ่างซุนสยงต่างพยักหน้า

ความต่างชั้นไม่เพียงมากเท่านั้น ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสิบกว่าปีก็ก้าวกระโดดจากระดับหยั่งสัจจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชันที่ไร้เทียมทานคนหนึ่งได้ เรื่องนี้ดูน่าเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย!

“หากหลินสือเอ๋อร์ผู้นี้คือผู้นำเขาชำระจิตในตอนนั้นจริง เช่นนั้นเขากลับมาคราวนี้… เกรงว่าในนครต้องห้ามจะวุ่นวายชนิดพลิกฟ้าเสียแล้ว…”

บางคนมีแววประหลาดปรากฏขึ้นในดวงตา

จ่างซุนสยงนิ่วหน้า “พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

“หลายปีก่อนในนครต้องห้ามก็มีข่าวหนึ่งเลื่องลือ ว่าเมื่อฟ้าดินแปรผันฉับพลันปรากฏขึ้น จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างโลกชั้นล่างกับดินแดนรกร้างโบราณขาดสะบั้นโดยสมบูรณ์ ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิที่เข้าไปในดินแดนรกร้างโบราณ ชาตินี้จะไม่อาจกลับมาโลกชั้นล่างได้อีก”

คนผู้นั้นเอ่ยเสียงขรึม “เป็นเพราะข่าวนี้ ทำให้สถานการณ์ของตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตไม่ชอบมาพากลขึ้นมา เพราะรู้ดีว่าหลินสวินคนนี้คือเสาหลักของตระกูลหลิน หากชาตินี้เขากลับมาไม่ได้… เจ้าว่าคนในตระกูลหลินพวกนั้นจะคิดอย่างไร”

พวกจ่างซุนสยงต่างแววตาวูบไหว พวกเขาย่อมรู้ดีว่าหากขุมอำนาจใหญ่แห่งหนึ่งไม่มีเสาหลักแล้ว ก็เหมือนกับหมู่มังกรไร้เศียร จะต้องถูกพายุฝนจากทั่วสารทิศโจมตีแน่!

“หากเพียงเท่านี้ก็ช่างเถิด ถ้ามีหลินสวินอยู่ ยังสามารถขู่ขวัญศัตรูภายนอกของตระกูลหลินเหล่านั้นได้ แต่ถ้าเขาไม่อยู่ ศัตรูพวกนั้นจะพลาดโอกาสแก้แค้นตระกูลหลินไปได้อย่างไร”

คนผู้นั้นถอนใจช้าๆ “เท่าที่ข้ารู้ ช่วงหลายปีมานี้ตระกูลหลินนับวันยิ่งลำบากขึ้นแล้ว”

“ศัตรูคู่แค้นของตระกูลหลินมีมากหรือ”

มีคนถามอย่างตกตะลึง

“หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าในหมู่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งเจ็ด ยังมีสักกี่ตระกูลที่หลินสวินคนนั้นไม่เคยล่วงเกิน”

ประโยคเดียวทำให้ทุกคนอดทอดถอนใจไม่ได้

ตอนหลินสวินผงาดขึ้นในนครต้องห้าม คู่ต่อสู้มีมากมายจริงๆ แค่เพียงในหมู่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งเจ็ดก็มีตระกูลจั่ว ฉิน ฉื่อ ฮวา ซ่ง และเซี่ย!

“ถ้าเป็นเช่นนี้จริง เกรงว่าในนครต้องห้ามจะโกลาหลพลิกฟ้าเข้าจริงๆ แล้ว…”

จ่างซุนสยงพึมพำ เขานึกถึงภาพที่หลินสวินสังหารราชันเถื่อนสามคนนั้น ในใจก็รู้สึกหนาวเหน็บอย่างไร้สาเหตุ

ชายหนุ่มที่พลังต่อสู้เย้ยฟ้าเช่นนี้คนหนึ่ง หากรู้สถานการณ์ในปัจจุบันของตระกูลหลินเข้า ต้องก่อให้เกิดพายุฝนนองเลือดคับฟ้าครั้งหนึ่งแน่!

