Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1432 อัดอั้นจนช้ำใน

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1432 อัดอั้นจนช้ำใน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซ่งอู๋เชวีย

อัจฉริยะที่ถือกำเนิดในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลซ่ง บุคคลผู้มีชื่อเสียงที่ผงาดขึ้นมาในสำนักศึกษามฤคมรกต ผู้โดดเด่นด้านการบำเพ็ญที่ถูกมองว่าหายากในพันปี

ในค่ายทัพจักรวรรดิตอนนี้ ความแข็งแกร่งด้านพลังต่อสู้ของเขาอยู่หนึ่งในห้าเลยเชียว!

ตอนนี้คนที่เป็นแกนนำพุ่งขึ้นยอดเขาหมายจะคิดบัญชีกับหลินสวินก็คือคนผู้นี้

ตอนที่รู้ข่าวนี้ พวกสืออวี่ หนิงเหมิงต่างนั่งไม่ติดและเร่งรีบขึ้นยอดเขาไป

พวกเขารู้ดีว่าซ่งอู๋เชวียนอกจากเป็นอัจฉริยะบำเพ็ญมรรคที่มีชื่อเสียง ยังเป็นบุคคลเหี้ยมโหดที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกัน!

ความแข็งแกร่งของเขา ไม่ต้องสงสัยมาตั้งนานแล้ว

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้สืออวี่ หนิงเหมิงประหลาดใจคือ ซ่งอู๋เชวียเป็นคนเก็บตัวมาโดยตลอด ไม่เคยเข้าร่วมความขัดแย้งใดๆ เหตุใดครั้งนี้จึงเป็นแกนนำไปโจมตีหลินสวินเสียได้

เพราะรู้สึกไม่ยุติธรรมจริงๆ หรือ

เรื่องราวคงไม่ได้ง่ายขนาดนี้

ระหว่างทางขึ้นเขา พวกสืออวี่เห็นผู้คนมากมายมีสีหน้าตื่นเต้น อยากรู้อยากลอง ท่าทางเหมือนมาดูความครื้นเครง

ไม่นานก็มาถึงยอดเขา

บนยอดเขาเมฆครามหมอกเมฆปกคลุม ไอม่วงพลุ่งพล่าน ประหนึ่งที่พำนักของเทพเซียน

ยอดเขามีเพียงเรือนหินสองหลัง หลังหนึ่งเป็นของราชินีกระหายเลือดจ้าวซิงเย่ ตอนนี้นางไม่อยู่

อีกหลังเป็นของหลินสวิน จ้าวซิงเย่เตรียมไว้ให้หลินสวินโดยเฉพาะ ‘การดูแลเป็นพิเศษ’ เช่นนี้เป็นที่อิจฉาตาร้อนได้ง่ายๆ อยู่แล้ว

เพราะทุกคนต่างรู้ว่าภูเขาเมฆาครามเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของสมรภูมิกระหายเลือด และตรงตำแหน่งยอดภูเขาก็เป็นสถานที่มงคลในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ แม้เป็นอริยะก็ไม่สามารถปฏิเสธความดึงดูดในการมาฝึกปราณที่นี่ได้

แต่ตอนนี้หลินสวินได้รับผลประโยชน์เช่นนี้

เรื่องนี้ยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกไม่ยุติธรรม มีสิทธิ์อะไร

ตอนนี้ซ่งอู๋เชวียยืนอยู่หน้าเรือนหินที่หลินสวินอยู่ เงาร่างของเขาผอมซูบ ใบหน้าเด็ดเดี่ยว ตัวตรงดุจกระบี่คม การแต่งกายเรียบง่าย แต่กลับแผ่ไอแห่งความเฉียบคมที่น่ากลัวดุร้ายชวนกดดัน

กลุ่มผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิรวมตัวกันอยู่ห่างออกไป สีหน้าฮึกเหิมยากจะกักเก็บ

พวกเขาทนมานานแล้ว!

ตอนนี้ในที่สุดก็มีคนหาเรื่องตัวมอดอย่างหลินสวิน ทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งระดับซ่งอู๋เชวีย ทำให้พวกเขาคาดหวังว่าความแค้นอันใหญ่หลวงจะถูกเอาคืน

พวกองค์ชายเจ็ดจ้าวจิ่งเฟิงและฉินเฟยอวี่ก็อยู่ในนั้นด้วย

เพียงแต่จ้าวจิ่งเฟิงกลับประหลาดใจเล็กน้อย อดสื่อจิตไม่ได้ ‘เจ้าเกลี้ยกล่อมซ่งอู๋เชวียอย่างไร ข้าจำได้ว่าคนผู้นี้ไม่ชอบมีเรื่องและไม่เคยยุ่งเรื่องความขัดแย้งใด มีแต่หมกมุ่นอยู่กับการฝึกปราณอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น’

ฉินเฟยอวี่เผยรอยยิ้มมั่นใจ ‘ข้าบอกเขาเพียงว่า สองปีหลังจากนี้ หลินสวินจะไปร่วมศึกถกมรรคเขาพินิจมรรคในฐานะบุคคลที่โดดเด่นที่สุดของฝั่งจักรวรรดิแทนที่หลี่ตู๋สิง’

