Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1463 ความลำบากของการขึ้นบันได

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1463 ความลำบากของการขึ้นบันได at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บนป้ายคำสั่งสลักอักษรโบราณเหนี่ยวจ้วน[1] ว่า ‘อวี่’ อยู่หนึ่งคำ

เมื่อรับมาไว้ในมือก็ไม่มีอะไรพิเศษ แต่สีหน้าของชายหนุ่มจักจั่นทองกลับดูแปลกออกไป ยิ้มแล้วไม่พูดอะไรมากอีก

“ขอลา”

ชายชราชุดนักพรตหันหลัง ก้าวเข้าไปในส่วนลึกของเงาแสงแพรวพราวที่วิวัฒน์จากโคมไร้มลทินนั่น

“นี่คือผู้อาวุโสคนหนึ่งของเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่บนทางเดินโบราณฟ้าดารา นิสัยหยิ่งทะนงเย็นชาที่สุด เป็นเพื่อนสนิทของมหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ สักวันหนึ่งหากสหายน้อยไปเยือนทางเดินโบราณฟ้าดาราแล้วเจอเรื่องยุ่งยากอะไร ก็สามารถนำป้ายคำสั่งนี้ออกมาได้”

ในที่สุดชายหนุ่มจักจั่นทองก็อดไม่ได้ กล่าวแนะนำหลินสวินประโยคหนึ่ง

เผ่าจักรพรรดิ!

ทั้งยังมาจากทางเดินโบราณฟ้าดาราด้วย!

นัยน์ตาดำของหลินสวินพลันหดรัด เก็บป้ายคำสั่งลงไป

พรึ่บ!

หงส์เซียนกระดูกขาวร่ายรำ แปลงเป็นหญิงงามชุดรุ้งมวยผมเหนือศีรษะคนหนึ่ง ท่าทางบริสุทธิ์ผุดผ่อง เยียบเย็นหยิ่งทะนง

เพียงแต่ยามนี้นางกลับค้อมตัวเล็กน้อยไปทางหลินสวินและชายหนุ่มจักจั่นทอง “ขอบคุณท่านทั้งสองที่ช่วยเหลือ นี่คือขนปีกเสี้ยวหนึ่งของเผ่าข้า ขอสหายน้อยโปรดรับไว้”

ฟุ่บ!

ขนนกที่สาดแสงสว่างไสวเสมือนภาพมายาเพริศแพร้วท่อนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของหญิงสาว ส่งมอบแก่หลินสวิน

หลินสวินหันไปมองชายหนุ่มจักจั่นทอง ฝ่ายหลังยิ้มกล่าว “เจ้าช่วยพวกเขาให้หลุดพ้น พวกเขาตอบแทนก็สมควรแล้ว”

หลินสวินจึงรับขนปีกหงส์เซียนที่เรียกได้ว่าไม่อาจประเมินค่านี้มาพลางกล่าว “ขอบคุณมาก”

ไม่นานหญิงสาวก็เดินจากไป

“เจ้าน่าจะมองออก หญิงคนนี้มาจากเผ่าหงส์เซียน ลำดับความอาวุโสของนางในตระกูลอาจไม่ถึงขั้นสูงส่ง แต่พลังปราณและรากฐานกลับเป็นอันดับหนึ่ง น่าเสียดาย หากไม่ใช่ว่าปีนั้นถูกพลังต้องห้ามนั่นขังอยู่ที่นี่ ด้วยพรสวรรค์ของนาง การก้าวสู่ระดับจักรพรรดิน่าจะไม่ใช่เรื่องยาก”

ชายหนุ่มจักจั่นทองทอดถอนใจ

หลังจากนั้นคนยักษ์กระดูกขาวที่หลังสะพายกระบี่หักก้าวเข้ามา แปลงเป็นชายฉกรรจ์เครางอนคนหนึ่ง ท่าทางองอาจผึ่งผาย มาจากเผ่ามหัตหลวง มอบฝักกระบี่สีเขียวเจ็ดชุ่นเล่มหนึ่งแก่หลินสวิน

ต้นไม้ใหญ่แห้งเกรียมแปลงเป็นหญิงงามปักปิ่นไม้ชุดผ้าหยาบคนหนึ่ง กิริยาท่าทางสุภาพอ่อนโยน ร่างเดิมคือต้นมรรคหมื่นเพลิงต้นหนึ่ง มอบใบไม้สีแดงเพลิงใบหนึ่งแก่หลินสวิน

จิ้งจอกกระดูกขาวเปลี่ยนเป็นจิ้งจอกเขียวที่เกิดมามีแปดหางตัวหนึ่ง หน้าตาอรชรปานล่มเมือง เย้ายวนไม่เป็นสองรองใคร มาจากเผ่าจิ้งจอกเทพเก้าทวาร มอบกระพรวนหยกเขียวที่ส่องประกายแวววาวกระพรวนหนึ่งแก่หลินสวิน

งูใหญ่กระดูกขาวกลายเป็นชายวัยกลางคนหน้าเหี้ยมคนหนึ่ง กลิ่นอายเคร่งขรึม มาจากเผ่างูสวรรค์ปีกนิล มอบเขี้ยวขาวกระจ่างดุจหิมะเขี้ยวหนึ่งแก่หลินสวิน

