Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 297

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 297 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
หอสุราราตรีต้นเฟิง
โดย

เมืองหลิวเขียวตั้งอยู่ติดกับเทือกเขาราตรีต้นเฟิง ผู้ที่อาศัยในเมืองส่วนใหญ่ยังชีพด้วยการเก็บสมุนไพรและล่าสัตว์ ไม่ถือว่ายากจนข้นแค้น แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวย

เหมือนเมืองส่วนใหญ่ในจักรวรรดินี้ เมืองหลิวเขียวพื้นที่ไม่ใหญ่โต แต่ดีที่ประชากรหนาแน่น เดินทางสะดวก หอสุรา โรงเตี๊ยม ห้างร้านที่ควรมีล้วนครบครัน

เที่ยงตรงพอดี

ในหอสุราราตรีต้นเฟิงที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองคึกครื้นอยู่ก่อนแล้ว ที่นี่สามารถพบเจอกับผู้ฝึกปราณหนุ่มน้อยที่ท่องไปทั่วสารทิศ พ่อค้าและสมุนที่รอนแรมนานปี หรือคุณชายคุณหนูตระกูลร่ำรวยที่แอบออกมาเที่ยวเล่นดื่มกิน…

สามารถพบเห็นคนทุกประเภทได้ในที่แห่งนี้

หอสุราเดิมทีก็เป็นสถานที่พิเศษแห่งหนึ่ง ที่นี่คึกครื้นอยู่เสมอ คนร้อยพ่อพันแม่มารวมกันในที่เดียว ดื่มเหล้าเคล้าสนทนา พูดคุยทุกเรื่องจากเหนือสู่ใต้ ตั้งแต่เรื่องใหญ่อย่างราชสำนักยันเรื่องเล็กในตรอกตลาด ล้วนกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่สนุกสนานที่สุดในหอสุรา

หอสุราราตรีต้นเฟิงวันนี้คึกคักเหมือนเก่า เพียงแต่บนชั้นสองของหอสุราบรรยากาศกลับดูเงียบเชียบไปบ้าง

ที่นี่ไม่ได้ไร้ชีวิตชีวา ตรงข้าม ในโต๊ะของหอสุราส่วนใหญ่กลับเต็มไปด้วยเงาร่างนั่งอยู่

เพียงแต่เงาร่างเหล่านี้ล้วนดื่มเหล้าจนเมามาย พูดคุยกันไม่มาก ยังให้บรรยากาศดูน่าอึดอัดไปบ้าง

“มีอาหารขึ้นชื่ออะไรบ้าง”

“เรียนลูกค้า อาหารขึ้นชื่อมากมายเลยขอรับ พวกเรามีหมดทั้งที่บินขึ้นฟ้า วิ่งบนดิน ว่ายในน้ำ เช่นปลาหางม่วงตุ๋น ลิ้นนกกระจอกเขียวผัดฉ่า รวมมิตรของป่าตุ๋น…”

“งั้นก็เอามาอย่างละที่ เหล้าล่ะ”

“ท่านลูกค้า ‘สุราต้นเฟิงเมฆลอย’ ของหอสุราราตรีต้นเฟิงของเราเป็นเอกลักษณ์เลยขอรับ แขกที่มาที่นี่ได้ดื่มก็ชมว่ารสดี”

“เอามาลองก่อนหนึ่งกา”

“ได้ขอรับ ท่านขึ้นไปรอข้างบนสักครู่”

เงาร่างสูงโปร่งเงาหนึ่งเดินขึ้นชั้นสองท่ามกลางเสียงพูดคุย

เขาแต่งกายด้วยชุดสีขาวนวลเรียบง่าย ผมยาวสีดำรวบไว้อย่างลวกๆ หลังศีรษะด้วยเชือกฟาง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาคมสัน

ที่หลังของเขายังแบกตะกร้าไว้ใบหนึ่ง ในตะกร้ามีเด็กหญิงตัวน้อยอายุสามสี่ปีผู้หนึ่งนั่งอยู่ กำลังพิงตะกร้ากะพริบตาโตสีดำสุกใสประเมินรอบทิศอย่างใคร่รู้

คนผู้นี้ย่อมเป็นหลินสวิน ชุดที่เขาสวมอยู่เป็นชุดที่มารดาของเด็กหญิงลั่วลั่วมอบให้

