Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1384 กล้าแต่ในบ้าน?

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1384 กล้าแต่ในบ้าน? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พฤกษาเขียวขจี เมฆคล้อยดั่งน้ำตก

ยามจ้าวจิ่งเซวียนมาถึงยอดเขาชำระจิต ก็เห็นหลินสวินที่นอนเรื่อยเปื่อยบนเก้าอี้หวายด้วยอิริยาบถผ่อนคลายอยู่ไกลออกไป

ในมือยังถือน้ำเต้าเปลือกเขียวใบหนึ่งอยู่ ชมนกชมไม้ ผ่อนคลายอยู่เพียงลำพัง

นี่ทำให้นางดวงตาเบิกกว้าง ลอบเข่นเขี้ยว ตนหัวหมุนปานนี้ เจ้าหมอนี่กลับเพลิดเพลินขนาดนี้เสียได้!

“หึ!”

จ้าวจิ่งเซวียนสีหน้าบึ้งตึง แค่นเสียงเย็นเยียบ

บนเก้าอี้หวาย หลินสวินที่ใจไม่อยู่กับตัวกำลังยกน้ำเต้าสุราขึ้นกรอกเหล้าลงปาก เมื่อได้ยินดังนั้นมือก็สั่น พลันสำลักสุราชั้นเลิศที่ลงไปในปากจนต้องเช็ดปากไม่หยุด

“จิ่งเซวียน ทำไมเจ้าถึงโผล่มากะทันหันล่ะ” หลินสวินประหลาดใจ

จ้าวจิ่งเซวียนจะยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ แต่สุดท้ายก็กลั้นเอาไว้แล้วเอ่ยหยันว่า “ถ้าข้าไม่มาจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าสบายขนาดนี้”

นางสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์เรียบง่ายทั้งตัว รวบเส้นผมทั้งหัวไว้ที่ท้ายทอยด้วยเชือกสีแดงเส้นหนึ่ง เผยให้เห็นใบหน้าสวยสะทั้งยามดีใจและโกรธเคือง งดงามผุดผาด

ตอนนี้ยืนอย่างมีชีวิตชีวาอยู่กลางเมฆพร่าเลือนไกลออกไป เงาร่างอ้อนแอ้นอรชรประหนึ่งนางเซียนมาเยือนโลก

และในชั่วพริบตานี้ หลินสวินถึงได้รู้ว่า…

เวลาที่ผู้หญิงคนหนึ่งสวยที่สุดก็คือตอนที่แม้นางอยากชักสีหน้า แต่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

เฉกเช่นจ้าวจิ่งเซวียนในตอนนี้

“งามจริง” หลินสวินชื่นชมประโยคหนึ่งจากใจโดยไม่ตั้งตัว

เดิมทีจ้าวจิ่งเซวียนยังคับข้องใจอยู่บ้าง รู้สึกว่าช่วงนี้ตนยุ่งวุ่นวายเรื่องตระกูลหลินของเขาขนาดนี้ แต่เจ้าหมอนี่กลับมาอู้อยู่คนเดียว ช่างไร้คุณธรรมจริงๆ

แต่หลังจากได้ยินคำชมเพียงสองคำนี้ ความโกรธเคืองและคับข้องในใจทั้งหมดก็มลายหายไปอย่างไร้สาเหตุเสียแล้ว

“ประจบให้มันน้อยๆ หน่อย!”

นางถลึงตาใส่หลินสวินดุๆ ครั้งหนึ่ง เนตรกระจ่างสุกสกาวมีเสน่ห์ชวนหลงใหลอย่างหนึ่ง

หลินสวินยิ้มพลางลุกขึ้น รีบสละเก้าอี้หวายแล้วเชิญจ้าวจิ่งเซวียนมานั่ง

ส่วนตัวเขายืนอยู่อีกด้านหนึ่ง กุมมือทั้งสองขึ้นคารวะ เอ่ยด้วยเสียงเคารพนบนอบว่า “ไม่ทราบว่าองค์หญิงจะมาเยือนจึงไม่ได้ไปต้อนรับด้วยตัวเอง ขอองค์หญิงประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

จ้าวจิ่งเซวียนร้องอ้อครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “โทษตายเลี่ยงได้ แต่โทษเป็นยากหนีพ้น เจ้าหลินน้อย คราวนี้เจ้าเจอเรื่องใหญ่แล้ว!”

