Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1466 นรกหมื่นเคราะห์

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1466 นรกหมื่นเคราะห์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โลกในชามแปลกประหลาดยิ่ง แบ่งเป็นแดนลับเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าแดน

แต่ละแดนลับล้วนปรากฏทัศนียภาพต่างกันไป

ภาพมหามรรคที่ต่างกันไปอย่างลม สายฟ้า ดิน ไฟ ทอง ไม้ น้ำ… อัดแน่นอยู่ในทุกแดนลับ วิวัฒน์เป็นภูผาธาราต้นไม้ใบหญ้า สุริยันจันทราดวงดาว

หลินสวินมองลงไป ก็เห็นว่าโลกนี้เหมือนบันไดที่ทอดยาวลงไปหลายขั้นหน้าประตูใหญ่ตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์นั่น

แดนลับเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าแดนเรียงขึ้นไปเป็นชั้นๆ ซ้อนทับอยู่ในโลกกลางชามนั้น ช่างพิเศษไม่เหมือนใครยิ่งนัก

“ชามนี้มีชื่อว่า ‘หมื่นเคราะห์แปรนภา’ โลกในชามนามว่า ‘นรกหมื่นเคราะห์’ แบ่งเป็นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้น”

ชายหนุ่มจักจั่นทองกล่าวอธิบาย “นี่ก็คือศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ของมหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ เคยกรำศึกเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดินพร้อมมหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ อานุภาพเกินคาดเดา แต่ปัจจุบันชามใบนี้กลับกลายเป็นที่แหล่งสรรสร้างจุดเปลี่ยนใหญ่”

ไม่นานหลินสวินก็เห็นเงาร่างมากมายหลายหลาก

มีพวกอูจิ่วฉงขุมอำนาจพ่อมดเถื่อน พวกจวี้เทียนสิงพันธมิตรหมื่นเผ่า

และมีสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่อาศัยอยู่ในป่าต้นหม่อนอย่างดอกกระบี่พันปีก บรรพจารย์บัวโลหิต ผีเสื้อราตรีสีเลือด เจียวหลงเขียวมรกต มดสำริดเป็นต้น

พวกจ้าวหยวนจี๋ก็อยู่ในนั้นด้วย

เพียงแต่การเข่นฆ่าคลั่งระห่ำในการคาดเดาของหลินสวินกลับไม่เกิดขึ้น

บุคคลสำคัญระดับกึ่งจักรพรรดิพวกนี้แทบจะกระจายอยู่ในแดนลับต่างบริเวณ เหมือนกระจายอยู่ในผืนพิภพที่ต่างกันไป

พวกจ้าวไท่ไหล จักรพรรดินี เจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกตอยู่ในแดนลับเกือบล่างสุด เหนือขึ้นไปอีกคือพวกค่ายพ่อมดเถื่อน พันธมิตรหมื่นเผ่า รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวพวกนั้นด้วย

ส่วนจ้าวหยวนจี๋ยามนี้นำหน้า ยืนอยู่ในอาณาเขตที่อยู่เหนือแดนลับมากมาย

“นรกหมื่นเคราะห์ ทุกแดนลับล้วนเต็มไปด้วยด่านเคราะห์ ก็เหมือนนรกขุมต่างๆ วิธีชิงจุดเปลี่ยนใหญ่นี้ง่ายมาก สลายเคราะห์ ทะลวงโลกันตร์ ก้าวขึ้นไปทีละขั้น”

ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มกล่าว “ความจริงไม่ต่างกับการขึ้นบันไดหินของเจ้าเมื่อครู่เท่าไรนัก เพียงแต่พิบัติเคราะห์ในนรกหมื่นเคราะห์นี้ มีเพียงกึ่งจักรพรรดิที่สามารถคลี่คลายได้ก็เท่านั้น”

ตอนนี้หลินสวินถึงได้กระจ่าง เข้าใจแล้ว

เขาเห็นจ้าวไท่ไหลยืนกระหืดกระหอบอยู่ในแดนลับที่หนึ่งพันสามร้อย สีหน้าไม่น่าดูยิ่ง

ด่านเคราะห์ที่เขาเผชิญก็คือพายุฝนแสงสีเขียวฉากหนึ่ง

ฝนแสงสีเขียวเหล่านั้นพร่างพรายและงามตา คล้ายกลุ่มดาวหางสีเขียวกำลังเริงระบำ

แต่ก็เป็นฝนแสงงดงามนี้ที่โจมตีจนจ้าวไท่ไหลหนีหัวซุกหัวซุน หลีกหลบอเนจอนาถ หลุดปากด่ายกใหญ่เป็นพักๆ

ไม่นานหลินสวินก็เห็นดอกกระบี่พันปีกนั้นพลิ้วไหว ยิงปราณกระบี่สลัวรางมากมายออกมา บดขยี้ภูเขาใหญ่เทียมฟ้าที่ขวางอยู่ข้างหน้าในพริบตา!

