Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1412 เข้าใจแล้ว

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1412 เข้าใจแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ทุกท่าน ช่วงพลบค่ำวันนี้พี่สาวข้าจะกลับมาเยี่ยมญาติ ข้าผู้แซ่หวังขอตัวก่อน”

หวังจื่อหลงดื่มเหล้าจอกหนึ่งก็หมุนตัวออกไป

ทุกคนต่างลุกขึ้นส่ง

เห็นมาดน่าเกรงขามเช่นนี้ของหวังจื่อหลง ลูกหลานตระกูลหลินเหล่านั้นอดลอบถอนหายใจไม่ได้ ตอนที่ตระกูลหลินยังรุ่งเรืองอยู่ ลูกหลานตระกูลหลินอย่างพวกเขาเดินไปถึงไหนมีหรือจะไม่มีมาดเช่นนี้

แต่ตอนนี้…

ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้ถึงรสชาติของการตกต่ำ ไม่มีคนสนใจแล้ว

ช่วงพลบค่ำ

ยานสำเภาที่ยาวร้อยจั้งลำหนึ่งบดขยี้ชั้นเมฆเข้าสู่เมืองนครหยก ทำให้เกิดความฮือฮา ทุกสายตาล้วนมองไปที่ตระกูลหวัง

เพราะวันนี้หวังจื่อหลวนกลับมาเยี่ยมญาติที่บ้านเดิม คนที่มาด้วยยังมีหวงฝู่เซ่าอวี่ ศิษย์แกนหลักสายในของสำนักเมฆาเขียวที่ประหนึ่งผู้กล้าแห่งสวรรค์

คืนนั้นขุมอำนาจใหญ่มากมายในเมืองต่างนำของขวัญมาเยี่ยมเยือนถึงที่

และคืนนั้นก็เกิดเรื่องหนึ่งขึ้น ทำให้ตระกูลหลินกลายเป็นตัวตลก

เหตุผลเพราะคืนนั้นมีชายชราคนหนึ่งของตระกูลหลินนำของขวัญมาเยี่ยมเยือนตระกูลหวัง ผลลัพธ์กลับถูกขวางไว้นอกประตูโดยตรง!

ในงานเลี้ยงคืนนั้นหวังเทียนสิงผู้นำตระกูลหวังที่ดื่มจนหน้าแดง ถามอย่างประหลาดใจต่อหน้าคนใหญ่คนโตซึ่งนั่งกันเต็มงาน “ตระกูลหลินหรือ ตระกูลหลินไหน ในเมืองนครหยกยังมีตระกูลหลินอีกหรือ”

ทันใดนั้นทุกคนที่นั่งอยู่หัวเราะลั่น

หวังจื่อหลงฉวยโอกาสนี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นนอกหอสุราตอนกลางวันเหมือนเป็นเรื่องตลก

ตอนที่รู้ว่าเจ้าโง่ตระกูลหลินนั่นถึงกับเก็บกระดูกไก่ขึ้นมาจริงๆ คนใหญ่คนโตซึ่งนั่งกันเต็มงานต่างหัวเราะตัวโยน

ตอนนั้นหวังจื่อหลวนก็อยู่ด้วย ผ่านไปหลายปี นางคิดไม่ถึงว่ายามได้ยินชื่อหลินสวินอีกครั้งกลับเกี่ยวข้องกับกระดูกไก่ชิ้นหนึ่ง

นี่ทำให้ในใจนางอดหัวเราะเยาะไม่ได้ โชคดีที่ตอนนั้นถอนหมั้นไป หากตอนนั้นกลายเป็นฮูหยินน้อยของตระกูลหลิน นั่นคงเป็นฝันร้ายชัดๆ

“หลินสวินคนนั้นหรือ”

หวงฝู่เซ่าอวี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ นางถามด้วยสีหน้าราบเรียบ

เขาอยู่ในชุดคลุมหยก บนศีรษะสวมเกี้ยวประดับขนนก เอวคาดเข็มขัดมังกร รูปลักษณ์หล่อเหลา สง่างามดุงดั่งต้นหยก อาจหาญไม่ธรรมดาอย่างมาก

“อืม” หวังจื่อหลวนพยักหน้า มุมปากเผยแววเย้ยหยัน “เจ้าโง่ที่ถือกำเนิดพร้อมปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินคนหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสนใจเขา”

หวงฝู่เซ่าอวี่ขมวดคิ้ว กล่าวเสียงขรึม “แม้ตอนนั้นเจ้าจะเป็นฝ่ายถอนหมั้นกับเขา แต่ถูกคนพูดถึงอย่างไรก็ไม่เหมาะสม”

หวังจื่อหลวนอึ้งไป ก่อนพูดอย่างเห็นด้วย  “ที่ท่านพี่พูดมีเหตุผล เขาเป็นตัวตลกคนหนึ่ง ข้าไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับตัวตลกเช่นนี้”

หวงฝู่เซ่าอวี่พูดอย่างไม่เร่งไม่รีบ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้ตัวตลกคนนี้หายไปตลอดกาลก็จะไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว”

หวังจื่อหลวนเข้าใจทันที พลันพยักหน้าพูด “ข้าจะจบเรื่องนี้เสีย”

หวงฝู่เซ่าอวี่ขานรับว่าอืมแล้วไม่พูดอะไรอีก

เจ้าโง่คนหนึ่งเท่านั้น หากไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับหวังจื่อหลวนเขาก็คร้านจะสนใจ

เขาไม่ใส่ใจ หวังจื่อหลวนกลับใส่ใจ

คืนนั้นนางไปหาเสี่ยวเฉ่าแล้วถามว่า “เมื่อก่อนเจ้าเป็นสาวใช้ข้างกายหลินสวินหรือ”

เสี่ยวเฉ่าหัวใจสะท้านรีบพูดว่า “นี่เป็นเรื่องในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้ข้าน้อยเป็นคนของตระกูลหวัง จงรักภักดีต่อฮูหยิน ไม่มีใจคิดเป็นอื่นเด็ดขาด”

หวังจื่อหลวนขานรับว่าอ้อคำหนึ่งแล้วพูดว่า “อยากแสดงความจงรักภักดีก็ได้ พรุ่งนี้เจ้าพาข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งไปจัดการเรื่องหนึ่ง ข้าหวังว่า… ต่อไปจะไม่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับหลินสวินอีก เจ้าเข้าใจหรือยังว่าควรทำอย่างไร”

เสี่ยวเฉ่าแข็งทื่อไปทั้งตัว พูดเสียงสั่น “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!”

หากไม่อยากได้ยินเรื่องของใครคนหนึ่ง วิธีที่ง่ายและตรงไปตรงมาที่สุด แน่นอนว่าเป็นการทำให้เขาหายไปจากโลกนี้เงียบๆ

นางจะไม่เข้าใจได้อย่างไร

“ไปเถอะ หากครั้งนี้ทำสำเร็จ ข้าจึงจะเชื่อในความจงรักภักดีของเจ้า”

หวังจื่อหลวนพูดนิ่งๆ

เสี่ยวเฉ่าโค้งคำนับแล้วจากไป

‘ให้สาวใช้ที่เคยปรนนิบัติเจ้าส่งเจ้าด้วยตัวเอง ก็นับว่าเมตตาที่สุดแล้วกระมัง’

หวังจื่อหลวนใคร่ครวญ

หากไม่ใช่เพราะเสี่ยวเฉ่าปรนนิบัติอยู่ข้างกายหลินสวิน หวังจื่อหลวนคงจำสาวใช้ที่เลี้ยงสุนัขให้นางโดยเฉพาะคนนี้ไม่ได้

ใช่แล้ว เสี่ยวเฉ่าเป็นเพียงสาวใช้เลี้ยงสุนัขคนหนึ่ง ฐานะห่างไกลกับสาวใช้ข้างกายของหวังจื่อหลวนอย่างมาก

……

หิมะโปรยปราย

ในสุสานนอกเมืองแห่งหนึ่ง

หลินสวินยืนนิ่งอยู่หน้าสุสานสองหลักที่เคียงข้างกัน นิ่งเงียบไม่พูดจา

เขามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อคืน เหมือนป้ายหินที่เต็มไปด้วยหิมะ นิ่งไม่ขยับ

มีเพียงแววตาของเขาที่ยิ่งชัดเจนกระจ่างใสกว่าเดิม

“ตั้งแต่ข้าเกิดมา ข้าก็รู้ว่าข้าเป็นใครแล้ว แต่กลับไม่เคยกล้าเชื่อ จึงคิดมาโดยตลอดว่า ข้า… เป็นใครกันแน่”

“ในหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าคิดมาโดยตลอด คิดมาเยอะมากๆ แต่ก็คิดไม่ตกเสียที อย่างที่ในพระพุทธศาสนาว่า ความจริงเท็จนั้นล้วนเป็นภาพมายา ราวกับความฝันไม่จีรัง”

“ส่วนข้า… ก็เหมือนผู้ชมคนหนึ่ง คนผ่านทางคนหนึ่ง กำลังพิจารณาสิ่งที่พบเจอและสัมผัสว่าเป็นความฝันที่ไม่สมจริงหรือไม่…”

“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ไม่ว่าจะในฝันหรือความเป็นจริง ข้าก็คือข้า ไม่ใช่คนผ่านทาง และไม่ใช่ผู้ชมคนหนึ่ง”

หลินสวินพึมพำกับตัวเอง เหมือนคนโง่กำลังพร่ำเพ้อ

จากนั้นเขาคุกเข่าลงบนพื้นหิมะ โค้งคำนับอย่างจริงจังนับถือ “หลายปีมานี้… เป็นลูกอกตัญญูเอง!”

พูดถึงสุดท้าย แต่ละภาพในอดีตปรากฏขึ้นในหัว

ในวัยเด็ก ท่าทางดีใจแทบคลั่งของบิดายามที่ได้ยินตนเองขานเรียกคำว่าท่านพ่อครั้งแรก ตอนนั้นมารดายิ้มอยู่ข้างๆ สายตาอ่อนโยนราวกับน้ำ

ท่าทางที่สับสน ไม่เข้าใจ เจ็บปวด โกรธ และถอนหายใจของบิดามารดา ยามตนถูกมองว่าเป็นคนโง่ที่ไม่อาจรักษาได้…

แต่ไม่ว่าตนจะกลายเป็นอย่างไร พวกเขาเพียงหวังให้ตนสงบสุขปลอดภัย ไม่เคยละทิ้งเพราะตนเป็นคนโง่

ความรักที่พวกเขามีต่อตน คงอยู่มาโดยตลอด และยิ่งรักถนอมกว่าเมื่อก่อนเสียอีก

ถึงขั้นที่แม้แต่ตอนบิดาล่วงลับ ก็ไม่ลืมจับมือตน กำชับให้ตนต้องเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเอง ดูแลมารดาให้ดี…

จากนั้นบิดาไม่อยู่แล้ว มารดาเองก็ทุกข์ตรม ไม่กี่ปีหลังจากนั้นก็จากโลกไป

ก่อนสิ้นชีพมารดายังอาลัยอาวรณ์ บอกว่าชาตินี้เรื่องที่นางปวดใจที่สุดคือไม่สามารถรักษาลูกชายของตนให้หายได้

นางเองก็เคยพูดว่า แม้เป็นคนโง่ก็เป็นลูกชายของนาง ก็เป็นก้อนเนื้อในอกนาง ไม่อาจทนให้ลูกชายต้องลำบากยากแค้นได้

น่าเสียดายที่นางกลับกำลังจะตายแล้ว ไม่สามารถดูแลลูกชายได้อีกต่อไป นี่ทำให้แม้ตอนนางจากไปยังเบิกตาโพลง เหมือนตายตาไม่หลับอย่างไรอย่างนั้น

หน้าสุสาน หลินสวินที่คุกเข่าอยู่บนพื้นน้ำตานองหน้า ไม่ได้ร้องไห้ออกเสียง แต่กลับเสียใจอย่างที่สุด

……

“แย่แล้ว… เขาจะหลงทางอยู่ในนั้นหรือ…” ในห้องโถงมรรคาสวรรค์ หญิงลึกลับขมวดคิ้ว

นางมองเห็นทุกอย่างของหลินสวินใน ‘วัฏจักร’ แต่คิดไม่ถึงว่าคำว่าเข้าใจแล้วของหลินสวิน กลับเป็นการสูญเสียความเป็นตัวเองอย่างสิ้นเชิง

เช่นนี้จะ ‘มองเห็นตัวเอง’ ได้อย่างไร

แล้วจะทะลวงผ่านด่านที่เก้าของทางเดินเมฆาหยกได้อย่างไร

หากไม่สามารถผ่านด่านได้ ก็จะเสียคุณสมบัติในการเปิดประตูบานนั้น!

ชั่วขณะนี้หญิงลึกลับเสียอาการเล็กน้อยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในใจเกิดความรู้สึกที่พูดไม่ออก ผิดหวังหรือ

ก็ไม่ขนาดนั้น

แค่ยากจะยอมรับเท่านั้น!

นางเฝ้ามองหลินสวินพัฒนาขึ้นทีละก้าวๆ สามารถครอบครองพลังปราณในวันนี้ได้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ

และนางก็ไม่เคยคิด ว่าหลินสวินจะหยุดที่ด่านที่เก้าของทางเดินเมฆาหยกนี้!

เพราะฉะนั้นนางจึงรับไม่ได้ในชั่วขณะ ในใจไม่สามารถสงบได้

ครู่ใหญ่หญิงลึกลับตะลึงงันขึ้นมาพลัน ในดวงตากระจ่างวาบประกายเจิดจรัสแปลกประหลาดออกมา

ไม่ใช่!

หากการทะลวงด่านล้มเหลว ‘วัฏจักร’ ก็จะสิ้นสุดลง แต่ตอนนี้ทุกอย่างยังคงอยู่!

“น่าสนใจ แม้แต่ข้ายังมองพลาดหรือ…”

มุมปากของหญิงลึกลับโค้งขึ้น นางตัดสินใจดูต่อ ดูว่าสุดท้ายหลินสวินจะมอบความประหลาดใจอย่างไรกับตน

……

หิมะโปรยปราย

เสี่ยวเฉ่านำผู้คุ้มกันตระกูลหวังกลุ่มหนึ่งมาถึงนอกเมือง เดินไปยังสุสานที่อยู่ห่างไป

ในใจนางไม่เข้าใจอย่างมาก เจ้าโง่คนนั้นไปที่สุสานทำไม เพราะรู้ว่าตนกำลังจะตายจึงไปเลือกสุสานให้ตัวเองล่วงหน้าหรือ