ในใจหลินสวินขำนัก แต่ปากกลับเอ่ยอย่างตื่นตระหนกด้วยท่าทางเคารพยำเกรง “องค์หญิง ข้าน้อยสงบเสงี่ยมเจียมตัวมาโดยตลอด ไม่เคยก่อเรื่องอุกอาจ ดวงใจนี้สุริยันจันทราฉายสะท้อน ฟ้าอมรสำแดงได้ ท่านจะมาปรักปรำคนดีไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

จ้าวจิ่งเซวียนกลั้นไม่อยู่แล้ว หัวเราะออกมา เอ่ยประณามว่า “พอได้แล้ว เลิกพูดจากะล่อนต่อหน้าข้า เจ้าเป็นถึงเทพมารหลิน แต่ยังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นคนดี ‘สงบเสงี่ยมเจียมตัว’ หรือ เกิดแพร่ออกไปในดินแดนรกร้างโบราณ ขุมอำนาจใหญ่พวกนั้นต้องถ่มน้ำลายจนท่วมเจ้าตายแน่”

หลินสวินก็หัวเราะแล้ว หย่อนก้นนั่งลงบนหินเก่าแก่ที่อยู่ด้านหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าเห็นเจ้าเหมือนมีเรื่องกังวลใจ เลยแหย่ให้เจ้าร่าเริงขึ้นมาหน่อย”

จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ย “ในเมื่อรู้ว่าข้ามีเรื่องกังวลใจ คนว่างงานเช่นเจ้าจะช่วยข้าสะสางหน่อยได้ไหม”

หลินสวินยิ้มพูดว่า “เรื่องที่เจ้ายกขึ้นมาพูด ข้าเคยปฏิเสธด้วยหรือ”

ก็ไม่รู้ว่าจ้าวจิ่งเซวียนนึกอะไรขึ้นได้ หว่างคิ้วปรากฏแววอ่อนโยนกล่าวว่า “เรื่องคราวนี้เกี่ยวกับเจ้า ข้าคิดว่ามีเพียงเจ้าออกหน้าสะสางจะดีกว่า”

หลินสวินสีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง “เกิดอะไรขึ้น”

“ระยะนี้ในนครต้องห้ามมีข่าวลือเกี่ยวกับเจ้ามากมาย กล่าวกันว่าเพราะเจ้าไปล้างบางขุมอำนาจสองตระกูลจั่วและฉิน เลยเหมือนทำให้ศึกในศึกนอกของจักรวรรดิยิ่งร้ายแรงขึ้น…”

จ้าวจิ่งเซวียนเล่าข่าวลือพวกนั้นออกมาจนหมด

ตอนแรกหลินสวินไม่เห็นด้วย แต่ตอนหลังกลับรู้สึกได้ว่าปัญหาออกจะไม่ชอบมาพากล จึงพูดว่า “นี่คือมองข้าเป็นตัวตั้งตัวตีที่ทำให้ฟ้าดินโกลาหลหรือ”

จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยว่า “ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น แต่เจ้าก็รู้นี่ ข่าวลือยิ่งมาก เรื่องเท็จก็จะกลายเป็นจริงตามเวลาที่เคลื่อนคล้อยไป”

นางหยุดไปแล้วพูดต่อว่า “อีกอย่าง ข้าสงสัยว่าคนที่กระจายข่าวลือพวกนี้ เป็นไปได้สูงมากว่าจะเกี่ยวข้องกับพวกเศษเดนที่เหลืออยู่จากตระกูลจั่วและฉิน ถึงขั้นที่ไม่ขาดพวกมุ่งร้ายบางคนโหมไฟให้แรงขึ้นอยู่เบื้องหลัง”

หลินสวินเอ่ย “พวกเขามีเป้าหมายอะไรถึงทำแบบนี้”

จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มเอ่ยว่า “เรื่องนี้เจ้ายังไม่เข้าใจ นี่คือไม้ใหญ่ล่อลม[1]เท่านั้น ตระกูลหลินของเจ้าตอนนี้กำลังเข้มแข็งเกรียงไกร ได้รับความสนใจจากทั้งใต้หล้า การถูกคนอิจฉาตาร้อนก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก”

หลินสวินก็รู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงเรื่องพรรค์นี้ได้ เพียงอาศัยการเข่นฆ่าและขู่ขวัญไม่อาจปิดปากทุกคนในใต้หล้าไว้ได้อยู่แล้ว!

จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยว่า “ตอนนี้พวกศัตรูอย่างกองทัพสัตว์อสูรมารกับพ่อมดเถื่อนเก้าสายต่างชื่นชมเจ้ามากขึ้นไปอีกนะ”

หลินสวินอึ้งไป “นี่เกิดอะไรขึ้นอีก”

จ้าวจิ่งเซวียนสีหน้าขี้เล่น พูดหยอกเย้าว่า “เจ้าล้มตระกูลจั่วกับฉินไปก็เท่ากับว่าช่วยศัตรูพวกนั้น ทำให้กำลังของจักรวรรดิอ่อนแอลง พวกเขาย่อมยินดีที่เกิดเรื่องนี้ หมายใจให้เจ้าทำ ‘ความดี’ ทำนองนี้เพิ่มอีกหน่อย”

ตอนนี้หลินสวินถึงเข้าใจ หมดคำพูดไปครู่หนึ่งอย่างอดไม่อยู่ ทันใดนั้นก็ยิ้มหยันเอ่ยว่า “นี่พวกมันกำลังเย้ยว่าข้ากล้าแต่ในบ้านกระมัง”

จ้าวจิ่งเซวียนพยักหน้า “ข้าก็คิดแบบนี้ หากเปลี่ยนเป็นข้าต้องทนไม่ได้แน่!”

