Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 312

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 312 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
โจมตี
โดย

ยิ่งคิดตู้ซิงชวนก็ยิ่งสลดใจ หากยืมแม่น้ำเป็นเกราะกำบังแล้ว ก็คงใช้การเรือรบวีนชนม่วงไม่ได้ หมดตัวช่วยอย่างดีนี้ไปเช่นนี้ เหลือเพียงพลังจากผู้ฝึกปราณพวกเขา ทว่ามิใช่คู่ต่อสู้ของเป้าหมายเอาเสียเลย

อย่าลืมว่าหลายวันก่อนผู้ฝึกปราณจำนวนมากถูกเป้าหมายสังหารจนแตกพ่าย สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้เลย รวมกับหลายวันมานี้พวกเขาสูญเสียทรัพยากรไปมาก ทำให้ความมุ่งมาดในการต่อสู้ของหลายคนลดทอนลง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเอาอะไรไปสู้กับเป้าหมายได้

ตู้ซิงชวนกระทั่งมีความคิดว่า แม้นปรมาจารย์วางแผนการศึกอายุน้อยอย่างสวี่เชียนจิ้งมาที่นี่ ก็เกรงว่าจะไม่มีวิธีพลิกสถานการณ์เช่นกัน

“หัวหน้าขอรับ มีรายงานมาว่าเป้าหมายซุ่มโจมตีจุดที่ห่างจากนี้ไปสามสิบเจ็ดลี้ คนของเราทั้งสิบเก้าคนคนไม่มีใครรอดชีวิตเลย”

เสียงตะโกนร้องดังฝันร้ายแว่วมาจากที่ไกล ทำให้ตู้ซิงชวน เสี่ยวมู่ และผู้ฝึกตนทั้งหลายล้วนหน้าถอดสี เวลาเพิ่งจะผ่านไปไม่เท่าไร เป้าหมายเริ่มลงมืออีกแล้ว

“บัดซบ!”

“ทำไมไม่ใช้โอกาสนี้นำเรือรบวีรชนม่วงออกมาสังหารมันเสีย”

“เหลวไหล ไม่ได้ยินหรือว่าเป้าหมายซุ่มโจมตี ใครจะรู้ว่าเขาจะปรากฏตัวอยู่ที่ใด และลอบโจมตีด้วยวิธีไหน เรือรบวีรชนม่วงแม้จะร้ายกาจ แต่ก็ไม่สามารถระบุตำแหน่งของเป้าหมายได้ในทันที”

“แล้วจะทำอย่างไร”

หลายคนก่นด่าระบายความร้อนรนหวาดกลัวในใจ ทำให้บรรยากาศจอแจวุ่นวาย

ตู้ซิงชวนในยามนี้แน่ใจในสิ่งที่ตนคาดคะเนไว้ เป้าหมายวางแผนใช้วิธีซุ่มโจมตีโดยหยิบยืมแม่น้ำเป็นเกราะกำบังโจมตีกองกำลังที่พวกเขาจัดวางตามที่ต่างๆ

คิดได้เช่นนี้เขาก็กายเย็นวาบ ก่อนจะตะโกนขึ้นมาสุดเสียง “หุบปากให้หมด! รีบรายงานกองกำลังที่เหลือให้มารวมตัวกันที่นี่โดยด่วน!”

ผู้ฝึกปราณหลายคนแยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง

“หัวหน้าขอรับ ทำเช่นนี้หากเป้าหมายโผล่ขึ้นจากน้ำก็สามารถหลบหนีออกไปได้โดยง่าย” เสี่ยวมู่เอ่ยเตือน “จะทำอย่างนี้จริงๆ หรือขอรับ”

ตู้ซิงชวนคร่ำเคร่ง ว่าเสียงขื่น “ให้เรือรบวีรชนม่วงกับเหยี่ยวสอดแนมจับตาดูการเคลื่อนไหวของเป้าหมายไปก่อน พวกเราสูญเสียกำลังคนมากเกินไป จะปล่อยให้สถานการณ์ย่ำแย่อย่างนี้ดำเนินต่อไปไม่ได้”

เสี่ยวมู่ถอนหายใจไม่พูดอะไรอีก

คืนนั้น กองกำลังที่จัดวางไว้ตามสถานที่ต่างๆ ก็ทยอยมารวมตัวกับตู้ซิงชวน แต่เมื่อนับจำนวนที่ชัดเจนแล้วตู้ซิงชวนแทบลมจับ กระอักเลือดออกมา

สี่ร้อยสิบเก้าคน!