ตะพาบกระดูกขาวแปลงเป็นชายชราร่างเล็กที่ท่าทางซื่อๆ เนิบๆ คนหนึ่ง มาจากเผ่าตะพาบมังกรมหามายา มอบกระดองขาวขนาดเท่ามือทารกกระดองหนึ่งแก่หลินสวิน

ในกระบวนการนี้ พวกเขาทยอยแสดงความขอบคุณต่อหลินสวินและชายหนุ่มจักจั่นทองอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็เดินเข้าไปในแสงแพรวพราวของโคมไร้มลทินนั้นทีละคน ก่อนหายลับจากไป

ชายหนุ่มจักจั่นทองยืนอยู่ข้างๆ กล่าวแนะนำแก่หลินสวินเป็นพักๆ

ตอนนี้หลินสวินถึงได้รู้ว่า ตัวดุร้ายน่ากลัวเจ็ดตัวที่ติดตามข้างกายตนมาตลอดทางแทบไม่มีพวกที่ธรรมดาสักคน!

อย่างผู้อาวุโสของเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่ ก็เป็นบุคคลระดับจักรพรรดิที่สมชื่อคู่ควรคนหนึ่ง!

คนอื่นก็เป็นบุคคลสำคัญน่ากลัวซึ่งมาจากแต่ละเผ่า

ปีนั้นพวกเขาเคยปกป้องมหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ในแดนบ่อเกิดแรกกำเนิดนี้ แต่ด้วยเหตุนี้จึงประสบทุกข์ ถูกพลังต้องห้ามกำราบ มรรควิถีถูกทำลาย ถึงได้เปลี่ยนเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงเช่นนี้

แต่ด้วยการปรากฏตัวของโคมไร้มลทินจึงทำให้พวกเขาสลายแรงกดดันของพลังต้องห้าม ได้รับการปลดปล่อยจากหุบเหวหมื่นเคราะห์นั่น

สำหรับพวกเขาโคมไร้มลทินก็คือความหวังเดียวที่สามารถทำให้พวกเขากลับไปได้ มาจากที่ไหนก็กลับไปที่นั่น ไม่อย่างนั้นพวกเขาที่ร่างกายถูกพลังต้องห้ามทำลาย ตลอดชีวิตคงได้แต่หลงทางอยู่กลางฟ้าดินเหมือนวิญญาณเร่ร่อนพเนจร คนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง ไม่อาจปลุกจิตสำนึกให้ตื่นขึ้นมาได้

“เก็บรักษาสิ่งที่พวกเขามอบให้ไว้ให้ดี ภายหน้าต้องมีเวลาที่ได้ใช้แน่”

ชายหนุ่มจักจั่นทองพูดพลางคืนโคมไร้มลทินให้หลินสวิน “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรักษาโคมนี้ไว้ให้ดี นี่เป็นถึงแรงกายแรงใจของจักรพรรดิคนหนึ่ง”

หลินสวินนึกถึงฝีพายโครงกระดูกที่พายเรืออยู่บนแม่น้ำนรกคนนั้นขึ้นมา หรือคนผู้นั้น… ก็คือระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง

เขาเก็บโคมไร้มลทินลงไปอย่างระมัดระวัง

ความมหัศจรรย์ของโคมนี้เขารู้ซึ้งมาก่อนแล้ว รู้ชัดว่านี่คือสมบัติชิ้นหนึ่งที่อัศจรรย์ระดับใด

“ไปเถอะ พวกเราไปดูกัน”

ชายหนุ่มจักจั่นทองนำหน้า ก้าวขึ้นไปบนบันไดหินทีละก้าว

หลินสวินเร่งตามหลังเขาขึ้นไป

บันไดมีเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้น ทันทีที่ก้าวขึ้นไปบนนั้น หลินสวินรู้สึกแค่มีแรงสั่นสะเทือนประหลาดหนึ่งแผ่อบอวล ทำให้ร่างกายเขาสั่นสะท้านไปหมด

ฮูม…

เขาโคจรพลังหลอมกายอย่างเงียบเชียบ ถึงคลี่คลายแรงสะเทือนประหลาดนี้ได้

เมื่อมองชายหนุ่มจักจั่นทองที่อยู่ข้างหน้าอีกครั้ง ก็เห็นเขาก้าวสบายๆ ประหนึ่งเดินเล่นบนทางราบ

หลินสวินถอนสายตากลับ เดินตามต่อไป

ยิ่งก้าวขึ้นไปบนบันไดที่สูงขึ้น แรงสะเทือนประหลาดที่อบอวลออกมาก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่ง

แรกเริ่มเหมือนธารสายเล็กไหลเอื่อย แม้จะมีแรงสั่นสะเทือนก็ไม่ส่งผลกระทบต่อหลินสวินแม้แต่น้อย

แต่ไม่นานกระแสธารน้อยๆ นี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคลื่นยักษ์ถาโถมโหมกระหน่ำ แรงสะเทือนที่จู่โจมเริ่มเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งดุดัน

ต่อจากนั้นคลื่นยักษ์เริ่มเปลี่ยนเป็นซัดโหม ก็เหมือนธารสายเล็กเปลี่ยนเป็นแม่น้ำใหญ่ คลื่นซัดกระแทกฝั่ง กระแสน้ำไหลเชี่ยวดุดันหาใดเปรียบ