เสี่ยวเฉ่ามองท้องฟ้า หิมะเวิ้งว้างดุจดั่งขนห่าน อากาศเย็นยะเยือก

ในใจนางแอบคิดว่า ‘ในฤดูกาลเช่นนี้ แม้ข้าไม่ลงมือ เจ้าโง่อย่างเจ้าคงทนได้ไม่กี่วันก็แข็งตายแล้วกระมัง’

ไม่นานเสี่ยวเฉ่าที่เดินเข้ามาในสุสานก็เห็นหลินสวิน

สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจคือ อีกฝ่ายคุกเข่าอยู่บนพื้น นิ่งเหมือนรูปปั้นไม่มีผิดเพี้ยน เหมือนแข็งตายไปแล้วจริงๆ

“เจ้าคิดได้ก่อนตาย ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าหลายปีที่ผ่านมาเจ้าทำผิดต่อพ่อแม่ของเจ้าแค่ไหนหรือ”

จู่ๆ เสี่ยวเฉ่าก็เอ่ยเสียงเยาะ “น่าเสียดายที่ทุกอย่างสายไปแล้ว”

“ฮ่าๆ เจ้าโง่นี่ตายด้วยวิธีแบบนี้ น่าประทับใจจริงๆ”

ผู้คุ้มกันเหล่านั้นต่างหัวเราะออกมา

“เรื่องราวบนโลกไม่เคยมีคำว่าเร็วหรือช้าเกินไป ขึ้นอยู่ที่ว่าคิดได้หรือไม่ก็เท่านั้น สำหรับข้า การชดเชยความรู้สึกผิดในหลายปีที่ผ่านมานี้ ยังไม่สาย”

ตอนนี้เองเสียงหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน

เสี่ยวเฉ่าเกือบคิดว่าตนหูฝาดไปแล้ว

จากนั้นนางก็เข้าใจว่าตนไม่ได้หูฝาด

เงาร่างที่คุกเข่าอยู่หน้าสุสานราวกับรูปปั้น ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนท่ามกลางสายตาไม่คาดคิดของทุกคน

แกรกๆ…

เกล็ดน้ำแข็งที่เกาะตามตัวเขาค่อยๆ แตกออกแล้วร่วงลงพื้น

เขายังคงสวมเสื้อขาวตัวบาง ร่างกายซูบผอม แต่ในอากาศที่เย็นยะเยือกเช่นนี้ แผ่นหลังหยัดตรงนั่นกลับไม่เคยโค้งงอเลยสักนิด

“เจ้าถึงกับยังไม่แข็งตาย?”

เสี่ยวเฉ่าเบิกตาโพลง

“เจ้าโง่นี่ทนหนาวได้ดีจริงๆ ใส่เสื้อผ้าบางขนาดนี้ยังไม่แข็งตายก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์หนึ่งแล้ว”

ผู้คุ้มกันเหล่านั้นก็ใบหน้าประหลาดใจเต็มประดา ยากจะเชื่อได้

“พวกเจ้าจะฆ่าข้าหรือ”

หลินสวินสีหน้านิ่งสงบ คราบน้ำตาบนใบหน้าระเหยไปนานแล้ว แววตาของเขากระจ่างชัดอย่างที่สุด ราวกับสามารถสะท้อนสรรพสิ่งบนโลกได้

สาวใช้คนหนึ่งพาผู้คุ้มกันซึ่งดุร้ายราวกับหมาป่ามาหาตนที่สุสานในยามหิมะตกหนักขนาดนี้ จุดประสงค์นั้นไม่ต้องบอกก็รู้ได้

เสี่ยวเฉ่าอึ้งงันไปอีกครั้ง นางคิดไม่ถึงว่าเพียงแค่แวบเดียว หลินสวินก็มองจุดประสงค์ในครั้งนี้ของพวกเขาออกแล้ว

นี่ยังใช่เจ้าโง่นั่นอยู่หรือไม่

“เป็นหวังจื่อหลวนให้พวกเจ้ามาหรือ”

ตอนที่หลินสวินพูดประโยคนี้ออกมา เสี่ยวเฉ่ามีความรู้สึกตกใจขึ้นมาอย่างหนึ่ง เจ้าโง่นี่… เหตุใดจึงรู้ทุกอย่างแล้ว

“เจ้า…”

เสี่ยวเฉ่ากำลังคิดจะพูดอะไรสักหน่อย หลินสวินก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าขอถามเจ้าเพียงว่า ตลอดเวลาที่อยู่ในตระกูลหลิน ตระกูลหลินเคยปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อเจ้าหรือไม่”

เผชิญหน้ากับแววตากระจ่างชัดของหลินสวิน เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเฉ่ารู้สึกว่ามีพลังน่ากลัวที่แทบจะทำให้หายใจไม่ออกกดดันอยู่ในใจ ทำให้นางรู้สึกเหมือนตกถ้ำน้ำแข็งไปทั้งตัว

………..

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1412 เข้าใจแล้ว

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1412 เข้าใจแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ทุกท่าน ช่วงพลบค่ำวันนี้พี่สาวข้าจะกลับมาเยี่ยมญาติ ข้าผู้แซ่หวังขอตัวก่อน”

หวังจื่อหลงดื่มเหล้าจอกหนึ่งก็หมุนตัวออกไป

ทุกคนต่างลุกขึ้นส่ง

เห็นมาดน่าเกรงขามเช่นนี้ของหวังจื่อหลง ลูกหลานตระกูลหลินเหล่านั้นอดลอบถอนหายใจไม่ได้ ตอนที่ตระกูลหลินยังรุ่งเรืองอยู่ ลูกหลานตระกูลหลินอย่างพวกเขาเดินไปถึงไหนมีหรือจะไม่มีมาดเช่นนี้

แต่ตอนนี้…

ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้ถึงรสชาติของการตกต่ำ ไม่มีคนสนใจแล้ว

ช่วงพลบค่ำ

ยานสำเภาที่ยาวร้อยจั้งลำหนึ่งบดขยี้ชั้นเมฆเข้าสู่เมืองนครหยก ทำให้เกิดความฮือฮา ทุกสายตาล้วนมองไปที่ตระกูลหวัง

เพราะวันนี้หวังจื่อหลวนกลับมาเยี่ยมญาติที่บ้านเดิม คนที่มาด้วยยังมีหวงฝู่เซ่าอวี่ ศิษย์แกนหลักสายในของสำนักเมฆาเขียวที่ประหนึ่งผู้กล้าแห่งสวรรค์

คืนนั้นขุมอำนาจใหญ่มากมายในเมืองต่างนำของขวัญมาเยี่ยมเยือนถึงที่

และคืนนั้นก็เกิดเรื่องหนึ่งขึ้น ทำให้ตระกูลหลินกลายเป็นตัวตลก

เหตุผลเพราะคืนนั้นมีชายชราคนหนึ่งของตระกูลหลินนำของขวัญมาเยี่ยมเยือนตระกูลหวัง ผลลัพธ์กลับถูกขวางไว้นอกประตูโดยตรง!

ในงานเลี้ยงคืนนั้นหวังเทียนสิงผู้นำตระกูลหวังที่ดื่มจนหน้าแดง ถามอย่างประหลาดใจต่อหน้าคนใหญ่คนโตซึ่งนั่งกันเต็มงาน “ตระกูลหลินหรือ ตระกูลหลินไหน ในเมืองนครหยกยังมีตระกูลหลินอีกหรือ”

ทันใดนั้นทุกคนที่นั่งอยู่หัวเราะลั่น

หวังจื่อหลงฉวยโอกาสนี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นนอกหอสุราตอนกลางวันเหมือนเป็นเรื่องตลก

ตอนที่รู้ว่าเจ้าโง่ตระกูลหลินนั่นถึงกับเก็บกระดูกไก่ขึ้นมาจริงๆ คนใหญ่คนโตซึ่งนั่งกันเต็มงานต่างหัวเราะตัวโยน

ตอนนั้นหวังจื่อหลวนก็อยู่ด้วย ผ่านไปหลายปี นางคิดไม่ถึงว่ายามได้ยินชื่อหลินสวินอีกครั้งกลับเกี่ยวข้องกับกระดูกไก่ชิ้นหนึ่ง

นี่ทำให้ในใจนางอดหัวเราะเยาะไม่ได้ โชคดีที่ตอนนั้นถอนหมั้นไป หากตอนนั้นกลายเป็นฮูหยินน้อยของตระกูลหลิน นั่นคงเป็นฝันร้ายชัดๆ

“หลินสวินคนนั้นหรือ”

หวงฝู่เซ่าอวี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ นางถามด้วยสีหน้าราบเรียบ

เขาอยู่ในชุดคลุมหยก บนศีรษะสวมเกี้ยวประดับขนนก เอวคาดเข็มขัดมังกร รูปลักษณ์หล่อเหลา สง่างามดุงดั่งต้นหยก อาจหาญไม่ธรรมดาอย่างมาก

“อืม” หวังจื่อหลวนพยักหน้า มุมปากเผยแววเย้ยหยัน “เจ้าโง่ที่ถือกำเนิดพร้อมปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินคนหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสนใจเขา”

หวงฝู่เซ่าอวี่ขมวดคิ้ว กล่าวเสียงขรึม “แม้ตอนนั้นเจ้าจะเป็นฝ่ายถอนหมั้นกับเขา แต่ถูกคนพูดถึงอย่างไรก็ไม่เหมาะสม”

หวังจื่อหลวนอึ้งไป ก่อนพูดอย่างเห็นด้วย  “ที่ท่านพี่พูดมีเหตุผล เขาเป็นตัวตลกคนหนึ่ง ข้าไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับตัวตลกเช่นนี้”

หวงฝู่เซ่าอวี่พูดอย่างไม่เร่งไม่รีบ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้ตัวตลกคนนี้หายไปตลอดกาลก็จะไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว”

หวังจื่อหลวนเข้าใจทันที พลันพยักหน้าพูด “ข้าจะจบเรื่องนี้เสีย”

หวงฝู่เซ่าอวี่ขานรับว่าอืมแล้วไม่พูดอะไรอีก

เจ้าโง่คนหนึ่งเท่านั้น หากไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับหวังจื่อหลวนเขาก็คร้านจะสนใจ

เขาไม่ใส่ใจ หวังจื่อหลวนกลับใส่ใจ

คืนนั้นนางไปหาเสี่ยวเฉ่าแล้วถามว่า “เมื่อก่อนเจ้าเป็นสาวใช้ข้างกายหลินสวินหรือ”

เสี่ยวเฉ่าหัวใจสะท้านรีบพูดว่า “นี่เป็นเรื่องในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้ข้าน้อยเป็นคนของตระกูลหวัง จงรักภักดีต่อฮูหยิน ไม่มีใจคิดเป็นอื่นเด็ดขาด”

หวังจื่อหลวนขานรับว่าอ้อคำหนึ่งแล้วพูดว่า “อยากแสดงความจงรักภักดีก็ได้ พรุ่งนี้เจ้าพาข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งไปจัดการเรื่องหนึ่ง ข้าหวังว่า… ต่อไปจะไม่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับหลินสวินอีก เจ้าเข้าใจหรือยังว่าควรทำอย่างไร”

เสี่ยวเฉ่าแข็งทื่อไปทั้งตัว พูดเสียงสั่น “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!”

หากไม่อยากได้ยินเรื่องของใครคนหนึ่ง วิธีที่ง่ายและตรงไปตรงมาที่สุด แน่นอนว่าเป็นการทำให้เขาหายไปจากโลกนี้เงียบๆ

นางจะไม่เข้าใจได้อย่างไร

“ไปเถอะ หากครั้งนี้ทำสำเร็จ ข้าจึงจะเชื่อในความจงรักภักดีของเจ้า”

หวังจื่อหลวนพูดนิ่งๆ

เสี่ยวเฉ่าโค้งคำนับแล้วจากไป

‘ให้สาวใช้ที่เคยปรนนิบัติเจ้าส่งเจ้าด้วยตัวเอง ก็นับว่าเมตตาที่สุดแล้วกระมัง’

หวังจื่อหลวนใคร่ครวญ

หากไม่ใช่เพราะเสี่ยวเฉ่าปรนนิบัติอยู่ข้างกายหลินสวิน หวังจื่อหลวนคงจำสาวใช้ที่เลี้ยงสุนัขให้นางโดยเฉพาะคนนี้ไม่ได้

ใช่แล้ว เสี่ยวเฉ่าเป็นเพียงสาวใช้เลี้ยงสุนัขคนหนึ่ง ฐานะห่างไกลกับสาวใช้ข้างกายของหวังจื่อหลวนอย่างมาก

……

หิมะโปรยปราย

ในสุสานนอกเมืองแห่งหนึ่ง

หลินสวินยืนนิ่งอยู่หน้าสุสานสองหลักที่เคียงข้างกัน นิ่งเงียบไม่พูดจา

เขามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อคืน เหมือนป้ายหินที่เต็มไปด้วยหิมะ นิ่งไม่ขยับ

มีเพียงแววตาของเขาที่ยิ่งชัดเจนกระจ่างใสกว่าเดิม

“ตั้งแต่ข้าเกิดมา ข้าก็รู้ว่าข้าเป็นใครแล้ว แต่กลับไม่เคยกล้าเชื่อ จึงคิดมาโดยตลอดว่า ข้า… เป็นใครกันแน่”

“ในหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าคิดมาโดยตลอด คิดมาเยอะมากๆ แต่ก็คิดไม่ตกเสียที อย่างที่ในพระพุทธศาสนาว่า ความจริงเท็จนั้นล้วนเป็นภาพมายา ราวกับความฝันไม่จีรัง”

“ส่วนข้า… ก็เหมือนผู้ชมคนหนึ่ง คนผ่านทางคนหนึ่ง กำลังพิจารณาสิ่งที่พบเจอและสัมผัสว่าเป็นความฝันที่ไม่สมจริงหรือไม่…”

“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ไม่ว่าจะในฝันหรือความเป็นจริง ข้าก็คือข้า ไม่ใช่คนผ่านทาง และไม่ใช่ผู้ชมคนหนึ่ง”

หลินสวินพึมพำกับตัวเอง เหมือนคนโง่กำลังพร่ำเพ้อ

จากนั้นเขาคุกเข่าลงบนพื้นหิมะ โค้งคำนับอย่างจริงจังนับถือ “หลายปีมานี้… เป็นลูกอกตัญญูเอง!”

พูดถึงสุดท้าย แต่ละภาพในอดีตปรากฏขึ้นในหัว

ในวัยเด็ก ท่าทางดีใจแทบคลั่งของบิดายามที่ได้ยินตนเองขานเรียกคำว่าท่านพ่อครั้งแรก ตอนนั้นมารดายิ้มอยู่ข้างๆ สายตาอ่อนโยนราวกับน้ำ

ท่าทางที่สับสน ไม่เข้าใจ เจ็บปวด โกรธ และถอนหายใจของบิดามารดา ยามตนถูกมองว่าเป็นคนโง่ที่ไม่อาจรักษาได้…

แต่ไม่ว่าตนจะกลายเป็นอย่างไร พวกเขาเพียงหวังให้ตนสงบสุขปลอดภัย ไม่เคยละทิ้งเพราะตนเป็นคนโง่

ความรักที่พวกเขามีต่อตน คงอยู่มาโดยตลอด และยิ่งรักถนอมกว่าเมื่อก่อนเสียอีก

ถึงขั้นที่แม้แต่ตอนบิดาล่วงลับ ก็ไม่ลืมจับมือตน กำชับให้ตนต้องเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเอง ดูแลมารดาให้ดี…

จากนั้นบิดาไม่อยู่แล้ว มารดาเองก็ทุกข์ตรม ไม่กี่ปีหลังจากนั้นก็จากโลกไป

ก่อนสิ้นชีพมารดายังอาลัยอาวรณ์ บอกว่าชาตินี้เรื่องที่นางปวดใจที่สุดคือไม่สามารถรักษาลูกชายของตนให้หายได้

นางเองก็เคยพูดว่า แม้เป็นคนโง่ก็เป็นลูกชายของนาง ก็เป็นก้อนเนื้อในอกนาง ไม่อาจทนให้ลูกชายต้องลำบากยากแค้นได้

น่าเสียดายที่นางกลับกำลังจะตายแล้ว ไม่สามารถดูแลลูกชายได้อีกต่อไป นี่ทำให้แม้ตอนนางจากไปยังเบิกตาโพลง เหมือนตายตาไม่หลับอย่างไรอย่างนั้น

หน้าสุสาน หลินสวินที่คุกเข่าอยู่บนพื้นน้ำตานองหน้า ไม่ได้ร้องไห้ออกเสียง แต่กลับเสียใจอย่างที่สุด

……

“แย่แล้ว… เขาจะหลงทางอยู่ในนั้นหรือ…” ในห้องโถงมรรคาสวรรค์ หญิงลึกลับขมวดคิ้ว

นางมองเห็นทุกอย่างของหลินสวินใน ‘วัฏจักร’ แต่คิดไม่ถึงว่าคำว่าเข้าใจแล้วของหลินสวิน กลับเป็นการสูญเสียความเป็นตัวเองอย่างสิ้นเชิง

เช่นนี้จะ ‘มองเห็นตัวเอง’ ได้อย่างไร

แล้วจะทะลวงผ่านด่านที่เก้าของทางเดินเมฆาหยกได้อย่างไร

หากไม่สามารถผ่านด่านได้ ก็จะเสียคุณสมบัติในการเปิดประตูบานนั้น!

ชั่วขณะนี้หญิงลึกลับเสียอาการเล็กน้อยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในใจเกิดความรู้สึกที่พูดไม่ออก ผิดหวังหรือ

ก็ไม่ขนาดนั้น

แค่ยากจะยอมรับเท่านั้น!

นางเฝ้ามองหลินสวินพัฒนาขึ้นทีละก้าวๆ สามารถครอบครองพลังปราณในวันนี้ได้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ

และนางก็ไม่เคยคิด ว่าหลินสวินจะหยุดที่ด่านที่เก้าของทางเดินเมฆาหยกนี้!

เพราะฉะนั้นนางจึงรับไม่ได้ในชั่วขณะ ในใจไม่สามารถสงบได้

ครู่ใหญ่หญิงลึกลับตะลึงงันขึ้นมาพลัน ในดวงตากระจ่างวาบประกายเจิดจรัสแปลกประหลาดออกมา

ไม่ใช่!

หากการทะลวงด่านล้มเหลว ‘วัฏจักร’ ก็จะสิ้นสุดลง แต่ตอนนี้ทุกอย่างยังคงอยู่!

“น่าสนใจ แม้แต่ข้ายังมองพลาดหรือ…”

มุมปากของหญิงลึกลับโค้งขึ้น นางตัดสินใจดูต่อ ดูว่าสุดท้ายหลินสวินจะมอบความประหลาดใจอย่างไรกับตน

……

หิมะโปรยปราย

เสี่ยวเฉ่านำผู้คุ้มกันตระกูลหวังกลุ่มหนึ่งมาถึงนอกเมือง เดินไปยังสุสานที่อยู่ห่างไป

ในใจนางไม่เข้าใจอย่างมาก เจ้าโง่คนนั้นไปที่สุสานทำไม เพราะรู้ว่าตนกำลังจะตายจึงไปเลือกสุสานให้ตัวเองล่วงหน้าหรือ

เสี่ยวเฉ่ามองท้องฟ้า หิมะเวิ้งว้างดุจดั่งขนห่าน อากาศเย็นยะเยือก

ในใจนางแอบคิดว่า ‘ในฤดูกาลเช่นนี้ แม้ข้าไม่ลงมือ เจ้าโง่อย่างเจ้าคงทนได้ไม่กี่วันก็แข็งตายแล้วกระมัง’

ไม่นานเสี่ยวเฉ่าที่เดินเข้ามาในสุสานก็เห็นหลินสวิน

สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจคือ อีกฝ่ายคุกเข่าอยู่บนพื้น นิ่งเหมือนรูปปั้นไม่มีผิดเพี้ยน เหมือนแข็งตายไปแล้วจริงๆ

“เจ้าคิดได้ก่อนตาย ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าหลายปีที่ผ่านมาเจ้าทำผิดต่อพ่อแม่ของเจ้าแค่ไหนหรือ”

จู่ๆ เสี่ยวเฉ่าก็เอ่ยเสียงเยาะ “น่าเสียดายที่ทุกอย่างสายไปแล้ว”

“ฮ่าๆ เจ้าโง่นี่ตายด้วยวิธีแบบนี้ น่าประทับใจจริงๆ”

ผู้คุ้มกันเหล่านั้นต่างหัวเราะออกมา

“เรื่องราวบนโลกไม่เคยมีคำว่าเร็วหรือช้าเกินไป ขึ้นอยู่ที่ว่าคิดได้หรือไม่ก็เท่านั้น สำหรับข้า การชดเชยความรู้สึกผิดในหลายปีที่ผ่านมานี้ ยังไม่สาย”

ตอนนี้เองเสียงหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน

เสี่ยวเฉ่าเกือบคิดว่าตนหูฝาดไปแล้ว

จากนั้นนางก็เข้าใจว่าตนไม่ได้หูฝาด

เงาร่างที่คุกเข่าอยู่หน้าสุสานราวกับรูปปั้น ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนท่ามกลางสายตาไม่คาดคิดของทุกคน

แกรกๆ…

เกล็ดน้ำแข็งที่เกาะตามตัวเขาค่อยๆ แตกออกแล้วร่วงลงพื้น

เขายังคงสวมเสื้อขาวตัวบาง ร่างกายซูบผอม แต่ในอากาศที่เย็นยะเยือกเช่นนี้ แผ่นหลังหยัดตรงนั่นกลับไม่เคยโค้งงอเลยสักนิด

“เจ้าถึงกับยังไม่แข็งตาย?”

เสี่ยวเฉ่าเบิกตาโพลง

“เจ้าโง่นี่ทนหนาวได้ดีจริงๆ ใส่เสื้อผ้าบางขนาดนี้ยังไม่แข็งตายก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์หนึ่งแล้ว”

ผู้คุ้มกันเหล่านั้นก็ใบหน้าประหลาดใจเต็มประดา ยากจะเชื่อได้

“พวกเจ้าจะฆ่าข้าหรือ”

หลินสวินสีหน้านิ่งสงบ คราบน้ำตาบนใบหน้าระเหยไปนานแล้ว แววตาของเขากระจ่างชัดอย่างที่สุด ราวกับสามารถสะท้อนสรรพสิ่งบนโลกได้

สาวใช้คนหนึ่งพาผู้คุ้มกันซึ่งดุร้ายราวกับหมาป่ามาหาตนที่สุสานในยามหิมะตกหนักขนาดนี้ จุดประสงค์นั้นไม่ต้องบอกก็รู้ได้

เสี่ยวเฉ่าอึ้งงันไปอีกครั้ง นางคิดไม่ถึงว่าเพียงแค่แวบเดียว หลินสวินก็มองจุดประสงค์ในครั้งนี้ของพวกเขาออกแล้ว

นี่ยังใช่เจ้าโง่นั่นอยู่หรือไม่

“เป็นหวังจื่อหลวนให้พวกเจ้ามาหรือ”

ตอนที่หลินสวินพูดประโยคนี้ออกมา เสี่ยวเฉ่ามีความรู้สึกตกใจขึ้นมาอย่างหนึ่ง เจ้าโง่นี่… เหตุใดจึงรู้ทุกอย่างแล้ว

“เจ้า…”

เสี่ยวเฉ่ากำลังคิดจะพูดอะไรสักหน่อย หลินสวินก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าขอถามเจ้าเพียงว่า ตลอดเวลาที่อยู่ในตระกูลหลิน ตระกูลหลินเคยปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อเจ้าหรือไม่”

เผชิญหน้ากับแววตากระจ่างชัดของหลินสวิน เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเฉ่ารู้สึกว่ามีพลังน่ากลัวที่แทบจะทำให้หายใจไม่ออกกดดันอยู่ในใจ ทำให้นางรู้สึกเหมือนตกถ้ำน้ำแข็งไปทั้งตัว

………..

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+