เมื่อเดินขึ้นมาชั้นสอง สายตาเขากวาดไปยังลูกค้าที่กำลังดื่มกินโดยรอบ นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อยอย่างยากสังเกต จากนั้นระบายยิ้มมุมปาก หาที่นั่งริมหน้าต่างแล้วนั่งลงไป ค่อยอุ้มเด็กหญิงลั่วลั่วที่อยู่ในตะกร้าออกมาวางลงบนที่นั่งที่อยู่ข้างกาย

“พี่ชาย ข้าอยากเล่นเจ้าจิ๊บจิ๊บเจ้าค่ะ”

ลั่วลั่วเงยใบหน้าน้อย มองอย่างกระตือรือร้นมาทางหลินสวิน

หลินสวินรับคำอย่างสดใส นำเจ้าจิ๊บจิ๊บออกมาจากกลางอากาศ แล้วโยนลงบนโต๊ะเหล้าเล่นกับลั่วลั่ว

ลูกค้าไม่น้อยที่อยู่ใกล้เคียงเห็นภาพนี้เข้า ดวงตาก็อดหรี่ลงเล็กน้อยไม่ได้ พลันถอนสายตาออกมาไม่มองอีก

หลินสวินเหมือนไม่ได้รับรู้ทั้งหมดนี้ ยิ้มพลางมองลั่วลั่วที่เล่นกับเจ้าจิ๊บจิ๊บ ฉับพลันถูกเสียงพูดคุยโหวกเหวกที่อยู่ชั้นหนึ่งของหอสุราดึงดูดความสนใจ

“ให้ตายสิ รถรับส่งรอยสลักวิญญาณบทจะตกก็ตกเสียแล้ว ได้ยินว่าคนที่อยู่บนนั้นมีหลักร้อยคน ไม่ขาดผู้ฝึกปราณเสียด้วย!”

“ข้าก็ได้ยินมา นี่เป็นข่าวที่กระจายออกมาเมื่อหลายวันก่อน บอกว่าตอนรถรับส่งรอยสลักวิญญาณลำหนึ่งกำลังข้ามเทือกเขาราตรีต้นเฟิงก็ถูกนกร้ายจู่โจม ในที่สุดก็จบลงที่ตกลงมาจนรถเสียหายคนก็ตาย”

“ตายหมดเลยหรือ”

“แน่นอนอยู่แล้ว ต่อให้ไม่ตาย ตกลงมาในเทือกเขาราตรีต้นเฟิงที่สัตว์ป่าดุร้ายแบบนั้น จะรอดชีวิตมาได้อย่างไร”

“โธ่ นี่สิเรียกว่าตาสีตาสารับเคราะห์”

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ หลินสวินพลันบังเกิดความอัดอั้นที่พูดไม่ถูกขึ้นในจิตใจ ตาสีตาสารับเคราะห์อะไรกัน ถูกนกร้ายจู่โจมอะไรกัน นี่มันการสังหารหมู่ที่วางแผนไว้ก่อนแล้วชัดๆ!

แต่เห็นได้ชัดยิ่งว่าข่าวนี้ถูกศัตรูปิดบังไว้อย่างมิดชิด จากนั้นก็ใช้สาเหตุที่น่าขันอ่อนด้อยอย่าง ‘นกร้ายจู่โจม’ มาหลอกลวงคนทั้งโลก!

หลินสวินคิดไว้ก่อนแล้วว่าในเมื่อศัตรูจะกล้าทำเช่นนี้ได้ ย่อมมีที่พึ่งไม่หวั่นกลัว แต่เขายังประเมินความไร้ยางอายของศัตรูต่ำไปอยู่บ้าง

ส่วนนี่คงจะเป็นวิธีหลอกลวงผู้คนบนโลกของคนใหญ่คนโตอวดเบ่งพวกนั้น เพียงแค่หาข้ออ้างชุ่ยๆ สักอย่างก็สามารถปิดบังความจริงทั้งหมดได้

เด็กหนุ่มไม่สงสัยเลย ว่าต่อให้เขาพูดความจริงเวลานี้ น่ากลัวจะไม่มีใครเชื่อตนเลย!

