Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1431 ฟ้ามืดอย่าออกจากบ้าน

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1431 ฟ้ามืดอย่าออกจากบ้าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ชน!”

เสียงตะโกนระลอกหนึ่งดังลั่นขึ้นในท้องฟ้าสีรัตติกาล จากนั้นจอกเหล้าชนเข้าหากัน เหล้าสีเหลืองอำพันส่ายไปมา ส่งกลิ่นรุนแรงออกมา

ภูเขาเมฆาคราม ในโถงที่แสงสว่างไสวแห่งหนึ่ง กลุ่มสหายที่สานสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นมาตั้งแต่ยังเด็กอย่างพวกหลินสวิน หนิงเหมิง สืออวี่ เย่เสี่ยวชี กงหมิงมารวมตัวกัน

บนพื้นกองเต็มไปด้วยขวดเหล้าเปล่าที่ดื่มหมดไปแล้ว

ในห้องโถงทุกคนต่างสายตาพร่ามัว ใบหูร้อนผ่าว พูดคุยกันอย่างออกรส

นี่เป็นวันที่สี่ที่หลินสวินมาถึงภูเขาเมฆาครามแล้ว

ระหว่างสนทนาหลินสวินก็ได้รู้ว่า ตอนนั้นเดิมทีพวกสืออวี่ หนิงเหมิงจะไปที่ดินแดนรกร้างโบราณ แต่สุดท้ายกลับถูกคำสั่งของจักรวรรดิหยุดไว้

ไม่เพียงแค่พวกเขา ตอนนั้นบรรดาลูกหลานชั้นนำของตระกูลทรงอิทธิพล สำนักศึกษามฤคมรกต ค่ายกระหายเลือด รวมถึงกองทัพแห่งจักรวรรดิล้วนไม่สามารถไปยังดินแดนรกร้างโบราณได้

แต่ถูกส่งตัวมาที่สมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้

“ตอนนั้นพวกข้าจากไปอย่างเร่งรีบเกิน และเรื่องนี้ก็เป็นความลับของจักรวรรดิ จึงไม่สามารถบอกเจ้าล่วงหน้าได้”

สืออวี่ถอนหายใจ “แต่ไม่เคยคิดว่าสิบกว่าปีผ่านไป ในที่สุดพวกเราพี่น้องก็กลับมาพบกันที่นี่อีกครั้ง น่าทอดถอนใจจริงๆ ทำให้ข้าอดนึกถึงกวีบทหนึ่งไม่ได้ ”

“หยุด! ข้าไม่อยากฟังเจ้าท่องกลอนหรอกนะ ดื่มๆ!”

หนิงเหมิงตะโกนลั่น

สืออวี่กลอกตาใส่ พูดอย่างไม่อภิรมย์ “หยาบคาย!”

คนอื่นๆ เองก็อดหัวเราะลั่นไม่ได้

“แต่น่าเสียดายที่หลี่ตู๋สิงยังไม่ฟื้น…”

กงหมิงถอนหายใจคราหนึ่ง ประโยคเดียวทำให้บรรยากาศในโถงเคร่งขรึมขึ้นมาทันที

“แม่งเอ๊ย ถ้าข้ารู้ว่าใครเป็นคนทำ จะสับมันเป็นชิ้นๆ!”

หนิงเหมิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

คนอื่นๆ เองก็ไอสังหารพวยพุ่ง

หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ความแค้นนี้ จะต้องชำระ!”

……

กลางดึกหลินสวินยืนอยู่หน้าเรือนหินฟากหนึ่งของยอดเขา

นี่คือที่พักของเขา จากตรงนี้สามารถมองไปยังภูเขาไกลๆ ขอบเขตการมองเห็นกว้างไกล

ท้องฟ้าสีราตรีมืดทะมึน หมอกมงคลสีม่วงล้อมรอบเขาเมฆาคราม กั้นคืนรัตติกาลไว้ด้านนอก

“ในยามราตรีนั่นมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่”

หลินสวินขมวดคิ้ว

ยามเขาเข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือดเป็นครั้งแรก ก็มีกฎว่าจะต้องกลับถึงค่ายทัพก่อนฟ้ามืด ไม่เช่นนั้นจะประสบมหันตภัย

นี่เป็นกฎเหล็ก ไม่มีใครกล้าไม่ทำตาม

ตอนนี้ผ่านไปหลายปีหลินสวินกลับมาอีกครั้ง แต่ไม่คิดว่ากฎ ‘ฟ้ามืดอย่าออกจากบ้าน’ นี้ยังคงอยู่

และไม่มีใครกล้าก้าวข้ามมันเช่นกัน

ราวกับว่าในยามราตรีมีความน่ากลัวที่ไม่อาจจินตนาการ

“สมรภูมิกระหายเลือดเป็นสถานที่ที่น่าอัศจรรย์มาก เกี่ยวกับที่มาของมัน ทุกคนพูดไปต่างๆ นานาจนปัจจุบันก็ยังไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้”