จากนั้นเงาร่างของมันก็วูบหาย มาอยู่ในอีกแดนลับที่สูงกว่า

ท่าทีดุดันหาใดเปรียบนั่นทำให้หลินสวินสูดหายใจเย็นเยียบ

ไม่ทันไรหลินสวินก็เห็นกึ่งจักรพรรดิของเผ่าพ่อมดเถื่อนคนหนึ่งถูกสายฟ้าสีดำฟาดผ่า ทั้งตัวร่วงลงไปกองกับพื้น ผมเผ้ายุ่งเหยิง ร้องโหยหวนออกมาด้วยความไม่ยินยอม

จากนั้นกึ่งจักรพรรดิของเผ่าพ่อมดเถื่อนคนนี้ก็หายไปในพริบตา

“สลายเคราะห์ล้มเหลว ก็เสียสิทธิ์ในการช่วงชิงจุดเปลี่ยนใหญ่ครานี้”

ชายหนุ่มจักจั่นทองกล่าวลอยๆ “แต่ก็ไม่ถึงขั้นตาย ด้วยปณิธานและความอาจหาญของมหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ คงไม่ถึงขั้นใช้ความตายไปเพ่งเล็งบุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิพวกนั้น”

ถึงตอนนี้ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจแล้ว

ใน ‘นรกหมื่นเคราะห์’ นี้ กึ่งจักรพรรดิทุกคนล้วนมีโอกาสไปช่วงชิงจุดเปลี่ยนใหญ่ เงื่อนไขแรกคือบุกตะลุยแดนลับที่ราวกับนรกมากมายเป็นชั้นๆ นั่น

และหากหมายจะทะลวงแดนลับ ก็ต้องทำลายพิบัติเคราะห์ที่กระจายอยู่ในแดนลับนั้น!

ศักยภาพอ่อนแอกระจ้อยร่อย สลายเคราะห์ล้มเหลวจะถูกคัดออก

หากพลังแข็งแกร่งก็สามารถก้าวขึ้นไปทีละขั้น

หลินสวินสังเกตเห็นว่าพวกจ้าวไท่ไหล จักรพรรดินี และเจ้าสำนักมฤคมรกตสามคน ด้วยเหตุที่ก่อนหน้านี้บาดเจ็บหนัก ยามนี้เมื่ออยู่ในนรกหมื่นเคราะห์จึงอยู่ที่แดนลับด้านล่างสุดมาตลอด

จากสถานการณ์นี้ถ้าพวกเขาคิดจะช่วงชิงจุดเปลี่ยนใหญ่ คงถูกลิขิตให้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว

แต่หลินสวินก็รู้ว่าพวกเขามาที่นี่ครานี้ เดิมทีก็มาช่วยจ้าวหยวนจี๋ช่วงชิงพลังโอกาส ด้วยเหตุนี้ต่อให้ล้มเหลวก็เกรงว่าคงไม่ใส่ใจนัก

สิ่งที่ทำให้หลินสวินผิดคาดคือจ้าวหยวนจี๋ก็บาดเจ็บสาหัส แต่ตอนนี้เขากลับนำหน้าอยู่โข ปัจจุบันอยู่ในแดนลับขั้นที่เก้าพันเก้าร้อยแล้ว

ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่อยู่ใกล้เขาที่สุดคือบรรพจารย์บัวโลหิตที่เหมือนเด็กชายคนนั้น อยู่ห่างจากเขาเป็นระยะสามร้อยกว่าแดน!

ที่เร่งตามหลังบรรพจารย์บัวโลหิตมาคือผีเสื้อราตรีสีเลือด

แต่พูดถึงความเร็วของการสลายเคราะห์ เห็นได้ชัดว่าผีเสื้อราตรีสีเลือดเหนือกว่าบรรพจารย์บัวโลหิตอยู่บ้าง กำลังค่อยๆ ร่นระยะห่างกับบรรพจารย์บัวโลหิตอยู่

ชายหนุ่มจักจั่นทองคล้ายมองความสงสัยในใจหลินสวินออก “จ้าวหยวนจี๋เป็นคนแรกที่ถูกเลือก ทันทีที่เข้ามาในนรกหมื่นเคราะห์ก็นำหน้าคนอื่นไปไกลแล้ว กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ”

คิดไปคิดมาชายหนุ่มจักจั่นทองก็กล่าวต่อ “แต่ความได้เปรียบของจ้าวหยวนจี๋กำลังถดถอย ด้วยคู่ต่อสู้ของเขาไม่มีสักคนที่เป็นพวกธรรมดา”

“ไม่แปลกที่ตอนแรกสัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนั้นจะล้อมโจมตีหมายสังหารเขาโดยไม่คำนึงถึงอะไร ข้อได้เปรียบเช่นนี้ช่างเห็นได้ชัดเกินไปจริงๆ”

หลินสวินทอดถอนใจ

ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มกล่าว “เจ้าคิดว่ามีเพียงคนแรกที่ตะลุยแดนลับทั้งหมดของนรกหมื่นเคราะห์นี้ผ่าน จึงจะสามารถชิงมหาศุภโชคนี้ได้หรือ”

หลินสวินชะงัก “ยังมีความลับอื่นอีกหรือ”