‘แล้วเขาก็ตอบรับเลยหรือ’ จ้าวจิ่งเฟิงอึ้ง

ฉินเฟยอวี่พยักหน้า ‘ซ่งอู๋เชวียขาดอะไรตรงไหน เอาแต่หมกมุ่นคลั่งไคล้การฝึกปราณที่สุด ปีที่แล้วตอนที่รู้ว่าหลี่ตู๋สิงจะเป็นตัวแทนค่ายทัพจักรวรรดิไปร่วมศึกถกมรรคเขาพินิจมรรค เขาก็ไปหาถึงที่ ดวลกับหลี่ตู๋สิงรอบหนึ่ง ตอนนี้ก็แค่เปลี่ยนคู่ต่อสู้เป็นหลินสวินเท่านั้น’

จ้าวจิ่งเฟิงงุนงง จุ๊ปากชื่นชม ‘ซ่งอู๋เชวียถือเป็นคนที่สุดยอดจริงๆ’

ฉินเฟยอวี่ยิ้มพูด ‘เช่นนี้จึงจะดูออกว่าหลินสวินมีความสามารถแค่ไหนกันแน่ ตั้งแต่เขาเข้ามาในภูเขาเมฆาครามก็แทบไม่เคยออกจากเรือน และไม่เคยลงแรงเพื่อจักรวรรดิ กลับได้รับความโปรดปรานจากท่านจ้าวซิงเย่ ดูแลเขาเป็นพิเศษ ทำให้ทุกคนไม่พอใจตั้งนานแล้ว’

หยุดไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดต่อ ‘ตอนนี้ซ่งอู๋เชวียมาหาถึงที่ หากหลินสวินสามารถสกัดการท้าทายครั้งนี้ได้ แน่นอนว่าทุกคนก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่ถ้าไม่…’

จ้าวจิ่งเฟิงหัวเราะเยาะ ‘หากสกัดไม่อยู่ เขาหลินสวินไม่เพียงขายหน้า ยังกระตุ้นให้ทุกคนขึ้งโกรธโดยสมบูรณ์ มองเขาเป็นมอดที่ทุกคนรังเกียจ ถึงตอนนั้นแม้ท่านอาข้าออกหน้า ก็คงไม่สามารถปกป้องมอดตัวนี้ได้!’

ฉินเฟยอวี่กล่าว ‘ที่องค์ชายเจ็ดพูดถูกต้องอย่างยิ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต่อไปหลินสวินจะไม่มีสิทธิ์ได้รับการดูแลพิเศษเช่นนั้นอีก’

“หลินสวิน ยังไม่ออกมารับศึกอีกหรือ”

หลายเสียงกำลังตะโกนราวกับกลัวว่าจะไม่วุ่นวายพอ

พวกสืออวี่ หนิงเหมิงขมวดคิ้ว แต่ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะซ่งอู๋เชวียมาท้าทายอย่างเปิดเผย ทำให้ไม่มีใครสามารถขวางได้

‘จำพวกใส่ไฟพวกนั้นให้ดี ต่อไปหาโอกาสจัดการพวกเขาซะ!’ สืออวี่ยิ้มสื่อจิต ในคำพูดกลับแฝงความชิงชัง

‘แน่นอนอยู่แล้ว’

หนิงเหมิงยิ้มเยาะ ‘ความอิจฉาทำให้คนน่ารังเกียจ คนพวกนี้กล้าคิดไม่ซื่อกับหลินสวิน เห็นได้ชัดว่าถูกเพลิงริษยาครอบงำไปแล้ว’

ไม่ได้ให้ทุกคนรอนาน ประตูเรือนหินที่ปิดสนิทถูกเปิดออก หลินสวินที่ปิดด่านมานานหลายเดือนปรากฏตัวในสายตาของทุกคน

เขายังคงอยู่ในชุดสีขาวพระจันทร์ ท่าทางนิ่งสงบ สายตากวาดมองทุกคนแล้วหยุดที่ซ่งอู๋เชวีย

ตั้งแต่กลับโลกชั้นล่างหลินสวินไม่ได้เจอเรื่องเช่นนี้มานานมากแล้ว การตอบสนองแรกของเขาคือ อีกฝ่าย…

โง่หรือเปล่า

ควรรู้ว่าในค่ายแห่งนี้ คนเดียวที่สามารถสร้างแรงกดดันให้เขาได้คือจ้าวซิงเย่

อีกทั้งวันแรกที่เขามาถึงก็ใช้ฝ่ามือสะบัดใส่หน้าองค์ชายเจ็ดจ้าวจิ่งเฟิงไปสองที พิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนแล้ว

ในสถานการณ์เช่นนี้กลับยังมีคนแสดงตัวออกมาท้าทาย นี่ทำให้หลินสวินประหลาดใจมาก ถ้าอีกฝ่ายไม่โง่ ก็คงถูกคนใช้เป็นเครื่องมือ

คิดถึงตรงนี้หลินสวินรู้สึกไร้ความน่าสนใจ พลันพูดตรงๆ “ไม่กลัวตาย?”

