Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1388 พลังพลิกฟ้าดิน

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1388 พลังพลิกฟ้าดิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เงาเลือดพันจั้งถูกเพลิงปทุมเผาจนสลายไปสิ้น!

และไกลออกไป ธงเล็กสีเลือดสิบแปดธงที่อยู่ในการควบคุมของราชันอสูรมารสิบแปดตนก็แหลกละเอียดไปพร้อมกัน!

ตูม!

กลางฟ้าดินแสงพุทธไพศาล ไอกระหายเลือดชั่วร้ายถูกชะล้างออกไปจนหมด

“นี่เป็นไปไม่ได้!”

เมื่อเห็นภาพนี้เข้า ราชันอินทรีอสนีเขียวก็ตื่นตระหนกจนลูกตาแทบหลุดจากเบ้า ร้องเสียงหลงดังลั่น

ค่ายกลเงาโลหิตนรกเทพเป็นกระบวนค่ายกลใหญ่น่ากลัวที่สามารถสังหารผู้แข็งแกร่งระดับอมตะเคราะห์ด่านแปดได้ มีที่มาที่ไปน่าหวาดหวั่นถึงที่สุด

แต่ตอนนี้การโจมตีเดียวก็ตีพ่ายไป!

“ชายหนุ่มคนนั้นเป็นใคร”

ไม่เพียงแค่ราชันอินทรีอสนีเขียว ตอนนี้ราชันอสูรมารสิบแปดตนนั้นกับเหล่ากองทัพสัตว์อสูรมารที่อยู่ไกลออกไปต่างหวาดผวา จิตใจสั่นระรัว

เดิมทีด้วยการตีเมืองหมอกอำพรางแตก ทั้งมณฑลซีหนานแห่งจักรวรรดิก็จะถูกยึดครองโดยสมบูรณ์ ถูกพวกเขากองทัพสัตว์อสูรมารยึดครองอาณาเขต

หนำซ้ำก่อนหน้านี้พวกเขาใกล้จะทำสำเร็จแล้ว!

แต่ตอนนี้ เพียงเพราะการปรากฏตัวขึ้นของชายหนุ่มคนหนึ่งกลับทำให้สถานการณ์พลิกผันทันที

การโจมตีแรก ฟ้าดินรัศมีสามพันจั้งนองเลือดดั่งภาพวาด หมื่นอสูรวอดวาย

การโจมตีที่สอง เพลิงโทสะพุทธปทุมมาเยือนโลกา ส่องแสงยิ่งใหญ่ ทำลายกระบวนค่ายกลลงในคราวเดียว!

สถานการณ์พลิกผันจากจุดนี้!

ตอนนี้เหนือสนามรบกว้างใหญ่ไพศาลนั้นมีเพียงแสงพุทธสว่างไสว กลิ่นอายไพศาลธำรงชั่วนิรันดร์!

เหนือหอประตูเมือง พวกซ่งจวินกุยต่างอึ้งงันอยู่เช่นนั้น ในใจตื่นเต้นยิ่งนัก

อะไรคือทวยเทพ

พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ตอนนี้ในสายตาของพวกเขา ชายหนุ่มที่ยืนลำพังเบื้องหน้าหอประตูเมืองคนนั้นก็เป็นดั่งทวยเทพ!

ใกล้กับกำแพงเมือง พลทหารจักรวรรดิต่างสั่นสะท้าน

“ภัยพิบัติอสูรมารครั้งนี้… ควรสิ้นสุดลงแล้ว”

ดวงตาดำของหลินสวินลุ่มลึก ภาพที่เห็นระหว่างทางก่อนหน้านี้ภาพแล้วภาพเล่าอุบัติขึ้นในสมอง

ราษฎรในจักรวรรดิที่หลบหนีอย่างลนลานเหล่านั้น พลทหารจักรวรรดิที่เสียสละยอมตายเหล่านั้น เมืองใหญ่โตที่เหมือนถูกทิ้งร้างนั้น…

หลินสวินโกรธเข้าจริงๆ แล้ว

พอเสียงพูดเงียบลง เงาร่างของเขาก็ทะลวงอากาศขึ้นไป เบื้องหลังมีเจินหลงท่องไปเหนือฟ้าดารา ชูคอส่งเสียงคำราม แผ่พลานุภาพน่าหวาดหวั่นข่มสรรพชีวิต

สำหรับสิ่งมีชีวิตอย่างสัตว์อสูรมารแล้ว มังกรเจินหลงก็เป็นดั่งนักล่าที่อยู่ปลายยอด เจือกลิ่นอายควบคุมสรรพสัตว์ ผงาดผยองเหนือเหล่าอสูรมารแต่กำเนิด

และตอนนี้เมื่อออกเคลื่อนไหวไปกับหลินสวิน เหนือสนามรบอันใหญ่โต กองทัพอสูรมารจำนวนมหาศาลต่างรู้สึกถึงแรงกดดันจนหายใจไม่ออก

ในสายตาของพวกเขา หลินสวินที่โผล่มากลางอากาศไม่ใช่คนสักนิด แต่เป็นมังกรเจินหลงที่ทำได้ทุกอย่างตัวหนึ่ง เคลื่อนออกมาจากฟ้าดาราในวัฏจักรแล้วลงมาเยือนโลก!

ตูม!

ฟ้าดินถูกกลิ่นอายเจินหลงอันน่าหวาดหวั่นปกคลุม สุริยันจันทราอับแสง ดินทรายปลิวว่อน

สัตว์อสูรมารมากมายเพียงรู้สึกว่าสติแตกกระเจิง ส่งเสียงร้องโหยหวน กายอ่อนยวบลงไปตัวสั่นงันงกกับพื้น ปลุกความคิดจะต้านทานขึ้นมาไม่ได้สักนิด

ต่อให้มีพลังปราณแกร่งกล้าเหมือนราชันอินทรีอสนีเขียว ขณะนี้ยังสูดหายใจเย็นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตามข่าวที่เขารู้มา ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในจักรวรรดิตอนนี้ถึงกับยังมีพวกร้ายกาจไร้เทียมทานเช่นนี้คนหนึ่ง

“เร็ว! ขวางเขาไว้!”

ราชันอินทรีอสนีเขียวคำรามคลั่ง

ไกลออกไปราชันอสูรมารสิบแปดตนก็รับรู้ได้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงสำแดงการโจมตีโดยไม่ลังเล แต่ละตนต่างพลังปราณน่ากลัวคับฟ้า

ใครก็รู้ดีว่าหากหลินสวินโจมตีเช่นนี้ต่อไป กองทัพสัตว์อสูรมารต้องแพ้แน่!

ตอนนี้แม้แต่ราชันอินทรีอสนีเขียวยังเริ่มสู้สุดชีวิต มันแปลงกายเป็นสายฟ้าไหววูบสีเขียวเจิดจ้าสายหนึ่งฉีกทึ้งห้วงอากาศ ยื่นกรงเล็บยักษ์ออกไปลอบโจมตีหลินสวินจากระยะไกล

ฉึบ!

ก็เห็นว่าหลินสวินไม่หลบไม่หนี ยื่นแขนออกมาข้างหนึ่ง ฝ่ามือมหึมามือหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ บังฟ้าเร้นตะวัน

ไม่ทันไรร่างใหญ่ยักษ์ของราชันอินทรีอสนีเขียวก็ถูกมือใหญ่จับไว้อย่างง่ายดายเหมือนคว้าใบไม้ร่วงสักใบ

“แย่แล้ว!”

ราชันอินทรีอสนีเขียววิญญาณแทบหลุดจากร่าง ตอนนี้มันถึงรู้ได้ทันทีว่าตนผิดตั้งแต่เริ่มแล้ว ความน่ากลัวในศักยภาพของชายหนุ่มผู้นั้น ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเทียบได้เลย!

“โง่เง่า”

หลินสวินสีหน้าเย็นชา

เขาออกแรงที่นิ้วมือ

ปึง!

ตอนนี้ผู้ทรงพลังระดับอมตะเคราะห์ด่านสี่อย่างราชันอินทรีเขียวผู้นี้กลับเหมือนมดตัวหนึ่ง ถูกมือใหญ่บี้ตาย ฝนเลือดเทลงมาเหมือนน้ำตก

ก่อนตายมันยังไม่อาจเชื่อได้ ว่าแม้แต่ดิ้นรนต้านทานตนยังทำไม่ได้ได้อย่างไร!

“อะไรน่ะ”

เหนือหอประตูเมือง ผู้แข็งแกร่งแห่งจักรวรรดิทุกคนต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง

สำหรับพวกเขาแล้ว ราชันอินทรีอสนีเขียวเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่น่ากลัวไม่มีที่สิ้นสุดไปแล้ว พลังแข็งแกร่งจนไม่อาจจินตนาการได้

ทว่าตอนนี้ด้วยมือหลินสวิน เพียงชั่วพลิกฝ่ามือก็ถูกสังหาร!

แต่พวกเขาไม่รู้ว่า ถ้าไม่ห่วงว่าจะทำลายเมืองและภูผาธาราที่อยู่ใกล้เคียงไป หากลงมือเต็มกำลังด้วยพลังต่อสู้ของหลินสวิน ก็ไม่ต้องวุ่นวายขนาดนี้สักนิด

“ถอยเร็ว!”

ไกลออกไปพอได้เห็นสภาพน่าอนาถของราชันอินทรีอสนีเขียว ราชันอสูรมารสิบแปดตนต่างมือเท้าเย็นเฉียบ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหากการต่อสู้นี้ดำเนินต่อไปอีกก็ไม่มีอะไรให้ลุ้นแล้ว

“หนี!”

“หนีสิ!”

กองทัพสัตว์อสูรมารพังทลายโดยสมบูรณ์แล้ว

คนผู้เดียวราวกับมังกรเจินหลงมาเยือนโลก กำราบสนามรบทั้งแถบ ท่วงท่าไร้ศัตรูใดต้านทานได้เช่นนั้น สามารถทำให้ไม่ว่าอสูรมารตนใดก็สติกระเจิงได้

เจ้าไม่เห็นหรอกหรือว่าราชันอินทรีอสนีเขียวถูกสังหารในชั่วพลิกฝ่ามือ

“กำราบ!”

ทันใดนั้นหลินสวินเปล่งเสียงธรรม ยื่นมือกดลงไป ประทับปี้อั้นสิบแปดอันก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ แต่ละอันราวกับภูเขาเทพร่วงหล่นลงมาจากสวรรค์

ปึง!

ราชันอสูรมารตนหนึ่งยังไม่ทันตอบสนองก็ถูกประทับปี้อั้นกระแทกร่างแหลก ส่งเสียงร้องโหยหวนน่าหดหู่หาใดเทียบ

ประทับปี้อั้นตกลงมาปกคลุมทั่วแปดทิศ ผนึกมั่นทุกหัวระแหง เต็มไปด้วยพลังกฎระเบียบของเจินหลง ราชันอสูรมารธรรมดาพวกนั้นจะต้านทานได้หรือ

ปึงๆๆ!