แต่…

ยังคงทำอะไรหลินสวินไม่ได้ ในขั้นตอนการขึ้นบันไดเขาแค่โคจรพลังหลอมกายอย่างต่อเนื่อง เมื่อแข็งแกร่งขึ้นไม่หยุดก็สลายพลังโจมตีของแรงสะเทือนนั้นได้แล้ว

เพียงแต่เมื่อก้าวสู่บันไดหินขั้นที่หนึ่งพัน สีหน้าหลินสวินก็เปลี่ยนเป็นจริงจังอยู่บ้าง ยามก้าวไปข้างหน้าก็เหมือนกำลังเดินทวนอยู่ในกระแสน้ำหลากโหมกระหน่ำ แรงสะเทือนชวนประหวั่นบีบกดลงมาเหมือนกองกำลังพันหมื่นกำลังบุกตะลุยโจมตีข้าศึก

ชายหนุ่มจักจั่นทองที่เดินอยู่ข้างหน้าไม่เคยหันกลับมามอง คล้ายไม่รับรู้ถึงสถานการณ์ของหลินสวินที่อยู่ข้างหลัง ดูนิ่งสงบสบายๆ ยิ่งนัก ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนก้าวเดินอย่างมั่นคงยิ่ง

หลินสวินสูดหายใจลึก โคจรพลังหลอมกายไปราวห้าส่วนถึงก้าวตามฝีเท้าของชายหนุ่มจักจั่นทองทัน ไม่ถูกทิ้งรั้งท้ายอีก

เมื่อก้าวสู่บันไดขั้นที่สองพัน เลือดลมทั่วร่างหลินสวินประหนึ่งพลุ่งพล่าน กำลังส่งเสียงกัมปนาทดังปั่นป่วน ทั้งตัวอาบไล้ด้วยแสงมรรคเก้าพิสุทธิ์

ยามนี้เขาต้องโคจรพลังหลอมกายถึงขีดสุดจึงจะหักล้างแรงสะเทือนที่บันไดหินแผ่ออกมาได้

นี่ทำให้ใจของหลินสวินอดตกตะลึงไม่ได้

ต้องรู้ว่าตอนนี้เขาครองพลังหลอมกายระดับอมตะเคราะห์ด่านแปดอย่างสมบูรณ์แล้ว ทั้งยังเป็นมกุฎราชันที่แท้จริงคนหนึ่ง

แต่เพิ่งจะก้าวสู่บันไดหินขั้นที่สองพันเท่านั้นก็ไม่อาจไม่เดินหน้าเต็มกำลังแล้ว และตรงหน้าเขายังมีบันไดอีกเจ็ดพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้น…

ความหมายแฝงที่จำนวนนี้สื่อถึง ช่างสามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งคนใดก็ตามสิ้นหวังจริงๆ

แม้แต่หลินสวินสีหน้าก็ยังจริงจังเป็นอย่างยิ่ง

ข้างหน้า ชายหนุ่มจักจั่นทองที่เท้าเปล่าสวมชุดป่านท่าทางผ่อนคลาย ไม่มีความคิดจะหยุดรอหลินสวินสักนิด

ฮู่ว…

หลินสวินสูดหายใจลึก สลัดความคิดฟุ้งซ่าน เดินต่อไปข้างหน้า

ในช่วงที่ขึ้นบันไดหลังจากนั้น เขาถึงขั้นไม่อาจไม่โคจรโทสะหยาจื้อ

ต่อมาเมื่อโทสะหยาจื้อก็ไม่พอที่จะต้านทานได้ เขาก็โคจรวิชาอริยะยุทธ์อีก

กระทั่งยามก้าวสู่บันไดหินขั้นที่สามพัน หลินสวินก็สำแดงวิชายอดนิรันดร์ไร้รั่วออกมาเต็มกำลังแล้ว ทั้งตัวราวกับกำลังต่อสู้สุดชีวิต เสียงธรรมทั่วร่างอึกทึกครึกโครม ส่องประกายเจิดจ้าถึงที่สุด

และเวลานี้ในที่สุดหลินสวินก็รู้สึกเกินกำลัง

หากเป็นยามปกติ ต่อให้เจอพวกอริยะเทียมชั้นยอดก็ไม่อาจทำให้เขารู้สึกลำบากเช่นนี้

แต่ตอนนี้เป็นแค่การขึ้นบันไดเท่านั้น!

“อยากจะพักหน่อยไหม”

เวลานี้ชายหนุ่มจักจั่นทองหยุดเดิน หันหลังมาพูดกับหลินสวิน น้ำเสียงนุ่มนวล

“ไม่จำเป็น”

หลินสวินส่ายหัว

ชายหนุ่มจักจั่นทองไม่บังคับ เดินต่อไปข้างหน้า

หลินสวินกลับกัดฟันกรอด เดินตามไปทีละก้าว

ตูม! ตูม! ตูม!