ซ่งอู๋เชวียยังไม่ทันบอกจุดประสงค์การมาของตนเอง ถึงขั้นยังไม่ทันพูดแม้แต่ประโยคเดียวก็ได้ยินคำถามเช่นนี้ จึงอดชะงักไม่ได้

ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างผิดคาด คำถามนี้ตรงเกินไป ทำให้ทุกคนตั้งตัวไม่ติดจริงๆ

ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดจะต่อว่า โจมตี กล่าวโทษและประณามตัวมอดอย่างหลินสวินสักหน่อย เพื่อช่วยเสริมซ่งอู๋เชวีย

แต่ประโยคเดียวของหลินสวิน เพียงสามคำ ก็โจมตีพวกเขาจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว

ความรู้สึกนั้นเหมือนงานเลี้ยงที่ตั้งใจเตรียมยังไม่ทันเริ่ม ก็มีคนประกาศว่าจะเก็บงาน น่าเดือดดาลและขัดเคืองใจเกินไปแล้ว

“กลัวตาย” สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ หลังจากซ่งอู๋เชวียจ้องหลินสวินอยู่ครู่หนึ่งก็พูดออกมาตรงๆ ว่าตนเองก็กลัวตาย

ทำลายความองอาจของตัวเองเกินไปแล้ว!

ความคาดหวังที่ความแค้นอันใหญ่หลวงกำลังจะถูกชำระในใจทุกคนพลันถูกสกัดกั้นไว้ในอกทันที มีความรู้สึกอึดอัดที่อธิบายไม่ถูก

หลินสวินเองก็อึ้ง หยุดมองซ่งอู๋เชวียแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “กลัวตายแล้วยังไม่รีบไปอีกหรือ”

“ไปเดี๋ยวนี้แหละ”

ซ่งอู๋เชวียตอบกลับอย่างเด็ดขาดโดยไม่ลังเลสักนิด

ยามเผชิญหน้ากับหลินสวินครั้งแรก เขาเองก็เหมือนคนอื่นๆ ไม่ได้รู้สึกถึงกลิ่นอายข่มขวัญใดๆ แต่ตอนที่หลินสวินถามสามคำนั้นออกมา ซ่งอู๋เชวียกลับสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างกะทันหัน

ราวกับถูกการคุกคามที่อันตรายถึงชีวิตจับจ้อง ทำให้กล้ามเนื้อทั้งตัวเขาเกร็งขึ้นมา กระสับกระส่ายอย่างที่สุด จิตใจยิ่งแบกรับความกดดันที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้

เขาตัดสินทันทีว่า หากลงมือตนจะต้องแพ้แน่ จึงยอมแพ้อย่างว่องไว

เพียงแต่ปฏิกิริยาเช่นนี้ของเขากลับทำให้คนทั้งลานพูดไม่ออก เหมือนกินแมลงวันตายเข้าไปไม่มีผิดเพี้ยน สีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุด

ก่อนหน้านี้พวกเขาระดมผู้คนมามากมาย ต่างฮึกเหิมพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น มีท่าทีว่าวันนี้จะสามารถกำจัดตัวมอดอย่างหลินสวินระบายความแค้นในใจ

เพื่อการนี้พวกเขารวมตัวกันมา ล้วนอยากเห็นจุดจบที่หลินสวินถูกโจมตีจนยับเยิน ถึงขั้นเตรียมพร้อมว่าตอนที่หลินสวินพ่ายแพ้จะเหยียบซ้ำให้หนัก หักหน้าเขา ให้เขารู้ว่าจุดจบของการเป็นมอดน่าอนาถแค่ไหน

แต่ไม่เคยคิดว่าแค่การสนทนาที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาไม่กี่คำ ซ่งอู๋เชวียก็สู้ไม่ไหวแล้ว!

เปิดเรื่องอย่างยิ่งใหญ่ แต่จบอย่างไม่น่าสนใจ ฟ้าร้องดังฝนแผ่วก็เป็นเช่นนี้แหละ!

ผู้แข็งแกร่งหลายคนอัดอั้นจนแทบกระอักเลือด ซ่งอู๋เชวียทำเช่นนี้ได้อย่างไร

ส่วนฉินเฟยอวี่และจ้าวจิ่งเฟิงรอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้า อึ้งงันอยู่ตรงนั้น ราวกับยากจะเชื่อ ในใจเหมือนมีม้าหมื่นตัววิ่งผ่าน

ซ่งอู๋เชวียยอมแพ้เช่นนี้ได้อย่างไร

เขาเป็นถึงบุคคลกร้าวแกร่งที่พลังต่อสู้จัดอยู่ในห้าอันดับแรกของค่าย เคยดวลกับหลี่ตู๋สิงยังไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว เป็นอัจฉริยะที่หายากในหมื่นปี!