อย่างไรเสีย ใครจะเชื่อว่าเรือรบจากจักรวรรดิจะสังหารหมู่ประชาชนของจักรวรรดิได้

ในระหว่างที่หลินสวินจิตใจว้าวุ่นอยู่นี้เอง พลันมีเสียงหัวเราะได้ใจดังขึ้น

“อาเจียว พี่ขอพูดอย่างไม่ถ่อมตัวคำหนึ่งว่า ในเมืองหลิวเขียวนี้ ถ้าตระกูลรุ่ยของพี่กล้าเรียกตนเองเป็นที่สอง ก็ไม่มีตระกูลไหนกล้าเรียกที่หนึ่ง! หากเจ้าไปกับข้า รับรองว่าเจ้าจะกลายเป็นสตรีที่ถูกจับตามองที่สุดในเมืองหลิวเขียว”

“พี่รุ่ยชิง ข้าไม่อยากให้ผู้อื่นจับตามอง เพียงท่านดีกับข้าก็พอแล้วเจ้าค่ะ” เสียงสตรีอ่อนหวานน่ารักเสียงหนึ่งดังขึ้นตาม

หลินสวินพลันอึ้งไป บนโลกนี้ยังมีคนยกยอตนเองเช่นนี้ด้วยหรือ

ที่ทำให้เขารู้สึกอัศจรรย์ใจที่สุดก็คือ เสียงสตรีผู้นั้นออดอ้อนออเซาะ ฟังก็รู้ว่าพูดเกินจริง

ทันใดนั้นก็เห็นว่าที่ปากทางบันไดมีคุณชายแต่งกายหรูหราผู้หนึ่งเดินมา ข้างกันนั้นยังมีสตรีรูปงามผิวขาวนางหนึ่งมาด้วยกัน

ทั้งสองเดินขึ้นมาชั้นสองก็หาที่นั่งลง คุณชายรุ่ยชิงคุยโวว่าตระกูลของตนเลอเลิศเพียงใดอยู่ตลอด ส่วนสตรีนามอาเจียวก็ยกยอปอปั้นอย่างเต็มใจ พูดคุยกันสนิทสนมอย่างถึงที่สุด

หลินสวินอดส่ายหน้าไม่ได้ ไม่สนใจเรื่องนี้อีก เวลานี้อาหารและสุราก็ส่งขึ้นมา เขากับลั่วลั่วตั้งหน้าตั้งตากินข้าวทันที

เจ้าจิ๊บจิ๊บกลับนอนนวยนาดอยู่อีกด้านหนึ่ง พลางหาวออกมา ท่าทางเหมือนจะหลับเสียให้ได้ มันไม่แลอาหารเหล่านั้น เพราะที่ชอบกินที่สุดก็คือผลึกวิญญาณ

“โห เจ้าตัวเล็กน่ารักจัง ท่านพี่รุ่ยชิงดูสิเจ้าคะ นั่นอสูรวิญญาณอะไร ข้าอยากหยิกท้องกลมๆ น้อยๆ ของมันเสียหน่อย”

ฉับพลันอาเจียวที่อยู่โต๊ะข้างกันก็ชี้มาที่เจ้าจิ๊บจิ๊บ ร้องเสียงแหลมเหมือนเสียสติ

“ฮ่าๆ ในเมื่ออาเจียวชอบ พี่ก็จะช่วยจัดการให้”

รุ่ยชิงที่อยู่ข้างๆ หัวเราะร่าแล้วหันกายเดินมา สายตาชำเลืองมองมาที่หลินสวินแล้วพูดว่า “พี่ชาย อสูรวิญญาณนี้เป็นของเจ้าใช่หรือไม่ เอาอย่างนี้ ข้าให้เจ้าหนึ่งร้อยเหรียญเงิน เจ้าขายของเล่นนี้ให้ข้าเสีย”

เขาพูดพลางล้วงถุงเงินออกมาแล้วโยนลงบนโต๊ะเหล้าดังโผละ ไม่ถามหลินสวินเลยว่ายอมขายหรือไม่ก็ยกมือขึ้นมาจะจับเจ้าจิ๊บจิ๊บไป

เผียะ!