แรงสั่นสะเทือนชวนประหวั่นซัดเข้ามาดุจเขาถล่มสมุทรคำราม ย้ายเขาคว่ำสมุทร ไม่อาจหลบหรือหลีกเลี่ยงอย่างสิ้นเชิง

หากคิดจะก้าวไปข้างหน้าก็ได้แต่ฝืนเข้าปะทะ

กระทั่งยามก้าวสู่บันไดขั้นที่สามพันสามร้อย หลินสวินกระหืดกระหอบแล้ว เหงื่อซึมเต็มหน้าผาก กล้ามเนื้อทุกส่วนต่างกำลังสั่นเทา

แต่เขากลับไม่เคยหยุดพัก!

การต่อต้านตลอดทางกลับกระตุ้นพลังในใจของหลินสวิน

ที่สำคัญที่สุดคือชายหนุ่มจักจั่นทองไม่เคยหยุดฝีเท้า หลินสวินไม่อยากถูกเจ้าหมอนี่สลัดทิ้งไว้ข้างหลังไกลนัก

ต่อให้รู้ว่าพลังปราณของตนสู้อีกฝ่ายไม่ได้อยู่มาก แต่หลินสวินก็ไม่คิดว่าความสำเร็จบนหนทางในภายหน้าจะด้อยกว่าอีกฝ่าย

เพียงแต่หลินสวินกลับไม่รู้สักนิด ว่าตั้งแต่เขาก้าวสู่บันไดขั้นที่สามพันได้ ชายหนุ่มจักจั่นทองที่เดินอยู่ข้างหน้าก็เผยความประหลาดใจเสี้ยวหนึ่ง

คล้ายคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะสามารถเดินมาถึงตอนนี้

จนกระทั่งหลินสวินเหยียบบันไดขั้นที่สามพันสามร้อยนี้ทีละก้าว ชายหนุ่มจักจั่นทองก็เหมือนผิดคาดยิ่งนัก นัยน์ตาฉายแววประหลาดเป็นระลอก

เขารู้ดีว่าในมรรคาอมตะ การที่สามารถเดินบน ‘บันไดมรรค’ ที่สร้างขึ้นจากบุคคลระดับจักรพรรดิถึงขั้นนี้ได้ เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงแค่ไหน

ต่อให้เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎก็น้อยมากที่จะเดินมาถึงตอนนี้ได้เหมือนหลินสวิน

ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มเงียบๆ ไม่พูดอะไรมากแล้วเดินต่อไปข้างหน้า เหมือนอยากดูว่าหลินสวินจะยืนหยัดได้ถึงเมื่อไหร่

ยามก้าวถึงบันไดขั้นที่สามพันห้าร้อย หลินสวินก็เหมือนแบกภูเขาเทพไว้ที่หลัง บนใบหน้างามสง่าเผยสีหน้ากินแรงอย่างยิ่ง

เมื่อเหยียบบันไดหินขั้นที่สามพันหกร้อย หลินสวินหน้าตาบิดเบี้ยวขึ้นมาด้วยเกินกำลัง เส้นเลือดดำตรงหน้าผากโป่งนูน

เมื่อเหยียบบันไดหินขั้นที่สามพันเจ็ดร้อย ยามเขาก้าวออกไปก้าวหนึ่งร่างกายจะซวนเซทันที เหมือนแทบจะยืนหยัดไม่อยู่

เมื่อหลินสวินเหยียบบันไดหินขั้นที่สามพันเก้าร้อย ชายหนุ่มจักจั่นทองหยุดเดินเป็นครั้งแรกแล้วกล่าว “อยากจะพักหน่อยไหม เจ้าใกล้จะถึงขีดสุดแล้ว หากก้าวต่อไปเช่นนี้กลับเป็นว่าจะทำให้ตนบาดเจ็บ ทำลายมรรควิถีแทน”

น้ำเสียงนั้นจริงจัง

คิดไปคิดมาเขาก็กล่าวต่อ “เจ้าไม่จำเป็นต้องแข่งกับใคร สามารถเดินมาได้ถึงตอนนี้ก็เป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่แล้ว ในช่วงเวลาที่ผ่านมาข้ายังไม่เคยเจอบุคคลขอบเขตมกุฎคนใดในระดับนี้ที่สามารถสำแดงความโดดเด่นได้อย่างเจ้า”

พูดถึงตอนท้ายสุดเขาหันกลับมามองหลินสวิน “เวลานี้ทำอะไรแต่พอควรจะดีกว่า”

กลับเห็นหลินสวินเงียบไปเล็กน้อยก็ส่ายศีรษะกล่าว “ไม่จำเป็น”

ชายหนุ่มจักจั่นทองชะงัก “เจ้าใช้แต่พลังหลอมกายมุ่งหน้ามาตลอดทาง ก็แค่เพื่อขัดเกลาร่างกายไม่ใช่หรือ ตอนนี้ถือว่าพอแล้ว หากเคี่ยวกรำต่อไปอีกจะกลายเป็นว่าทำเลยเถิด”

หลินสวินยิ้มรับ ก้าวขึ้นสู่บันไดหินขั้นต่อไปทันที

จากนั้นกลิ่นอายทั่วร่างเขาก็เหมือนลำน้ำแห้งขอดได้เจอพายุฝนหลั่งริน เริ่มแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ นานเข้าก็ยิ่งเจิดจรัส

ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มทันที นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ “ที่แท้เป็นเช่นนี้”

……………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1463 ความลำบากของการขึ้นบันได

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1463 ความลำบากของการขึ้นบันได at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บนป้ายคำสั่งสลักอักษรโบราณเหนี่ยวจ้วน[1] ว่า ‘อวี่’ อยู่หนึ่งคำ

เมื่อรับมาไว้ในมือก็ไม่มีอะไรพิเศษ แต่สีหน้าของชายหนุ่มจักจั่นทองกลับดูแปลกออกไป ยิ้มแล้วไม่พูดอะไรมากอีก

“ขอลา”

ชายชราชุดนักพรตหันหลัง ก้าวเข้าไปในส่วนลึกของเงาแสงแพรวพราวที่วิวัฒน์จากโคมไร้มลทินนั่น

“นี่คือผู้อาวุโสคนหนึ่งของเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่บนทางเดินโบราณฟ้าดารา นิสัยหยิ่งทะนงเย็นชาที่สุด เป็นเพื่อนสนิทของมหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ สักวันหนึ่งหากสหายน้อยไปเยือนทางเดินโบราณฟ้าดาราแล้วเจอเรื่องยุ่งยากอะไร ก็สามารถนำป้ายคำสั่งนี้ออกมาได้”

ในที่สุดชายหนุ่มจักจั่นทองก็อดไม่ได้ กล่าวแนะนำหลินสวินประโยคหนึ่ง

เผ่าจักรพรรดิ!

ทั้งยังมาจากทางเดินโบราณฟ้าดาราด้วย!

นัยน์ตาดำของหลินสวินพลันหดรัด เก็บป้ายคำสั่งลงไป

พรึ่บ!

หงส์เซียนกระดูกขาวร่ายรำ แปลงเป็นหญิงงามชุดรุ้งมวยผมเหนือศีรษะคนหนึ่ง ท่าทางบริสุทธิ์ผุดผ่อง เยียบเย็นหยิ่งทะนง

เพียงแต่ยามนี้นางกลับค้อมตัวเล็กน้อยไปทางหลินสวินและชายหนุ่มจักจั่นทอง “ขอบคุณท่านทั้งสองที่ช่วยเหลือ นี่คือขนปีกเสี้ยวหนึ่งของเผ่าข้า ขอสหายน้อยโปรดรับไว้”

ฟุ่บ!

ขนนกที่สาดแสงสว่างไสวเสมือนภาพมายาเพริศแพร้วท่อนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของหญิงสาว ส่งมอบแก่หลินสวิน

หลินสวินหันไปมองชายหนุ่มจักจั่นทอง ฝ่ายหลังยิ้มกล่าว “เจ้าช่วยพวกเขาให้หลุดพ้น พวกเขาตอบแทนก็สมควรแล้ว”

หลินสวินจึงรับขนปีกหงส์เซียนที่เรียกได้ว่าไม่อาจประเมินค่านี้มาพลางกล่าว “ขอบคุณมาก”

ไม่นานหญิงสาวก็เดินจากไป

“เจ้าน่าจะมองออก หญิงคนนี้มาจากเผ่าหงส์เซียน ลำดับความอาวุโสของนางในตระกูลอาจไม่ถึงขั้นสูงส่ง แต่พลังปราณและรากฐานกลับเป็นอันดับหนึ่ง น่าเสียดาย หากไม่ใช่ว่าปีนั้นถูกพลังต้องห้ามนั่นขังอยู่ที่นี่ ด้วยพรสวรรค์ของนาง การก้าวสู่ระดับจักรพรรดิน่าจะไม่ใช่เรื่องยาก”

ชายหนุ่มจักจั่นทองทอดถอนใจ

หลังจากนั้นคนยักษ์กระดูกขาวที่หลังสะพายกระบี่หักก้าวเข้ามา แปลงเป็นชายฉกรรจ์เครางอนคนหนึ่ง ท่าทางองอาจผึ่งผาย มาจากเผ่ามหัตหลวง มอบฝักกระบี่สีเขียวเจ็ดชุ่นเล่มหนึ่งแก่หลินสวิน

ต้นไม้ใหญ่แห้งเกรียมแปลงเป็นหญิงงามปักปิ่นไม้ชุดผ้าหยาบคนหนึ่ง กิริยาท่าทางสุภาพอ่อนโยน ร่างเดิมคือต้นมรรคหมื่นเพลิงต้นหนึ่ง มอบใบไม้สีแดงเพลิงใบหนึ่งแก่หลินสวิน

จิ้งจอกกระดูกขาวเปลี่ยนเป็นจิ้งจอกเขียวที่เกิดมามีแปดหางตัวหนึ่ง หน้าตาอรชรปานล่มเมือง เย้ายวนไม่เป็นสองรองใคร มาจากเผ่าจิ้งจอกเทพเก้าทวาร มอบกระพรวนหยกเขียวที่ส่องประกายแวววาวกระพรวนหนึ่งแก่หลินสวิน

งูใหญ่กระดูกขาวกลายเป็นชายวัยกลางคนหน้าเหี้ยมคนหนึ่ง กลิ่นอายเคร่งขรึม มาจากเผ่างูสวรรค์ปีกนิล มอบเขี้ยวขาวกระจ่างดุจหิมะเขี้ยวหนึ่งแก่หลินสวิน

ตะพาบกระดูกขาวแปลงเป็นชายชราร่างเล็กที่ท่าทางซื่อๆ เนิบๆ คนหนึ่ง มาจากเผ่าตะพาบมังกรมหามายา มอบกระดองขาวขนาดเท่ามือทารกกระดองหนึ่งแก่หลินสวิน

ในกระบวนการนี้ พวกเขาทยอยแสดงความขอบคุณต่อหลินสวินและชายหนุ่มจักจั่นทองอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็เดินเข้าไปในแสงแพรวพราวของโคมไร้มลทินนั้นทีละคน ก่อนหายลับจากไป

ชายหนุ่มจักจั่นทองยืนอยู่ข้างๆ กล่าวแนะนำแก่หลินสวินเป็นพักๆ

ตอนนี้หลินสวินถึงได้รู้ว่า ตัวดุร้ายน่ากลัวเจ็ดตัวที่ติดตามข้างกายตนมาตลอดทางแทบไม่มีพวกที่ธรรมดาสักคน!

อย่างผู้อาวุโสของเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่ ก็เป็นบุคคลระดับจักรพรรดิที่สมชื่อคู่ควรคนหนึ่ง!

คนอื่นก็เป็นบุคคลสำคัญน่ากลัวซึ่งมาจากแต่ละเผ่า

ปีนั้นพวกเขาเคยปกป้องมหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ในแดนบ่อเกิดแรกกำเนิดนี้ แต่ด้วยเหตุนี้จึงประสบทุกข์ ถูกพลังต้องห้ามกำราบ มรรควิถีถูกทำลาย ถึงได้เปลี่ยนเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงเช่นนี้

แต่ด้วยการปรากฏตัวของโคมไร้มลทินจึงทำให้พวกเขาสลายแรงกดดันของพลังต้องห้าม ได้รับการปลดปล่อยจากหุบเหวหมื่นเคราะห์นั่น

สำหรับพวกเขาโคมไร้มลทินก็คือความหวังเดียวที่สามารถทำให้พวกเขากลับไปได้ มาจากที่ไหนก็กลับไปที่นั่น ไม่อย่างนั้นพวกเขาที่ร่างกายถูกพลังต้องห้ามทำลาย ตลอดชีวิตคงได้แต่หลงทางอยู่กลางฟ้าดินเหมือนวิญญาณเร่ร่อนพเนจร คนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง ไม่อาจปลุกจิตสำนึกให้ตื่นขึ้นมาได้

“เก็บรักษาสิ่งที่พวกเขามอบให้ไว้ให้ดี ภายหน้าต้องมีเวลาที่ได้ใช้แน่”

ชายหนุ่มจักจั่นทองพูดพลางคืนโคมไร้มลทินให้หลินสวิน “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรักษาโคมนี้ไว้ให้ดี นี่เป็นถึงแรงกายแรงใจของจักรพรรดิคนหนึ่ง”

หลินสวินนึกถึงฝีพายโครงกระดูกที่พายเรืออยู่บนแม่น้ำนรกคนนั้นขึ้นมา หรือคนผู้นั้น… ก็คือระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง

เขาเก็บโคมไร้มลทินลงไปอย่างระมัดระวัง

ความมหัศจรรย์ของโคมนี้เขารู้ซึ้งมาก่อนแล้ว รู้ชัดว่านี่คือสมบัติชิ้นหนึ่งที่อัศจรรย์ระดับใด

“ไปเถอะ พวกเราไปดูกัน”

ชายหนุ่มจักจั่นทองนำหน้า ก้าวขึ้นไปบนบันไดหินทีละก้าว

หลินสวินเร่งตามหลังเขาขึ้นไป

บันไดมีเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้น ทันทีที่ก้าวขึ้นไปบนนั้น หลินสวินรู้สึกแค่มีแรงสั่นสะเทือนประหลาดหนึ่งแผ่อบอวล ทำให้ร่างกายเขาสั่นสะท้านไปหมด

ฮูม…

เขาโคจรพลังหลอมกายอย่างเงียบเชียบ ถึงคลี่คลายแรงสะเทือนประหลาดนี้ได้

เมื่อมองชายหนุ่มจักจั่นทองที่อยู่ข้างหน้าอีกครั้ง ก็เห็นเขาก้าวสบายๆ ประหนึ่งเดินเล่นบนทางราบ

หลินสวินถอนสายตากลับ เดินตามต่อไป

ยิ่งก้าวขึ้นไปบนบันไดที่สูงขึ้น แรงสะเทือนประหลาดที่อบอวลออกมาก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่ง

แรกเริ่มเหมือนธารสายเล็กไหลเอื่อย แม้จะมีแรงสั่นสะเทือนก็ไม่ส่งผลกระทบต่อหลินสวินแม้แต่น้อย

แต่ไม่นานกระแสธารน้อยๆ นี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคลื่นยักษ์ถาโถมโหมกระหน่ำ แรงสะเทือนที่จู่โจมเริ่มเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งดุดัน

ต่อจากนั้นคลื่นยักษ์เริ่มเปลี่ยนเป็นซัดโหม ก็เหมือนธารสายเล็กเปลี่ยนเป็นแม่น้ำใหญ่ คลื่นซัดกระแทกฝั่ง กระแสน้ำไหลเชี่ยวดุดันหาใดเปรียบ

แต่…

ยังคงทำอะไรหลินสวินไม่ได้ ในขั้นตอนการขึ้นบันไดเขาแค่โคจรพลังหลอมกายอย่างต่อเนื่อง เมื่อแข็งแกร่งขึ้นไม่หยุดก็สลายพลังโจมตีของแรงสะเทือนนั้นได้แล้ว

เพียงแต่เมื่อก้าวสู่บันไดหินขั้นที่หนึ่งพัน สีหน้าหลินสวินก็เปลี่ยนเป็นจริงจังอยู่บ้าง ยามก้าวไปข้างหน้าก็เหมือนกำลังเดินทวนอยู่ในกระแสน้ำหลากโหมกระหน่ำ แรงสะเทือนชวนประหวั่นบีบกดลงมาเหมือนกองกำลังพันหมื่นกำลังบุกตะลุยโจมตีข้าศึก

ชายหนุ่มจักจั่นทองที่เดินอยู่ข้างหน้าไม่เคยหันกลับมามอง คล้ายไม่รับรู้ถึงสถานการณ์ของหลินสวินที่อยู่ข้างหลัง ดูนิ่งสงบสบายๆ ยิ่งนัก ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนก้าวเดินอย่างมั่นคงยิ่ง

หลินสวินสูดหายใจลึก โคจรพลังหลอมกายไปราวห้าส่วนถึงก้าวตามฝีเท้าของชายหนุ่มจักจั่นทองทัน ไม่ถูกทิ้งรั้งท้ายอีก

เมื่อก้าวสู่บันไดขั้นที่สองพัน เลือดลมทั่วร่างหลินสวินประหนึ่งพลุ่งพล่าน กำลังส่งเสียงกัมปนาทดังปั่นป่วน ทั้งตัวอาบไล้ด้วยแสงมรรคเก้าพิสุทธิ์

ยามนี้เขาต้องโคจรพลังหลอมกายถึงขีดสุดจึงจะหักล้างแรงสะเทือนที่บันไดหินแผ่ออกมาได้

นี่ทำให้ใจของหลินสวินอดตกตะลึงไม่ได้

ต้องรู้ว่าตอนนี้เขาครองพลังหลอมกายระดับอมตะเคราะห์ด่านแปดอย่างสมบูรณ์แล้ว ทั้งยังเป็นมกุฎราชันที่แท้จริงคนหนึ่ง

แต่เพิ่งจะก้าวสู่บันไดหินขั้นที่สองพันเท่านั้นก็ไม่อาจไม่เดินหน้าเต็มกำลังแล้ว และตรงหน้าเขายังมีบันไดอีกเจ็ดพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้น…

ความหมายแฝงที่จำนวนนี้สื่อถึง ช่างสามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งคนใดก็ตามสิ้นหวังจริงๆ

แม้แต่หลินสวินสีหน้าก็ยังจริงจังเป็นอย่างยิ่ง

ข้างหน้า ชายหนุ่มจักจั่นทองที่เท้าเปล่าสวมชุดป่านท่าทางผ่อนคลาย ไม่มีความคิดจะหยุดรอหลินสวินสักนิด

ฮู่ว…

หลินสวินสูดหายใจลึก สลัดความคิดฟุ้งซ่าน เดินต่อไปข้างหน้า

ในช่วงที่ขึ้นบันไดหลังจากนั้น เขาถึงขั้นไม่อาจไม่โคจรโทสะหยาจื้อ

ต่อมาเมื่อโทสะหยาจื้อก็ไม่พอที่จะต้านทานได้ เขาก็โคจรวิชาอริยะยุทธ์อีก

กระทั่งยามก้าวสู่บันไดหินขั้นที่สามพัน หลินสวินก็สำแดงวิชายอดนิรันดร์ไร้รั่วออกมาเต็มกำลังแล้ว ทั้งตัวราวกับกำลังต่อสู้สุดชีวิต เสียงธรรมทั่วร่างอึกทึกครึกโครม ส่องประกายเจิดจ้าถึงที่สุด

และเวลานี้ในที่สุดหลินสวินก็รู้สึกเกินกำลัง

หากเป็นยามปกติ ต่อให้เจอพวกอริยะเทียมชั้นยอดก็ไม่อาจทำให้เขารู้สึกลำบากเช่นนี้

แต่ตอนนี้เป็นแค่การขึ้นบันไดเท่านั้น!

“อยากจะพักหน่อยไหม”

เวลานี้ชายหนุ่มจักจั่นทองหยุดเดิน หันหลังมาพูดกับหลินสวิน น้ำเสียงนุ่มนวล

“ไม่จำเป็น”

หลินสวินส่ายหัว

ชายหนุ่มจักจั่นทองไม่บังคับ เดินต่อไปข้างหน้า

หลินสวินกลับกัดฟันกรอด เดินตามไปทีละก้าว

ตูม! ตูม! ตูม!