นัยน์ตาของชายหนุ่มจักจั่นทองใสกระจ่าง กล่าวเสียงอบอุ่น “บรรลุจักรพรรดิ ใช่ว่าใช้พลังสยบพลังก็สามารถบรรลุได้ หากแต่ต้องมีเจตจำนงว่า ‘ไร้คู่ต่อกร’ อย่างแท้จริง ไม่หวั่นเกรงหมื่นเคราะห์ ไม่หวาดกลัวอดีตอนาคต ไม่ยึดติดอยู่กับมหามรรค ไม่นึกเสียดายต่อหนทางแห่งตน”

“หากเจ้าคิดว่าอาศัยเพียงความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ก็สามารถช่วงชิงจุดเปลี่ยนได้ ก็ดูถูกความยากลำบากของการบรรลุจักรพรรดิเกินไปแล้ว”

หลินสวินยิ้มขื่น “ความต่างของระดับห่างกันเกินไป ข้ายากจะเข้าใจเรื่องพวกนี้จริงๆ”

เขายังไม่บรรลุแม้แต่อริยะ ย่อมไม่มีทางเข้าใจความยากลำบากของการบรรลุจักรพรรดิเป็นธรรมดา

“ไม่เป็นไร ภายหน้าเจ้าต้องเข้าใจแน่”

ตั้งแต่ต้นจนจบชายหนุ่มจักจั่นทองไม่เคยหัวเราะเยาะหรือสบประมาทหลินสวิน และไม่เคยเผยท่าทีสูงส่ง ใช้อำนาจบาตรใหญ่มาก่อน

เขาดูสุภาพนุ่มนวลยิ่ง ราวกับสหายคนหนึ่งที่ซื่อสัตย์อบอุ่น ตั้งแต่อยู่นอกตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์จนถึงตอนนี้ก็ ‘พูดคุย’ กับหลินสวินมาตลอด

แต่หลินสวินรู้ว่าการพูดคุยที่ว่านี้ มีหรือจะไม่ใช่การชี้แนะอย่างหนึ่ง

ตลอดทางมานี้สิ่งที่ชายหนุ่มจักจั่นทองอธิบายก็เหมือนการเปิดประตูให้หลินสวิน ทำให้เขามองเห็นโลกที่สูงกว่า ไกลกว่า และยิ่งใหญ่กว่า!

เวลานี้หลินสวินมีความทอดถอนใจว่าอ่านหนังสือมาสิบปี สู้ฟังคำวีรชนครั้งหนึ่งไม่ได้จริงๆ

“หืม?”

เวลานี้ชายหนุ่มจักจั่นทองชะงัก ยิ้มขื่นส่ายหัวกล่าว “อาไป๋นี่ช่างไม่ย่อท้อจริงๆ”

เมื่อมองตามสายตาเขาไป ก็เห็นว่าในแดนลับขั้นที่แปดพันเก้าร้อยเก้าสิบ มีเด็กสาวชุดขาวคนหนึ่งกำลังทะลวงด่านเคราะห์

นางผมดำขลับยาวสลวย ใบหน้างดงามเหมือนเด็กสาว ทั่วร่างไหลวนด้วยไออัศจรรย์ แต่เมื่อนางลงมือกลับดุดันหาใดเปรียบ แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับนางด่านเคราะห์พวกนั้นดูไม่มีค่าพอให้พูดถึงจริงๆ ถูกนางทำลายไปทีละด่านแล้วรุดหน้าขึ้นไป อาภรณ์ขาวพลิ้วไหว เหมือนดั่งเซียนยุทธ์หญิงไร้เทียมทานผู้หนึ่ง

เพียงชั่วขณะเด็กสาวคนนี้ก็ตะลุยผ่านแดนลับไปสิบกว่าด่านอย่างต่อเนื่อง ก้าวเข้าสู่แดนลับที่เก้าพันขึ้นไป!

นี่ทำให้หลินสวินตกตะลึง เปรียบเทียบความเร็วในการทะลวงด่านเคราะห์ของจ้าวหยวนจี๋ บรรพจารย์บัวโลหิต ผีเสื้อราตรีสีเลือดและเด็กสาวชุดขาวนี้แล้ว

เพียงพริบตาเขาก็สรุปได้ชัดว่าหากยืดเยื้อต่อไป ไม่ใช่แค่ผีเสื้อราตรีสีเลือดและบรรพจารย์บัวโลหิตที่จะถูกแซงหน้า แม้แต่จ้าวหยวนจี๋ก็อาจจะถูกเด็กสาวชุดขาวแซงหน้าด้วย!

“นี่ก็ดุดันเกินไปแล้ว…”

หลินสวินตกใจ

ชายหนุ่มจักจั่นทองส่ายหัว “นั่นเป็นเพราะรากฐานและพรสวรรค์ของนางเป็นต่อกว่ามาก อ้อ จริงสิ นางก็คืออาไป๋ แต่หากภายหน้าเจ้าเจอนางอย่าเรียกนางแบบนี้เชียว นางจะคลั่งเอาได้”

หลินสวินชะงัก แอบกล่าวในใจว่าบุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิที่ดุดันจนน่ากลัวเช่นนี้ เขาจะกล้าเรียกนางว่า ‘อาไป๋’ ต่อหน้าได้อย่างไร

อีกทั้งชื่อเรียกนี้… ยิ่งดูไม่เข้ากับฐานะของกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง ช่างราวกับชื่อเล่นของหมาแมวจริงๆ…

“อืม นางชื่อไป๋ตี้ ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้วก็ตั้งปณิธานจะกลายเป็นจักรพรรดิ ด้วยเหตุนี้ปีนั้นจึงมาที่นี่พร้อมข้า ทั้งยังยอมกลั้นใจจำศีลมาหลายปีก็เพื่อบรรลุจักรพรรดิ”

ชายหนุ่มจักจั่นทองพูดถึงตรงนี้ก็ทอดถอนใจ “เดิมทีข้าอยากจะช่วยนางมาก น่าเสียดาย… ต่อให้มอบจุดเปลี่ยนใหญ่นี้กับนางก็ไม่อาจสมหวังดั่งปรารถนา”

“นี่เป็นเพราะอะไร” หลินสวินใคร่รู้

ชายหนุ่มจักจั่นทองไม่อธิบายอะไรมาก เพียงแต่กล่าวว่า “จุดเปลี่ยนบรรลุจักรพรรดิของนางไม่ได้อยู่ที่นี่”

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ พลันกล่าว “นาง… ก็คือจักจั่นขาวตัวนั้นกระมัง”

ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มกล่าว “ทำไม เจ้ายังจำครั้งแรกที่เจอกันปีนั้นแล้วนางเผยไอสังหารกับเจ้าได้หรือ”

หลินสวินนิ่งกล่าว “ประสบการณ์เช่นนี้ใครก็ไม่มีวันลืม”

ปีนั้นเขาหมายเข้าใกล้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งต้นหนึ่ง แต่กลับสัมผัสได้ถึงไอสังหารชวนประหวั่นจากจักจั่นขาวตัวหนึ่ง

ตอนนั้นเคราะห์ดีที่มีผีเสื้อราตรีสีเลือดตัวนั้นช่วยเหลือ จึงทำให้หลินสวินหนีพ้นเคราะห์ร้ายนั้นมาได้อย่างไร้อันตราย

ชายหนุ่มจักจั่นทองกล่าว “ความจริงตอนนั้นต่อให้เฟยหลันไม่ลงมือ จักจั่นขาวก็ฆ่าเจ้าไม่ได้ นางแค่ค่อนข้างต่อต้านฐานะของเจ้าเท่านั้น”

หลินสวินมึนงง “ฐานะอะไร”

“ผู้สืบทอดคีรีดวงกมล” ชายหนุ่มจักจั่นทองกล่าว

หลินสวินใจกระตุกวูบ ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าที่แท้ตั้งแต่แรกเจอ ชายหนุ่มจักจั่นทองก็มองสิ่งต่างๆ มากมายบนตัวของตนออกแล้ว!

“แม่นางไป๋ตี้คนนี้มีความแค้นกับคีรีดวงกมลหรือ” หลินสวินอดถามไม่ได้

ชายหนุ่มจักจั่นทองหัวเราะลั่น “นางแค่เคยเสียเปรียบในมือผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนหนึ่ง เลยไม่พอใจมาตลอดก็เท่านั้น”

“ใครรึ” หลินสวินใคร่รู้ยิ่งกว่าเดิมแล้ว

ในสายตาของเขาจักจั่นขาวนั่นก็น่ากลัวพอแล้ว พลังต่อสู้ที่แสดงให้เห็นยิ่งดูดุดันกว่าผีเสื้อราตรีสีเลือดและบรรพจารย์บัวโลหิต

แต่กลับมีผู้สืบทอดของคีรีดวงกมลคนหนึ่งทำให้จักจั่นขาวนี้เสียเปรียบ นี่ช่างน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

“คนผู้นั้นฝึกวิชาอริยะยุทธ์เหมือนเจ้า”

ชายหนุ่มจักจั่นทองพูดง่ายๆ

เพียงพริบตาหลินสวินก็นึกถึงร่างกำยำที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายทระนงองอาจ พลังต่อสู้ราวเทียมฟ้าคนหนึ่ง!

ปีนั้นยามได้รับมรดกวิชาอริยะยุทธ์เหนือยอดคีรีดวงกมล หลินสวินก็เคยเห็นลักษณ์ประหลาดบางอย่าง

ตอนนั้นร่างทระนงองอาจนั่นคุกเข่าอยู่หน้าประตูทางเข้าคีรีดวงกมลที่พังทลาย นิ่งเงียบจนเหมือนหินก้อนหนึ่ง

จากนั้นร่างหยิ่งทะนงนั่นก็ทะลวงขึ้นเหนือเมฆ ห้ำหั่นกับศัตรูที่พุ่งสังหารเข้ามากะทันหันอยู่เหนือเก้าชั้นฟ้า ประหนึ่งเทพยุทธการผู้หนึ่ง ร่างกำยำเบียดแน่นฟ้าดิน ส่องสว่างชั่วนิรันดร์!

เป็นเขาหรือ

………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1466 นรกหมื่นเคราะห์

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1466 นรกหมื่นเคราะห์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โลกในชามแปลกประหลาดยิ่ง แบ่งเป็นแดนลับเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าแดน

แต่ละแดนลับล้วนปรากฏทัศนียภาพต่างกันไป

ภาพมหามรรคที่ต่างกันไปอย่างลม สายฟ้า ดิน ไฟ ทอง ไม้ น้ำ… อัดแน่นอยู่ในทุกแดนลับ วิวัฒน์เป็นภูผาธาราต้นไม้ใบหญ้า สุริยันจันทราดวงดาว

หลินสวินมองลงไป ก็เห็นว่าโลกนี้เหมือนบันไดที่ทอดยาวลงไปหลายขั้นหน้าประตูใหญ่ตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์นั่น

แดนลับเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าแดนเรียงขึ้นไปเป็นชั้นๆ ซ้อนทับอยู่ในโลกกลางชามนั้น ช่างพิเศษไม่เหมือนใครยิ่งนัก

“ชามนี้มีชื่อว่า ‘หมื่นเคราะห์แปรนภา’ โลกในชามนามว่า ‘นรกหมื่นเคราะห์’ แบ่งเป็นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้น”

ชายหนุ่มจักจั่นทองกล่าวอธิบาย “นี่ก็คือศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ของมหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ เคยกรำศึกเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดินพร้อมมหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ อานุภาพเกินคาดเดา แต่ปัจจุบันชามใบนี้กลับกลายเป็นที่แหล่งสรรสร้างจุดเปลี่ยนใหญ่”

ไม่นานหลินสวินก็เห็นเงาร่างมากมายหลายหลาก

มีพวกอูจิ่วฉงขุมอำนาจพ่อมดเถื่อน พวกจวี้เทียนสิงพันธมิตรหมื่นเผ่า

และมีสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่อาศัยอยู่ในป่าต้นหม่อนอย่างดอกกระบี่พันปีก บรรพจารย์บัวโลหิต ผีเสื้อราตรีสีเลือด เจียวหลงเขียวมรกต มดสำริดเป็นต้น

พวกจ้าวหยวนจี๋ก็อยู่ในนั้นด้วย

เพียงแต่การเข่นฆ่าคลั่งระห่ำในการคาดเดาของหลินสวินกลับไม่เกิดขึ้น

บุคคลสำคัญระดับกึ่งจักรพรรดิพวกนี้แทบจะกระจายอยู่ในแดนลับต่างบริเวณ เหมือนกระจายอยู่ในผืนพิภพที่ต่างกันไป

พวกจ้าวไท่ไหล จักรพรรดินี เจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกตอยู่ในแดนลับเกือบล่างสุด เหนือขึ้นไปอีกคือพวกค่ายพ่อมดเถื่อน พันธมิตรหมื่นเผ่า รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวพวกนั้นด้วย

ส่วนจ้าวหยวนจี๋ยามนี้นำหน้า ยืนอยู่ในอาณาเขตที่อยู่เหนือแดนลับมากมาย

“นรกหมื่นเคราะห์ ทุกแดนลับล้วนเต็มไปด้วยด่านเคราะห์ ก็เหมือนนรกขุมต่างๆ วิธีชิงจุดเปลี่ยนใหญ่นี้ง่ายมาก สลายเคราะห์ ทะลวงโลกันตร์ ก้าวขึ้นไปทีละขั้น”

ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มกล่าว “ความจริงไม่ต่างกับการขึ้นบันไดหินของเจ้าเมื่อครู่เท่าไรนัก เพียงแต่พิบัติเคราะห์ในนรกหมื่นเคราะห์นี้ มีเพียงกึ่งจักรพรรดิที่สามารถคลี่คลายได้ก็เท่านั้น”

ตอนนี้หลินสวินถึงได้กระจ่าง เข้าใจแล้ว

เขาเห็นจ้าวไท่ไหลยืนกระหืดกระหอบอยู่ในแดนลับที่หนึ่งพันสามร้อย สีหน้าไม่น่าดูยิ่ง

ด่านเคราะห์ที่เขาเผชิญก็คือพายุฝนแสงสีเขียวฉากหนึ่ง

ฝนแสงสีเขียวเหล่านั้นพร่างพรายและงามตา คล้ายกลุ่มดาวหางสีเขียวกำลังเริงระบำ

แต่ก็เป็นฝนแสงงดงามนี้ที่โจมตีจนจ้าวไท่ไหลหนีหัวซุกหัวซุน หลีกหลบอเนจอนาถ หลุดปากด่ายกใหญ่เป็นพักๆ

ไม่นานหลินสวินก็เห็นดอกกระบี่พันปีกนั้นพลิ้วไหว ยิงปราณกระบี่สลัวรางมากมายออกมา บดขยี้ภูเขาใหญ่เทียมฟ้าที่ขวางอยู่ข้างหน้าในพริบตา!