จ้าวซิงเย่ราชินีกระหายเลือดมายืนอยู่ข้างหลินสวินไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ดวงตาลึกล้ำแต่กระจ่างชัด มองไปยังสีรัตติกาลไกลๆ

“อย่างเช่นสมรภูมิกระหายเลือดในตอนกลางวันก็ต่างกับตอนกลางคืนอย่างสิ้นเชิง เหมือนเป็นสองโลกที่แตกต่างกันอย่างไรอย่างนั้น”

จ้าวซิงเย่เอ่ย “ตอนกลางวัน สมรภูมิกระหายเลือดเหมือนอยู่บนโลกมนุษย์ จะไม่เกิดเรื่องแปลกประหลาดและอันตรายขึ้น”

“ตอนกลางคืน สมรภูมิกระหายเลือดเหมือนจมสู่ยมโลก สิ่งแปลกประหลาดอัปมงคลพากันมาเยือน อันตรายไม่อาจคาดเดา”

“เมื่อก่อนข้าไม่เข้าใจ ตอนนี้… ยิ่งไม่เข้าใจ…”

จ้าวซิงเย่ถอนหายใจเบาๆ เห็นได้ชัดว่านางเองก็ใคร่ครวญคำถามนี้มาโดยตลอด “แต่สิ่งที่มั่นใจได้คือ แม้เป็นอริยะ ยามกลางคืนก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวโดยพลการ เพราะในความมืดนั่นมีอันตรายที่น่ากลัวซึ่งสามารถฆ่าอริยะให้ตายได้”

“ผู้อาวุโสเคยสำรวจหรือ” หลินสวินอดถามไม่ได้

จ้าวซิงเย่ส่ายหน้า “พวกจักรพรรดิและจักรพรรดินีเคยสำรวจ แต่ภายในเวลาหนึ่งถ้วยชาก็กลับค่ายทันที แต่ละคนสีหน้าตึงเครียด แฝงความตะลึง ข้าไม่เคยคิดเลยว่าด้วยศักยภาพระดับพวกเขาจะเสียอาการขนาดนั้นได้”

“พวกเขาเห็นอะไรขอรับ” หลินสวินประหลาดใจ

จ้าวซิงเย่เงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าว “จักรพรรดิเคยพูดว่า สมรภูมิกระหายเลือดในตอนกลางคืนไม่เหมือนตอนกลางวัน เปลี่ยนเป็นโลกที่ไม่คุ้นเคย เหมือน… แดนนรกทมิฬในตำนาน… และเหมือนยมโลกอย่างที่สุด”

เสียงต่ำลึกกระจายออกไปท่ามกลางความมืด

ในใจหลินสวินเย็นเยียบขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตอนที่มองไปยังรัตติกาลไกลๆ สายตาก็เปลี่ยนไปแล้ว นรกขุมทมิฬหรือ

สถานที่ที่มีแค่ในตำนานมายา มีอยู่จริงหรือ

“เพราะฉะนั้นข้าว่าเจ้าอย่าออกจากค่ายทัพตอนกลางคืนจะดีที่สุด แม้ในมือมีที่พึ่งมากมายก็อย่าไป ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน ข้าเห็นคนที่ไม่เชื่อทำเช่นนี้มาแล้วมากมาย แต่ผลลัพธ์มีเพียงหนึ่งเดียว”

จ้าวซิงเย่พูดถึงตรงนี้ ในสายตาเผยความกลัวอย่างยากจะได้เห็น

“อะไรหรือ”

“หายไป”

จ้าวซิงเย่พูด “หายไปอย่างไร้สุ้มเสียงและไม่กลับมาอีก แม้ไปหาตอนกลางวันก็ไม่พบร่องรอย กระทั่งกลิ่นอายก็ไม่หลงเหลือ”

“เจ้าควรรู้ดีว่าด้วยความสามารถของข้า แม้แต่คนตายที่ถูกทำลายไปแล้ว แต่ขอเพียงหลงเหลือกลิ่นอายเสี้ยวหนึ่งก็สามารถถูกข้าจับตำแหน่งได้ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่เคยพบคนที่หายไปตอนกลางคืนเลย”

“ไม่เจอแม้แต่คนเดียวเลยหรือขอรับ” หลินสวินเหมือนต้องการยืนยันจึงถามอีกรอบ

“ไม่”

จ้าวซิงเย่ตอบอย่างไม่ลังเลสักนิด

หลินสวินสายตาวูบไหว ในใจสั่นสะท้าน ยามราตรีกาลมาเยือน สมรภูมิกระหายเลือดจะกลายเป็นโลกที่ไม่คุ้นเคยที่ราวกับนรกจริงๆ หรือ