ยอมแพ้ได้อย่างไร

ทุกคนนิ่งงันสับสนอยู่ท่ามกลางสายลม

แม้แต่พวกสืออวี่ หนิงเหมิงยังเผยสีหน้าตะลึงว่าทำเช่นนี้ก็ได้หรือ

มีเพียงหลินสวินที่ในใจแอบชื่นชม นับว่าเป็นคนที่ใช้ได้ สังเกตได้ว่าไม่เข้าทีก็ตัดสินใจทันที ปล่อยวางได้ไม่ยึดติด

“ก่อนไปข้ามีเรื่องหนึ่งอยากทำ”

จู่ๆ ซ่งอู๋เชวียก็พูดขึ้น ดึงดูดความสนใจของทั้งลาน หลายคนตื่นเต้นขึ้นมา

ฉินเฟยอวี่ยิ่งท่าทางเหมือนยกภูเขาออกจากอก ยิ้มพูด “ควรเป็นเช่นนี้แต่แรก ควรเป็นเช่นนี้ตั้งนานแล้ว”

ชิ้ง!

พลันเห็นซ่งอู๋เชวียชักกระบี่ออกมากะทันหัน คมกระบี่ราวกับน้ำที่สะอาดสดใสในฤดูใบไม้ร่วง ส่องแสงเย็นเยียบอันรุนแรงสะดุดตาท่ามกลางแสงท้องฟ้า

ส่วนปลายกระบี่ กลับชี้ไปที่ฉินเฟยอวี่!

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ไม่เพียงทำให้ทั้งลานผิดคาด เกือบจะร้องตกใจออกมา แม้แต่ฉินเฟยอวี่ยังแข็งทื่อไปทั้งตัว ลูกตาแทบหลุดออกมา

เขาเพิ่งจะพูดว่า ‘ควรเป็นเช่นนี้แต่แรก’ ผลคือ… หนึ่งกระบี่กลับแทงมาเช่นนี้!

กะทันหันเกินไป ทำเอาเขาทำอะไรไม่ถูก

ปัง!

คมกระบี่ม้วนกลับด้วยความไวที่เหลือเชื่อ ทะลวงการป้องกันและสกัดกั้นของฉินเฟยอวี่ ตบลงบนไหล่ของเขาอย่างแรง

ท่ามกลางเสียงที่ทึบหนัก ฉินเฟยอวี่ถูกตบจนปลิวไปทั้งตัวราวกับว่าวที่สายป่านขาด ร่วงลงข้างหน้าผาตกสู่ทะเลเมฆ

ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงตะโกนที่เดือดดาล งุนงง และเจ็บปวดของเขา สะเทือนจนทะเลเมฆเป็นคลื่นขึ้นมา ดังก้องท้องฟ้า

ผู้แข็งแกร่งทั้งลานที่ตกอยู่ท่ามกลางความตะลึงขนลุกซู่ขึ้นมา ภาพที่แปลกประหลาดนี้ทำเอาพวกเขาเองก็ตกใจ

ใครก็คิดไม่ถึงว่าการท้าทายที่พุ่งเป้าไปยังหลินสวิน กลับจบลงที่ฉินเฟยอวี่ถูกโจมตี…

เหลือเชื่อเกินไป!

เสียงชิ้งดังขึ้นครั้งหนึ่ง ซ่งอู๋เชวียเก็บกระบี่แล้วหันไปประสานหมัดให้หลินสวินไกลๆ โดยไม่อธิบายอะไร พูดเพียงว่า “ล่วงเกินเสียแล้ว” ก็หมุนตัวจากไป

ทุกคนยังคงจิตใจงงงวย

มีเพียงจ้าวจิ่งเฟิงที่รู้ดีว่า กระบี่นี้ของซ่งอู๋เชวียเป็นการแสดงความไม่พอใจและตักเตือนฉินเฟยอวี่!

“ทุกท่านเชิญกลับไปเถอะ”

หลินสวินพูดประโยคนี้ทิ้งท้ายเอาไว้แล้วหมุนตัวกลับเรือนหินไป

ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยลงมือ แต่ทุกคนต่างตระหนักได้ว่าสถานการณ์ผิดปกติ ซ่งอู๋เชวียไม่ใช่คนที่ชอบหยอกคนเล่นแน่

ที่เขาล้มเลิกการท้าทาย คงเพราะสังเกตเห็นและเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว!

ทันใดนั้นความอัดอั้นและความไม่จำยอมที่ไม่ได้รับการปลดปล่อยในใจทุกคนแปลงเป็นความสงสัย ลุกลามไปทั่วร่างกาย

พอมองเรือนหินของหลินสวินอีกครั้ง หลายคนต่างเผยสีหน้าสับสน

ทุกคนต่างรู้ว่า ต่อไปคงไม่มีใครกล้าท้าทายหลินสวินอีกแล้ว และการดูแลเป็นพิเศษที่ ‘มอด’ ตัวนี้ได้รับ ก็จะดำเนินต่อไป…

ผลลัพธ์นี้ทำให้ทุกคนผิดหวังมากอย่างไม่ต้องสงสัย!

และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปชีวิตของหลินสวินก็กลับมาสงบอีกครั้ง ผ่านทุกวันไปกับการฝึกปราณอย่างเต็มที่

เวลาก็ล่วงเลยไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางการฝึกปราณอย่างสงบเช่นนี้…

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1432 อัดอั้นจนช้ำใน

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1432 อัดอั้นจนช้ำใน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซ่งอู๋เชวีย

อัจฉริยะที่ถือกำเนิดในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลซ่ง บุคคลผู้มีชื่อเสียงที่ผงาดขึ้นมาในสำนักศึกษามฤคมรกต ผู้โดดเด่นด้านการบำเพ็ญที่ถูกมองว่าหายากในพันปี

ในค่ายทัพจักรวรรดิตอนนี้ ความแข็งแกร่งด้านพลังต่อสู้ของเขาอยู่หนึ่งในห้าเลยเชียว!

ตอนนี้คนที่เป็นแกนนำพุ่งขึ้นยอดเขาหมายจะคิดบัญชีกับหลินสวินก็คือคนผู้นี้

ตอนที่รู้ข่าวนี้ พวกสืออวี่ หนิงเหมิงต่างนั่งไม่ติดและเร่งรีบขึ้นยอดเขาไป

พวกเขารู้ดีว่าซ่งอู๋เชวียนอกจากเป็นอัจฉริยะบำเพ็ญมรรคที่มีชื่อเสียง ยังเป็นบุคคลเหี้ยมโหดที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกัน!

ความแข็งแกร่งของเขา ไม่ต้องสงสัยมาตั้งนานแล้ว

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้สืออวี่ หนิงเหมิงประหลาดใจคือ ซ่งอู๋เชวียเป็นคนเก็บตัวมาโดยตลอด ไม่เคยเข้าร่วมความขัดแย้งใดๆ เหตุใดครั้งนี้จึงเป็นแกนนำไปโจมตีหลินสวินเสียได้

เพราะรู้สึกไม่ยุติธรรมจริงๆ หรือ

เรื่องราวคงไม่ได้ง่ายขนาดนี้

ระหว่างทางขึ้นเขา พวกสืออวี่เห็นผู้คนมากมายมีสีหน้าตื่นเต้น อยากรู้อยากลอง ท่าทางเหมือนมาดูความครื้นเครง

ไม่นานก็มาถึงยอดเขา

บนยอดเขาเมฆครามหมอกเมฆปกคลุม ไอม่วงพลุ่งพล่าน ประหนึ่งที่พำนักของเทพเซียน

ยอดเขามีเพียงเรือนหินสองหลัง หลังหนึ่งเป็นของราชินีกระหายเลือดจ้าวซิงเย่ ตอนนี้นางไม่อยู่

อีกหลังเป็นของหลินสวิน จ้าวซิงเย่เตรียมไว้ให้หลินสวินโดยเฉพาะ ‘การดูแลเป็นพิเศษ’ เช่นนี้เป็นที่อิจฉาตาร้อนได้ง่ายๆ อยู่แล้ว

เพราะทุกคนต่างรู้ว่าภูเขาเมฆาครามเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของสมรภูมิกระหายเลือด และตรงตำแหน่งยอดภูเขาก็เป็นสถานที่มงคลในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ แม้เป็นอริยะก็ไม่สามารถปฏิเสธความดึงดูดในการมาฝึกปราณที่นี่ได้

แต่ตอนนี้หลินสวินได้รับผลประโยชน์เช่นนี้

เรื่องนี้ยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกไม่ยุติธรรม มีสิทธิ์อะไร

ตอนนี้ซ่งอู๋เชวียยืนอยู่หน้าเรือนหินที่หลินสวินอยู่ เงาร่างของเขาผอมซูบ ใบหน้าเด็ดเดี่ยว ตัวตรงดุจกระบี่คม การแต่งกายเรียบง่าย แต่กลับแผ่ไอแห่งความเฉียบคมที่น่ากลัวดุร้ายชวนกดดัน

กลุ่มผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิรวมตัวกันอยู่ห่างออกไป สีหน้าฮึกเหิมยากจะกักเก็บ

พวกเขาทนมานานแล้ว!

ตอนนี้ในที่สุดก็มีคนหาเรื่องตัวมอดอย่างหลินสวิน ทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งระดับซ่งอู๋เชวีย ทำให้พวกเขาคาดหวังว่าความแค้นอันใหญ่หลวงจะถูกเอาคืน

พวกองค์ชายเจ็ดจ้าวจิ่งเฟิงและฉินเฟยอวี่ก็อยู่ในนั้นด้วย

เพียงแต่จ้าวจิ่งเฟิงกลับประหลาดใจเล็กน้อย อดสื่อจิตไม่ได้ ‘เจ้าเกลี้ยกล่อมซ่งอู๋เชวียอย่างไร ข้าจำได้ว่าคนผู้นี้ไม่ชอบมีเรื่องและไม่เคยยุ่งเรื่องความขัดแย้งใด มีแต่หมกมุ่นอยู่กับการฝึกปราณอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น’

ฉินเฟยอวี่เผยรอยยิ้มมั่นใจ ‘ข้าบอกเขาเพียงว่า สองปีหลังจากนี้ หลินสวินจะไปร่วมศึกถกมรรคเขาพินิจมรรคในฐานะบุคคลที่โดดเด่นที่สุดของฝั่งจักรวรรดิแทนที่หลี่ตู๋สิง’