หลินสวินยิ้มขึ้นมา ชี้จ้าวจิ่งเซวียนพลางเอ่ยว่า “ข้าพอจะฟังออกแล้ว นี่เจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าไปฆ่าศัตรู”

จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มละไม เผยให้เห็นฟันงามขาวกระจ่าง กล่าวว่า “เปล่า ช่วยตัวเจ้าทำลายข่าวลือต่างหาก เพื่อให้แน่ใจว่าเข้าใจถูกต้อง ทำให้ทุกคนในใต้หล้าไม่กล้าให้ร้ายหรือดูหมิ่นเจ้าอีก”

หลินสวินลุกขึ้นจากก้อนหิน บิดขี้เกียจยาวๆ แล้วเอ่ยว่า “ดีเหมือนกัน ช่วงนี้ก็ออกจะว่างจริงๆ ได้เวลาออกไปเดินสักรอบแล้ว”

สวบ!

จ้าวจิ่งเซวียนโยนม้วนหยกม้วนหนึ่งออกมากล่าวว่า “ในนี้บันทึกสถานการณ์กองทัพสัตว์อสูรมารที่กระจายตัวอยู่ในจักรวรรดิตอนนี้เอาไว้”

เห็นได้ชัดว่านางเตรียมการให้หลินสวินไว้ก่อนแล้ว

“ต้องระวังตัวหน่อย โลกชั้นล่างแห่งนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่พวกเราคิดไว้ หลังจากฟ้าดินแปรผันฉับพลันก็เกิดเรื่องพิสดารมากมาย อย่างเช่นกองทัพสัตว์อสูรมารเหล่านั้นก็เหมือนกับปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ในจักรวรรดิแต่ก่อนไม่มีทางเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นแน่”

จ้าวจิ่งเซวียนสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา

หลินสวินพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยว่า “จริงสิ ข้าก็มีเรื่องหนึ่งให้เจ้าช่วย”

จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยอย่างปรีดา “เจ้าพูดมาเลย”

“ช่วยข้าสืบเรื่องทั้งหมดของลู่ป๋อหยาที”

ดวงตาหลินสวินลุ่มลึก

“ลู่ป๋อหยาหรือ”

จ้าวจิ่งเซวียนนัยน์ตาหดรัดลง ก่อนหน้านี้นางรู้อยู่เลาๆ ว่าหลินสวินเติบโตขึ้นมากับ ‘ท่านลู่’ ตั้งแต่เล็ก

“ใช่”

หลินสวินพยักหน้า

ในอดีตเขานึกว่าท่านลู่เป็นเพียงนักสลักวิญญาณขี้โมโหคนหนึ่ง

แต่ปัจจุบันเขาเป็นมกุฎราชันระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดแล้ว ตอนนี้ยามหวนนึกถึงประสบการณ์วัยเด็กต่างๆ ของตน ก็ยิ่งรู้สึกว่าท่านลู่ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่!

สามารถช่วยตนที่ตอนนั้นยังเป็นทารกมาจากมือกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งได้ นี่เป็นเรื่องที่คนธรรมดาทำได้หรือ

อีกทั้งเท่าที่หลินสวินรู้ ท่านลู่ได้ทิ้งร่องรอยมากมายไว้ในจักรวรรดิ

หลายปีก่อนคนใหญ่คนโตอย่างราชินีแห่งรัตติกาล เจ้าสำนักศึกษามฤคมรกต ราชครูที่หอดูดาวหลวงต่างล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของท่านลู่!

แต่ท่านลู่เป็นใครกันแน่ ทั้งมีฐานะอะไร จวบจนตอนนี้ยังเป็นปริศนา

หลินสวินรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าขอเพียงเปิดเผยฐานะของท่านลู่ได้ อาจจะทำให้ตนล่วงรู้ร่องรอยบางอย่างของมารดาตนลั่วชิงสวินมากยิ่งขึ้น

“ได้ เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง”

จ้าวจิ่งเซวียนพยักหน้าตอบรับ ตอนนี้นางครองอำนาจสูงสุดของจักรวรรดิ ถ้าคิดจะหาเรื่องราวในอดีตบางอย่างก็ไม่ได้ยากเย็นนัก

……

“ลุงจง ท่านไปเลือกคนหนุ่มสาวในตระกูลมาสักสิบคน ข้ามีเงื่อนไขเพียงอย่างเดียวคือจิตใจเข้มแข็ง ภักดีต่อตระกูลหลิน เช้าวันรุ่งขึ้นข้าจะพาพวกเขาไปฆ่าอสูรมารที่แนวหน้า”

หลังจากจ้าวจิ่งเซวียนจากไป หลินสวินก็สั่งหลินจงทันที

“ขอรับ”

หลินจงรับคำสั่งแล้วจากไป

เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงว่าการสั่งการเรียบง่ายเช่นนี้ของเขา กลับทำให้ทั้งภูเขาชำระจิตอึกทึกครึกโครม