ตะเกียบคู่หนึ่งตีลงมา เคาะอย่างแม่นยำเข้าที่ข้อต่อข้อมือของรุ่ยชิง ก็เห็นว่ารุ่ยชิงพลันชักแขนกลับไปราวถูกสายฟ้า เจ็บจนสูดหายใจยะเยือกไม่หยุดหย่อน

อาเจียวร้องเสียงแหลม ลุกขึ้นพรวดพราดแล้ววิ่งเข้ามา เอ่ยอย่างร้อนรนว่า “พี่รุ่ยชิง ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ”

เมื่อเสียท่าไม่น้อยต่อหน้าผู้หญิงของตน ทำให้รุ่ยชิงขายหน้า จึงยิ้มหยันแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นอะไร เพียงแต่วันนี้เจ้าเด็กนี่น่าจะมีเรื่องแล้ว! ให้ตายสิ ในเมืองหลิวเขียวแห่งนี้ ข้าไม่เคยเสียท่าเช่นนี้มาก่อน!”

เขาพูดพลางหวดมือไปทางหลินสวิน

เรียบง่าย ตรงไปตรงมา รุนแรง นี่ก็คือรุ่ยชิง หลินสวินไม่สงสัยเลยว่าเจ้านี่เป็นพวกเกเรเหลือทน ทั้งยังไร้สติปัญญา

เผียะ!

หลินสวินนั่งตรงนั้นไม่เคลื่อนไหว ตะเกียบในมือกลับตีเข้าที่ข้อต่อข้อมือของรุ่ยชิงอย่างแม่นยำ เจ็บจนฝ่ายหลังร้องโอดโอยโหยหวน ใบหน้าเหยเก

“เวรเอ๊ย เจ้าหาที่ตายแล้ว! ถึงกับกล้าลงมือตีข้า! เจ้าจบสิ้นแล้ว วันนี้อย่าคิดว่าจะมีชีวิตรอดออกไปจากเมืองหลิวเขียว!” รุ่ยชิงโวยวาย

เขาได้รับบทเรียนสองครั้งติดต่อกัน ไม่เพียงไม่หลาบจำกลับบ้าคลั่งขึ้นมา หลินสวินรับรู้ได้อย่างสนิทใจว่าครั้งนี้ตนได้พบกับลูกผู้มีอำนาจเสเพลที่ก้าวร้าวโง่งม ไม่เพียงไร้สติปัญญา ยังเป็นคนเขลาไม่รู้เรื่องรู้ราวอีกด้วย

ฉับพลันหลินสวินรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง เขากวาดสายตาไปรอบทิศผ่านๆ ก่อนจะนิ่วหน้า จากนั้นลุกขึ้นยืนอย่างไม่ชักช้า พูดพลางยิ้มว่า

“สหาย ข้าส่งเจ้าไปเป็นทหารกองหนุนดีหรือไม่”

รุ่ยชิงที่กำลังร้องโวยวายนิ่งไป “เจ้าหมายความว่าอะไร”

หลินสวินยื่นมืออกมาไวปานสายฟ้าฟาด คว้าสาบเสื้อของรุ่ยชิงแล้วตวัดมือโยนฝ่ายตรงข้ามลอยออกไปนอกหน้าต่าง

ได้ยินเสียงดังตุ้บจากถนนด้านนอก เสียงรุ่ยชิงร้องโอดโอยโหยหวนก็แว่วมา “ไอ้บ้าเอ๊ย ฝากไว้ก่อนเถอะ!”

อาเจียวตกใจจนใบหน้างามซีดเผือด ร้องเสียงแหลมขึ้นว่า “เจ้า เจ้า…เจ้ารู้หรือไม่ว่ารุ่ยชิงเป็นใคร เขาเป็นถึงคุณชายสามแห่งตระกูรุ่ย ขุมพลังอันดับหนึ่งในเมืองหลิวเขียว ผิดใจกับเขา วันนี้เจ้าอย่าคิด…”

ไม่ทันพูดจบนางก็ถูกหลินสวินจับไว้แล้วโยนออกไปนอกหน้าต่าง

เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาก็ส่ายหน้าเย้ยหยัน “เป็นคู่อัศจรรย์เสียจริง”

เขาพูดพลางก้มหัวถามลั่วลั่ว “กินอิ่มแล้วใช่หรือไม่”

ลั่วลั่วพยักหน้าอย่างว่าง่าย นางโอบเจ้าจิ๊บจิ๊บไว้ในอ้อมกอด เหมือนกลัวว่ามันจะถูกคนแย่งไป