……

ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล ยานขนส่งอวกาศแปรสภาพเป็นแสงเคลื่อนสายหนึ่งมุ่งไปยังทิศใต้

บนยาน หลินสวิน เจ้าคางคกและจ้าวจิ่งเซวียนกำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน

“พลังฟ้าดินแห่งนี้ต่างไปจริงๆ ไอวิญญาณเข้มข้นกว่าตอนข้าอยู่ในจักรวรรดิหลายสิบเท่า”

หลินสวินจุ๊ปากเอ่ยด้วยความประหลาดใจ

“กลิ่นอายมหามรรคก็เปลี่ยนเป็นหนาแน่น ทำให้ผู้ฝึกปราณยิ่งรับรู้ได้ง่ายขึ้น…”

จ้าวจิ่งเซวียนพยักหน้า

“เพียงแต่ยังสู้แดนมกุฎไม่ได้อยู่ดี”

เจ้าคางคกพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็นิ่วหน้าเอ่ยว่า “พวกเจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่าในพลังกฎระเบียบกลางฟ้าดินนี้มีพลานุภาพกดข่มที่บอกไม่ถูกอยู่ ทำให้ข้ารู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง”

หลินสวินกับจ้าวจิ่งเซวียนสบตากันครั้งหนึ่งแล้วต่างพยักหน้า

“ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด นี่คือพลัง ‘เจตจำนงฟ้าดิน’ ของโลกชั้นล่าง พลังปราณยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งรู้สึกได้อย่างแจ่มชัดว่า เมื่อพลังปราณแข็งแกร่งไปถึงระดับหนึ่งย่อมถูก ‘เจตจำนงฟ้าดิน’ นี้กำราบและขจัดไป!”

เจ้าคางคกพูดงึมงำว่า “ข้าสงสัยว่า ขีดจำกัดที่เจตจำนงฟ้าดินของโลกชั้นล่างแห่งนี้รับได้ก็คือต่ำกว่าระดับอริยะ ทันทีที่เหยียบย่างเข้าสู่ระดับอริยะ ก็จะถูกเจตจำนงฟ้าดินต่อต้าน เพราะพลังทำลายล้างของระดับอริยะมากเกินไปแล้ว ผลลัพธ์ที่สร้างขึ้นตอนต่อสู้ก็น่ากลัวยิ่งนัก”

จริงๆ แล้วเรื่องนี้เข้าใจได้ง่ายมาก ถ้าโลกชั้นล่างเหมือนเมืองเมืองหนึ่ง เช่นนั้นอริยะก็เหมือนมังกรเจินหลงตัวหนึ่ง เมืองเล็กๆ จะไปทนรับการเคี่ยวกรำจากมังกรเจินหลงตัวหนึ่งได้อย่างไร

การมีอยู่ของเจตจำนงฟ้าดิน ก็เพื่อไม่ให้ในเมืองมีสัตว์ขนาดมหึมาอย่างมังกรเจินหลงปรากฏขึ้น!

“เรื่องนี้ก็ไม่เชิง”

หลินสวินส่ายหน้า เขานึกถึงถ้อยคำที่เหมิงชิวจิ้งเคยพูดไว้ ว่าระดับกึ่งจักรพรรดินามว่าปาฉีผู้นั้น ตอนนั้นก็เคยพาอวิ๋นชิ่งไป๋ลงมาที่โลกชั้นล่าง

อีกทั้งปาฉียังเคยพูดว่าโลกชั้นล่างแห่งนี้มีระดับจักรพรรดิแท้จริงผู้หนึ่งจำศีลอยู่!

ระดับจักรพรรดิเป็นระดับที่เหนือล้ำกว่าระดับอริยะ หากถูกโลกชั้นล่างต่อต้าน จะยังปรากฏตัวอยู่ในโลกชั้นล่างได้อย่างไร

จะต้องมีความลับบางอย่างในเรื่องนี้แน่

“พี่ใหญ่ ข้าไปนครต้องห้ามเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว”

ทันใดนั้นเจ้าคางคกก็เอ่ยปาก “ข้าอยากกลับไป ‘สุสานสมุทรฝังมรรค’ ที่ทะเลกลืนวิญญาณดูสักครั้ง เจ้าก็รู้ว่าข้าตื่นขึ้นที่นั่น ข้าอยากไปสืบหา… ความจริงบางอย่าง”

หลินสวินอึ้งไป พอพูดถึงสุสานสมุทรฝังมรรค ก็ทำให้เขานึกถึงภิกษุตาบอดผู้ลึกลับพิสดารคนนั้น กับสตรีหมอกที่เงาร่างรางเลือนคลุมเครือผู้หนึ่งขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

——

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+