จากนั้นเงาร่างของมันก็วูบหาย มาอยู่ในอีกแดนลับที่สูงกว่า

ท่าทีดุดันหาใดเปรียบนั่นทำให้หลินสวินสูดหายใจเย็นเยียบ

ไม่ทันไรหลินสวินก็เห็นกึ่งจักรพรรดิของเผ่าพ่อมดเถื่อนคนหนึ่งถูกสายฟ้าสีดำฟาดผ่า ทั้งตัวร่วงลงไปกองกับพื้น ผมเผ้ายุ่งเหยิง ร้องโหยหวนออกมาด้วยความไม่ยินยอม

จากนั้นกึ่งจักรพรรดิของเผ่าพ่อมดเถื่อนคนนี้ก็หายไปในพริบตา

“สลายเคราะห์ล้มเหลว ก็เสียสิทธิ์ในการช่วงชิงจุดเปลี่ยนใหญ่ครานี้”

ชายหนุ่มจักจั่นทองกล่าวลอยๆ “แต่ก็ไม่ถึงขั้นตาย ด้วยปณิธานและความอาจหาญของมหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ คงไม่ถึงขั้นใช้ความตายไปเพ่งเล็งบุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิพวกนั้น”

ถึงตอนนี้ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจแล้ว

ใน ‘นรกหมื่นเคราะห์’ นี้ กึ่งจักรพรรดิทุกคนล้วนมีโอกาสไปช่วงชิงจุดเปลี่ยนใหญ่ เงื่อนไขแรกคือบุกตะลุยแดนลับที่ราวกับนรกมากมายเป็นชั้นๆ นั่น

และหากหมายจะทะลวงแดนลับ ก็ต้องทำลายพิบัติเคราะห์ที่กระจายอยู่ในแดนลับนั้น!

ศักยภาพอ่อนแอกระจ้อยร่อย สลายเคราะห์ล้มเหลวจะถูกคัดออก

หากพลังแข็งแกร่งก็สามารถก้าวขึ้นไปทีละขั้น

หลินสวินสังเกตเห็นว่าพวกจ้าวไท่ไหล จักรพรรดินี และเจ้าสำนักมฤคมรกตสามคน ด้วยเหตุที่ก่อนหน้านี้บาดเจ็บหนัก ยามนี้เมื่ออยู่ในนรกหมื่นเคราะห์จึงอยู่ที่แดนลับด้านล่างสุดมาตลอด

จากสถานการณ์นี้ถ้าพวกเขาคิดจะช่วงชิงจุดเปลี่ยนใหญ่ คงถูกลิขิตให้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว

แต่หลินสวินก็รู้ว่าพวกเขามาที่นี่ครานี้ เดิมทีก็มาช่วยจ้าวหยวนจี๋ช่วงชิงพลังโอกาส ด้วยเหตุนี้ต่อให้ล้มเหลวก็เกรงว่าคงไม่ใส่ใจนัก

สิ่งที่ทำให้หลินสวินผิดคาดคือจ้าวหยวนจี๋ก็บาดเจ็บสาหัส แต่ตอนนี้เขากลับนำหน้าอยู่โข ปัจจุบันอยู่ในแดนลับขั้นที่เก้าพันเก้าร้อยแล้ว

ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่อยู่ใกล้เขาที่สุดคือบรรพจารย์บัวโลหิตที่เหมือนเด็กชายคนนั้น อยู่ห่างจากเขาเป็นระยะสามร้อยกว่าแดน!

ที่เร่งตามหลังบรรพจารย์บัวโลหิตมาคือผีเสื้อราตรีสีเลือด

แต่พูดถึงความเร็วของการสลายเคราะห์ เห็นได้ชัดว่าผีเสื้อราตรีสีเลือดเหนือกว่าบรรพจารย์บัวโลหิตอยู่บ้าง กำลังค่อยๆ ร่นระยะห่างกับบรรพจารย์บัวโลหิตอยู่

ชายหนุ่มจักจั่นทองคล้ายมองความสงสัยในใจหลินสวินออก “จ้าวหยวนจี๋เป็นคนแรกที่ถูกเลือก ทันทีที่เข้ามาในนรกหมื่นเคราะห์ก็นำหน้าคนอื่นไปไกลแล้ว กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ”

คิดไปคิดมาชายหนุ่มจักจั่นทองก็กล่าวต่อ “แต่ความได้เปรียบของจ้าวหยวนจี๋กำลังถดถอย ด้วยคู่ต่อสู้ของเขาไม่มีสักคนที่เป็นพวกธรรมดา”

“ไม่แปลกที่ตอนแรกสัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนั้นจะล้อมโจมตีหมายสังหารเขาโดยไม่คำนึงถึงอะไร ข้อได้เปรียบเช่นนี้ช่างเห็นได้ชัดเกินไปจริงๆ”

หลินสวินทอดถอนใจ

ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มกล่าว “เจ้าคิดว่ามีเพียงคนแรกที่ตะลุยแดนลับทั้งหมดของนรกหมื่นเคราะห์นี้ผ่าน จึงจะสามารถชิงมหาศุภโชคนี้ได้หรือ”

หลินสวินชะงัก “ยังมีความลับอื่นอีกหรือ”