จนกระทั่งจ้าวซิงเย่จากไป หลังจากหลินสวินกลับห้องของตัวเองก็ยังคงใคร่ครวญเรื่องนี้

สุดท้ายเขาก็ส่ายหน้า สกัดกั้นความสงสัยในใจอย่างสิ้นเชิง เขาไม่อยากเอาชีวิตของตัวเองไปลองหรอก

แน่นอนว่าในอนาคตหากมีโอกาส เขาก็ไม่เกี่ยงที่จะไปสำรวจสักหน่อย

เวลาเดียวกันในห้องโถงมรรคาสวรรค์ หญิงลึกลับที่นั่งอยู่ใต้ประตูสวรรค์ก็จมสู่ภวังค์ความคิด “แบ่งเขตกลางวันกลางคืน หยินหยางอยู่ร่วมกันหรือ”

นางลุกขึ้นเหมือนจะทำอะไร

แต่จากนั้นนัยน์ตานางก็หดรัด เผยสีหน้าประหลาดใจราวกับสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง พลันพึมพำว่า “เป็นพลังที่แปลกประหลาดมาก ถึงกับสามารถขวางการตรวจสอบของข้าได้… หรือในรัตติกาลนั่นมีอีกโลกหนึ่งจริงๆ”

มีเพียงโลกที่มีพลังกฎระเบียบสูงส่ง จึงจะสามารถขวางกั้นการตรวจสอบของนางได้!

“น่าสนใจ ข้าอยากเห็นนักว่าราตรีกาลนี้ซ่อนอะไรไว้…” ยามใคร่ครวญเงาร่างของหญิงลึกลับแปลงเป็นละอองแสงล่องลอย หายไปในห้องโถงมรรคาสวรรค์

ส่วนหลินสวินไม่รู้เรื่องนี้เลยสักนิด

หลังจากลับห้องเขาก็เริ่มฝึกปราณอย่างตั้งใจ

ฮูม…

พร้อมๆ กับลมหายใจของเขา ไอวิญญาณสีม่วงปานแม่น้ำสายใหญ่ไหลพุ่งเข้ามา รวมตัวกันในห้องที่เขาอยู่จากสี่ทิศแปดด้าน

ไอวิญญาณที่พลุ่งพล่านนั่นแข็งแกร่งและบริสุทธิ์อย่างน่าตะลึก!

ระหว่างทางที่หลินสวินมายังภูเขาเมฆาครามก็เคยลองฝึกปราณในเนินเขาที่งดงามส่วนหนึ่ง ระดับความแข็งแกร่งของไอวิญญาณระดับนั้นทำให้เขารู้สึกตะลึงแล้ว

แต่อยู่ในภูเขาเมฆาคราม ไอวิญญาณไม่เพียงแข็งแกร่ง ยังบริสุทธิ์จนน่าทึ่ง มากจนที่อื่นเทียบไม่ได้ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งหายากในโลกภายนอกโดยสมบูรณ์!

‘หากบำเพ็ญที่นี่ ก็ไม่รู้ว่าก่อนเข้าร่วมศึกถกมรรคเขาพินิจมรรคในอีกสองปีข้างหน้า จะสามารถยกระดับพลังหลอมกายของข้าได้ถึงระดับไหน…’

หลินสวินคิดๆ แล้วก็อดลอบส่ายหน้าไม่ได้

การบรรลุระดับของการบำเพ็ญเพียรจะเน้นความไวไม่ได้ ต้องมั่นคงทุกย่างก้าว พัฒนาในความมั่นคง คำว่ามั่นคงต้องมาก่อน

ไม่เช่นนั้นก็เหมือนหอกลางอากาศ ทำให้ฐานมรรคไม่มั่นคง

ตั้งแต่วันนั้นหลินสวินก็อยู่ที่ภูเขาเมฆาคราม ทุ่มเทกายใจในการฝึกหลอมกาย น้อยมากที่จะออกไป

บางคราวจะดื่มเหล้าพูดคุยกับพวกหนิงเหมิง สืออวี่ เย่เสี่ยวชีสักครั้ง แต่เวลาและแรงส่วนที่มากกว่านั้นถูกเขาใช้กับการฝึกฝน

เรื่องนี้จ้าวซิงเย่เองก็ไม่ได้พูดอะไร ถึงขั้นยังออกคำสั่งว่าทุกๆ เจ็ดวันต้องส่งผลึกกำเนิดเจตะหนึ่งร้อยชั่งไปให้หลินสวิน เพื่อใช้ประโยชน์ในการฝึกปราณ

ในใจผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิหลายคนรู้สึกไม่ยุติธรรมนัก คิดว่าจ้าวซิงเย่ลำเอียง ให้ความสำคัญกับหลินสวินมากเกินไป

ควรรู้ว่าผลึกกำเนิดเจตะไม่ใช่ผักกาดขาวที่จะได้มาง่ายๆ

แม้ในสมรภูมิกระหายเลือดก็ต้องหาอย่างยากลำบากจึงจะได้มา เรียกได้ว่าเป็นทรัพยากรฝึกปราณที่หายาก มูลค่าไม่อาจประเมิน

ในค่ายทัพจักรวรรดิ ผู้แข็งแกร่งทุกคนล้วนมีหน้าที่เก็บรวบรวมผลึกกำเนิดเจตะ โดยที่สองส่วนจากที่หามาได้จะต้องนำส่งให้ค่ายทัพเพื่อเป็นวัตถุดิบสำรองทางยุทธศาสตร์

แต่หลินสวินกลับโชคดี ตั้งแต่เข้ามาในค่ายทัพ นอกจากฝึกปราณก็ดื่มเหล้า ผลึกกำเนิดเจตะที่ต้องใช้ในการฝึกฝนล้วนเป็น ‘วัตถุดิบยุทธศาสตร์’ ที่เก็บสะสมไว้ แน่นอนว่าย่อมทำให้คนอื่นรู้สึกไม่เป็นธรรม

“ผลึกกำเนิดเจตะที่พวกเราเสี่ยงชีวิตไปหามาอย่างยากลำบาก มีสิทธิ์อะไรให้หลินสวินใช้”

“ตั้งแต่เจ้าหมอนั่นเข้ามาในค่าย ก็ไม่เคยช่วยออกแรงเลย น่าหงุดหงิดจริงๆ!”

คำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้แพร่กระจายไปพร้อมๆ กับเวลาที่เคลื่อนคล้อย และมากขึ้นเรื่อยๆ

ความไม่พอใจในใจผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิเองก็ค่อยๆ สั่งสมมากขึ้นเรื่อยๆ…

สิ่งที่ทำให้พวกเขาจนปัญญาคือ หลินสวินแทบจะอยู่ในเรือนบนยอดเขาตลอดเวลาไม่ออกไปไหน ทำให้พวกเขาฉวยโอกาสไปถากถางโจมตีไม่ได้ จึงไม่สามารถระบายความไม่พอใจได้

อีกอย่างจ้าวซิงเย่รู้เรื่องนี้ดี แต่กลับไม่เคยมีความคิดที่จะเปลี่ยนสถานการณ์เช่นนี้

ท่าทีที่ปฏิบัติต่อหลินสวินนี้ ทำให้หลายคนอัดอั้นเต็มทรวงอก

พวกสืออวี่ หนิงเหมิงเองก็รู้เรื่องเหล่านี้ ต่างแอบขำไม่หยุด เรื่องที่หลินสวินได้เปรียบ แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางไม่ดีใจ

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ สามเดือนผ่านไปโดยไม่รู้ตัว

เรื่องที่ทำให้ทั้งค่ายต่างดีใจคือ หลี่ตู๋สิงฟื้นแล้ว และในร่างก็ไม่มีอาการข้างเคียงหลงเหลือ

เรื่องที่ทำให้ไม่พอใจคือ หลังจากหลี่ตู๋สิงฟื้นก็ไปหาหลินสวินทันที ได้ยินว่าคืนนั้นทั้งสองดื่มเหล้ากันถึงเช้า มีความสุขอย่างมาก…

“หลินสวินเจ้าตัวมอดคนนี้! น่าชังเกินไปแล้วจริงๆ!”

“ทนแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ผลึกกำเนิดเจตะที่พวกเราเสียเลือดเนื้อเสี่ยงอันตรายรวบรวมมา จะให้เจ้าคนที่อยู่เฉยๆ คว้าไปเปล่าๆ ไม่ได้อีกต่อไป!”

วันนี้ในที่สุดก็มีคนหมดความอดทน ตัดสินใจไปคิดบัญชีกับหลินสวิน

ทันใดนั้นทั้งค่ายทัพต่างฮือฮาขึ้นมา ผู้แข็งแกร่งหลายคนที่ไม่พอใจหลินสวินมานานแล้วต่างเคลื่อนไหวตามไปด้วย รวมตัวกันเดินขึ้นบนยอดเขาอย่างเกรียงไกร

ตอนที่พวกสืออวี่ หนิงเหมิงรู้ข่าวต่างอดขมวดคิ้วไม่ได้ หัวเราะเยาะไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้อิจฉาก็เท่านั้น!

ยามรู้ฐานะของผู้แข็งแกร่งที่เป็นแกนนำไปหาหลินสวิน พวกสืออวี่ต่างหรี่ตา ประหลาดใจไม่น้อย

“ทำไมถึงเป็นเจ้าหมอนั่น” หนิงเหมิงยิ่งร้องตกใจออกมา

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1431 ฟ้ามืดอย่าออกจากบ้าน

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1431 ฟ้ามืดอย่าออกจากบ้าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ชน!”

เสียงตะโกนระลอกหนึ่งดังลั่นขึ้นในท้องฟ้าสีรัตติกาล จากนั้นจอกเหล้าชนเข้าหากัน เหล้าสีเหลืองอำพันส่ายไปมา ส่งกลิ่นรุนแรงออกมา

ภูเขาเมฆาคราม ในโถงที่แสงสว่างไสวแห่งหนึ่ง กลุ่มสหายที่สานสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นมาตั้งแต่ยังเด็กอย่างพวกหลินสวิน หนิงเหมิง สืออวี่ เย่เสี่ยวชี กงหมิงมารวมตัวกัน

บนพื้นกองเต็มไปด้วยขวดเหล้าเปล่าที่ดื่มหมดไปแล้ว

ในห้องโถงทุกคนต่างสายตาพร่ามัว ใบหูร้อนผ่าว พูดคุยกันอย่างออกรส

นี่เป็นวันที่สี่ที่หลินสวินมาถึงภูเขาเมฆาครามแล้ว

ระหว่างสนทนาหลินสวินก็ได้รู้ว่า ตอนนั้นเดิมทีพวกสืออวี่ หนิงเหมิงจะไปที่ดินแดนรกร้างโบราณ แต่สุดท้ายกลับถูกคำสั่งของจักรวรรดิหยุดไว้

ไม่เพียงแค่พวกเขา ตอนนั้นบรรดาลูกหลานชั้นนำของตระกูลทรงอิทธิพล สำนักศึกษามฤคมรกต ค่ายกระหายเลือด รวมถึงกองทัพแห่งจักรวรรดิล้วนไม่สามารถไปยังดินแดนรกร้างโบราณได้

แต่ถูกส่งตัวมาที่สมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้

“ตอนนั้นพวกข้าจากไปอย่างเร่งรีบเกิน และเรื่องนี้ก็เป็นความลับของจักรวรรดิ จึงไม่สามารถบอกเจ้าล่วงหน้าได้”

สืออวี่ถอนหายใจ “แต่ไม่เคยคิดว่าสิบกว่าปีผ่านไป ในที่สุดพวกเราพี่น้องก็กลับมาพบกันที่นี่อีกครั้ง น่าทอดถอนใจจริงๆ ทำให้ข้าอดนึกถึงกวีบทหนึ่งไม่ได้ ”

“หยุด! ข้าไม่อยากฟังเจ้าท่องกลอนหรอกนะ ดื่มๆ!”

หนิงเหมิงตะโกนลั่น

สืออวี่กลอกตาใส่ พูดอย่างไม่อภิรมย์ “หยาบคาย!”

คนอื่นๆ เองก็อดหัวเราะลั่นไม่ได้

“แต่น่าเสียดายที่หลี่ตู๋สิงยังไม่ฟื้น…”

กงหมิงถอนหายใจคราหนึ่ง ประโยคเดียวทำให้บรรยากาศในโถงเคร่งขรึมขึ้นมาทันที

“แม่งเอ๊ย ถ้าข้ารู้ว่าใครเป็นคนทำ จะสับมันเป็นชิ้นๆ!”

หนิงเหมิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

คนอื่นๆ เองก็ไอสังหารพวยพุ่ง

หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ความแค้นนี้ จะต้องชำระ!”

……

กลางดึกหลินสวินยืนอยู่หน้าเรือนหินฟากหนึ่งของยอดเขา

นี่คือที่พักของเขา จากตรงนี้สามารถมองไปยังภูเขาไกลๆ ขอบเขตการมองเห็นกว้างไกล

ท้องฟ้าสีราตรีมืดทะมึน หมอกมงคลสีม่วงล้อมรอบเขาเมฆาคราม กั้นคืนรัตติกาลไว้ด้านนอก

“ในยามราตรีนั่นมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่”

หลินสวินขมวดคิ้ว

ยามเขาเข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือดเป็นครั้งแรก ก็มีกฎว่าจะต้องกลับถึงค่ายทัพก่อนฟ้ามืด ไม่เช่นนั้นจะประสบมหันตภัย

นี่เป็นกฎเหล็ก ไม่มีใครกล้าไม่ทำตาม

ตอนนี้ผ่านไปหลายปีหลินสวินกลับมาอีกครั้ง แต่ไม่คิดว่ากฎ ‘ฟ้ามืดอย่าออกจากบ้าน’ นี้ยังคงอยู่

และไม่มีใครกล้าก้าวข้ามมันเช่นกัน

ราวกับว่าในยามราตรีมีความน่ากลัวที่ไม่อาจจินตนาการ

“สมรภูมิกระหายเลือดเป็นสถานที่ที่น่าอัศจรรย์มาก เกี่ยวกับที่มาของมัน ทุกคนพูดไปต่างๆ นานาจนปัจจุบันก็ยังไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้”