คนหนุ่มสาวในตระกูลหลินต่างถูกเรียกรวมตัวเพื่อเข้าสู่การคัดเลือกพิเศษ

“เสวี่ยเฟิงเอ๋ย แม้เจ้าจะอายุมากไปหน่อย แต่ดีชั่วก็ถือเป็นญาติผู้พี่ของผู้นำตระกูล คราวนี้ข้าอยากให้เจ้าช่วงชิงโอกาสอันหาได้ยากยิ่งนี้ หากติดตามผู้นำตระกูลไปฆ่าอสูรมารด้วยกันได้ ด้วยความสามารถของผู้นำตระกูล จะทำให้เจ้าบรรลุระดับราชันก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

หลินไหวหย่วนสีหน้าเปี่ยมเมตตา เอ่ยปากอย่างอารี

หลินเสวี่ยเฟิงลังเลอยู่บ้าว “แต่ข้า… ยังมีเรื่องมากมายต้องทำนะ”

หลินไหวหย่วนพูดอย่างขัดใจ “เจ้าโง่! เจ้ายังดูไม่ออกหรือ นี่ผู้นำตระกูลคิดจะบ่มเพาะผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งนะ ยังมีเรื่องอะไรสำคัญกว่านี้อีก”

หลินเสวี่ยเฟิงกล่าวอย่างจนใจว่า “เช่นนั้นข้าจะลองดู”

หลินไหวหย่วนพลันยิ้มขึ้นมา “ต้องพยายามเข้า!”

……

“ซิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นต้นกล้าชั้นดีที่มีศักยภาพมากที่สุด พรสวรรค์สูงที่สุดในสายพวกเรา และอิงตามศักดิ์แล้วผู้นำตระกูลเป็นอาของเจ้า โอกาสนี้ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องคว้าไว้ให้มั่น รู้ไหม”

“อวิ๋นเยียน ในนครต้องห้ามตอนนี้ลุงของเจ้าก็คือบุคคลในตำนานผู้หนึ่ง พลังปราณสูงส่งของเขาก็เหมือนมังกรเทพบนสวรรค์ ทำให้ผู้คนในโลกทำได้เพียงแหงนหน้ามองดู! ติดตามเขาไปสังหารอสูรมาร เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับได้รับวาสนาสูงสุดครั้งหนึ่ง!”

…การสนทนาทำนองนี้เกิดขึ้นไปทั่วภูเขาชำระจิต ลูกหลานรุ่นเยาว์ตระกูลหลินทุกคนต่างถูกผู้อาวุโสกำชับอย่างเคร่งครัด

คนรุ่นเยาว์เหล่านั้นก็รับรู้ได้ว่านี่เป็นโอกาสอันล้ำค่าหาใดเทียบครั้งหนึ่ง จึงทั้งตื่นเต้นและร้อนรนอย่างเลี่ยงไม่ได้

หลินสวิน!

ตอนนี้ในนครต้องห้ามจะมีใครไม่รู้จัก

คนผู้นี้ก็คือตำนานบทหนึ่ง!

‘ต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้!’

คนรุ่นเยาว์มากมายต่างลอบตั้งมั่นในใจ

ในขณะเดียวกัน หลินจงก็กลายเป็นคนเนื้อหอมในหมู่คนใหญ่คนโตตระกูลหลิน ใช้ทุกวิถีทางด้วยต้องการชิงตำแหน่งรายชื่อให้ลูกของตัวเอง

แต่หลินจงกลับอึดอัดใจจนแทบจะหลบหน้าแทน

……

ในขณะเดียวกันหลินสวินก็กำลังสนทนากับพญาแร้ง

“พูดเช่นนี้ เป็นไปได้สูงมากที่ราชันอินทรีแดงยังไม่ตายหรือ”

ยามหลินสวินกลับมา ก็ได้ฟังเรื่องผู้แข็งแกร่งระดับราชันตระกูลจั่วคนหนึ่งมองราชันอินทรีแดงเป็นผู้ทรยศที่สนามรบแนวหน้า

ตอนนี้เขากำลังจะไปสังหารอสูรมารที่แนวหน้า หากเป็นไปได้ เขาก็อยากไปดูเสียหน่อยว่าราชันอินทรีแดงยังมีชีวิตอยู่หรือไม่กันแน่

“ตามข่าวที่พวกเรารู้มา สุดท้ายราชันอินทรีแดงก็หนีไปทั้งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่กระทั่งตอนนี้ยังไม่กลับมา จึงไม่อาจชี้ชัดได้ว่าอยู่หรือตาย”

พญาแร้งนิ่วหน้าพูด

“ช่างเถอะ ถึงเวลาข้าจะไปดูเอง”

หลินสวินตัดสินใจ

หลายปีนี้ราชันอินทรีแดงทุ่มเทให้ตระกูลหลินอย่างมากมาย ตอนนี้ถูกมองว่าเป็นผู้ทรยศ ไม่รู้ว่าอยู่หรือตาย หลินสวินจะไม่สนใจได้อย่างไร

——

[1] ไม้ใหญ่ล่อลม หมายถึงคนที่ยิ่งโดดเด่น ยิ่งมีชื่อเสียงหรือทรัพย์สินเงินทองมาก ก็ยิ่งตกเป็นเป้าหมายของผู้อื่นได้ง่าย

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1384 กล้าแต่ในบ้าน?