จากเมืองหมอกอำพรางมาจนถึงตอนนี้ รวมทั้งคนที่อยู่บนเรือรบวีรชนม่วงแล้ว พวกเขาเหลือเพียงสี่ร้อยสิบเก้าคน!

“ผู้ฝึกปราณยอดฝีมือทั้งสิ้นสามพันคน เรือรบวีรชนม่วงหกลำ อาวุธและทรัพยากรจำนวนมหาศาล ตอนนี้กลับเหลือเพียงเท่านี้”

น้ำเสียงของตู้ซิงชวนทั้งขมขื่นและเศร้าสลด “และสาเหตุทั้งหมดเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีเท่านั้น ใครจะอยากเชื่อ ใครจะจินตนาการได้”

เสี่ยวมู่เองก็สลดใจไร้ซึ่งคำพูดเช่นเดียวกัน ผู้ฝึกปราณคนอื่นกำลังใจหดหาย พากันตื่นตระหนก พวกเขากลัวแล้วจริงๆ ในความคิดของพวกเขา หลินสวินคือสัตว์ร้ายที่ไม่มีทางเอาชนะได้ ทำให้พวกเขารู้สึกไร้เรี่ยวแรงและหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ในยามนี้ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าพวกเขาสู้รบกับหลินสวิน เกรงว่าหากหลินสวินปรากฎกายขึ้นมา พวกเขาก็คงกลัวจนแตกฮือวิ่งหนี

เหตุการณ์ทั้งหมดตกอยู่ภายใต้สายตาของตู้ซิงชวน ทำเอาเขาแน่นหน้าอกหายใจไม่คล่องคอ

จะทำอย่างไรดี

ความจริงตู้ซิงชวนมีคำตอบในใจอยู่แล้ว เพียงแต่เมื่อนึกถึงคำสั่งของฉือฉางเหมย เขากลับลังเลขึ้นมา

จะถอยดีหรือไม่

กลางดึก หลินสวินขึ้นมาจากน้ำเงียบๆ ร่างกายหายวับไปที่ไกล

ไม่นานก็ปรากฏเห็นเรือรบวีรชนม่วงขนาดยาวกว่าร้อยจั้งจอดนิ่งอยู่บนพื้นที่โล่งกว้าง มองไปราวกับอสูรร้ายกำลังหลับใหล

“โอกาสอยู่ข้างหน้าแล้ว”

หลินสวินสูดหายใจลึกท่ามกลางความมืด เขารอโอกาสนี้มานาน รอเวลาที่เรือรบวีรชนม่วงจะลงจอดบนพื้น

นี่ไม่ใช่การกระทำไร้ซึ่งการตรึกตรอง หลินสวินรู้ดีว่าเรือรบวีรชนม่วงบินต่อเนื่องได้นานสุดสี่ชั่วโมง และต้องจอดพักเพื่อเปลี่ยนผลึกวิญญาณระดับสูงในเตาหลอมวิญญาณ หากไม่ทำเช่นนี้แล้ว เรือรบจะสูญเสียพลังจนร่วงหล่นลงมาเหมือนนกไร้ปีก

สวบ

หลินสวินกระโดดขึ้นไปบนท้ายเรือ เขาดั่งวิญญาณที่เดินเหินท่ามกลางความมืด เด็กหนุ่มคุ้นเคยกับเรือรบวีรชนม่วงเป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นคนสร้างมันมากับมือ