แรงสั่นสะเทือนชวนประหวั่นซัดเข้ามาดุจเขาถล่มสมุทรคำราม ย้ายเขาคว่ำสมุทร ไม่อาจหลบหรือหลีกเลี่ยงอย่างสิ้นเชิง

หากคิดจะก้าวไปข้างหน้าก็ได้แต่ฝืนเข้าปะทะ

กระทั่งยามก้าวสู่บันไดขั้นที่สามพันสามร้อย หลินสวินกระหืดกระหอบแล้ว เหงื่อซึมเต็มหน้าผาก กล้ามเนื้อทุกส่วนต่างกำลังสั่นเทา

แต่เขากลับไม่เคยหยุดพัก!

การต่อต้านตลอดทางกลับกระตุ้นพลังในใจของหลินสวิน

ที่สำคัญที่สุดคือชายหนุ่มจักจั่นทองไม่เคยหยุดฝีเท้า หลินสวินไม่อยากถูกเจ้าหมอนี่สลัดทิ้งไว้ข้างหลังไกลนัก

ต่อให้รู้ว่าพลังปราณของตนสู้อีกฝ่ายไม่ได้อยู่มาก แต่หลินสวินก็ไม่คิดว่าความสำเร็จบนหนทางในภายหน้าจะด้อยกว่าอีกฝ่าย

เพียงแต่หลินสวินกลับไม่รู้สักนิด ว่าตั้งแต่เขาก้าวสู่บันไดขั้นที่สามพันได้ ชายหนุ่มจักจั่นทองที่เดินอยู่ข้างหน้าก็เผยความประหลาดใจเสี้ยวหนึ่ง

คล้ายคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะสามารถเดินมาถึงตอนนี้

จนกระทั่งหลินสวินเหยียบบันไดขั้นที่สามพันสามร้อยนี้ทีละก้าว ชายหนุ่มจักจั่นทองก็เหมือนผิดคาดยิ่งนัก นัยน์ตาฉายแววประหลาดเป็นระลอก

เขารู้ดีว่าในมรรคาอมตะ การที่สามารถเดินบน ‘บันไดมรรค’ ที่สร้างขึ้นจากบุคคลระดับจักรพรรดิถึงขั้นนี้ได้ เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงแค่ไหน

ต่อให้เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎก็น้อยมากที่จะเดินมาถึงตอนนี้ได้เหมือนหลินสวิน

ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มเงียบๆ ไม่พูดอะไรมากแล้วเดินต่อไปข้างหน้า เหมือนอยากดูว่าหลินสวินจะยืนหยัดได้ถึงเมื่อไหร่

ยามก้าวถึงบันไดขั้นที่สามพันห้าร้อย หลินสวินก็เหมือนแบกภูเขาเทพไว้ที่หลัง บนใบหน้างามสง่าเผยสีหน้ากินแรงอย่างยิ่ง

เมื่อเหยียบบันไดหินขั้นที่สามพันหกร้อย หลินสวินหน้าตาบิดเบี้ยวขึ้นมาด้วยเกินกำลัง เส้นเลือดดำตรงหน้าผากโป่งนูน

เมื่อเหยียบบันไดหินขั้นที่สามพันเจ็ดร้อย ยามเขาก้าวออกไปก้าวหนึ่งร่างกายจะซวนเซทันที เหมือนแทบจะยืนหยัดไม่อยู่

เมื่อหลินสวินเหยียบบันไดหินขั้นที่สามพันเก้าร้อย ชายหนุ่มจักจั่นทองหยุดเดินเป็นครั้งแรกแล้วกล่าว “อยากจะพักหน่อยไหม เจ้าใกล้จะถึงขีดสุดแล้ว หากก้าวต่อไปเช่นนี้กลับเป็นว่าจะทำให้ตนบาดเจ็บ ทำลายมรรควิถีแทน”

น้ำเสียงนั้นจริงจัง

คิดไปคิดมาเขาก็กล่าวต่อ “เจ้าไม่จำเป็นต้องแข่งกับใคร สามารถเดินมาได้ถึงตอนนี้ก็เป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่แล้ว ในช่วงเวลาที่ผ่านมาข้ายังไม่เคยเจอบุคคลขอบเขตมกุฎคนใดในระดับนี้ที่สามารถสำแดงความโดดเด่นได้อย่างเจ้า”

พูดถึงตอนท้ายสุดเขาหันกลับมามองหลินสวิน “เวลานี้ทำอะไรแต่พอควรจะดีกว่า”

กลับเห็นหลินสวินเงียบไปเล็กน้อยก็ส่ายศีรษะกล่าว “ไม่จำเป็น”

ชายหนุ่มจักจั่นทองชะงัก “เจ้าใช้แต่พลังหลอมกายมุ่งหน้ามาตลอดทาง ก็แค่เพื่อขัดเกลาร่างกายไม่ใช่หรือ ตอนนี้ถือว่าพอแล้ว หากเคี่ยวกรำต่อไปอีกจะกลายเป็นว่าทำเลยเถิด”

หลินสวินยิ้มรับ ก้าวขึ้นสู่บันไดหินขั้นต่อไปทันที

จากนั้นกลิ่นอายทั่วร่างเขาก็เหมือนลำน้ำแห้งขอดได้เจอพายุฝนหลั่งริน เริ่มแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ นานเข้าก็ยิ่งเจิดจรัส

ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มทันที นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ “ที่แท้เป็นเช่นนี้”

……………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+