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1384 กล้าแต่ในบ้าน? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พฤกษาเขียวขจี เมฆคล้อยดั่งน้ำตก

ยามจ้าวจิ่งเซวียนมาถึงยอดเขาชำระจิต ก็เห็นหลินสวินที่นอนเรื่อยเปื่อยบนเก้าอี้หวายด้วยอิริยาบถผ่อนคลายอยู่ไกลออกไป

ในมือยังถือน้ำเต้าเปลือกเขียวใบหนึ่งอยู่ ชมนกชมไม้ ผ่อนคลายอยู่เพียงลำพัง

นี่ทำให้นางดวงตาเบิกกว้าง ลอบเข่นเขี้ยว ตนหัวหมุนปานนี้ เจ้าหมอนี่กลับเพลิดเพลินขนาดนี้เสียได้!

“หึ!”

จ้าวจิ่งเซวียนสีหน้าบึ้งตึง แค่นเสียงเย็นเยียบ

บนเก้าอี้หวาย หลินสวินที่ใจไม่อยู่กับตัวกำลังยกน้ำเต้าสุราขึ้นกรอกเหล้าลงปาก เมื่อได้ยินดังนั้นมือก็สั่น พลันสำลักสุราชั้นเลิศที่ลงไปในปากจนต้องเช็ดปากไม่หยุด

“จิ่งเซวียน ทำไมเจ้าถึงโผล่มากะทันหันล่ะ” หลินสวินประหลาดใจ

จ้าวจิ่งเซวียนจะยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ แต่สุดท้ายก็กลั้นเอาไว้แล้วเอ่ยหยันว่า “ถ้าข้าไม่มาจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าสบายขนาดนี้”

นางสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์เรียบง่ายทั้งตัว รวบเส้นผมทั้งหัวไว้ที่ท้ายทอยด้วยเชือกสีแดงเส้นหนึ่ง เผยให้เห็นใบหน้าสวยสะทั้งยามดีใจและโกรธเคือง งดงามผุดผาด

ตอนนี้ยืนอย่างมีชีวิตชีวาอยู่กลางเมฆพร่าเลือนไกลออกไป เงาร่างอ้อนแอ้นอรชรประหนึ่งนางเซียนมาเยือนโลก

และในชั่วพริบตานี้ หลินสวินถึงได้รู้ว่า…

เวลาที่ผู้หญิงคนหนึ่งสวยที่สุดก็คือตอนที่แม้นางอยากชักสีหน้า แต่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

เฉกเช่นจ้าวจิ่งเซวียนในตอนนี้

“งามจริง” หลินสวินชื่นชมประโยคหนึ่งจากใจโดยไม่ตั้งตัว

เดิมทีจ้าวจิ่งเซวียนยังคับข้องใจอยู่บ้าง รู้สึกว่าช่วงนี้ตนยุ่งวุ่นวายเรื่องตระกูลหลินของเขาขนาดนี้ แต่เจ้าหมอนี่กลับมาอู้อยู่คนเดียว ช่างไร้คุณธรรมจริงๆ

แต่หลังจากได้ยินคำชมเพียงสองคำนี้ ความโกรธเคืองและคับข้องในใจทั้งหมดก็มลายหายไปอย่างไร้สาเหตุเสียแล้ว

“ประจบให้มันน้อยๆ หน่อย!”

นางถลึงตาใส่หลินสวินดุๆ ครั้งหนึ่ง เนตรกระจ่างสุกสกาวมีเสน่ห์ชวนหลงใหลอย่างหนึ่ง

หลินสวินยิ้มพลางลุกขึ้น รีบสละเก้าอี้หวายแล้วเชิญจ้าวจิ่งเซวียนมานั่ง

ส่วนตัวเขายืนอยู่อีกด้านหนึ่ง กุมมือทั้งสองขึ้นคารวะ เอ่ยด้วยเสียงเคารพนบนอบว่า “ไม่ทราบว่าองค์หญิงจะมาเยือนจึงไม่ได้ไปต้อนรับด้วยตัวเอง ขอองค์หญิงประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

จ้าวจิ่งเซวียนร้องอ้อครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “โทษตายเลี่ยงได้ แต่โทษเป็นยากหนีพ้น เจ้าหลินน้อย คราวนี้เจ้าเจอเรื่องใหญ่แล้ว!”