ต่อมาเสียงระเบิดแน่นขนัดก็ดังขึ้นกลางฟ้าดิน ระหว่างที่ดีดนิ้วสามครั้ง ราชันอสูรมารสิบแปดตนต่างถูกสังหารสิ้น

ระดับราชัน เป็นบุคคลผู้เป็นที่เคารพในสายตาของทุกคนในจักรวรรดิแล้ว

ขณะนี้พอราชันอสูรมารสิบแปดตนสิ้นชีพไป ฝั่งผู้แข็งแกร่งจักรวรรดิต่างก็นิ่งอึ้งโดยสมบูรณ์อยู่เช่นนั้น

ฆ่าราชันเหมือนเชือดไก่!

ฝีมือสังหารสูงส่งปานนี้ก็เหมือนรอยประทับที่ไม่อาจลบเลือนได้รอยหนึ่ง กลายเป็นความความทรงจำอันยากลืมเลือนชั่วนิรันดร์ของผู้แข็งแกร่งแห่งจักรวรรดิเหล่านี้ไปแล้ว

ในสนามรบไกลออกไป หลินสวินเหมือนเสือในฝูงหมาป่า แข็งแกร่งจนหมื่นศัตรูต้านทานไม่อยู่

“หึ!”

เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรมารราวมดปลวกเหล่านั้น หลินสวินคร้านจะไปโจมตี ทำเพียงร้องหึเบาๆ ครั้งหนึ่ง

พลังคลื่นเสียงไพศาลนั้นในชั่วพริบตาเดียวก็ม้วนตลบออกมา ซัดสาดไปทั่วสารทิศ ทำให้สัตว์อสูรมารตัวแล้วตัวเล่าต่างอกสั่นขวัญแขวน ร่างกายระเบิดแหลก

กลิ่นคาวเลือด เสียงคำรามรวดร้าว เสียงร้องโหยหวนตลบอบอวลกลางฟ้าดิน

“สหาย พวกเจ้ามาจากตระกูลหลินหรือ”

บนหอประตูเมือง ผู้บังคับการซ่งจวินกุยพลันเอ่ยถาม

หลินเสวี่ยเฟิงพยักหน้า

“คุณชายท่านนั้นหรือจะเป็น… ผู้นำตระกูลหลินของพวกเจ้า”

ซ่งจวินกุยเอ่ยถาม

หลินเสวี่ยเฟิงพยักหน้าอีกครั้ง

ซ่งจวินกุยไม่ถามอีกแล้ว แววตาเหม่อลอย “ที่แท้ก็เป็นเขา…”

เขาเข้าใจถ่องแท้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

คนผู้เดียวเหยียบย่ำขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงสองตระกูลได้ในคืนเดียว สังหารผู้นำตระกูลทรงอิทธิพลสิบเก้าคนหัวหลุดกระเด็น

นี่คือบุคคลผู้แห่งยุคที่ราวกับตำนานคนหนึ่ง!

ซ่งจวินกุยจะไม่รู้จักได้อย่างไร

ทุกคนที่อยู่ใกล้เคียงต่างก็จิตใจสั่นสะเทือน หลินสวิน! ชายหนุ่มคนนั้นก็คือหลินสวิน! มิน่า… มิน่าล่ะ!

ไม่เพียงแต่พวกเขา เหล่าลูกหลานตระกูลหลินอย่างพวกหลินเสวี่ยเฟิงเห็นเช่นนี้ยังจิตใจหวั่นไหว เลือดในกายสูบฉีดฮึกเหิม ตื่นเต้นจนคุมตัวเองไม่อยู่

เพราะว่าบุคคลในตำนานผู้นั้น คือผู้นำตระกูลของพวกเขา!

……

ในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากสังหารราชันอินทรีอสนีเขียวกับราชันอสูรมารอีกสิบแปดตน เพียงชั่วกะพริบตาสิบครั้ง ศึกอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ก็ปิดฉากลง

หลินสวินคนเดียวใช้พลังกำราบกองทัพสัตว์อสูรมารนับหมื่น เข่นฆ่าจนฟ้าดินหม่นหมอง สุริยันจันทราอับแสง!

ยามเงาร่างของหลินสวินหันกลับมาจากสนามรบไกลลิบ เหนือฟ้าบนดินต่างเงียบสงัดไร้เสียง

ทุกคนล้วนเจือไปด้วยสีหน้าเคารพ คลั่งไคล้ และหวาดหวั่น ไม่มีถ้อยคำใดสามารถบรรยายจิตใจของพวกเขาในตอนนี้ได้แล้ว

กลางฟ้าดินเหลือเพียงความเงียบ

วันนี้ ตามบันทึกประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิ ที่นอกเมืองหมอกอำพราง หลินสวินผู้นำตระกูลหลินสังหารเหล่าราชันอสูรมารอย่างเดือดดาลเพียงผู้เดียว ทำลายกองทัพสัตว์อสูรมารนับแสน ช่วยมณฑลหนึ่งท่ามกลางความทุกข์ยากมหันต์ ความรุ่งโรจน์แห่งอิทธิฤทธิ์สามารถสั่นสะเทือนฟ้าดิน!

……

ตำหนักเฉียนหยวนในวังหลวง นครต้องห้ามแห่งจักรวรรดิ

“องค์หญิง มณฑลซีหนานแห่งจักรวรรดิมีรายงานด่วนพ่ะย่ะค่ะ!”

ข่าวหนึ่งปรากฏขึ้นมาทันที ถูกจ้าวจิ่งเซวียนซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการกับเหล่าขุนนางในตำหนักล่วงรู้ ฉับพลันนั้นในตำหนักเฉียนหยวนก็ระส่ำระสายขึ้นระลอกหนึ่ง บรรยากาศกดดัน

เขตแดนหนึ่งมณฑลจะตกอยู่ใต้อาณัติของกองทัพสัตว์อสูรมารหรือ

“องค์หญิง ขอให้รวมกำลังพลในจักรวรรดิไปเป็นกำลังเสริมเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

ทันใดนั้นขุนนางใหญ่หลายคนก็เอ่ยแนะนำ ดูวิตกกังวลนัก

ด้านหลังโต๊ะ จ้าวจิ่งเซวียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “กองหนุนยังไงก็ต้องส่งไปช่วย แต่เท่าที่ข้ารู้มา ผู้นำตระกูลหลินเดินทางไปสังหารอสูรมารที่มณฑลซีหนานแล้ว หากมีเขาอยู่ สถานการณ์อันตรายของมณฑลซีหนานอาจยังมีความเป็นไปได้ที่จะพลิกผัน”

เหล่าขุนนางได้ยินดังนี้ก็หมดคำพูดไปครู่หนึ่ง หลินสวินเพียงผู้เดียวจะเป็นคู่ต่อสู้ของกองทัพสัตว์อสูรมารหลายแสนตนกับเหล่าราชันอสูรมารได้อย่างไร

ที่ทำให้พวกเขาไม่เข้าใจก็คือ องค์หญิงเป็นสตรีมหัศจรรย์ผู้มีชื่อเสียงปานไหน เหตุใดถึงฝากความหวังไว้กับหลินสวินเพียงคนเดียว

จ้าวจิ่งเซวียนไม่อธิบายอะไรอีก มีบัญชาลงมาว่าจะเคลื่อนกองหนุนจักรวรรดิกองหนึ่งไปยังมณฑลซีหนานแห่งจักรวรรดิทันที

และในคืนนั้นเอง มีข่าวส่งเข้ามาในวังว่าวิกฤตที่มณฑลซีหนานคลี่คลายแล้ว กองทัพสัตว์อสูรมารพ่ายแพ้ย่อยยับ!

เหล่าขุนนางที่รอข่าวอยู่ในตำหนักเฉียนหยวนมาโดยตลอดต่างนิ่งอึ้งไปโดยสมบูรณ์ สะท้านขวัญจนคำพูด เขาหลินสวิน ถึงกับทำได้แล้วจริงๆ หรือ!

ด้านหลังโต๊ะ จ้าวจิ่งเซวียนลอบถอนหายใจโล่งอกในใจ แต่ยังไม่ได้อธิบายอะไรเหมือนเดิม

เพราะนางรู้ดีว่าต่อให้อธิบายไปก็ไม่มีทางทำให้ขุนนางใหญ่เหล่านี้เข้าใจ ว่าศักยภาพของมกุฎราชันระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดผู้หนึ่งน่ากลัวปานไหน!

ในโลกชั้นล่างแห่งนี้ เว้นแต่มีอริยะปรากฏตัว หาไม่แล้วย่อมไม่มีใครช่วงชิงความเป็นหนึ่งไปจากหลินสวินได้!

แม้กองทัพสัตว์อสูรมารจะมีกำลังจำนวนมาก แต่ต่อหน้าพลังสูงสุด จำนวนมากน้อยก็ไม่มีความหมายไปแล้ว

วันนี้ นครต้องห้ามสะท้านสะเทือน

หลายปีมานี้สัตว์อสูรมารกำเริบเสิบสาน จู่โจมเมืองปล้นหมู่บ้าน เผาฆ่าชิงปล้น กระทำความชั่วทุกประการภายในจักรวรรดิ กลายเป็นภัยใหญ่ร้ายแรงของจักรวรรดิ

โดยเฉพาะในช่วงใกล้ๆ นี้ ขุมอำนาจสัตว์อสูรมารยิ่งแผลงฤทธิ์ บีบเข้ามาทีละก้าว ทำให้จักรวรรดิตกอยู่ในความโกลาหลอย่างใหญ่หลวง

นี่ก็เหมือนก้อนหินยักษ์ที่กดทับอยู่บนหัวใจทุกคนในจักรวรรดิ ทำให้หลายคนกินไม่ได้นอนไม่หลับ วิตกกังวลยิ่งนัก

และเมื่อข่าวของศึกนี้กระจายออกมาก็เหมือนฝนตกตอนหน้าแล้ง ทำให้จักรวรรดิคึกคักขึ้นโดยสมบูรณ์ ผู้คนนับไม่ถ้วนตื่นเต้นโห่ร้องยินดี และฮึกเหิมเพราะเรื่องนี้

พูดง่ายๆ ก็คือ ชัยชนะอันยิ่งใหญ่คราวนี้ปัดเป่าหมอกทะมึนในจักรวรรดิไปในคราวเดียว!

“หลินสวินคนนี้ สมกับเป็นดาวสังหารที่ตกมาจากฟากฟ้าจริงๆ”

ขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลเหล่านั้นต่างทอดถอนใจไม่ว่างเว้น

“โอ้ ข้าจำได้ว่าราชันเกราะทองที่ครองอาณาเขตในมณฑลซีหนานนั่นเคยคุยโวว่าจะรับหลินสวินเป็นข้ารับใช้ใช่ไหม ก็ไม่รู้ตอนนี้เขาได้พบหลินสวินหรือยัง…”

ในพระราชวัง จ้าวจิ่งเซวียนที่จัดการเรื่องราวในมือกำลังฟุบอยู่ตรงโต๊ะอย่างเกียจคร้าน ดวงหน้างามหนุนอยู่บนแขนขาวเปล่งปลั่ง ดวงตากระจ่างสุกสกาว ริมฝีปากอวบอิ่มระบายยิ้มประหลาด

——

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1388 พลังพลิกฟ้าดิน

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1388 พลังพลิกฟ้าดิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เงาเลือดพันจั้งถูกเพลิงปทุมเผาจนสลายไปสิ้น!