พลันร่างหนึ่งเดินเลี้ยวออกมาจากมุม ยังไม่ทันตั้งตัวลำคอก็ถูกมือหนึ่งหัก ร่างอ่อนย้วยลงกับพื้น เมื่อจัดการเรียบร้อยหลินสวินเคลื่อนไหวไปอีกสิบกว่าลี้ หยุดลงที่หน้าประตูห้องบังคับเรือ

เขานำดาบเวทเรืองแสงออกมาแทงบานประตูกว่าสิบครั้ง ก่อนจะมีเสียงแกรกดังขึ้น ในที่สุดประตูก็เปิดออก

นี่คือกลอย่างหนึ่ง หากใช้แต่เพียงแรงกระแทก แม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรวิญญาณก็ไม่มีทางเปิดมันออกได้โดยง่าย แต่หากทราบวิธีไขกลแล้ว การจะเปิดประตูออกย่อมง่ายกว่าพลิกฝ่ามือ

สวบ

หลินสวินหายตัววับเข้าไปข้างใน ประตูเรือปิดอีกครั้ง

ภายในห้องบังคับมืดมิดไม่มีผู้ฝึกปราณเฝ้าอยู่ หลินสวินพบว่าแผ่นจานควบคุมกระบวนวิญญาณเตรียมพร้อมสั่งการอยู่แล้ว ริมฝีปากไม่วายกระตุกยิ้ม ผู้ฝึกปราณพวกนี้โง่เขลาจริงๆ

เดิมทีที่เขาออกแบบเรือลำนี้ สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกเมื่อเรือรบวีรชนม่วงลงจอด คือใช้วิธีการพิเศษปิดตายแผ่นจานควบคุมกระบวนวิญญาณ เช่นนี้แม้ศัตรูจะเข้ามาในห้องบังคับการ ก็ไม่มีทางขับเรือรบวีรชนม่วงออกไปได้ ทั้งนี้ยังสามารถป้องกันการใช้งานเรือโดยพละการด้วย

ชัดเจนว่าผู้ฝึกปราณที่ควบคุมเรือรบวีรชนม่วงละเลยรายละเอียดข้อนี้ไป

หรือบางทีพวกเขาคงคาดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีใครเปิดประตูเข้าห้องบังคับเรือได้โดยง่าย

หลินสวินไม่มัวไตร่ตรอง กำดาบเวทเรืองแสงในมือแน่นด้วยสายตาเย็นชา เปิดประตูด้านหนึ่งของห้องบังคับการ

ประตูนี้คือทางลงไปท้องเรือ หากหลินสวินคาดการณ์ไม่ผิด เหล่าผู้ฝึกตนน่าจะอยู่ในห้องบังคับการ

เวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลินสวินกลับมาจากห้องบังคับการอย่างปลอดภัย ใต้ท้องเรือนั้นมีกองเลือดและศพนอนเกลื่อนอยู่ตามพื้น

“ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ข้าจะเป็นฝ่ายโจมตีเสียที”

หลินสวินนั่งลงตรงหน้าแผ่นจานควบคุมกระบวนวิญญาณ ดวงตาสีดำล้ำลึกเย็นเยือก

นี่คือเรือรบวีรชนม่วงที่เขาออกแบบมากับมือ แต่กลับถูกศัตรูนำมาใช้จัดการตัวเขาจนเขาเกือบสังเวยชีวิตให้มัน ตอนนี้ถึงคราวที่เขาจะใช้ผลงานของตัวเองโจมตีพวกมันกลับบ้างแล้ว

“เสี่ยวมู่ เราถอยทัพกลับดีกว่ากระมัง”

ตู้ซิงชวนเอ่ยขึ้นหลังจากในใจคิดไม่ตกอยู่สองนาน เมื่อพูดออกไปแล้วก็โล่งอก คล้ายได้โยนหินหนักอึ้งในใจทิ้ง