ในใจหลินสวินขำนัก แต่ปากกลับเอ่ยอย่างตื่นตระหนกด้วยท่าทางเคารพยำเกรง “องค์หญิง ข้าน้อยสงบเสงี่ยมเจียมตัวมาโดยตลอด ไม่เคยก่อเรื่องอุกอาจ ดวงใจนี้สุริยันจันทราฉายสะท้อน ฟ้าอมรสำแดงได้ ท่านจะมาปรักปรำคนดีไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

จ้าวจิ่งเซวียนกลั้นไม่อยู่แล้ว หัวเราะออกมา เอ่ยประณามว่า “พอได้แล้ว เลิกพูดจากะล่อนต่อหน้าข้า เจ้าเป็นถึงเทพมารหลิน แต่ยังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นคนดี ‘สงบเสงี่ยมเจียมตัว’ หรือ เกิดแพร่ออกไปในดินแดนรกร้างโบราณ ขุมอำนาจใหญ่พวกนั้นต้องถ่มน้ำลายจนท่วมเจ้าตายแน่”

หลินสวินก็หัวเราะแล้ว หย่อนก้นนั่งลงบนหินเก่าแก่ที่อยู่ด้านหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าเห็นเจ้าเหมือนมีเรื่องกังวลใจ เลยแหย่ให้เจ้าร่าเริงขึ้นมาหน่อย”

จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ย “ในเมื่อรู้ว่าข้ามีเรื่องกังวลใจ คนว่างงานเช่นเจ้าจะช่วยข้าสะสางหน่อยได้ไหม”

หลินสวินยิ้มพูดว่า “เรื่องที่เจ้ายกขึ้นมาพูด ข้าเคยปฏิเสธด้วยหรือ”

ก็ไม่รู้ว่าจ้าวจิ่งเซวียนนึกอะไรขึ้นได้ หว่างคิ้วปรากฏแววอ่อนโยนกล่าวว่า “เรื่องคราวนี้เกี่ยวกับเจ้า ข้าคิดว่ามีเพียงเจ้าออกหน้าสะสางจะดีกว่า”

หลินสวินสีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง “เกิดอะไรขึ้น”

“ระยะนี้ในนครต้องห้ามมีข่าวลือเกี่ยวกับเจ้ามากมาย กล่าวกันว่าเพราะเจ้าไปล้างบางขุมอำนาจสองตระกูลจั่วและฉิน เลยเหมือนทำให้ศึกในศึกนอกของจักรวรรดิยิ่งร้ายแรงขึ้น…”

จ้าวจิ่งเซวียนเล่าข่าวลือพวกนั้นออกมาจนหมด

ตอนแรกหลินสวินไม่เห็นด้วย แต่ตอนหลังกลับรู้สึกได้ว่าปัญหาออกจะไม่ชอบมาพากล จึงพูดว่า “นี่คือมองข้าเป็นตัวตั้งตัวตีที่ทำให้ฟ้าดินโกลาหลหรือ”

จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยว่า “ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น แต่เจ้าก็รู้นี่ ข่าวลือยิ่งมาก เรื่องเท็จก็จะกลายเป็นจริงตามเวลาที่เคลื่อนคล้อยไป”

นางหยุดไปแล้วพูดต่อว่า “อีกอย่าง ข้าสงสัยว่าคนที่กระจายข่าวลือพวกนี้ เป็นไปได้สูงมากว่าจะเกี่ยวข้องกับพวกเศษเดนที่เหลืออยู่จากตระกูลจั่วและฉิน ถึงขั้นที่ไม่ขาดพวกมุ่งร้ายบางคนโหมไฟให้แรงขึ้นอยู่เบื้องหลัง”

หลินสวินเอ่ย “พวกเขามีเป้าหมายอะไรถึงทำแบบนี้”

จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มเอ่ยว่า “เรื่องนี้เจ้ายังไม่เข้าใจ นี่คือไม้ใหญ่ล่อลม[1]เท่านั้น ตระกูลหลินของเจ้าตอนนี้กำลังเข้มแข็งเกรียงไกร ได้รับความสนใจจากทั้งใต้หล้า การถูกคนอิจฉาตาร้อนก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก”

หลินสวินก็รู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงเรื่องพรรค์นี้ได้ เพียงอาศัยการเข่นฆ่าและขู่ขวัญไม่อาจปิดปากทุกคนในใต้หล้าไว้ได้อยู่แล้ว!

จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยว่า “ตอนนี้พวกศัตรูอย่างกองทัพสัตว์อสูรมารกับพ่อมดเถื่อนเก้าสายต่างชื่นชมเจ้ามากขึ้นไปอีกนะ”

หลินสวินอึ้งไป “นี่เกิดอะไรขึ้นอีก”

จ้าวจิ่งเซวียนสีหน้าขี้เล่น พูดหยอกเย้าว่า “เจ้าล้มตระกูลจั่วกับฉินไปก็เท่ากับว่าช่วยศัตรูพวกนั้น ทำให้กำลังของจักรวรรดิอ่อนแอลง พวกเขาย่อมยินดีที่เกิดเรื่องนี้ หมายใจให้เจ้าทำ ‘ความดี’ ทำนองนี้เพิ่มอีกหน่อย”

ตอนนี้หลินสวินถึงเข้าใจ หมดคำพูดไปครู่หนึ่งอย่างอดไม่อยู่ ทันใดนั้นก็ยิ้มหยันเอ่ยว่า “นี่พวกมันกำลังเย้ยว่าข้ากล้าแต่ในบ้านกระมัง”

จ้าวจิ่งเซวียนพยักหน้า “ข้าก็คิดแบบนี้ หากเปลี่ยนเป็นข้าต้องทนไม่ได้แน่!”

หลินสวินยิ้มขึ้นมา ชี้จ้าวจิ่งเซวียนพลางเอ่ยว่า “ข้าพอจะฟังออกแล้ว นี่เจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าไปฆ่าศัตรู”

จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มละไม เผยให้เห็นฟันงามขาวกระจ่าง กล่าวว่า “เปล่า ช่วยตัวเจ้าทำลายข่าวลือต่างหาก เพื่อให้แน่ใจว่าเข้าใจถูกต้อง ทำให้ทุกคนในใต้หล้าไม่กล้าให้ร้ายหรือดูหมิ่นเจ้าอีก”

หลินสวินลุกขึ้นจากก้อนหิน บิดขี้เกียจยาวๆ แล้วเอ่ยว่า “ดีเหมือนกัน ช่วงนี้ก็ออกจะว่างจริงๆ ได้เวลาออกไปเดินสักรอบแล้ว”

สวบ!

จ้าวจิ่งเซวียนโยนม้วนหยกม้วนหนึ่งออกมากล่าวว่า “ในนี้บันทึกสถานการณ์กองทัพสัตว์อสูรมารที่กระจายตัวอยู่ในจักรวรรดิตอนนี้เอาไว้”

เห็นได้ชัดว่านางเตรียมการให้หลินสวินไว้ก่อนแล้ว

“ต้องระวังตัวหน่อย โลกชั้นล่างแห่งนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่พวกเราคิดไว้ หลังจากฟ้าดินแปรผันฉับพลันก็เกิดเรื่องพิสดารมากมาย อย่างเช่นกองทัพสัตว์อสูรมารเหล่านั้นก็เหมือนกับปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ในจักรวรรดิแต่ก่อนไม่มีทางเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นแน่”

จ้าวจิ่งเซวียนสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา

หลินสวินพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยว่า “จริงสิ ข้าก็มีเรื่องหนึ่งให้เจ้าช่วย”

จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยอย่างปรีดา “เจ้าพูดมาเลย”

“ช่วยข้าสืบเรื่องทั้งหมดของลู่ป๋อหยาที”

ดวงตาหลินสวินลุ่มลึก

“ลู่ป๋อหยาหรือ”

จ้าวจิ่งเซวียนนัยน์ตาหดรัดลง ก่อนหน้านี้นางรู้อยู่เลาๆ ว่าหลินสวินเติบโตขึ้นมากับ ‘ท่านลู่’ ตั้งแต่เล็ก

“ใช่”

หลินสวินพยักหน้า

ในอดีตเขานึกว่าท่านลู่เป็นเพียงนักสลักวิญญาณขี้โมโหคนหนึ่ง

แต่ปัจจุบันเขาเป็นมกุฎราชันระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดแล้ว ตอนนี้ยามหวนนึกถึงประสบการณ์วัยเด็กต่างๆ ของตน ก็ยิ่งรู้สึกว่าท่านลู่ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่!

สามารถช่วยตนที่ตอนนั้นยังเป็นทารกมาจากมือกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งได้ นี่เป็นเรื่องที่คนธรรมดาทำได้หรือ

อีกทั้งเท่าที่หลินสวินรู้ ท่านลู่ได้ทิ้งร่องรอยมากมายไว้ในจักรวรรดิ

หลายปีก่อนคนใหญ่คนโตอย่างราชินีแห่งรัตติกาล เจ้าสำนักศึกษามฤคมรกต ราชครูที่หอดูดาวหลวงต่างล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของท่านลู่!

แต่ท่านลู่เป็นใครกันแน่ ทั้งมีฐานะอะไร จวบจนตอนนี้ยังเป็นปริศนา

หลินสวินรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าขอเพียงเปิดเผยฐานะของท่านลู่ได้ อาจจะทำให้ตนล่วงรู้ร่องรอยบางอย่างของมารดาตนลั่วชิงสวินมากยิ่งขึ้น

“ได้ เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง”

จ้าวจิ่งเซวียนพยักหน้าตอบรับ ตอนนี้นางครองอำนาจสูงสุดของจักรวรรดิ ถ้าคิดจะหาเรื่องราวในอดีตบางอย่างก็ไม่ได้ยากเย็นนัก

……

“ลุงจง ท่านไปเลือกคนหนุ่มสาวในตระกูลมาสักสิบคน ข้ามีเงื่อนไขเพียงอย่างเดียวคือจิตใจเข้มแข็ง ภักดีต่อตระกูลหลิน เช้าวันรุ่งขึ้นข้าจะพาพวกเขาไปฆ่าอสูรมารที่แนวหน้า”

หลังจากจ้าวจิ่งเซวียนจากไป หลินสวินก็สั่งหลินจงทันที

“ขอรับ”

หลินจงรับคำสั่งแล้วจากไป

เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงว่าการสั่งการเรียบง่ายเช่นนี้ของเขา กลับทำให้ทั้งภูเขาชำระจิตอึกทึกครึกโครม