นัยน์ตาของชายหนุ่มจักจั่นทองใสกระจ่าง กล่าวเสียงอบอุ่น “บรรลุจักรพรรดิ ใช่ว่าใช้พลังสยบพลังก็สามารถบรรลุได้ หากแต่ต้องมีเจตจำนงว่า ‘ไร้คู่ต่อกร’ อย่างแท้จริง ไม่หวั่นเกรงหมื่นเคราะห์ ไม่หวาดกลัวอดีตอนาคต ไม่ยึดติดอยู่กับมหามรรค ไม่นึกเสียดายต่อหนทางแห่งตน”

“หากเจ้าคิดว่าอาศัยเพียงความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ก็สามารถช่วงชิงจุดเปลี่ยนได้ ก็ดูถูกความยากลำบากของการบรรลุจักรพรรดิเกินไปแล้ว”

หลินสวินยิ้มขื่น “ความต่างของระดับห่างกันเกินไป ข้ายากจะเข้าใจเรื่องพวกนี้จริงๆ”

เขายังไม่บรรลุแม้แต่อริยะ ย่อมไม่มีทางเข้าใจความยากลำบากของการบรรลุจักรพรรดิเป็นธรรมดา

“ไม่เป็นไร ภายหน้าเจ้าต้องเข้าใจแน่”

ตั้งแต่ต้นจนจบชายหนุ่มจักจั่นทองไม่เคยหัวเราะเยาะหรือสบประมาทหลินสวิน และไม่เคยเผยท่าทีสูงส่ง ใช้อำนาจบาตรใหญ่มาก่อน

เขาดูสุภาพนุ่มนวลยิ่ง ราวกับสหายคนหนึ่งที่ซื่อสัตย์อบอุ่น ตั้งแต่อยู่นอกตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์จนถึงตอนนี้ก็ ‘พูดคุย’ กับหลินสวินมาตลอด

แต่หลินสวินรู้ว่าการพูดคุยที่ว่านี้ มีหรือจะไม่ใช่การชี้แนะอย่างหนึ่ง

ตลอดทางมานี้สิ่งที่ชายหนุ่มจักจั่นทองอธิบายก็เหมือนการเปิดประตูให้หลินสวิน ทำให้เขามองเห็นโลกที่สูงกว่า ไกลกว่า และยิ่งใหญ่กว่า!

เวลานี้หลินสวินมีความทอดถอนใจว่าอ่านหนังสือมาสิบปี สู้ฟังคำวีรชนครั้งหนึ่งไม่ได้จริงๆ

“หืม?”

เวลานี้ชายหนุ่มจักจั่นทองชะงัก ยิ้มขื่นส่ายหัวกล่าว “อาไป๋นี่ช่างไม่ย่อท้อจริงๆ”

เมื่อมองตามสายตาเขาไป ก็เห็นว่าในแดนลับขั้นที่แปดพันเก้าร้อยเก้าสิบ มีเด็กสาวชุดขาวคนหนึ่งกำลังทะลวงด่านเคราะห์

นางผมดำขลับยาวสลวย ใบหน้างดงามเหมือนเด็กสาว ทั่วร่างไหลวนด้วยไออัศจรรย์ แต่เมื่อนางลงมือกลับดุดันหาใดเปรียบ แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับนางด่านเคราะห์พวกนั้นดูไม่มีค่าพอให้พูดถึงจริงๆ ถูกนางทำลายไปทีละด่านแล้วรุดหน้าขึ้นไป อาภรณ์ขาวพลิ้วไหว เหมือนดั่งเซียนยุทธ์หญิงไร้เทียมทานผู้หนึ่ง

เพียงชั่วขณะเด็กสาวคนนี้ก็ตะลุยผ่านแดนลับไปสิบกว่าด่านอย่างต่อเนื่อง ก้าวเข้าสู่แดนลับที่เก้าพันขึ้นไป!

นี่ทำให้หลินสวินตกตะลึง เปรียบเทียบความเร็วในการทะลวงด่านเคราะห์ของจ้าวหยวนจี๋ บรรพจารย์บัวโลหิต ผีเสื้อราตรีสีเลือดและเด็กสาวชุดขาวนี้แล้ว

เพียงพริบตาเขาก็สรุปได้ชัดว่าหากยืดเยื้อต่อไป ไม่ใช่แค่ผีเสื้อราตรีสีเลือดและบรรพจารย์บัวโลหิตที่จะถูกแซงหน้า แม้แต่จ้าวหยวนจี๋ก็อาจจะถูกเด็กสาวชุดขาวแซงหน้าด้วย!