‘แล้วเขาก็ตอบรับเลยหรือ’ จ้าวจิ่งเฟิงอึ้ง

ฉินเฟยอวี่พยักหน้า ‘ซ่งอู๋เชวียขาดอะไรตรงไหน เอาแต่หมกมุ่นคลั่งไคล้การฝึกปราณที่สุด ปีที่แล้วตอนที่รู้ว่าหลี่ตู๋สิงจะเป็นตัวแทนค่ายทัพจักรวรรดิไปร่วมศึกถกมรรคเขาพินิจมรรค เขาก็ไปหาถึงที่ ดวลกับหลี่ตู๋สิงรอบหนึ่ง ตอนนี้ก็แค่เปลี่ยนคู่ต่อสู้เป็นหลินสวินเท่านั้น’

จ้าวจิ่งเฟิงงุนงง จุ๊ปากชื่นชม ‘ซ่งอู๋เชวียถือเป็นคนที่สุดยอดจริงๆ’

ฉินเฟยอวี่ยิ้มพูด ‘เช่นนี้จึงจะดูออกว่าหลินสวินมีความสามารถแค่ไหนกันแน่ ตั้งแต่เขาเข้ามาในภูเขาเมฆาครามก็แทบไม่เคยออกจากเรือน และไม่เคยลงแรงเพื่อจักรวรรดิ กลับได้รับความโปรดปรานจากท่านจ้าวซิงเย่ ดูแลเขาเป็นพิเศษ ทำให้ทุกคนไม่พอใจตั้งนานแล้ว’

หยุดไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดต่อ ‘ตอนนี้ซ่งอู๋เชวียมาหาถึงที่ หากหลินสวินสามารถสกัดการท้าทายครั้งนี้ได้ แน่นอนว่าทุกคนก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่ถ้าไม่…’

จ้าวจิ่งเฟิงหัวเราะเยาะ ‘หากสกัดไม่อยู่ เขาหลินสวินไม่เพียงขายหน้า ยังกระตุ้นให้ทุกคนขึ้งโกรธโดยสมบูรณ์ มองเขาเป็นมอดที่ทุกคนรังเกียจ ถึงตอนนั้นแม้ท่านอาข้าออกหน้า ก็คงไม่สามารถปกป้องมอดตัวนี้ได้!’

ฉินเฟยอวี่กล่าว ‘ที่องค์ชายเจ็ดพูดถูกต้องอย่างยิ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต่อไปหลินสวินจะไม่มีสิทธิ์ได้รับการดูแลพิเศษเช่นนั้นอีก’

“หลินสวิน ยังไม่ออกมารับศึกอีกหรือ”

หลายเสียงกำลังตะโกนราวกับกลัวว่าจะไม่วุ่นวายพอ

พวกสืออวี่ หนิงเหมิงขมวดคิ้ว แต่ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะซ่งอู๋เชวียมาท้าทายอย่างเปิดเผย ทำให้ไม่มีใครสามารถขวางได้

‘จำพวกใส่ไฟพวกนั้นให้ดี ต่อไปหาโอกาสจัดการพวกเขาซะ!’ สืออวี่ยิ้มสื่อจิต ในคำพูดกลับแฝงความชิงชัง

‘แน่นอนอยู่แล้ว’

หนิงเหมิงยิ้มเยาะ ‘ความอิจฉาทำให้คนน่ารังเกียจ คนพวกนี้กล้าคิดไม่ซื่อกับหลินสวิน เห็นได้ชัดว่าถูกเพลิงริษยาครอบงำไปแล้ว’

ไม่ได้ให้ทุกคนรอนาน ประตูเรือนหินที่ปิดสนิทถูกเปิดออก หลินสวินที่ปิดด่านมานานหลายเดือนปรากฏตัวในสายตาของทุกคน

เขายังคงอยู่ในชุดสีขาวพระจันทร์ ท่าทางนิ่งสงบ สายตากวาดมองทุกคนแล้วหยุดที่ซ่งอู๋เชวีย

ตั้งแต่กลับโลกชั้นล่างหลินสวินไม่ได้เจอเรื่องเช่นนี้มานานมากแล้ว การตอบสนองแรกของเขาคือ อีกฝ่าย…

โง่หรือเปล่า

ควรรู้ว่าในค่ายแห่งนี้ คนเดียวที่สามารถสร้างแรงกดดันให้เขาได้คือจ้าวซิงเย่

อีกทั้งวันแรกที่เขามาถึงก็ใช้ฝ่ามือสะบัดใส่หน้าองค์ชายเจ็ดจ้าวจิ่งเฟิงไปสองที พิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนแล้ว

ในสถานการณ์เช่นนี้กลับยังมีคนแสดงตัวออกมาท้าทาย นี่ทำให้หลินสวินประหลาดใจมาก ถ้าอีกฝ่ายไม่โง่ ก็คงถูกคนใช้เป็นเครื่องมือ

คิดถึงตรงนี้หลินสวินรู้สึกไร้ความน่าสนใจ พลันพูดตรงๆ “ไม่กลัวตาย?”