คนหนุ่มสาวในตระกูลหลินต่างถูกเรียกรวมตัวเพื่อเข้าสู่การคัดเลือกพิเศษ

“เสวี่ยเฟิงเอ๋ย แม้เจ้าจะอายุมากไปหน่อย แต่ดีชั่วก็ถือเป็นญาติผู้พี่ของผู้นำตระกูล คราวนี้ข้าอยากให้เจ้าช่วงชิงโอกาสอันหาได้ยากยิ่งนี้ หากติดตามผู้นำตระกูลไปฆ่าอสูรมารด้วยกันได้ ด้วยความสามารถของผู้นำตระกูล จะทำให้เจ้าบรรลุระดับราชันก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

หลินไหวหย่วนสีหน้าเปี่ยมเมตตา เอ่ยปากอย่างอารี

หลินเสวี่ยเฟิงลังเลอยู่บ้าว “แต่ข้า… ยังมีเรื่องมากมายต้องทำนะ”

หลินไหวหย่วนพูดอย่างขัดใจ “เจ้าโง่! เจ้ายังดูไม่ออกหรือ นี่ผู้นำตระกูลคิดจะบ่มเพาะผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งนะ ยังมีเรื่องอะไรสำคัญกว่านี้อีก”

หลินเสวี่ยเฟิงกล่าวอย่างจนใจว่า “เช่นนั้นข้าจะลองดู”

หลินไหวหย่วนพลันยิ้มขึ้นมา “ต้องพยายามเข้า!”

……

“ซิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นต้นกล้าชั้นดีที่มีศักยภาพมากที่สุด พรสวรรค์สูงที่สุดในสายพวกเรา และอิงตามศักดิ์แล้วผู้นำตระกูลเป็นอาของเจ้า โอกาสนี้ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องคว้าไว้ให้มั่น รู้ไหม”

“อวิ๋นเยียน ในนครต้องห้ามตอนนี้ลุงของเจ้าก็คือบุคคลในตำนานผู้หนึ่ง พลังปราณสูงส่งของเขาก็เหมือนมังกรเทพบนสวรรค์ ทำให้ผู้คนในโลกทำได้เพียงแหงนหน้ามองดู! ติดตามเขาไปสังหารอสูรมาร เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับได้รับวาสนาสูงสุดครั้งหนึ่ง!”

…การสนทนาทำนองนี้เกิดขึ้นไปทั่วภูเขาชำระจิต ลูกหลานรุ่นเยาว์ตระกูลหลินทุกคนต่างถูกผู้อาวุโสกำชับอย่างเคร่งครัด

คนรุ่นเยาว์เหล่านั้นก็รับรู้ได้ว่านี่เป็นโอกาสอันล้ำค่าหาใดเทียบครั้งหนึ่ง จึงทั้งตื่นเต้นและร้อนรนอย่างเลี่ยงไม่ได้

หลินสวิน!

ตอนนี้ในนครต้องห้ามจะมีใครไม่รู้จัก

คนผู้นี้ก็คือตำนานบทหนึ่ง!

‘ต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้!’

คนรุ่นเยาว์มากมายต่างลอบตั้งมั่นในใจ

ในขณะเดียวกัน หลินจงก็กลายเป็นคนเนื้อหอมในหมู่คนใหญ่คนโตตระกูลหลิน ใช้ทุกวิถีทางด้วยต้องการชิงตำแหน่งรายชื่อให้ลูกของตัวเอง

แต่หลินจงกลับอึดอัดใจจนแทบจะหลบหน้าแทน

……

ในขณะเดียวกันหลินสวินก็กำลังสนทนากับพญาแร้ง

“พูดเช่นนี้ เป็นไปได้สูงมากที่ราชันอินทรีแดงยังไม่ตายหรือ”

ยามหลินสวินกลับมา ก็ได้ฟังเรื่องผู้แข็งแกร่งระดับราชันตระกูลจั่วคนหนึ่งมองราชันอินทรีแดงเป็นผู้ทรยศที่สนามรบแนวหน้า

ตอนนี้เขากำลังจะไปสังหารอสูรมารที่แนวหน้า หากเป็นไปได้ เขาก็อยากไปดูเสียหน่อยว่าราชันอินทรีแดงยังมีชีวิตอยู่หรือไม่กันแน่

“ตามข่าวที่พวกเรารู้มา สุดท้ายราชันอินทรีแดงก็หนีไปทั้งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่กระทั่งตอนนี้ยังไม่กลับมา จึงไม่อาจชี้ชัดได้ว่าอยู่หรือตาย”

พญาแร้งนิ่วหน้าพูด

“ช่างเถอะ ถึงเวลาข้าจะไปดูเอง”

หลินสวินตัดสินใจ

หลายปีนี้ราชันอินทรีแดงทุ่มเทให้ตระกูลหลินอย่างมากมาย ตอนนี้ถูกมองว่าเป็นผู้ทรยศ ไม่รู้ว่าอยู่หรือตาย หลินสวินจะไม่สนใจได้อย่างไร

——

[1] ไม้ใหญ่ล่อลม หมายถึงคนที่ยิ่งโดดเด่น ยิ่งมีชื่อเสียงหรือทรัพย์สินเงินทองมาก ก็ยิ่งตกเป็นเป้าหมายของผู้อื่นได้ง่าย

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+