“เช่นนั้นพวกเราก็เตรียมตัวไปกันเถิด” หลินสวินอุ้มลั่วลั่วขึ้นวางลงในตะกร้า จากนั้นก็แบกไว้บนหลัง

“พี่ชาย สองคนเมื่อครู่นี้เป็นคนไม่ดีใช่หรือไม่เจ้าคะ” ลั่วลั่วถาม

หลินสวินเอ่ยว่า “สองคนนี้ไม่ถือว่าเป็นคนไม่ดีหรอก อย่างเก่งก็เป็นคนโง่คู่หนึ่ง”

เขาพูดถึงตรงนี้ สายตาก็กวาดไปยังลูกค้าที่รับประทานอาหารรอบทิศเหล่านั้น มุมปากระบายรอยยิ้มเลือนราง “แต่ว่า ลั่วลั่วเจ้าหลับตาเสียก่อน อีกเดี๋ยวคนไม่ดีตัวจริงก็จะปรากฏตัวแล้ว”

ลั่วลั่วตื่นตะลึง แต่ก็เชื่อฟังแล้วปิดตา พลางมุดเข้าในตะกร้า แล้วพูดว่า “ท่านพี่วางใจได้เจ้าค่ะ ข้าไม่ดูหรอก”

หลินสวินส่งเสียงอืม ดวงตาสีดำพลันแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยไร้ความรู้สึก เขากวาดสายตามองลูกค้าที่มารับประทานอาหารบนชั้นสองเหล่านั้น พูดพลางยิ้มว่า “ทุกท่าน ข้าวก็กินแล้ว ได้เวลาออกเดินทางแล้ว พวกท่านว่าอย่างไร”

ชิ้ง!

ระหว่างที่พูดดาบเวทเรืองแสงพลันปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นเห็นว่าเงาร่างหลินสวินกระโจนออกไป คมดาบม้วนกลืนพลังดุดันน่าหวั่นกลัว ฟาดไปยังลูกค้าสามคนที่อยู่ที่โต๊ะที่ใกล้ที่สุด

แทบจะในเวลาเดียวกัน ลูกค้าสามคนนั้นก็พุ่งทะยานขึ้น เห็นได้ชัดว่าเตรียมตั้งท่ารอไว้ก่อนแล้ว เมื่อหลินสวินโจมตี พวกเขาโต้กลับตามจิตใต้สำนึก

“ถูกดูออกแล้ว ร่วมกันลงมือ!”

พร้อมกับเสียงตะโกนดังนั้น ลูกค้าที่เดิมนั่งรับประทานอาหารที่ชั้นสองโดยรอบพลันลุกขึ้นทันที สีหน้าโหดเหี้ยมเย็นชา ในมือถืออาวุธวิญญาณแบบต่างๆ โจมตีอย่างอุกอาจ

ชั่วพริบตาบรรยากาศที่เงียบสงบแต่เดิมก็มลายไป ที่นี่ราวกับแปรสภาพเป็นสนามรบ แสงดาบเงากระบี่เกลื่อนกลาด ไอสังหารราวพายุโหมคลั่ง!

สถานการณ์เปลี่ยนแปลงมากเกินไป ลูกค้าที่รับประทานอาหารอยู่ชั้นหนึ่งล้วนตื่นตระหนก ส่งเสียงกรีดร้องหวาดกลัวหนีกระเจิง

ทั้งหอสุราราตรีต้นเฟิงตกอยู่ในเหตุสังหารนองเลือด ลมแรงพัดโหม ผนังถล่ม ยังมาพร้อมกับเสียงโต๊ะเก้าอี้จานชามสลายกลายเป็นฝุ่น

ขนาดผู้สัญจรไปมาบนถนนใกล้กันยังถูกทำให้ตกใจ พากันหลบหลีกบริเวณนี้ ด้วยกลัวว่าจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วย

ไม่มีใครสังเกตว่าหลังคาอาคารบ้านเรือนห้างร้านมากมายที่อยู่โดยรอบหอสุราราตรีต้นเฟิงไม่รู้ว่ามีเงาร่างเงาแล้วเงาเล่าซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบตั้งแต่เมื่อไร

ในมือของทุกร่างล้วนถือหน้าไม้ไม่ก็คันธนูวิญญาณ พากันเล็งไปยังหอสุราราตรีต้นเฟิงที่อยู่ตรงกลาง!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด