Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1426 วัยเยาว์แสนพิเศษที่คิดถึงที่สุด

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1426 วัยเยาว์แสนพิเศษที่คิดถึงที่สุด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พี่ใหญ่หลิน ท่านรีบไปช่วยพี่ชายข้าเถอะ”

เย่หงเสวี่ยเอ่ยร้อนรน

หลินสวินกลับยิ้มเสียแล้ว “อย่าร้อนรนไป เขายังยันได้อีกช่วงหนึ่ง การเคี่ยวกรำท่ามกลางความเป็นตายมีประโยชน์ต่อการฝึกปราณนัก”

เขาพูดพลางเอาน้ำเต้าสุราออกมาอันหนึ่ง ดูการต่อสู้ไปพลางดื่มสุราอย่างผ่อนคลายสบายใจ

พวกเย่หงเสวี่ยต่างงุนงง นี่มันเวลาไหนกันแล้วยังจะมาเคี่ยวกรำอีก เกิดเย่เสี่ยวชีไม่ระวังถูกฆ่าขึ้นมาจะทำอย่างไร

“จุ๊ๆ มิน่าท่าร่างถึงว่องไวปราดเปรียวปานนี้ ที่แท้ที่ฝึกเป็นหลักก็คือพลังมหามรรคสลาตันกับอสนีบาตสองชนิด ลักษณะเช่นนี้ยังเหมือนตอนนั้น ไม่หวังเอาชนะศัตรู หวังเพียงรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้”

หลินสวินรำพึง

นึกถึงประสบการณ์ในค่ายกระหายเลือดในครั้งยังเยาว์

ตอนนั้นเขากับเย่เสี่ยวชีถือว่าถ้าไม่ตีกันก็ไม่รู้จักกัน ความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจของเจ้าอ้วนนี่จับใจหลินสวินยิ่งนัก

ได้พบกันอีกครั้งหลังจากผ่านไปหลายปี แม้อีกฝ่ายเหยียบย่างบนมรรคาอมตะ แต่รูปแบบการต่อสู้กลับไม่ได้เปลี่ยนไปนัก ยังคงเหลี่ยมจัดมากอุบายเช่นนั้น

ในการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไป เย่เสี่ยวชีพร่ำบ่นไม่ว่างเว้น กำลังจะรับไม่ไหวแล้ว

พอคิดว่าพวกน้องสาวยังรอให้ตนไปช่วยอยู่ ในใจก็ยิ่งร้อนรนและขุ่นเคือง

“ให้ตายสิ ข้าจะให้พวกเจ้า…”

ด้วยความโกรธเกรี้ยวจู่โจมจิตใจ เย่เสี่ยวชีกำลังเตรียมสู้สุดชีวิต ฉับพลันก็สังเกตเห็นว่าที่ไกลลิบมีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัว

เป็นพวกน้องสาวเย่หงเสวี่ย!

นี่ทำให้ในใจเย่เสี่ยวชียินดีปรีดา เหมือนเอาหินก้อนยักษ์ที่กดทับดวงใจไว้ก้อนหนึ่งออกไปได้ จิตใจพลันเต้นระส่ำ

ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว พวกน้องสาวปลอดภัย ทั้งยังมาช่วยเสริมกำลังได้ทันเวลาพอดี สถานการณ์ขณะนี้ต้องคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย

แต่ที่ทำให้เย่เสี่ยวชีงุนงงก็คือ รออย่างขมขื่นมาครู่หนึ่งพวกน้องสาวดันกลับไม่เคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว อย่างกับไม่เห็นว่าเขากำลังอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายหาใดเทียบ กำลังจะประสบเคราะห์แล้ว!

นี่ทำให้เขาโมโหจนแทบกระอักเลือด

ที่ทำให้เขาขุ่นเคืองที่สุดก็คือ เจ้าคนที่นำหน้ามานั่นยังร่ำสุราสบายใจเฉิบเสียได้!

บ้าเอ๊ย ไอ้เวรนี่เป็นใคร เห็นข้าเป็นตัวตลกหรือ เอ๊ะ… ไม่สิ ทำไมเจ้าหมอนี่ดูแล้วหน้าตาคุ้นๆ

เย่เสี่ยวชีอึ้งไป ทันใดนั้นก็จำได้ หลินสวิน!

ถึงกับเป็นหมอนั่น!

ฉึบ!

ก็ในตอนที่เขาหวั่นไหวเช่นนี้เอง ปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งมากะทันหัน เฉือนไหล่เขาให้เกิดรอยแผลที่ลึกจนเห็นกระดูก เลือดไหลรินรอยหนึ่ง

เย่เสี่ยวชีรู้สึกเจ็บ บนใบหน้าอ้วนกลมจ้ำม่ำเปี่ยมไปด้วยความโมโห ร้องเสียงดังว่า “หลินสวิน เจ้าไม่เห็นเหรอว่าข้ากำลังจะม้วยแล้ว ยังมาดื่มเหล้าอีก ไม่กลัวสำลักตายหรือไง”

เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นก้องฟ้าดิน

ผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกที่กำลังล้อมโจมตีเขาเหล่านั้นต่างตกตะลึง เมื่อสังเกตเห็นการคงอยู่ของพวกหลินสวินก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างห้ามไม่อยู่

“พวกเจ้าสู้ต่อไป ไม่ต้องสนใจพวกเรา”

หลินสวินยิ้มตอบกลับไป

เย่เสี่ยวชิงตาถลน คำรามว่า “เจ้ายังเป็นเพื่อนข้าอยู่ไหม ไม่ได้เจอกันสิบกว่าปี พอเจอหน้ากันเจ้าก็คิดจะดูข้าถูกห่าดาบฟันตายแล้วหรือ”

สีหน้าของผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกเหล่านั้นปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ออกจะทำตัวไม่ถูก แต่สุดท้ายก็กัดฟันจู่โจมเย่เสี่ยวชีเต็มกำลังคล้ายคลุ้มคลั่ง

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดจะรีบสู้รีบจบ กำจัดเย่เสี่ยวชีให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ก่อน แล้วค่อยไปคิดเรื่องพวกหลินสวิน

สถานการณ์ของเย่เสี่ยวชีอันตรายยิ่งขึ้นในทันใด ไม่ว่าเขาจะร้องโวยวายเสียงดังอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์

เย่หงเสวี่ยร้อนใจจนน้ำตาแทบไหลแล้ว พูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่หลิน ถ้าท่านไม่ช่วยพวกเราจะไปเอง!”

หลินสวินหุบยิ้ม พูดจริงจังว่า “ห้ามเด็ดขาด พวกเจ้ายังดูไม่ออกหรือ พลังปราณของเขาจวนจะเลื่อนขั้นแล้ว ไม่แน่ว่าในการต่อสู้คราวนี้ก็จะบรรลุขั้นได้”

เย่หงเสวี่ยชะงักไป เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

คนอื่นต่างก็สับสนงงงวย เอาแบบนี้จริงหรือ

“พวกเจ้าดูสิ ถ้าเขาถูกกดดันจนอยู่ในสถานการณ์คับขัน จะยังมีแรงมาร้องโวยวายหรือ”

หลินสวินหวังดีชี้แนะ “ในสถานการณ์ปกติพอพบเข้ากับวิกฤตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งคนไหนคงไม่มีทางมีแก่ใจไปสนใจเรื่องอื่นหรอก แต่เจ้าดูเจ้าอ้วนนั่นสิ มีทีท่าจะประสบเคราะห์ที่ไหน เห็นๆ กันอยู่ว่าเขายังมีพลังเหลือ ศักยภาพก็ยังไม่ปะทุออกมาโดยสมบูรณ์”

พวกเย่หงเสวี่ยสังเกตการณ์เล็กน้อย พบว่าเป็นอย่างที่หลินสวินพูดไว้จริงๆ เย่เสี่ยวชีสู้ไปพลางปากก็ด่าทอหลินสวินไร้คุณธรรมไร้สัจจะ จะตัดขาดกับหลินสวินต่างๆ นานาไปพลาง…

แม้ดูโกรธเคืองหาใดเทียบ แต่ก็ดูเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา

หลินสวินดื่มสุราอย่างใจเย็น เอ่ยต่อว่า “แล้วพวกเจ้าไปดูศัตรูพวกนั้น แต่ละคนดูร้ายหาใดเทียบ แต่เจตจำนงต่อสู้ของพวกเขาสั่นคลอนไปแล้ว เพราะพวกเขารู้ว่าการมีอยู่ของพวกเราเป็นภัยคุกคามใหญ่ยิ่งอย่างหนึ่ง นี่ทำให้พวกเขาต้องแบ่งความสนใจมาระวังและตั้งรับพวกเราด้วย”

พวกเย่หงเสวี่ยต่างพยักหน้า พวกเขาก็พบจุดนี้เช่นเดียวกัน ความร้อนรนในใจค่อยๆ ลดลงไปไม่น้อย

“ดังนั้นพูดได้ว่าผลแพ้ชนะของการต่อสู้นี้ได้ชี้ขาดแล้ว ตอนนี้เพียงมีคู่ต่อสู้เพิ่มขึ้นมาเป็นคู่ฝึกให้เจ้าอ้วนนั่นเท่านั้นเอง”

หลินสวินยิ้มพลางสรุป

“เป็นคู่ฝึกบ้านเจ้าสิ!”

เย่เสี่ยวชีที่อยู่ไกลออกไปโมโหจนแก้มกระตุก แทบพ่นเลือดอึกใหญ่ออกมา

หลินสวินยิ้มเอ่ยว่า “พวกเจ้าฟังสิ เสียงด่ายังแรงดีไม่มีตกแบบนี้ เหมือนคนที่กำลังจะตายหรือเปล่า”

เย่หงเสวี่ยเตือนเสียงดังอย่างอดไม่ไหวว่า “ท่านพี่ ท่านสนใจแต่เอาพลังไปต่อกรศัตรูเถอะ มีพวกเราอยู่จะมองดูท่านประสบเคราะห์ได้อย่างไร”

“ยัยตัวดี ไม่ช่วยพี่เจ้าก็ช่างเถอะ ยังเข้าข้างคนอื่นเสียอย่างนั้น จะยั่วให้พี่เจ้าโมโหถึงพอใจใช่ไหม”

เย่เสี่ยวชีร้องโวยวายเสียงดัง

แต่ฉับพลันทันใดเขาก็รับรู้ได้ว่าสถานการณ์อันตราย ไม่กล้าวอกแวกอีก รวบรวมสมาธิจดจ่อเข้าสู้เต็มกำลัง

โครม!

การต่อสู้ดุเดือด ลมเมฆเปลี่ยนสี

การขับเคี่ยวระหว่างผู้แข็งแกร่งระดับอมตะเคราะห์ ไม่ทันไรก็สามารถผลาญทำลายภูผาธารา พลังทำลายล้างน่าตื่นตะลึง

แต่หลินสวินกลับพบว่าในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ สถานการณ์กลับออกจะต่างออกไป ภูเขาสายธารเหล่านั้น กระทั่งในห้วงอากาศต่างปกคลุมไปด้วยพลังกฎระเบียบไร้รูปร่างชนิดหนึ่ง

ด้วยพลังฟ้าดินเช่นนี้ ทำให้พลังทำลายที่ผู้แข็งแกร่งระดับอมตะเคราะห์ก่อขึ้นถูกทำให้อ่อนลงไปมาก!

แน่นอนว่าอานุภาพยังเป็นอานุภาพเช่นนั้นเหมือนเคย แต่ได้รับการจำกัดจากความแตกต่างของกฎเกณฑ์ฟ้าดินเท่านั้น ไม่ใช่เพราะพลังต่อสู้ถูกกดข่ม

‘บางทีอาจมีเพียงพลังของผู้แข็งแกร่งระดับอริยะเท่านั้น ถึงจะสำแดงภาพน่ากลัวราวฟ้าถล่มดินทลายในโลกนี้ได้กระมัง…’

หลินสวินครุ่นคิด

“หนี!”

ทันใดนั้นเสียงตะคอกลั่นดังขึ้นในสนามรบ

ผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกเหล่านั้นโจมตีมานานแต่เอาชนะไม่ได้ จึงเลือกถอยหนีอย่างเด็ดขาด เห็นได้ชัดว่ารับรู้ว่าการหลบหนีเป็นวิธีที่ฉลาดที่สุด

“หนีหรือ ข้าให้พวกเจ้าไปหรือยัง”

เย่เสี่ยวชีกัดฟันเข่นเขี้ยว คำรามดังพลางตามฆ่า

เขามีไฟโทสะอัดอั้นอยู่เต็มอก ยังไม่ได้ปลดปล่อยจนหมดสิ้น จะยินยอมให้ศัตรูหนีไปแบบนี้ได้อย่างไร

สวบๆๆ!

แต่มีคนเคลื่อนไหวเร็วกว่าเขา ก็เห็นว่าหลินสวินหยัดตัว ปราณกระบี่สายแล้วสายเล่าเคลื่อนออกมาจากร่างของเขา แปรสภาพเป็นแสงแหลมคมพุ่งออกไปดังหวีดหวิวหนาแน่น

ฟุบๆๆ…

ครู่ต่อมาร่างของผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกคนแล้วคนเล่าก็ถูกปราณกระบี่มากมายสังหารอย่างไร้ความปรานี เลือดเนื้อปลิวว่อน

เย่เสี่ยวชีอึ้งไป จากนั้นก็โกรธเลือดขึ้นหน้า พุ่งไปหาหลินสวินอย่างโมโห ท่าทางจะไปคิดบัญชีกับหลินสวิน

พวกเย่หงเสวี่ยหน้าเปลี่ยนสีไปครู่หนึ่ง แต่กลับเห็นหลินสวินเอ่ยเสียงเนิบว่า “อยากตีกันหรือ ได้สิ แต่เจ้าต้องเตรียมตัวโดนอัดไว้ให้ดีนะ”

เงาร่างเย่เสี่ยวชีที่กระโจนเข้ามาหยุดลงทันที สีหน้าผกผันไม่ว่างเว้นไปครู่หนึ่ง

เห็นได้ชัดว่าเขารับรู้ได้ว่าทันทีที่ลงมือ จะต้องเป็นการรนหาที่ตายแน่นอน ไม่เห็นผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกพวกนั้นหรือ ยังไม่ทันได้ตอบโต้ก็ถูกฆ่าแล้ว

ครู่หนึ่งเย่เสี่ยวชีถึงถลึงตาจ้องหลินสวิน กัดฟันเอ่ยว่า “ไม่ได้พบกันนานขนาดนี้ เจ้าหมอนี่ยิ่งน่ารังเกียจขึ้นเสียแล้ว!”

“ไม่อยากตีกับข้าจริงหรือ โมโหก็ระบายออกมา อย่ากลั้นไว้จนย่ำแย่เลย”

หลินสวินยิ้มพูด

“ตีกับผีสิ! ข้าไม่ใช่พวกชอบเจ็บตัวเสียหน่อย!”

เย่เสี่ยวชีกลอกตา ขณะที่พูดเขาก็เอามือข้างหนึ่งไปฉวยน้ำเต้าสุราในมือหลินสวินมาแหงนหน้าดื่มเหล้าอึ้กๆ รวดเดียว แล้วจึงพ่นลมหายใจยาวเฮือกหนึ่ง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ตอนนี้ข้าถึงเพิ่งรู้ว่าถ้าศักยภาพแข็งแกร่งก็จะทำอะไรตามอำเภอใจได้ อย่างเช่นเจ้า ทำให้คนอื่นแค้นจนกัดฟันแต่ก็ทำได้เพียงอดกลั้นไว้”

หลินสวินหัวเราะลั่นไม่หยุด

พวกเย่หงเสวี่ยก็หัวเราะ ต่างดูออกแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลินสวินกับเย่เสี่ยวชีดีเป็นพิเศษ

“จริงด้วย เจ้ามาสมรภูมิกระหายเลือดเมื่อไร”

เย่เสี่ยวชีเอ่ยถาม

“วันนี้”

หลินสวินบอกตามความเป็นจริง

“อะไรนะ”

พวกเย่หงเสวี่ยต่างอึ้งไป คล้ายประหลาดใจยิ่งนัก ไม่กล้าเชื่อได้

“มีอะไรผิดปกติหรือ”

หลินสวินพูดอย่างแปลกใจ

“เพราะสิบกว่าปีมานี้สมรภูมิกระหายเลือดถูกผนึกโดยสมบูรณ์แล้ว โลกภายนอกไม่มีคนเข้ามาอีกแล้ว แต่เจ้าดันปรากฏตัว นี่ก็พิสูจน์ได้เพียงว่าต้องมีคนช่วยเจ้าเปิดช่องทางเข้ามาที่นี่ หนำซ้ำยังไม่ใช่คนธรรมดาด้วย”

เย่เสี่ยวชีสีหน้าแปลกไป

หลินสวินถึงเข้าใจทันที นึกถึงเฒ่าโดดเดี่ยวก็พยักหน้าเอ่ยว่า “เจ้าคนที่ส่งข้ามานั่นไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ”

เย่เสี่ยวชีพลันหัวเราะแหะๆ เอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “ตอนนี้เจ้าสงสัยหลายเรื่องใช่ไหม อย่างเช่นทำไมสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้กลายเป็นแบบนี้แล้ว และทำไมถึงมีโอสถเทพ วัตถุดิบเทพ รวมถึงผลึกกำเนิดเจตะอันน่าเหลือเชื่อมากมายปานนั้น”

หลินสวินพูด “ใช่แล้ว”

ในใจเขากังขาหลายเรื่องจริงๆ

“แต่ข้าจะไม่บอกเจ้าหรอก และจะให้เจ้าได้ลิ้มรสว่าอะไรเรียกทรมาน อะไรเรียกว่าไม่ได้ดั่งใจ”

เย่เสี่ยวชีหัวเราะอย่างได้ใจ เหมือนได้แก้แค้นครั้งใหญ่

หลินสวินร้องอ้อ จ้องเย่เสี่ยวชีด้วยสายตาลุ่มลึก มองจนฝ่ายหลังรู้สึกขนลุกขนพองในใจ รอยยิ้มได้ใจบนใบหน้าแข็งทื่อขึ้นมา

เย่เสี่ยวชีกลืนน้ำลายพูดว่า “หรือเจ้ายังคิดจะใช้กำลัง บอกเจ้าให้ ถ้าเจ้ากล้าแตะข้าแม้แต่ปลายนิ้ว ข้าจะตัดเพื่อนกับเจ้า!”

“งั้นข้าไม่แตะปลายนิ้วเจ้าจะเป็นอย่างไร” หลินสวินยิ้มตาหยี เสียงเจือกลิ่นอายที่ทำให้คนขนลุกเกรียว

เย่เสี่ยวชีหน้ามืด เอามือกุมหัว พูดอย่างเจ็บปวดว่า “ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าเจ้าไม่เคยทำตัวเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา ข้ายอมแล้ว ยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว เจ้าอยากรู้อะไรข้าจะบอกเจ้าหมดเลย ตกลงไหม”

หลินสวินยิ้มพลางตบไหล่อันใหญ่หนาของเย่เสี่ยวชีแล้วเอ่ยว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นเพื่อนซี้ของข้าหลินสวิน… มีคุณธรรม!”

เย่เสี่ยวชีถอนใจส่ายหน้า “มาเจอคนร้ายกาจทำอะไรตามใจชอบ อาละวาดไม่กลัวใครอย่างเจ้า ไม่มีคุณธรรม… ได้งั้นหรือ”

พอพูดจบตัวเขาเองก็ยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เหมือนกลับไปสมัยอยู่ในค่ายกระหายเลือดยามยังเยาว์

ผ่านไปหลายปีแล้ว พวกเขาต่างห่างกันไปยิ่งขึ้นตามมรรคาของตนเอง แต่มิตรภาพที่สร้างไว้ในตอนนั้นจะลืมไปได้อย่างไร

ตรากตรำเสาะแสวงหาหนทางมหามรรค ความเป็นไปในโลกาผันแปรเชื่องช้า

ที่คิดถึงที่สุด คือวัยเยาว์อันแสนพิเศษ

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1426 วัยเยาว์แสนพิเศษที่คิดถึงที่สุด

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1426 วัยเยาว์แสนพิเศษที่คิดถึงที่สุด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พี่ใหญ่หลิน ท่านรีบไปช่วยพี่ชายข้าเถอะ”

เย่หงเสวี่ยเอ่ยร้อนรน

หลินสวินกลับยิ้มเสียแล้ว “อย่าร้อนรนไป เขายังยันได้อีกช่วงหนึ่ง การเคี่ยวกรำท่ามกลางความเป็นตายมีประโยชน์ต่อการฝึกปราณนัก”

เขาพูดพลางเอาน้ำเต้าสุราออกมาอันหนึ่ง ดูการต่อสู้ไปพลางดื่มสุราอย่างผ่อนคลายสบายใจ

พวกเย่หงเสวี่ยต่างงุนงง นี่มันเวลาไหนกันแล้วยังจะมาเคี่ยวกรำอีก เกิดเย่เสี่ยวชีไม่ระวังถูกฆ่าขึ้นมาจะทำอย่างไร

“จุ๊ๆ มิน่าท่าร่างถึงว่องไวปราดเปรียวปานนี้ ที่แท้ที่ฝึกเป็นหลักก็คือพลังมหามรรคสลาตันกับอสนีบาตสองชนิด ลักษณะเช่นนี้ยังเหมือนตอนนั้น ไม่หวังเอาชนะศัตรู หวังเพียงรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้”

หลินสวินรำพึง

นึกถึงประสบการณ์ในค่ายกระหายเลือดในครั้งยังเยาว์

ตอนนั้นเขากับเย่เสี่ยวชีถือว่าถ้าไม่ตีกันก็ไม่รู้จักกัน ความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจของเจ้าอ้วนนี่จับใจหลินสวินยิ่งนัก

ได้พบกันอีกครั้งหลังจากผ่านไปหลายปี แม้อีกฝ่ายเหยียบย่างบนมรรคาอมตะ แต่รูปแบบการต่อสู้กลับไม่ได้เปลี่ยนไปนัก ยังคงเหลี่ยมจัดมากอุบายเช่นนั้น

ในการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไป เย่เสี่ยวชีพร่ำบ่นไม่ว่างเว้น กำลังจะรับไม่ไหวแล้ว

พอคิดว่าพวกน้องสาวยังรอให้ตนไปช่วยอยู่ ในใจก็ยิ่งร้อนรนและขุ่นเคือง

“ให้ตายสิ ข้าจะให้พวกเจ้า…”

ด้วยความโกรธเกรี้ยวจู่โจมจิตใจ เย่เสี่ยวชีกำลังเตรียมสู้สุดชีวิต ฉับพลันก็สังเกตเห็นว่าที่ไกลลิบมีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัว

เป็นพวกน้องสาวเย่หงเสวี่ย!

นี่ทำให้ในใจเย่เสี่ยวชียินดีปรีดา เหมือนเอาหินก้อนยักษ์ที่กดทับดวงใจไว้ก้อนหนึ่งออกไปได้ จิตใจพลันเต้นระส่ำ

ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว พวกน้องสาวปลอดภัย ทั้งยังมาช่วยเสริมกำลังได้ทันเวลาพอดี สถานการณ์ขณะนี้ต้องคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย

แต่ที่ทำให้เย่เสี่ยวชีงุนงงก็คือ รออย่างขมขื่นมาครู่หนึ่งพวกน้องสาวดันกลับไม่เคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว อย่างกับไม่เห็นว่าเขากำลังอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายหาใดเทียบ กำลังจะประสบเคราะห์แล้ว!

นี่ทำให้เขาโมโหจนแทบกระอักเลือด

ที่ทำให้เขาขุ่นเคืองที่สุดก็คือ เจ้าคนที่นำหน้ามานั่นยังร่ำสุราสบายใจเฉิบเสียได้!

บ้าเอ๊ย ไอ้เวรนี่เป็นใคร เห็นข้าเป็นตัวตลกหรือ เอ๊ะ… ไม่สิ ทำไมเจ้าหมอนี่ดูแล้วหน้าตาคุ้นๆ

เย่เสี่ยวชีอึ้งไป ทันใดนั้นก็จำได้ หลินสวิน!

ถึงกับเป็นหมอนั่น!

ฉึบ!

ก็ในตอนที่เขาหวั่นไหวเช่นนี้เอง ปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งมากะทันหัน เฉือนไหล่เขาให้เกิดรอยแผลที่ลึกจนเห็นกระดูก เลือดไหลรินรอยหนึ่ง

เย่เสี่ยวชีรู้สึกเจ็บ บนใบหน้าอ้วนกลมจ้ำม่ำเปี่ยมไปด้วยความโมโห ร้องเสียงดังว่า “หลินสวิน เจ้าไม่เห็นเหรอว่าข้ากำลังจะม้วยแล้ว ยังมาดื่มเหล้าอีก ไม่กลัวสำลักตายหรือไง”

เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นก้องฟ้าดิน

ผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกที่กำลังล้อมโจมตีเขาเหล่านั้นต่างตกตะลึง เมื่อสังเกตเห็นการคงอยู่ของพวกหลินสวินก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างห้ามไม่อยู่

“พวกเจ้าสู้ต่อไป ไม่ต้องสนใจพวกเรา”

หลินสวินยิ้มตอบกลับไป

เย่เสี่ยวชิงตาถลน คำรามว่า “เจ้ายังเป็นเพื่อนข้าอยู่ไหม ไม่ได้เจอกันสิบกว่าปี พอเจอหน้ากันเจ้าก็คิดจะดูข้าถูกห่าดาบฟันตายแล้วหรือ”

สีหน้าของผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกเหล่านั้นปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ออกจะทำตัวไม่ถูก แต่สุดท้ายก็กัดฟันจู่โจมเย่เสี่ยวชีเต็มกำลังคล้ายคลุ้มคลั่ง

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดจะรีบสู้รีบจบ กำจัดเย่เสี่ยวชีให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ก่อน แล้วค่อยไปคิดเรื่องพวกหลินสวิน

สถานการณ์ของเย่เสี่ยวชีอันตรายยิ่งขึ้นในทันใด ไม่ว่าเขาจะร้องโวยวายเสียงดังอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์

เย่หงเสวี่ยร้อนใจจนน้ำตาแทบไหลแล้ว พูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่หลิน ถ้าท่านไม่ช่วยพวกเราจะไปเอง!”

หลินสวินหุบยิ้ม พูดจริงจังว่า “ห้ามเด็ดขาด พวกเจ้ายังดูไม่ออกหรือ พลังปราณของเขาจวนจะเลื่อนขั้นแล้ว ไม่แน่ว่าในการต่อสู้คราวนี้ก็จะบรรลุขั้นได้”

เย่หงเสวี่ยชะงักไป เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

คนอื่นต่างก็สับสนงงงวย เอาแบบนี้จริงหรือ

“พวกเจ้าดูสิ ถ้าเขาถูกกดดันจนอยู่ในสถานการณ์คับขัน จะยังมีแรงมาร้องโวยวายหรือ”

หลินสวินหวังดีชี้แนะ “ในสถานการณ์ปกติพอพบเข้ากับวิกฤตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งคนไหนคงไม่มีทางมีแก่ใจไปสนใจเรื่องอื่นหรอก แต่เจ้าดูเจ้าอ้วนนั่นสิ มีทีท่าจะประสบเคราะห์ที่ไหน เห็นๆ กันอยู่ว่าเขายังมีพลังเหลือ ศักยภาพก็ยังไม่ปะทุออกมาโดยสมบูรณ์”

พวกเย่หงเสวี่ยสังเกตการณ์เล็กน้อย พบว่าเป็นอย่างที่หลินสวินพูดไว้จริงๆ เย่เสี่ยวชีสู้ไปพลางปากก็ด่าทอหลินสวินไร้คุณธรรมไร้สัจจะ จะตัดขาดกับหลินสวินต่างๆ นานาไปพลาง…

แม้ดูโกรธเคืองหาใดเทียบ แต่ก็ดูเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา

หลินสวินดื่มสุราอย่างใจเย็น เอ่ยต่อว่า “แล้วพวกเจ้าไปดูศัตรูพวกนั้น แต่ละคนดูร้ายหาใดเทียบ แต่เจตจำนงต่อสู้ของพวกเขาสั่นคลอนไปแล้ว เพราะพวกเขารู้ว่าการมีอยู่ของพวกเราเป็นภัยคุกคามใหญ่ยิ่งอย่างหนึ่ง นี่ทำให้พวกเขาต้องแบ่งความสนใจมาระวังและตั้งรับพวกเราด้วย”

พวกเย่หงเสวี่ยต่างพยักหน้า พวกเขาก็พบจุดนี้เช่นเดียวกัน ความร้อนรนในใจค่อยๆ ลดลงไปไม่น้อย

“ดังนั้นพูดได้ว่าผลแพ้ชนะของการต่อสู้นี้ได้ชี้ขาดแล้ว ตอนนี้เพียงมีคู่ต่อสู้เพิ่มขึ้นมาเป็นคู่ฝึกให้เจ้าอ้วนนั่นเท่านั้นเอง”

หลินสวินยิ้มพลางสรุป

“เป็นคู่ฝึกบ้านเจ้าสิ!”

เย่เสี่ยวชีที่อยู่ไกลออกไปโมโหจนแก้มกระตุก แทบพ่นเลือดอึกใหญ่ออกมา

หลินสวินยิ้มเอ่ยว่า “พวกเจ้าฟังสิ เสียงด่ายังแรงดีไม่มีตกแบบนี้ เหมือนคนที่กำลังจะตายหรือเปล่า”

เย่หงเสวี่ยเตือนเสียงดังอย่างอดไม่ไหวว่า “ท่านพี่ ท่านสนใจแต่เอาพลังไปต่อกรศัตรูเถอะ มีพวกเราอยู่จะมองดูท่านประสบเคราะห์ได้อย่างไร”

“ยัยตัวดี ไม่ช่วยพี่เจ้าก็ช่างเถอะ ยังเข้าข้างคนอื่นเสียอย่างนั้น จะยั่วให้พี่เจ้าโมโหถึงพอใจใช่ไหม”

เย่เสี่ยวชีร้องโวยวายเสียงดัง

แต่ฉับพลันทันใดเขาก็รับรู้ได้ว่าสถานการณ์อันตราย ไม่กล้าวอกแวกอีก รวบรวมสมาธิจดจ่อเข้าสู้เต็มกำลัง

โครม!

การต่อสู้ดุเดือด ลมเมฆเปลี่ยนสี

การขับเคี่ยวระหว่างผู้แข็งแกร่งระดับอมตะเคราะห์ ไม่ทันไรก็สามารถผลาญทำลายภูผาธารา พลังทำลายล้างน่าตื่นตะลึง

แต่หลินสวินกลับพบว่าในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ สถานการณ์กลับออกจะต่างออกไป ภูเขาสายธารเหล่านั้น กระทั่งในห้วงอากาศต่างปกคลุมไปด้วยพลังกฎระเบียบไร้รูปร่างชนิดหนึ่ง

ด้วยพลังฟ้าดินเช่นนี้ ทำให้พลังทำลายที่ผู้แข็งแกร่งระดับอมตะเคราะห์ก่อขึ้นถูกทำให้อ่อนลงไปมาก!

แน่นอนว่าอานุภาพยังเป็นอานุภาพเช่นนั้นเหมือนเคย แต่ได้รับการจำกัดจากความแตกต่างของกฎเกณฑ์ฟ้าดินเท่านั้น ไม่ใช่เพราะพลังต่อสู้ถูกกดข่ม

‘บางทีอาจมีเพียงพลังของผู้แข็งแกร่งระดับอริยะเท่านั้น ถึงจะสำแดงภาพน่ากลัวราวฟ้าถล่มดินทลายในโลกนี้ได้กระมัง…’

หลินสวินครุ่นคิด

“หนี!”

ทันใดนั้นเสียงตะคอกลั่นดังขึ้นในสนามรบ

ผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกเหล่านั้นโจมตีมานานแต่เอาชนะไม่ได้ จึงเลือกถอยหนีอย่างเด็ดขาด เห็นได้ชัดว่ารับรู้ว่าการหลบหนีเป็นวิธีที่ฉลาดที่สุด

“หนีหรือ ข้าให้พวกเจ้าไปหรือยัง”

เย่เสี่ยวชีกัดฟันเข่นเขี้ยว คำรามดังพลางตามฆ่า

เขามีไฟโทสะอัดอั้นอยู่เต็มอก ยังไม่ได้ปลดปล่อยจนหมดสิ้น จะยินยอมให้ศัตรูหนีไปแบบนี้ได้อย่างไร

สวบๆๆ!

แต่มีคนเคลื่อนไหวเร็วกว่าเขา ก็เห็นว่าหลินสวินหยัดตัว ปราณกระบี่สายแล้วสายเล่าเคลื่อนออกมาจากร่างของเขา แปรสภาพเป็นแสงแหลมคมพุ่งออกไปดังหวีดหวิวหนาแน่น

ฟุบๆๆ…

ครู่ต่อมาร่างของผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกคนแล้วคนเล่าก็ถูกปราณกระบี่มากมายสังหารอย่างไร้ความปรานี เลือดเนื้อปลิวว่อน

เย่เสี่ยวชีอึ้งไป จากนั้นก็โกรธเลือดขึ้นหน้า พุ่งไปหาหลินสวินอย่างโมโห ท่าทางจะไปคิดบัญชีกับหลินสวิน

พวกเย่หงเสวี่ยหน้าเปลี่ยนสีไปครู่หนึ่ง แต่กลับเห็นหลินสวินเอ่ยเสียงเนิบว่า “อยากตีกันหรือ ได้สิ แต่เจ้าต้องเตรียมตัวโดนอัดไว้ให้ดีนะ”

เงาร่างเย่เสี่ยวชีที่กระโจนเข้ามาหยุดลงทันที สีหน้าผกผันไม่ว่างเว้นไปครู่หนึ่ง

เห็นได้ชัดว่าเขารับรู้ได้ว่าทันทีที่ลงมือ จะต้องเป็นการรนหาที่ตายแน่นอน ไม่เห็นผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกพวกนั้นหรือ ยังไม่ทันได้ตอบโต้ก็ถูกฆ่าแล้ว

ครู่หนึ่งเย่เสี่ยวชีถึงถลึงตาจ้องหลินสวิน กัดฟันเอ่ยว่า “ไม่ได้พบกันนานขนาดนี้ เจ้าหมอนี่ยิ่งน่ารังเกียจขึ้นเสียแล้ว!”

“ไม่อยากตีกับข้าจริงหรือ โมโหก็ระบายออกมา อย่ากลั้นไว้จนย่ำแย่เลย”

หลินสวินยิ้มพูด

“ตีกับผีสิ! ข้าไม่ใช่พวกชอบเจ็บตัวเสียหน่อย!”

เย่เสี่ยวชีกลอกตา ขณะที่พูดเขาก็เอามือข้างหนึ่งไปฉวยน้ำเต้าสุราในมือหลินสวินมาแหงนหน้าดื่มเหล้าอึ้กๆ รวดเดียว แล้วจึงพ่นลมหายใจยาวเฮือกหนึ่ง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ตอนนี้ข้าถึงเพิ่งรู้ว่าถ้าศักยภาพแข็งแกร่งก็จะทำอะไรตามอำเภอใจได้ อย่างเช่นเจ้า ทำให้คนอื่นแค้นจนกัดฟันแต่ก็ทำได้เพียงอดกลั้นไว้”

หลินสวินหัวเราะลั่นไม่หยุด

พวกเย่หงเสวี่ยก็หัวเราะ ต่างดูออกแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลินสวินกับเย่เสี่ยวชีดีเป็นพิเศษ

“จริงด้วย เจ้ามาสมรภูมิกระหายเลือดเมื่อไร”

เย่เสี่ยวชีเอ่ยถาม

“วันนี้”

หลินสวินบอกตามความเป็นจริง

“อะไรนะ”

พวกเย่หงเสวี่ยต่างอึ้งไป คล้ายประหลาดใจยิ่งนัก ไม่กล้าเชื่อได้

“มีอะไรผิดปกติหรือ”

หลินสวินพูดอย่างแปลกใจ

“เพราะสิบกว่าปีมานี้สมรภูมิกระหายเลือดถูกผนึกโดยสมบูรณ์แล้ว โลกภายนอกไม่มีคนเข้ามาอีกแล้ว แต่เจ้าดันปรากฏตัว นี่ก็พิสูจน์ได้เพียงว่าต้องมีคนช่วยเจ้าเปิดช่องทางเข้ามาที่นี่ หนำซ้ำยังไม่ใช่คนธรรมดาด้วย”

เย่เสี่ยวชีสีหน้าแปลกไป

หลินสวินถึงเข้าใจทันที นึกถึงเฒ่าโดดเดี่ยวก็พยักหน้าเอ่ยว่า “เจ้าคนที่ส่งข้ามานั่นไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ”

เย่เสี่ยวชีพลันหัวเราะแหะๆ เอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “ตอนนี้เจ้าสงสัยหลายเรื่องใช่ไหม อย่างเช่นทำไมสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้กลายเป็นแบบนี้แล้ว และทำไมถึงมีโอสถเทพ วัตถุดิบเทพ รวมถึงผลึกกำเนิดเจตะอันน่าเหลือเชื่อมากมายปานนั้น”

หลินสวินพูด “ใช่แล้ว”

ในใจเขากังขาหลายเรื่องจริงๆ

“แต่ข้าจะไม่บอกเจ้าหรอก และจะให้เจ้าได้ลิ้มรสว่าอะไรเรียกทรมาน อะไรเรียกว่าไม่ได้ดั่งใจ”

เย่เสี่ยวชีหัวเราะอย่างได้ใจ เหมือนได้แก้แค้นครั้งใหญ่

หลินสวินร้องอ้อ จ้องเย่เสี่ยวชีด้วยสายตาลุ่มลึก มองจนฝ่ายหลังรู้สึกขนลุกขนพองในใจ รอยยิ้มได้ใจบนใบหน้าแข็งทื่อขึ้นมา

เย่เสี่ยวชีกลืนน้ำลายพูดว่า “หรือเจ้ายังคิดจะใช้กำลัง บอกเจ้าให้ ถ้าเจ้ากล้าแตะข้าแม้แต่ปลายนิ้ว ข้าจะตัดเพื่อนกับเจ้า!”

“งั้นข้าไม่แตะปลายนิ้วเจ้าจะเป็นอย่างไร” หลินสวินยิ้มตาหยี เสียงเจือกลิ่นอายที่ทำให้คนขนลุกเกรียว

เย่เสี่ยวชีหน้ามืด เอามือกุมหัว พูดอย่างเจ็บปวดว่า “ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าเจ้าไม่เคยทำตัวเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา ข้ายอมแล้ว ยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว เจ้าอยากรู้อะไรข้าจะบอกเจ้าหมดเลย ตกลงไหม”

หลินสวินยิ้มพลางตบไหล่อันใหญ่หนาของเย่เสี่ยวชีแล้วเอ่ยว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นเพื่อนซี้ของข้าหลินสวิน… มีคุณธรรม!”

เย่เสี่ยวชีถอนใจส่ายหน้า “มาเจอคนร้ายกาจทำอะไรตามใจชอบ อาละวาดไม่กลัวใครอย่างเจ้า ไม่มีคุณธรรม… ได้งั้นหรือ”

พอพูดจบตัวเขาเองก็ยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เหมือนกลับไปสมัยอยู่ในค่ายกระหายเลือดยามยังเยาว์

ผ่านไปหลายปีแล้ว พวกเขาต่างห่างกันไปยิ่งขึ้นตามมรรคาของตนเอง แต่มิตรภาพที่สร้างไว้ในตอนนั้นจะลืมไปได้อย่างไร

ตรากตรำเสาะแสวงหาหนทางมหามรรค ความเป็นไปในโลกาผันแปรเชื่องช้า

ที่คิดถึงที่สุด คือวัยเยาว์อันแสนพิเศษ

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1426 วัยเยาว์แสนพิเศษที่คิดถึงที่สุด

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1426 วัยเยาว์แสนพิเศษที่คิดถึงที่สุด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พี่ใหญ่หลิน ท่านรีบไปช่วยพี่ชายข้าเถอะ”

เย่หงเสวี่ยเอ่ยร้อนรน

หลินสวินกลับยิ้มเสียแล้ว “อย่าร้อนรนไป เขายังยันได้อีกช่วงหนึ่ง การเคี่ยวกรำท่ามกลางความเป็นตายมีประโยชน์ต่อการฝึกปราณนัก”

เขาพูดพลางเอาน้ำเต้าสุราออกมาอันหนึ่ง ดูการต่อสู้ไปพลางดื่มสุราอย่างผ่อนคลายสบายใจ

พวกเย่หงเสวี่ยต่างงุนงง นี่มันเวลาไหนกันแล้วยังจะมาเคี่ยวกรำอีก เกิดเย่เสี่ยวชีไม่ระวังถูกฆ่าขึ้นมาจะทำอย่างไร

“จุ๊ๆ มิน่าท่าร่างถึงว่องไวปราดเปรียวปานนี้ ที่แท้ที่ฝึกเป็นหลักก็คือพลังมหามรรคสลาตันกับอสนีบาตสองชนิด ลักษณะเช่นนี้ยังเหมือนตอนนั้น ไม่หวังเอาชนะศัตรู หวังเพียงรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้”

หลินสวินรำพึง

นึกถึงประสบการณ์ในค่ายกระหายเลือดในครั้งยังเยาว์

ตอนนั้นเขากับเย่เสี่ยวชีถือว่าถ้าไม่ตีกันก็ไม่รู้จักกัน ความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจของเจ้าอ้วนนี่จับใจหลินสวินยิ่งนัก

ได้พบกันอีกครั้งหลังจากผ่านไปหลายปี แม้อีกฝ่ายเหยียบย่างบนมรรคาอมตะ แต่รูปแบบการต่อสู้กลับไม่ได้เปลี่ยนไปนัก ยังคงเหลี่ยมจัดมากอุบายเช่นนั้น

ในการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไป เย่เสี่ยวชีพร่ำบ่นไม่ว่างเว้น กำลังจะรับไม่ไหวแล้ว

พอคิดว่าพวกน้องสาวยังรอให้ตนไปช่วยอยู่ ในใจก็ยิ่งร้อนรนและขุ่นเคือง

“ให้ตายสิ ข้าจะให้พวกเจ้า…”

ด้วยความโกรธเกรี้ยวจู่โจมจิตใจ เย่เสี่ยวชีกำลังเตรียมสู้สุดชีวิต ฉับพลันก็สังเกตเห็นว่าที่ไกลลิบมีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัว

เป็นพวกน้องสาวเย่หงเสวี่ย!

นี่ทำให้ในใจเย่เสี่ยวชียินดีปรีดา เหมือนเอาหินก้อนยักษ์ที่กดทับดวงใจไว้ก้อนหนึ่งออกไปได้ จิตใจพลันเต้นระส่ำ

ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว พวกน้องสาวปลอดภัย ทั้งยังมาช่วยเสริมกำลังได้ทันเวลาพอดี สถานการณ์ขณะนี้ต้องคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย

แต่ที่ทำให้เย่เสี่ยวชีงุนงงก็คือ รออย่างขมขื่นมาครู่หนึ่งพวกน้องสาวดันกลับไม่เคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว อย่างกับไม่เห็นว่าเขากำลังอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายหาใดเทียบ กำลังจะประสบเคราะห์แล้ว!

นี่ทำให้เขาโมโหจนแทบกระอักเลือด

ที่ทำให้เขาขุ่นเคืองที่สุดก็คือ เจ้าคนที่นำหน้ามานั่นยังร่ำสุราสบายใจเฉิบเสียได้!

บ้าเอ๊ย ไอ้เวรนี่เป็นใคร เห็นข้าเป็นตัวตลกหรือ เอ๊ะ… ไม่สิ ทำไมเจ้าหมอนี่ดูแล้วหน้าตาคุ้นๆ

เย่เสี่ยวชีอึ้งไป ทันใดนั้นก็จำได้ หลินสวิน!

ถึงกับเป็นหมอนั่น!

ฉึบ!

ก็ในตอนที่เขาหวั่นไหวเช่นนี้เอง ปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งมากะทันหัน เฉือนไหล่เขาให้เกิดรอยแผลที่ลึกจนเห็นกระดูก เลือดไหลรินรอยหนึ่ง

เย่เสี่ยวชีรู้สึกเจ็บ บนใบหน้าอ้วนกลมจ้ำม่ำเปี่ยมไปด้วยความโมโห ร้องเสียงดังว่า “หลินสวิน เจ้าไม่เห็นเหรอว่าข้ากำลังจะม้วยแล้ว ยังมาดื่มเหล้าอีก ไม่กลัวสำลักตายหรือไง”

เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นก้องฟ้าดิน

ผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกที่กำลังล้อมโจมตีเขาเหล่านั้นต่างตกตะลึง เมื่อสังเกตเห็นการคงอยู่ของพวกหลินสวินก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างห้ามไม่อยู่

“พวกเจ้าสู้ต่อไป ไม่ต้องสนใจพวกเรา”

หลินสวินยิ้มตอบกลับไป

เย่เสี่ยวชิงตาถลน คำรามว่า “เจ้ายังเป็นเพื่อนข้าอยู่ไหม ไม่ได้เจอกันสิบกว่าปี พอเจอหน้ากันเจ้าก็คิดจะดูข้าถูกห่าดาบฟันตายแล้วหรือ”

สีหน้าของผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกเหล่านั้นปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ออกจะทำตัวไม่ถูก แต่สุดท้ายก็กัดฟันจู่โจมเย่เสี่ยวชีเต็มกำลังคล้ายคลุ้มคลั่ง

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดจะรีบสู้รีบจบ กำจัดเย่เสี่ยวชีให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ก่อน แล้วค่อยไปคิดเรื่องพวกหลินสวิน

สถานการณ์ของเย่เสี่ยวชีอันตรายยิ่งขึ้นในทันใด ไม่ว่าเขาจะร้องโวยวายเสียงดังอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์

เย่หงเสวี่ยร้อนใจจนน้ำตาแทบไหลแล้ว พูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่หลิน ถ้าท่านไม่ช่วยพวกเราจะไปเอง!”

หลินสวินหุบยิ้ม พูดจริงจังว่า “ห้ามเด็ดขาด พวกเจ้ายังดูไม่ออกหรือ พลังปราณของเขาจวนจะเลื่อนขั้นแล้ว ไม่แน่ว่าในการต่อสู้คราวนี้ก็จะบรรลุขั้นได้”

เย่หงเสวี่ยชะงักไป เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

คนอื่นต่างก็สับสนงงงวย เอาแบบนี้จริงหรือ

“พวกเจ้าดูสิ ถ้าเขาถูกกดดันจนอยู่ในสถานการณ์คับขัน จะยังมีแรงมาร้องโวยวายหรือ”

หลินสวินหวังดีชี้แนะ “ในสถานการณ์ปกติพอพบเข้ากับวิกฤตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งคนไหนคงไม่มีทางมีแก่ใจไปสนใจเรื่องอื่นหรอก แต่เจ้าดูเจ้าอ้วนนั่นสิ มีทีท่าจะประสบเคราะห์ที่ไหน เห็นๆ กันอยู่ว่าเขายังมีพลังเหลือ ศักยภาพก็ยังไม่ปะทุออกมาโดยสมบูรณ์”

พวกเย่หงเสวี่ยสังเกตการณ์เล็กน้อย พบว่าเป็นอย่างที่หลินสวินพูดไว้จริงๆ เย่เสี่ยวชีสู้ไปพลางปากก็ด่าทอหลินสวินไร้คุณธรรมไร้สัจจะ จะตัดขาดกับหลินสวินต่างๆ นานาไปพลาง…

แม้ดูโกรธเคืองหาใดเทียบ แต่ก็ดูเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา

หลินสวินดื่มสุราอย่างใจเย็น เอ่ยต่อว่า “แล้วพวกเจ้าไปดูศัตรูพวกนั้น แต่ละคนดูร้ายหาใดเทียบ แต่เจตจำนงต่อสู้ของพวกเขาสั่นคลอนไปแล้ว เพราะพวกเขารู้ว่าการมีอยู่ของพวกเราเป็นภัยคุกคามใหญ่ยิ่งอย่างหนึ่ง นี่ทำให้พวกเขาต้องแบ่งความสนใจมาระวังและตั้งรับพวกเราด้วย”

พวกเย่หงเสวี่ยต่างพยักหน้า พวกเขาก็พบจุดนี้เช่นเดียวกัน ความร้อนรนในใจค่อยๆ ลดลงไปไม่น้อย

“ดังนั้นพูดได้ว่าผลแพ้ชนะของการต่อสู้นี้ได้ชี้ขาดแล้ว ตอนนี้เพียงมีคู่ต่อสู้เพิ่มขึ้นมาเป็นคู่ฝึกให้เจ้าอ้วนนั่นเท่านั้นเอง”

หลินสวินยิ้มพลางสรุป

“เป็นคู่ฝึกบ้านเจ้าสิ!”

เย่เสี่ยวชีที่อยู่ไกลออกไปโมโหจนแก้มกระตุก แทบพ่นเลือดอึกใหญ่ออกมา

หลินสวินยิ้มเอ่ยว่า “พวกเจ้าฟังสิ เสียงด่ายังแรงดีไม่มีตกแบบนี้ เหมือนคนที่กำลังจะตายหรือเปล่า”

เย่หงเสวี่ยเตือนเสียงดังอย่างอดไม่ไหวว่า “ท่านพี่ ท่านสนใจแต่เอาพลังไปต่อกรศัตรูเถอะ มีพวกเราอยู่จะมองดูท่านประสบเคราะห์ได้อย่างไร”

“ยัยตัวดี ไม่ช่วยพี่เจ้าก็ช่างเถอะ ยังเข้าข้างคนอื่นเสียอย่างนั้น จะยั่วให้พี่เจ้าโมโหถึงพอใจใช่ไหม”

เย่เสี่ยวชีร้องโวยวายเสียงดัง

แต่ฉับพลันทันใดเขาก็รับรู้ได้ว่าสถานการณ์อันตราย ไม่กล้าวอกแวกอีก รวบรวมสมาธิจดจ่อเข้าสู้เต็มกำลัง

โครม!

การต่อสู้ดุเดือด ลมเมฆเปลี่ยนสี

การขับเคี่ยวระหว่างผู้แข็งแกร่งระดับอมตะเคราะห์ ไม่ทันไรก็สามารถผลาญทำลายภูผาธารา พลังทำลายล้างน่าตื่นตะลึง

แต่หลินสวินกลับพบว่าในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ สถานการณ์กลับออกจะต่างออกไป ภูเขาสายธารเหล่านั้น กระทั่งในห้วงอากาศต่างปกคลุมไปด้วยพลังกฎระเบียบไร้รูปร่างชนิดหนึ่ง

ด้วยพลังฟ้าดินเช่นนี้ ทำให้พลังทำลายที่ผู้แข็งแกร่งระดับอมตะเคราะห์ก่อขึ้นถูกทำให้อ่อนลงไปมาก!

แน่นอนว่าอานุภาพยังเป็นอานุภาพเช่นนั้นเหมือนเคย แต่ได้รับการจำกัดจากความแตกต่างของกฎเกณฑ์ฟ้าดินเท่านั้น ไม่ใช่เพราะพลังต่อสู้ถูกกดข่ม

‘บางทีอาจมีเพียงพลังของผู้แข็งแกร่งระดับอริยะเท่านั้น ถึงจะสำแดงภาพน่ากลัวราวฟ้าถล่มดินทลายในโลกนี้ได้กระมัง…’

หลินสวินครุ่นคิด

“หนี!”

ทันใดนั้นเสียงตะคอกลั่นดังขึ้นในสนามรบ

ผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกเหล่านั้นโจมตีมานานแต่เอาชนะไม่ได้ จึงเลือกถอยหนีอย่างเด็ดขาด เห็นได้ชัดว่ารับรู้ว่าการหลบหนีเป็นวิธีที่ฉลาดที่สุด

“หนีหรือ ข้าให้พวกเจ้าไปหรือยัง”

เย่เสี่ยวชีกัดฟันเข่นเขี้ยว คำรามดังพลางตามฆ่า

เขามีไฟโทสะอัดอั้นอยู่เต็มอก ยังไม่ได้ปลดปล่อยจนหมดสิ้น จะยินยอมให้ศัตรูหนีไปแบบนี้ได้อย่างไร

สวบๆๆ!

แต่มีคนเคลื่อนไหวเร็วกว่าเขา ก็เห็นว่าหลินสวินหยัดตัว ปราณกระบี่สายแล้วสายเล่าเคลื่อนออกมาจากร่างของเขา แปรสภาพเป็นแสงแหลมคมพุ่งออกไปดังหวีดหวิวหนาแน่น

ฟุบๆๆ…

ครู่ต่อมาร่างของผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกคนแล้วคนเล่าก็ถูกปราณกระบี่มากมายสังหารอย่างไร้ความปรานี เลือดเนื้อปลิวว่อน

เย่เสี่ยวชีอึ้งไป จากนั้นก็โกรธเลือดขึ้นหน้า พุ่งไปหาหลินสวินอย่างโมโห ท่าทางจะไปคิดบัญชีกับหลินสวิน

พวกเย่หงเสวี่ยหน้าเปลี่ยนสีไปครู่หนึ่ง แต่กลับเห็นหลินสวินเอ่ยเสียงเนิบว่า “อยากตีกันหรือ ได้สิ แต่เจ้าต้องเตรียมตัวโดนอัดไว้ให้ดีนะ”

เงาร่างเย่เสี่ยวชีที่กระโจนเข้ามาหยุดลงทันที สีหน้าผกผันไม่ว่างเว้นไปครู่หนึ่ง

เห็นได้ชัดว่าเขารับรู้ได้ว่าทันทีที่ลงมือ จะต้องเป็นการรนหาที่ตายแน่นอน ไม่เห็นผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกพวกนั้นหรือ ยังไม่ทันได้ตอบโต้ก็ถูกฆ่าแล้ว

ครู่หนึ่งเย่เสี่ยวชีถึงถลึงตาจ้องหลินสวิน กัดฟันเอ่ยว่า “ไม่ได้พบกันนานขนาดนี้ เจ้าหมอนี่ยิ่งน่ารังเกียจขึ้นเสียแล้ว!”

“ไม่อยากตีกับข้าจริงหรือ โมโหก็ระบายออกมา อย่ากลั้นไว้จนย่ำแย่เลย”

หลินสวินยิ้มพูด

“ตีกับผีสิ! ข้าไม่ใช่พวกชอบเจ็บตัวเสียหน่อย!”

เย่เสี่ยวชีกลอกตา ขณะที่พูดเขาก็เอามือข้างหนึ่งไปฉวยน้ำเต้าสุราในมือหลินสวินมาแหงนหน้าดื่มเหล้าอึ้กๆ รวดเดียว แล้วจึงพ่นลมหายใจยาวเฮือกหนึ่ง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ตอนนี้ข้าถึงเพิ่งรู้ว่าถ้าศักยภาพแข็งแกร่งก็จะทำอะไรตามอำเภอใจได้ อย่างเช่นเจ้า ทำให้คนอื่นแค้นจนกัดฟันแต่ก็ทำได้เพียงอดกลั้นไว้”

หลินสวินหัวเราะลั่นไม่หยุด

พวกเย่หงเสวี่ยก็หัวเราะ ต่างดูออกแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลินสวินกับเย่เสี่ยวชีดีเป็นพิเศษ

“จริงด้วย เจ้ามาสมรภูมิกระหายเลือดเมื่อไร”

เย่เสี่ยวชีเอ่ยถาม

“วันนี้”

หลินสวินบอกตามความเป็นจริง

“อะไรนะ”

พวกเย่หงเสวี่ยต่างอึ้งไป คล้ายประหลาดใจยิ่งนัก ไม่กล้าเชื่อได้

“มีอะไรผิดปกติหรือ”

หลินสวินพูดอย่างแปลกใจ

“เพราะสิบกว่าปีมานี้สมรภูมิกระหายเลือดถูกผนึกโดยสมบูรณ์แล้ว โลกภายนอกไม่มีคนเข้ามาอีกแล้ว แต่เจ้าดันปรากฏตัว นี่ก็พิสูจน์ได้เพียงว่าต้องมีคนช่วยเจ้าเปิดช่องทางเข้ามาที่นี่ หนำซ้ำยังไม่ใช่คนธรรมดาด้วย”

เย่เสี่ยวชีสีหน้าแปลกไป

หลินสวินถึงเข้าใจทันที นึกถึงเฒ่าโดดเดี่ยวก็พยักหน้าเอ่ยว่า “เจ้าคนที่ส่งข้ามานั่นไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ”

เย่เสี่ยวชีพลันหัวเราะแหะๆ เอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “ตอนนี้เจ้าสงสัยหลายเรื่องใช่ไหม อย่างเช่นทำไมสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้กลายเป็นแบบนี้แล้ว และทำไมถึงมีโอสถเทพ วัตถุดิบเทพ รวมถึงผลึกกำเนิดเจตะอันน่าเหลือเชื่อมากมายปานนั้น”

หลินสวินพูด “ใช่แล้ว”

ในใจเขากังขาหลายเรื่องจริงๆ

“แต่ข้าจะไม่บอกเจ้าหรอก และจะให้เจ้าได้ลิ้มรสว่าอะไรเรียกทรมาน อะไรเรียกว่าไม่ได้ดั่งใจ”

เย่เสี่ยวชีหัวเราะอย่างได้ใจ เหมือนได้แก้แค้นครั้งใหญ่

หลินสวินร้องอ้อ จ้องเย่เสี่ยวชีด้วยสายตาลุ่มลึก มองจนฝ่ายหลังรู้สึกขนลุกขนพองในใจ รอยยิ้มได้ใจบนใบหน้าแข็งทื่อขึ้นมา

เย่เสี่ยวชีกลืนน้ำลายพูดว่า “หรือเจ้ายังคิดจะใช้กำลัง บอกเจ้าให้ ถ้าเจ้ากล้าแตะข้าแม้แต่ปลายนิ้ว ข้าจะตัดเพื่อนกับเจ้า!”

“งั้นข้าไม่แตะปลายนิ้วเจ้าจะเป็นอย่างไร” หลินสวินยิ้มตาหยี เสียงเจือกลิ่นอายที่ทำให้คนขนลุกเกรียว

เย่เสี่ยวชีหน้ามืด เอามือกุมหัว พูดอย่างเจ็บปวดว่า “ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าเจ้าไม่เคยทำตัวเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา ข้ายอมแล้ว ยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว เจ้าอยากรู้อะไรข้าจะบอกเจ้าหมดเลย ตกลงไหม”

หลินสวินยิ้มพลางตบไหล่อันใหญ่หนาของเย่เสี่ยวชีแล้วเอ่ยว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นเพื่อนซี้ของข้าหลินสวิน… มีคุณธรรม!”

เย่เสี่ยวชีถอนใจส่ายหน้า “มาเจอคนร้ายกาจทำอะไรตามใจชอบ อาละวาดไม่กลัวใครอย่างเจ้า ไม่มีคุณธรรม… ได้งั้นหรือ”

พอพูดจบตัวเขาเองก็ยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เหมือนกลับไปสมัยอยู่ในค่ายกระหายเลือดยามยังเยาว์

ผ่านไปหลายปีแล้ว พวกเขาต่างห่างกันไปยิ่งขึ้นตามมรรคาของตนเอง แต่มิตรภาพที่สร้างไว้ในตอนนั้นจะลืมไปได้อย่างไร

ตรากตรำเสาะแสวงหาหนทางมหามรรค ความเป็นไปในโลกาผันแปรเชื่องช้า

ที่คิดถึงที่สุด คือวัยเยาว์อันแสนพิเศษ

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+