จ้าวซิงเย่ราชินีกระหายเลือดมายืนอยู่ข้างหลินสวินไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ดวงตาลึกล้ำแต่กระจ่างชัด มองไปยังสีรัตติกาลไกลๆ

“อย่างเช่นสมรภูมิกระหายเลือดในตอนกลางวันก็ต่างกับตอนกลางคืนอย่างสิ้นเชิง เหมือนเป็นสองโลกที่แตกต่างกันอย่างไรอย่างนั้น”

จ้าวซิงเย่เอ่ย “ตอนกลางวัน สมรภูมิกระหายเลือดเหมือนอยู่บนโลกมนุษย์ จะไม่เกิดเรื่องแปลกประหลาดและอันตรายขึ้น”

“ตอนกลางคืน สมรภูมิกระหายเลือดเหมือนจมสู่ยมโลก สิ่งแปลกประหลาดอัปมงคลพากันมาเยือน อันตรายไม่อาจคาดเดา”

“เมื่อก่อนข้าไม่เข้าใจ ตอนนี้… ยิ่งไม่เข้าใจ…”

จ้าวซิงเย่ถอนหายใจเบาๆ เห็นได้ชัดว่านางเองก็ใคร่ครวญคำถามนี้มาโดยตลอด “แต่สิ่งที่มั่นใจได้คือ แม้เป็นอริยะ ยามกลางคืนก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวโดยพลการ เพราะในความมืดนั่นมีอันตรายที่น่ากลัวซึ่งสามารถฆ่าอริยะให้ตายได้”

“ผู้อาวุโสเคยสำรวจหรือ” หลินสวินอดถามไม่ได้

จ้าวซิงเย่ส่ายหน้า “พวกจักรพรรดิและจักรพรรดินีเคยสำรวจ แต่ภายในเวลาหนึ่งถ้วยชาก็กลับค่ายทันที แต่ละคนสีหน้าตึงเครียด แฝงความตะลึง ข้าไม่เคยคิดเลยว่าด้วยศักยภาพระดับพวกเขาจะเสียอาการขนาดนั้นได้”

“พวกเขาเห็นอะไรขอรับ” หลินสวินประหลาดใจ

จ้าวซิงเย่เงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าว “จักรพรรดิเคยพูดว่า สมรภูมิกระหายเลือดในตอนกลางคืนไม่เหมือนตอนกลางวัน เปลี่ยนเป็นโลกที่ไม่คุ้นเคย เหมือน… แดนนรกทมิฬในตำนาน… และเหมือนยมโลกอย่างที่สุด”

เสียงต่ำลึกกระจายออกไปท่ามกลางความมืด

ในใจหลินสวินเย็นเยียบขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตอนที่มองไปยังรัตติกาลไกลๆ สายตาก็เปลี่ยนไปแล้ว นรกขุมทมิฬหรือ

สถานที่ที่มีแค่ในตำนานมายา มีอยู่จริงหรือ

“เพราะฉะนั้นข้าว่าเจ้าอย่าออกจากค่ายทัพตอนกลางคืนจะดีที่สุด แม้ในมือมีที่พึ่งมากมายก็อย่าไป ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน ข้าเห็นคนที่ไม่เชื่อทำเช่นนี้มาแล้วมากมาย แต่ผลลัพธ์มีเพียงหนึ่งเดียว”

จ้าวซิงเย่พูดถึงตรงนี้ ในสายตาเผยความกลัวอย่างยากจะได้เห็น

“อะไรหรือ”

“หายไป”

จ้าวซิงเย่พูด “หายไปอย่างไร้สุ้มเสียงและไม่กลับมาอีก แม้ไปหาตอนกลางวันก็ไม่พบร่องรอย กระทั่งกลิ่นอายก็ไม่หลงเหลือ”

“เจ้าควรรู้ดีว่าด้วยความสามารถของข้า แม้แต่คนตายที่ถูกทำลายไปแล้ว แต่ขอเพียงหลงเหลือกลิ่นอายเสี้ยวหนึ่งก็สามารถถูกข้าจับตำแหน่งได้ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่เคยพบคนที่หายไปตอนกลางคืนเลย”

“ไม่เจอแม้แต่คนเดียวเลยหรือขอรับ” หลินสวินเหมือนต้องการยืนยันจึงถามอีกรอบ

“ไม่”

จ้าวซิงเย่ตอบอย่างไม่ลังเลสักนิด

หลินสวินสายตาวูบไหว ในใจสั่นสะท้าน ยามราตรีกาลมาเยือน สมรภูมิกระหายเลือดจะกลายเป็นโลกที่ไม่คุ้นเคยที่ราวกับนรกจริงๆ หรือ

จนกระทั่งจ้าวซิงเย่จากไป หลังจากหลินสวินกลับห้องของตัวเองก็ยังคงใคร่ครวญเรื่องนี้

สุดท้ายเขาก็ส่ายหน้า สกัดกั้นความสงสัยในใจอย่างสิ้นเชิง เขาไม่อยากเอาชีวิตของตัวเองไปลองหรอก

แน่นอนว่าในอนาคตหากมีโอกาส เขาก็ไม่เกี่ยงที่จะไปสำรวจสักหน่อย

เวลาเดียวกันในห้องโถงมรรคาสวรรค์ หญิงลึกลับที่นั่งอยู่ใต้ประตูสวรรค์ก็จมสู่ภวังค์ความคิด “แบ่งเขตกลางวันกลางคืน หยินหยางอยู่ร่วมกันหรือ”

นางลุกขึ้นเหมือนจะทำอะไร

แต่จากนั้นนัยน์ตานางก็หดรัด เผยสีหน้าประหลาดใจราวกับสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง พลันพึมพำว่า “เป็นพลังที่แปลกประหลาดมาก ถึงกับสามารถขวางการตรวจสอบของข้าได้… หรือในรัตติกาลนั่นมีอีกโลกหนึ่งจริงๆ”

มีเพียงโลกที่มีพลังกฎระเบียบสูงส่ง จึงจะสามารถขวางกั้นการตรวจสอบของนางได้!

“น่าสนใจ ข้าอยากเห็นนักว่าราตรีกาลนี้ซ่อนอะไรไว้…” ยามใคร่ครวญเงาร่างของหญิงลึกลับแปลงเป็นละอองแสงล่องลอย หายไปในห้องโถงมรรคาสวรรค์

ส่วนหลินสวินไม่รู้เรื่องนี้เลยสักนิด

หลังจากลับห้องเขาก็เริ่มฝึกปราณอย่างตั้งใจ

ฮูม…

พร้อมๆ กับลมหายใจของเขา ไอวิญญาณสีม่วงปานแม่น้ำสายใหญ่ไหลพุ่งเข้ามา รวมตัวกันในห้องที่เขาอยู่จากสี่ทิศแปดด้าน

ไอวิญญาณที่พลุ่งพล่านนั่นแข็งแกร่งและบริสุทธิ์อย่างน่าตะลึก!

ระหว่างทางที่หลินสวินมายังภูเขาเมฆาครามก็เคยลองฝึกปราณในเนินเขาที่งดงามส่วนหนึ่ง ระดับความแข็งแกร่งของไอวิญญาณระดับนั้นทำให้เขารู้สึกตะลึงแล้ว

แต่อยู่ในภูเขาเมฆาคราม ไอวิญญาณไม่เพียงแข็งแกร่ง ยังบริสุทธิ์จนน่าทึ่ง มากจนที่อื่นเทียบไม่ได้ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งหายากในโลกภายนอกโดยสมบูรณ์!

‘หากบำเพ็ญที่นี่ ก็ไม่รู้ว่าก่อนเข้าร่วมศึกถกมรรคเขาพินิจมรรคในอีกสองปีข้างหน้า จะสามารถยกระดับพลังหลอมกายของข้าได้ถึงระดับไหน…’

หลินสวินคิดๆ แล้วก็อดลอบส่ายหน้าไม่ได้

การบรรลุระดับของการบำเพ็ญเพียรจะเน้นความไวไม่ได้ ต้องมั่นคงทุกย่างก้าว พัฒนาในความมั่นคง คำว่ามั่นคงต้องมาก่อน

ไม่เช่นนั้นก็เหมือนหอกลางอากาศ ทำให้ฐานมรรคไม่มั่นคง

ตั้งแต่วันนั้นหลินสวินก็อยู่ที่ภูเขาเมฆาคราม ทุ่มเทกายใจในการฝึกหลอมกาย น้อยมากที่จะออกไป

บางคราวจะดื่มเหล้าพูดคุยกับพวกหนิงเหมิง สืออวี่ เย่เสี่ยวชีสักครั้ง แต่เวลาและแรงส่วนที่มากกว่านั้นถูกเขาใช้กับการฝึกฝน

เรื่องนี้จ้าวซิงเย่เองก็ไม่ได้พูดอะไร ถึงขั้นยังออกคำสั่งว่าทุกๆ เจ็ดวันต้องส่งผลึกกำเนิดเจตะหนึ่งร้อยชั่งไปให้หลินสวิน เพื่อใช้ประโยชน์ในการฝึกปราณ

ในใจผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิหลายคนรู้สึกไม่ยุติธรรมนัก คิดว่าจ้าวซิงเย่ลำเอียง ให้ความสำคัญกับหลินสวินมากเกินไป

ควรรู้ว่าผลึกกำเนิดเจตะไม่ใช่ผักกาดขาวที่จะได้มาง่ายๆ

แม้ในสมรภูมิกระหายเลือดก็ต้องหาอย่างยากลำบากจึงจะได้มา เรียกได้ว่าเป็นทรัพยากรฝึกปราณที่หายาก มูลค่าไม่อาจประเมิน

ในค่ายทัพจักรวรรดิ ผู้แข็งแกร่งทุกคนล้วนมีหน้าที่เก็บรวบรวมผลึกกำเนิดเจตะ โดยที่สองส่วนจากที่หามาได้จะต้องนำส่งให้ค่ายทัพเพื่อเป็นวัตถุดิบสำรองทางยุทธศาสตร์

แต่หลินสวินกลับโชคดี ตั้งแต่เข้ามาในค่ายทัพ นอกจากฝึกปราณก็ดื่มเหล้า ผลึกกำเนิดเจตะที่ต้องใช้ในการฝึกฝนล้วนเป็น ‘วัตถุดิบยุทธศาสตร์’ ที่เก็บสะสมไว้ แน่นอนว่าย่อมทำให้คนอื่นรู้สึกไม่เป็นธรรม

“ผลึกกำเนิดเจตะที่พวกเราเสี่ยงชีวิตไปหามาอย่างยากลำบาก มีสิทธิ์อะไรให้หลินสวินใช้”

“ตั้งแต่เจ้าหมอนั่นเข้ามาในค่าย ก็ไม่เคยช่วยออกแรงเลย น่าหงุดหงิดจริงๆ!”

คำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้แพร่กระจายไปพร้อมๆ กับเวลาที่เคลื่อนคล้อย และมากขึ้นเรื่อยๆ

ความไม่พอใจในใจผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิเองก็ค่อยๆ สั่งสมมากขึ้นเรื่อยๆ…

สิ่งที่ทำให้พวกเขาจนปัญญาคือ หลินสวินแทบจะอยู่ในเรือนบนยอดเขาตลอดเวลาไม่ออกไปไหน ทำให้พวกเขาฉวยโอกาสไปถากถางโจมตีไม่ได้ จึงไม่สามารถระบายความไม่พอใจได้

อีกอย่างจ้าวซิงเย่รู้เรื่องนี้ดี แต่กลับไม่เคยมีความคิดที่จะเปลี่ยนสถานการณ์เช่นนี้

ท่าทีที่ปฏิบัติต่อหลินสวินนี้ ทำให้หลายคนอัดอั้นเต็มทรวงอก

พวกสืออวี่ หนิงเหมิงเองก็รู้เรื่องเหล่านี้ ต่างแอบขำไม่หยุด เรื่องที่หลินสวินได้เปรียบ แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางไม่ดีใจ

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ สามเดือนผ่านไปโดยไม่รู้ตัว

เรื่องที่ทำให้ทั้งค่ายต่างดีใจคือ หลี่ตู๋สิงฟื้นแล้ว และในร่างก็ไม่มีอาการข้างเคียงหลงเหลือ

เรื่องที่ทำให้ไม่พอใจคือ หลังจากหลี่ตู๋สิงฟื้นก็ไปหาหลินสวินทันที ได้ยินว่าคืนนั้นทั้งสองดื่มเหล้ากันถึงเช้า มีความสุขอย่างมาก…

“หลินสวินเจ้าตัวมอดคนนี้! น่าชังเกินไปแล้วจริงๆ!”

“ทนแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ผลึกกำเนิดเจตะที่พวกเราเสียเลือดเนื้อเสี่ยงอันตรายรวบรวมมา จะให้เจ้าคนที่อยู่เฉยๆ คว้าไปเปล่าๆ ไม่ได้อีกต่อไป!”

วันนี้ในที่สุดก็มีคนหมดความอดทน ตัดสินใจไปคิดบัญชีกับหลินสวิน

ทันใดนั้นทั้งค่ายทัพต่างฮือฮาขึ้นมา ผู้แข็งแกร่งหลายคนที่ไม่พอใจหลินสวินมานานแล้วต่างเคลื่อนไหวตามไปด้วย รวมตัวกันเดินขึ้นบนยอดเขาอย่างเกรียงไกร

ตอนที่พวกสืออวี่ หนิงเหมิงรู้ข่าวต่างอดขมวดคิ้วไม่ได้ หัวเราะเยาะไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้อิจฉาก็เท่านั้น!

ยามรู้ฐานะของผู้แข็งแกร่งที่เป็นแกนนำไปหาหลินสวิน พวกสืออวี่ต่างหรี่ตา ประหลาดใจไม่น้อย

“ทำไมถึงเป็นเจ้าหมอนั่น” หนิงเหมิงยิ่งร้องตกใจออกมา

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+