ซ่งอู๋เชวียยังไม่ทันบอกจุดประสงค์การมาของตนเอง ถึงขั้นยังไม่ทันพูดแม้แต่ประโยคเดียวก็ได้ยินคำถามเช่นนี้ จึงอดชะงักไม่ได้

ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างผิดคาด คำถามนี้ตรงเกินไป ทำให้ทุกคนตั้งตัวไม่ติดจริงๆ

ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดจะต่อว่า โจมตี กล่าวโทษและประณามตัวมอดอย่างหลินสวินสักหน่อย เพื่อช่วยเสริมซ่งอู๋เชวีย

แต่ประโยคเดียวของหลินสวิน เพียงสามคำ ก็โจมตีพวกเขาจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว

ความรู้สึกนั้นเหมือนงานเลี้ยงที่ตั้งใจเตรียมยังไม่ทันเริ่ม ก็มีคนประกาศว่าจะเก็บงาน น่าเดือดดาลและขัดเคืองใจเกินไปแล้ว

“กลัวตาย” สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ หลังจากซ่งอู๋เชวียจ้องหลินสวินอยู่ครู่หนึ่งก็พูดออกมาตรงๆ ว่าตนเองก็กลัวตาย

ทำลายความองอาจของตัวเองเกินไปแล้ว!

ความคาดหวังที่ความแค้นอันใหญ่หลวงกำลังจะถูกชำระในใจทุกคนพลันถูกสกัดกั้นไว้ในอกทันที มีความรู้สึกอึดอัดที่อธิบายไม่ถูก

หลินสวินเองก็อึ้ง หยุดมองซ่งอู๋เชวียแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “กลัวตายแล้วยังไม่รีบไปอีกหรือ”

“ไปเดี๋ยวนี้แหละ”

ซ่งอู๋เชวียตอบกลับอย่างเด็ดขาดโดยไม่ลังเลสักนิด

ยามเผชิญหน้ากับหลินสวินครั้งแรก เขาเองก็เหมือนคนอื่นๆ ไม่ได้รู้สึกถึงกลิ่นอายข่มขวัญใดๆ แต่ตอนที่หลินสวินถามสามคำนั้นออกมา ซ่งอู๋เชวียกลับสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างกะทันหัน

ราวกับถูกการคุกคามที่อันตรายถึงชีวิตจับจ้อง ทำให้กล้ามเนื้อทั้งตัวเขาเกร็งขึ้นมา กระสับกระส่ายอย่างที่สุด จิตใจยิ่งแบกรับความกดดันที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้

เขาตัดสินทันทีว่า หากลงมือตนจะต้องแพ้แน่ จึงยอมแพ้อย่างว่องไว

เพียงแต่ปฏิกิริยาเช่นนี้ของเขากลับทำให้คนทั้งลานพูดไม่ออก เหมือนกินแมลงวันตายเข้าไปไม่มีผิดเพี้ยน สีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุด

ก่อนหน้านี้พวกเขาระดมผู้คนมามากมาย ต่างฮึกเหิมพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น มีท่าทีว่าวันนี้จะสามารถกำจัดตัวมอดอย่างหลินสวินระบายความแค้นในใจ

เพื่อการนี้พวกเขารวมตัวกันมา ล้วนอยากเห็นจุดจบที่หลินสวินถูกโจมตีจนยับเยิน ถึงขั้นเตรียมพร้อมว่าตอนที่หลินสวินพ่ายแพ้จะเหยียบซ้ำให้หนัก หักหน้าเขา ให้เขารู้ว่าจุดจบของการเป็นมอดน่าอนาถแค่ไหน

แต่ไม่เคยคิดว่าแค่การสนทนาที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาไม่กี่คำ ซ่งอู๋เชวียก็สู้ไม่ไหวแล้ว!

เปิดเรื่องอย่างยิ่งใหญ่ แต่จบอย่างไม่น่าสนใจ ฟ้าร้องดังฝนแผ่วก็เป็นเช่นนี้แหละ!

ผู้แข็งแกร่งหลายคนอัดอั้นจนแทบกระอักเลือด ซ่งอู๋เชวียทำเช่นนี้ได้อย่างไร

ส่วนฉินเฟยอวี่และจ้าวจิ่งเฟิงรอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้า อึ้งงันอยู่ตรงนั้น ราวกับยากจะเชื่อ ในใจเหมือนมีม้าหมื่นตัววิ่งผ่าน

ซ่งอู๋เชวียยอมแพ้เช่นนี้ได้อย่างไร

เขาเป็นถึงบุคคลกร้าวแกร่งที่พลังต่อสู้จัดอยู่ในห้าอันดับแรกของค่าย เคยดวลกับหลี่ตู๋สิงยังไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว เป็นอัจฉริยะที่หายากในหมื่นปี!

ยอมแพ้ได้อย่างไร

ทุกคนนิ่งงันสับสนอยู่ท่ามกลางสายลม

แม้แต่พวกสืออวี่ หนิงเหมิงยังเผยสีหน้าตะลึงว่าทำเช่นนี้ก็ได้หรือ

มีเพียงหลินสวินที่ในใจแอบชื่นชม นับว่าเป็นคนที่ใช้ได้ สังเกตได้ว่าไม่เข้าทีก็ตัดสินใจทันที ปล่อยวางได้ไม่ยึดติด

“ก่อนไปข้ามีเรื่องหนึ่งอยากทำ”

จู่ๆ ซ่งอู๋เชวียก็พูดขึ้น ดึงดูดความสนใจของทั้งลาน หลายคนตื่นเต้นขึ้นมา

ฉินเฟยอวี่ยิ่งท่าทางเหมือนยกภูเขาออกจากอก ยิ้มพูด “ควรเป็นเช่นนี้แต่แรก ควรเป็นเช่นนี้ตั้งนานแล้ว”

ชิ้ง!

พลันเห็นซ่งอู๋เชวียชักกระบี่ออกมากะทันหัน คมกระบี่ราวกับน้ำที่สะอาดสดใสในฤดูใบไม้ร่วง ส่องแสงเย็นเยียบอันรุนแรงสะดุดตาท่ามกลางแสงท้องฟ้า

ส่วนปลายกระบี่ กลับชี้ไปที่ฉินเฟยอวี่!

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ไม่เพียงทำให้ทั้งลานผิดคาด เกือบจะร้องตกใจออกมา แม้แต่ฉินเฟยอวี่ยังแข็งทื่อไปทั้งตัว ลูกตาแทบหลุดออกมา

เขาเพิ่งจะพูดว่า ‘ควรเป็นเช่นนี้แต่แรก’ ผลคือ… หนึ่งกระบี่กลับแทงมาเช่นนี้!

กะทันหันเกินไป ทำเอาเขาทำอะไรไม่ถูก

ปัง!

คมกระบี่ม้วนกลับด้วยความไวที่เหลือเชื่อ ทะลวงการป้องกันและสกัดกั้นของฉินเฟยอวี่ ตบลงบนไหล่ของเขาอย่างแรง

ท่ามกลางเสียงที่ทึบหนัก ฉินเฟยอวี่ถูกตบจนปลิวไปทั้งตัวราวกับว่าวที่สายป่านขาด ร่วงลงข้างหน้าผาตกสู่ทะเลเมฆ

ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงตะโกนที่เดือดดาล งุนงง และเจ็บปวดของเขา สะเทือนจนทะเลเมฆเป็นคลื่นขึ้นมา ดังก้องท้องฟ้า

ผู้แข็งแกร่งทั้งลานที่ตกอยู่ท่ามกลางความตะลึงขนลุกซู่ขึ้นมา ภาพที่แปลกประหลาดนี้ทำเอาพวกเขาเองก็ตกใจ

ใครก็คิดไม่ถึงว่าการท้าทายที่พุ่งเป้าไปยังหลินสวิน กลับจบลงที่ฉินเฟยอวี่ถูกโจมตี…

เหลือเชื่อเกินไป!

เสียงชิ้งดังขึ้นครั้งหนึ่ง ซ่งอู๋เชวียเก็บกระบี่แล้วหันไปประสานหมัดให้หลินสวินไกลๆ โดยไม่อธิบายอะไร พูดเพียงว่า “ล่วงเกินเสียแล้ว” ก็หมุนตัวจากไป

ทุกคนยังคงจิตใจงงงวย

มีเพียงจ้าวจิ่งเฟิงที่รู้ดีว่า กระบี่นี้ของซ่งอู๋เชวียเป็นการแสดงความไม่พอใจและตักเตือนฉินเฟยอวี่!

“ทุกท่านเชิญกลับไปเถอะ”

หลินสวินพูดประโยคนี้ทิ้งท้ายเอาไว้แล้วหมุนตัวกลับเรือนหินไป

ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยลงมือ แต่ทุกคนต่างตระหนักได้ว่าสถานการณ์ผิดปกติ ซ่งอู๋เชวียไม่ใช่คนที่ชอบหยอกคนเล่นแน่

ที่เขาล้มเลิกการท้าทาย คงเพราะสังเกตเห็นและเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว!

ทันใดนั้นความอัดอั้นและความไม่จำยอมที่ไม่ได้รับการปลดปล่อยในใจทุกคนแปลงเป็นความสงสัย ลุกลามไปทั่วร่างกาย

พอมองเรือนหินของหลินสวินอีกครั้ง หลายคนต่างเผยสีหน้าสับสน

ทุกคนต่างรู้ว่า ต่อไปคงไม่มีใครกล้าท้าทายหลินสวินอีกแล้ว และการดูแลเป็นพิเศษที่ ‘มอด’ ตัวนี้ได้รับ ก็จะดำเนินต่อไป…

ผลลัพธ์นี้ทำให้ทุกคนผิดหวังมากอย่างไม่ต้องสงสัย!

และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปชีวิตของหลินสวินก็กลับมาสงบอีกครั้ง ผ่านทุกวันไปกับการฝึกปราณอย่างเต็มที่

เวลาก็ล่วงเลยไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางการฝึกปราณอย่างสงบเช่นนี้…

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+