และไกลออกไป ธงเล็กสีเลือดสิบแปดธงที่อยู่ในการควบคุมของราชันอสูรมารสิบแปดตนก็แหลกละเอียดไปพร้อมกัน!

ตูม!

กลางฟ้าดินแสงพุทธไพศาล ไอกระหายเลือดชั่วร้ายถูกชะล้างออกไปจนหมด

“นี่เป็นไปไม่ได้!”

เมื่อเห็นภาพนี้เข้า ราชันอินทรีอสนีเขียวก็ตื่นตระหนกจนลูกตาแทบหลุดจากเบ้า ร้องเสียงหลงดังลั่น

ค่ายกลเงาโลหิตนรกเทพเป็นกระบวนค่ายกลใหญ่น่ากลัวที่สามารถสังหารผู้แข็งแกร่งระดับอมตะเคราะห์ด่านแปดได้ มีที่มาที่ไปน่าหวาดหวั่นถึงที่สุด

แต่ตอนนี้การโจมตีเดียวก็ตีพ่ายไป!

“ชายหนุ่มคนนั้นเป็นใคร”

ไม่เพียงแค่ราชันอินทรีอสนีเขียว ตอนนี้ราชันอสูรมารสิบแปดตนนั้นกับเหล่ากองทัพสัตว์อสูรมารที่อยู่ไกลออกไปต่างหวาดผวา จิตใจสั่นระรัว

เดิมทีด้วยการตีเมืองหมอกอำพรางแตก ทั้งมณฑลซีหนานแห่งจักรวรรดิก็จะถูกยึดครองโดยสมบูรณ์ ถูกพวกเขากองทัพสัตว์อสูรมารยึดครองอาณาเขต

หนำซ้ำก่อนหน้านี้พวกเขาใกล้จะทำสำเร็จแล้ว!

แต่ตอนนี้ เพียงเพราะการปรากฏตัวขึ้นของชายหนุ่มคนหนึ่งกลับทำให้สถานการณ์พลิกผันทันที

การโจมตีแรก ฟ้าดินรัศมีสามพันจั้งนองเลือดดั่งภาพวาด หมื่นอสูรวอดวาย

การโจมตีที่สอง เพลิงโทสะพุทธปทุมมาเยือนโลกา ส่องแสงยิ่งใหญ่ ทำลายกระบวนค่ายกลลงในคราวเดียว!

สถานการณ์พลิกผันจากจุดนี้!

ตอนนี้เหนือสนามรบกว้างใหญ่ไพศาลนั้นมีเพียงแสงพุทธสว่างไสว กลิ่นอายไพศาลธำรงชั่วนิรันดร์!

เหนือหอประตูเมือง พวกซ่งจวินกุยต่างอึ้งงันอยู่เช่นนั้น ในใจตื่นเต้นยิ่งนัก

อะไรคือทวยเทพ

พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ตอนนี้ในสายตาของพวกเขา ชายหนุ่มที่ยืนลำพังเบื้องหน้าหอประตูเมืองคนนั้นก็เป็นดั่งทวยเทพ!

ใกล้กับกำแพงเมือง พลทหารจักรวรรดิต่างสั่นสะท้าน

“ภัยพิบัติอสูรมารครั้งนี้… ควรสิ้นสุดลงแล้ว”

ดวงตาดำของหลินสวินลุ่มลึก ภาพที่เห็นระหว่างทางก่อนหน้านี้ภาพแล้วภาพเล่าอุบัติขึ้นในสมอง

ราษฎรในจักรวรรดิที่หลบหนีอย่างลนลานเหล่านั้น พลทหารจักรวรรดิที่เสียสละยอมตายเหล่านั้น เมืองใหญ่โตที่เหมือนถูกทิ้งร้างนั้น…

หลินสวินโกรธเข้าจริงๆ แล้ว

พอเสียงพูดเงียบลง เงาร่างของเขาก็ทะลวงอากาศขึ้นไป เบื้องหลังมีเจินหลงท่องไปเหนือฟ้าดารา ชูคอส่งเสียงคำราม แผ่พลานุภาพน่าหวาดหวั่นข่มสรรพชีวิต

สำหรับสิ่งมีชีวิตอย่างสัตว์อสูรมารแล้ว มังกรเจินหลงก็เป็นดั่งนักล่าที่อยู่ปลายยอด เจือกลิ่นอายควบคุมสรรพสัตว์ ผงาดผยองเหนือเหล่าอสูรมารแต่กำเนิด

และตอนนี้เมื่อออกเคลื่อนไหวไปกับหลินสวิน เหนือสนามรบอันใหญ่โต กองทัพอสูรมารจำนวนมหาศาลต่างรู้สึกถึงแรงกดดันจนหายใจไม่ออก

ในสายตาของพวกเขา หลินสวินที่โผล่มากลางอากาศไม่ใช่คนสักนิด แต่เป็นมังกรเจินหลงที่ทำได้ทุกอย่างตัวหนึ่ง เคลื่อนออกมาจากฟ้าดาราในวัฏจักรแล้วลงมาเยือนโลก!

ตูม!

ฟ้าดินถูกกลิ่นอายเจินหลงอันน่าหวาดหวั่นปกคลุม สุริยันจันทราอับแสง ดินทรายปลิวว่อน

สัตว์อสูรมารมากมายเพียงรู้สึกว่าสติแตกกระเจิง ส่งเสียงร้องโหยหวน กายอ่อนยวบลงไปตัวสั่นงันงกกับพื้น ปลุกความคิดจะต้านทานขึ้นมาไม่ได้สักนิด

ต่อให้มีพลังปราณแกร่งกล้าเหมือนราชันอินทรีอสนีเขียว ขณะนี้ยังสูดหายใจเย็นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตามข่าวที่เขารู้มา ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในจักรวรรดิตอนนี้ถึงกับยังมีพวกร้ายกาจไร้เทียมทานเช่นนี้คนหนึ่ง

“เร็ว! ขวางเขาไว้!”

ราชันอินทรีอสนีเขียวคำรามคลั่ง

ไกลออกไปราชันอสูรมารสิบแปดตนก็รับรู้ได้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงสำแดงการโจมตีโดยไม่ลังเล แต่ละตนต่างพลังปราณน่ากลัวคับฟ้า

ใครก็รู้ดีว่าหากหลินสวินโจมตีเช่นนี้ต่อไป กองทัพสัตว์อสูรมารต้องแพ้แน่!

ตอนนี้แม้แต่ราชันอินทรีอสนีเขียวยังเริ่มสู้สุดชีวิต มันแปลงกายเป็นสายฟ้าไหววูบสีเขียวเจิดจ้าสายหนึ่งฉีกทึ้งห้วงอากาศ ยื่นกรงเล็บยักษ์ออกไปลอบโจมตีหลินสวินจากระยะไกล

ฉึบ!

ก็เห็นว่าหลินสวินไม่หลบไม่หนี ยื่นแขนออกมาข้างหนึ่ง ฝ่ามือมหึมามือหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ บังฟ้าเร้นตะวัน

ไม่ทันไรร่างใหญ่ยักษ์ของราชันอินทรีอสนีเขียวก็ถูกมือใหญ่จับไว้อย่างง่ายดายเหมือนคว้าใบไม้ร่วงสักใบ

“แย่แล้ว!”

ราชันอินทรีอสนีเขียววิญญาณแทบหลุดจากร่าง ตอนนี้มันถึงรู้ได้ทันทีว่าตนผิดตั้งแต่เริ่มแล้ว ความน่ากลัวในศักยภาพของชายหนุ่มผู้นั้น ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเทียบได้เลย!

“โง่เง่า”

หลินสวินสีหน้าเย็นชา

เขาออกแรงที่นิ้วมือ

ปึง!

ตอนนี้ผู้ทรงพลังระดับอมตะเคราะห์ด่านสี่อย่างราชันอินทรีเขียวผู้นี้กลับเหมือนมดตัวหนึ่ง ถูกมือใหญ่บี้ตาย ฝนเลือดเทลงมาเหมือนน้ำตก

ก่อนตายมันยังไม่อาจเชื่อได้ ว่าแม้แต่ดิ้นรนต้านทานตนยังทำไม่ได้ได้อย่างไร!

“อะไรน่ะ”

เหนือหอประตูเมือง ผู้แข็งแกร่งแห่งจักรวรรดิทุกคนต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง

สำหรับพวกเขาแล้ว ราชันอินทรีอสนีเขียวเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่น่ากลัวไม่มีที่สิ้นสุดไปแล้ว พลังแข็งแกร่งจนไม่อาจจินตนาการได้

ทว่าตอนนี้ด้วยมือหลินสวิน เพียงชั่วพลิกฝ่ามือก็ถูกสังหาร!

แต่พวกเขาไม่รู้ว่า ถ้าไม่ห่วงว่าจะทำลายเมืองและภูผาธาราที่อยู่ใกล้เคียงไป หากลงมือเต็มกำลังด้วยพลังต่อสู้ของหลินสวิน ก็ไม่ต้องวุ่นวายขนาดนี้สักนิด

“ถอยเร็ว!”

ไกลออกไปพอได้เห็นสภาพน่าอนาถของราชันอินทรีอสนีเขียว ราชันอสูรมารสิบแปดตนต่างมือเท้าเย็นเฉียบ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหากการต่อสู้นี้ดำเนินต่อไปอีกก็ไม่มีอะไรให้ลุ้นแล้ว

“หนี!”

“หนีสิ!”

กองทัพสัตว์อสูรมารพังทลายโดยสมบูรณ์แล้ว

คนผู้เดียวราวกับมังกรเจินหลงมาเยือนโลก กำราบสนามรบทั้งแถบ ท่วงท่าไร้ศัตรูใดต้านทานได้เช่นนั้น สามารถทำให้ไม่ว่าอสูรมารตนใดก็สติกระเจิงได้

เจ้าไม่เห็นหรอกหรือว่าราชันอินทรีอสนีเขียวถูกสังหารในชั่วพลิกฝ่ามือ

“กำราบ!”

ทันใดนั้นหลินสวินเปล่งเสียงธรรม ยื่นมือกดลงไป ประทับปี้อั้นสิบแปดอันก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ แต่ละอันราวกับภูเขาเทพร่วงหล่นลงมาจากสวรรค์

ปึง!

ราชันอสูรมารตนหนึ่งยังไม่ทันตอบสนองก็ถูกประทับปี้อั้นกระแทกร่างแหลก ส่งเสียงร้องโหยหวนน่าหดหู่หาใดเทียบ

ประทับปี้อั้นตกลงมาปกคลุมทั่วแปดทิศ ผนึกมั่นทุกหัวระแหง เต็มไปด้วยพลังกฎระเบียบของเจินหลง ราชันอสูรมารธรรมดาพวกนั้นจะต้านทานได้หรือ

ปึงๆๆ!

ต่อมาเสียงระเบิดแน่นขนัดก็ดังขึ้นกลางฟ้าดิน ระหว่างที่ดีดนิ้วสามครั้ง ราชันอสูรมารสิบแปดตนต่างถูกสังหารสิ้น

ระดับราชัน เป็นบุคคลผู้เป็นที่เคารพในสายตาของทุกคนในจักรวรรดิแล้ว

ขณะนี้พอราชันอสูรมารสิบแปดตนสิ้นชีพไป ฝั่งผู้แข็งแกร่งจักรวรรดิต่างก็นิ่งอึ้งโดยสมบูรณ์อยู่เช่นนั้น

ฆ่าราชันเหมือนเชือดไก่!

ฝีมือสังหารสูงส่งปานนี้ก็เหมือนรอยประทับที่ไม่อาจลบเลือนได้รอยหนึ่ง กลายเป็นความความทรงจำอันยากลืมเลือนชั่วนิรันดร์ของผู้แข็งแกร่งแห่งจักรวรรดิเหล่านี้ไปแล้ว

ในสนามรบไกลออกไป หลินสวินเหมือนเสือในฝูงหมาป่า แข็งแกร่งจนหมื่นศัตรูต้านทานไม่อยู่

“หึ!”

เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรมารราวมดปลวกเหล่านั้น หลินสวินคร้านจะไปโจมตี ทำเพียงร้องหึเบาๆ ครั้งหนึ่ง

พลังคลื่นเสียงไพศาลนั้นในชั่วพริบตาเดียวก็ม้วนตลบออกมา ซัดสาดไปทั่วสารทิศ ทำให้สัตว์อสูรมารตัวแล้วตัวเล่าต่างอกสั่นขวัญแขวน ร่างกายระเบิดแหลก

กลิ่นคาวเลือด เสียงคำรามรวดร้าว เสียงร้องโหยหวนตลบอบอวลกลางฟ้าดิน

“สหาย พวกเจ้ามาจากตระกูลหลินหรือ”

บนหอประตูเมือง ผู้บังคับการซ่งจวินกุยพลันเอ่ยถาม

หลินเสวี่ยเฟิงพยักหน้า

“คุณชายท่านนั้นหรือจะเป็น… ผู้นำตระกูลหลินของพวกเจ้า”

ซ่งจวินกุยเอ่ยถาม

หลินเสวี่ยเฟิงพยักหน้าอีกครั้ง

ซ่งจวินกุยไม่ถามอีกแล้ว แววตาเหม่อลอย “ที่แท้ก็เป็นเขา…”

เขาเข้าใจถ่องแท้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

คนผู้เดียวเหยียบย่ำขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงสองตระกูลได้ในคืนเดียว สังหารผู้นำตระกูลทรงอิทธิพลสิบเก้าคนหัวหลุดกระเด็น

นี่คือบุคคลผู้แห่งยุคที่ราวกับตำนานคนหนึ่ง!

ซ่งจวินกุยจะไม่รู้จักได้อย่างไร

ทุกคนที่อยู่ใกล้เคียงต่างก็จิตใจสั่นสะเทือน หลินสวิน! ชายหนุ่มคนนั้นก็คือหลินสวิน! มิน่า… มิน่าล่ะ!

ไม่เพียงแต่พวกเขา เหล่าลูกหลานตระกูลหลินอย่างพวกหลินเสวี่ยเฟิงเห็นเช่นนี้ยังจิตใจหวั่นไหว เลือดในกายสูบฉีดฮึกเหิม ตื่นเต้นจนคุมตัวเองไม่อยู่

เพราะว่าบุคคลในตำนานผู้นั้น คือผู้นำตระกูลของพวกเขา!

……

ในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากสังหารราชันอินทรีอสนีเขียวกับราชันอสูรมารอีกสิบแปดตน เพียงชั่วกะพริบตาสิบครั้ง ศึกอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ก็ปิดฉากลง

หลินสวินคนเดียวใช้พลังกำราบกองทัพสัตว์อสูรมารนับหมื่น เข่นฆ่าจนฟ้าดินหม่นหมอง สุริยันจันทราอับแสง!

ยามเงาร่างของหลินสวินหันกลับมาจากสนามรบไกลลิบ เหนือฟ้าบนดินต่างเงียบสงัดไร้เสียง

ทุกคนล้วนเจือไปด้วยสีหน้าเคารพ คลั่งไคล้ และหวาดหวั่น ไม่มีถ้อยคำใดสามารถบรรยายจิตใจของพวกเขาในตอนนี้ได้แล้ว

กลางฟ้าดินเหลือเพียงความเงียบ

วันนี้ ตามบันทึกประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิ ที่นอกเมืองหมอกอำพราง หลินสวินผู้นำตระกูลหลินสังหารเหล่าราชันอสูรมารอย่างเดือดดาลเพียงผู้เดียว ทำลายกองทัพสัตว์อสูรมารนับแสน ช่วยมณฑลหนึ่งท่ามกลางความทุกข์ยากมหันต์ ความรุ่งโรจน์แห่งอิทธิฤทธิ์สามารถสั่นสะเทือนฟ้าดิน!

……

ตำหนักเฉียนหยวนในวังหลวง นครต้องห้ามแห่งจักรวรรดิ

“องค์หญิง มณฑลซีหนานแห่งจักรวรรดิมีรายงานด่วนพ่ะย่ะค่ะ!”

ข่าวหนึ่งปรากฏขึ้นมาทันที ถูกจ้าวจิ่งเซวียนซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการกับเหล่าขุนนางในตำหนักล่วงรู้ ฉับพลันนั้นในตำหนักเฉียนหยวนก็ระส่ำระสายขึ้นระลอกหนึ่ง บรรยากาศกดดัน

เขตแดนหนึ่งมณฑลจะตกอยู่ใต้อาณัติของกองทัพสัตว์อสูรมารหรือ

“องค์หญิง ขอให้รวมกำลังพลในจักรวรรดิไปเป็นกำลังเสริมเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

ทันใดนั้นขุนนางใหญ่หลายคนก็เอ่ยแนะนำ ดูวิตกกังวลนัก

ด้านหลังโต๊ะ จ้าวจิ่งเซวียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “กองหนุนยังไงก็ต้องส่งไปช่วย แต่เท่าที่ข้ารู้มา ผู้นำตระกูลหลินเดินทางไปสังหารอสูรมารที่มณฑลซีหนานแล้ว หากมีเขาอยู่ สถานการณ์อันตรายของมณฑลซีหนานอาจยังมีความเป็นไปได้ที่จะพลิกผัน”

เหล่าขุนนางได้ยินดังนี้ก็หมดคำพูดไปครู่หนึ่ง หลินสวินเพียงผู้เดียวจะเป็นคู่ต่อสู้ของกองทัพสัตว์อสูรมารหลายแสนตนกับเหล่าราชันอสูรมารได้อย่างไร

ที่ทำให้พวกเขาไม่เข้าใจก็คือ องค์หญิงเป็นสตรีมหัศจรรย์ผู้มีชื่อเสียงปานไหน เหตุใดถึงฝากความหวังไว้กับหลินสวินเพียงคนเดียว

จ้าวจิ่งเซวียนไม่อธิบายอะไรอีก มีบัญชาลงมาว่าจะเคลื่อนกองหนุนจักรวรรดิกองหนึ่งไปยังมณฑลซีหนานแห่งจักรวรรดิทันที

และในคืนนั้นเอง มีข่าวส่งเข้ามาในวังว่าวิกฤตที่มณฑลซีหนานคลี่คลายแล้ว กองทัพสัตว์อสูรมารพ่ายแพ้ย่อยยับ!

เหล่าขุนนางที่รอข่าวอยู่ในตำหนักเฉียนหยวนมาโดยตลอดต่างนิ่งอึ้งไปโดยสมบูรณ์ สะท้านขวัญจนคำพูด เขาหลินสวิน ถึงกับทำได้แล้วจริงๆ หรือ!

ด้านหลังโต๊ะ จ้าวจิ่งเซวียนลอบถอนหายใจโล่งอกในใจ แต่ยังไม่ได้อธิบายอะไรเหมือนเดิม

เพราะนางรู้ดีว่าต่อให้อธิบายไปก็ไม่มีทางทำให้ขุนนางใหญ่เหล่านี้เข้าใจ ว่าศักยภาพของมกุฎราชันระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดผู้หนึ่งน่ากลัวปานไหน!

ในโลกชั้นล่างแห่งนี้ เว้นแต่มีอริยะปรากฏตัว หาไม่แล้วย่อมไม่มีใครช่วงชิงความเป็นหนึ่งไปจากหลินสวินได้!

แม้กองทัพสัตว์อสูรมารจะมีกำลังจำนวนมาก แต่ต่อหน้าพลังสูงสุด จำนวนมากน้อยก็ไม่มีความหมายไปแล้ว

วันนี้ นครต้องห้ามสะท้านสะเทือน

หลายปีมานี้สัตว์อสูรมารกำเริบเสิบสาน จู่โจมเมืองปล้นหมู่บ้าน เผาฆ่าชิงปล้น กระทำความชั่วทุกประการภายในจักรวรรดิ กลายเป็นภัยใหญ่ร้ายแรงของจักรวรรดิ

โดยเฉพาะในช่วงใกล้ๆ นี้ ขุมอำนาจสัตว์อสูรมารยิ่งแผลงฤทธิ์ บีบเข้ามาทีละก้าว ทำให้จักรวรรดิตกอยู่ในความโกลาหลอย่างใหญ่หลวง

นี่ก็เหมือนก้อนหินยักษ์ที่กดทับอยู่บนหัวใจทุกคนในจักรวรรดิ ทำให้หลายคนกินไม่ได้นอนไม่หลับ วิตกกังวลยิ่งนัก

และเมื่อข่าวของศึกนี้กระจายออกมาก็เหมือนฝนตกตอนหน้าแล้ง ทำให้จักรวรรดิคึกคักขึ้นโดยสมบูรณ์ ผู้คนนับไม่ถ้วนตื่นเต้นโห่ร้องยินดี และฮึกเหิมเพราะเรื่องนี้

พูดง่ายๆ ก็คือ ชัยชนะอันยิ่งใหญ่คราวนี้ปัดเป่าหมอกทะมึนในจักรวรรดิไปในคราวเดียว!

“หลินสวินคนนี้ สมกับเป็นดาวสังหารที่ตกมาจากฟากฟ้าจริงๆ”

ขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลเหล่านั้นต่างทอดถอนใจไม่ว่างเว้น

“โอ้ ข้าจำได้ว่าราชันเกราะทองที่ครองอาณาเขตในมณฑลซีหนานนั่นเคยคุยโวว่าจะรับหลินสวินเป็นข้ารับใช้ใช่ไหม ก็ไม่รู้ตอนนี้เขาได้พบหลินสวินหรือยัง…”

ในพระราชวัง จ้าวจิ่งเซวียนที่จัดการเรื่องราวในมือกำลังฟุบอยู่ตรงโต๊ะอย่างเกียจคร้าน ดวงหน้างามหนุนอยู่บนแขนขาวเปล่งปลั่ง ดวงตากระจ่างสุกสกาว ริมฝีปากอวบอิ่มระบายยิ้มประหลาด

——

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+