“นี่ก็ดุดันเกินไปแล้ว…”

หลินสวินตกใจ

ชายหนุ่มจักจั่นทองส่ายหัว “นั่นเป็นเพราะรากฐานและพรสวรรค์ของนางเป็นต่อกว่ามาก อ้อ จริงสิ นางก็คืออาไป๋ แต่หากภายหน้าเจ้าเจอนางอย่าเรียกนางแบบนี้เชียว นางจะคลั่งเอาได้”

หลินสวินชะงัก แอบกล่าวในใจว่าบุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิที่ดุดันจนน่ากลัวเช่นนี้ เขาจะกล้าเรียกนางว่า ‘อาไป๋’ ต่อหน้าได้อย่างไร

อีกทั้งชื่อเรียกนี้… ยิ่งดูไม่เข้ากับฐานะของกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง ช่างราวกับชื่อเล่นของหมาแมวจริงๆ…

“อืม นางชื่อไป๋ตี้ ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้วก็ตั้งปณิธานจะกลายเป็นจักรพรรดิ ด้วยเหตุนี้ปีนั้นจึงมาที่นี่พร้อมข้า ทั้งยังยอมกลั้นใจจำศีลมาหลายปีก็เพื่อบรรลุจักรพรรดิ”

ชายหนุ่มจักจั่นทองพูดถึงตรงนี้ก็ทอดถอนใจ “เดิมทีข้าอยากจะช่วยนางมาก น่าเสียดาย… ต่อให้มอบจุดเปลี่ยนใหญ่นี้กับนางก็ไม่อาจสมหวังดั่งปรารถนา”

“นี่เป็นเพราะอะไร” หลินสวินใคร่รู้

ชายหนุ่มจักจั่นทองไม่อธิบายอะไรมาก เพียงแต่กล่าวว่า “จุดเปลี่ยนบรรลุจักรพรรดิของนางไม่ได้อยู่ที่นี่”

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ พลันกล่าว “นาง… ก็คือจักจั่นขาวตัวนั้นกระมัง”

ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มกล่าว “ทำไม เจ้ายังจำครั้งแรกที่เจอกันปีนั้นแล้วนางเผยไอสังหารกับเจ้าได้หรือ”

หลินสวินนิ่งกล่าว “ประสบการณ์เช่นนี้ใครก็ไม่มีวันลืม”

ปีนั้นเขาหมายเข้าใกล้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งต้นหนึ่ง แต่กลับสัมผัสได้ถึงไอสังหารชวนประหวั่นจากจักจั่นขาวตัวหนึ่ง

ตอนนั้นเคราะห์ดีที่มีผีเสื้อราตรีสีเลือดตัวนั้นช่วยเหลือ จึงทำให้หลินสวินหนีพ้นเคราะห์ร้ายนั้นมาได้อย่างไร้อันตราย

ชายหนุ่มจักจั่นทองกล่าว “ความจริงตอนนั้นต่อให้เฟยหลันไม่ลงมือ จักจั่นขาวก็ฆ่าเจ้าไม่ได้ นางแค่ค่อนข้างต่อต้านฐานะของเจ้าเท่านั้น”

หลินสวินมึนงง “ฐานะอะไร”

“ผู้สืบทอดคีรีดวงกมล” ชายหนุ่มจักจั่นทองกล่าว

หลินสวินใจกระตุกวูบ ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าที่แท้ตั้งแต่แรกเจอ ชายหนุ่มจักจั่นทองก็มองสิ่งต่างๆ มากมายบนตัวของตนออกแล้ว!

“แม่นางไป๋ตี้คนนี้มีความแค้นกับคีรีดวงกมลหรือ” หลินสวินอดถามไม่ได้

ชายหนุ่มจักจั่นทองหัวเราะลั่น “นางแค่เคยเสียเปรียบในมือผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนหนึ่ง เลยไม่พอใจมาตลอดก็เท่านั้น”

“ใครรึ” หลินสวินใคร่รู้ยิ่งกว่าเดิมแล้ว

ในสายตาของเขาจักจั่นขาวนั่นก็น่ากลัวพอแล้ว พลังต่อสู้ที่แสดงให้เห็นยิ่งดูดุดันกว่าผีเสื้อราตรีสีเลือดและบรรพจารย์บัวโลหิต

แต่กลับมีผู้สืบทอดของคีรีดวงกมลคนหนึ่งทำให้จักจั่นขาวนี้เสียเปรียบ นี่ช่างน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

“คนผู้นั้นฝึกวิชาอริยะยุทธ์เหมือนเจ้า”

ชายหนุ่มจักจั่นทองพูดง่ายๆ

เพียงพริบตาหลินสวินก็นึกถึงร่างกำยำที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายทระนงองอาจ พลังต่อสู้ราวเทียมฟ้าคนหนึ่ง!

ปีนั้นยามได้รับมรดกวิชาอริยะยุทธ์เหนือยอดคีรีดวงกมล หลินสวินก็เคยเห็นลักษณ์ประหลาดบางอย่าง

ตอนนั้นร่างทระนงองอาจนั่นคุกเข่าอยู่หน้าประตูทางเข้าคีรีดวงกมลที่พังทลาย นิ่งเงียบจนเหมือนหินก้อนหนึ่ง

จากนั้นร่างหยิ่งทะนงนั่นก็ทะลวงขึ้นเหนือเมฆ ห้ำหั่นกับศัตรูที่พุ่งสังหารเข้ามากะทันหันอยู่เหนือเก้าชั้นฟ้า ประหนึ่งเทพยุทธการผู้หนึ่ง ร่างกำยำเบียดแน่นฟ้าดิน ส่องสว่างชั่วนิรันดร์!

เป็นเขาหรือ

………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+