“หัวหน้า พวกเรายังมีเรือรบวีรชนม่วงอีกตั้งห้าลำนะขอรับ”

เสี่ยวมู่ตกใจ ไม่คิดว่าตู้ซิงชวนจะคิดถอยเวลานี้ มันจะแตกต่างกับการยอมแพ้อย่างไร แล้วหากยอมแพ้ก็เท่ากับว่าภารกิจครั้งนี้ล้มเหลวจริงๆ

หากฉือฉางเหมยทราบ นางย่อมไม่ปล่อยตู้ซิงชวนเอาไว้แน่

“ไม่ไหวแล้ว หลายวันนี้เรือรบวีรชนม่วงใช้ผลึกวิญญาณระดับสูงไปมหาศาล อีกไม่นานก็จะไม่สามารถนำออกมาใช้การได้อีก แล้วถ้าตอนนั้นเป้าหมายปรากฏตัวขึ้นมาจะทำอย่างไร”

ตู้ซิงชวนว่าเสียงต่ำ “ที่สำคัญ ในเมื่อเป้าหมายรู้ว่าเรามีเรือรบวีรชนม่วง เขาจะโผล่ออกมาง่ายๆ ได้อย่างไร”

“หัวหน้า…” เสี่ยวมู่คล้ายจะบอกอะไร ทว่าตู้ซิงชวนยกมือขึ้นห้าม

“ตกลงตามนี้แหละ ตอนนี้เราก็แพ้แล้ว หากยังดึงดันต่อไปผลลัพธ์ก็จะยิ่งแย่ไปกันใหญ่”

เสี่ยวมู่ถอนหายใจ แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ก็ทำได้เพียงรับปาก

ฮูม

หลังจากที่ตู้ซิงชวนออกคำสั่งไปแล้ว พลันบนอากาศมีเสียงสนั่นดังขึ้น ทุกคนมองขึ้นไปด้วยความตกใจ เมื่อเห็นเรือรบวีรชนม่วงลอยส่องแสงแสบตาอยู่ท่ามกลางความมืด

เป้าหมายปรากฏตัวแล้วหรือ

ตู้ซิงชวน เสี่ยวมู่ และคนอื่นๆ พากันผงะ

ไม่นานเรือรบวีรชนม่วงอีกลำก็ทะยานขึ้นฟ้าตาม

“หัวหน้าขอรับ ดูเหมือนจะเจอร่องรอยของเป้าหมายแล้ว หากถอยทัพตอนนี้คงไม่ดีนัก” เสี่ยวมู่ว่า

“งั้นก็รออีกหน่อยแล้วกัน” ตู้ซิงชวนเปลี่ยนคำสั่งแล้วถอนหายใจ

เขารู้ดีว่าการทำเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ ใช้ปืนใหญ่สลักวิญญาณแล้วอย่างไร หากเป้าหมายกระโดดลงน้ำไป ทุกอย่างก็เท่ากับสูญเปล่า

“หือ? หัวหน้าขอรับท่านดูสิ เรือลำนั้นใช้ปืนใหญ่สลักวิญญาณ ต้องกำหนดที่อยู่ของเป้าหมายได้แล้วแน่ๆ” เสี่ยวมู่ยกมือชี้ ร้องดีใจ

ตู้ซิงชวนประหลาดใจ ไม่กล้าเชื่อว่าจะเป็นความจริง เป้าหมายน่ะหรือจะโง่เขลาปรากฏตัวต่อหน้าเรือรบวีรชนม่วง

ผู้ฝึกปราณโดยรอบร้องโห่ อารมณ์หวาดกลัว กริ่งเกรง หดหู่ กดดันที่สั่งสมมาหลายวันปะทุขึ้น พวกเขาอยากให้เรือรบวีรชนม่วงยิงสังหารเป้าหมายใจจะขาดแล้ว

ฮูม

เรือรบวีรชนม่วงลำนั้นเริ่มโจมตี แสงแวววาวสว่างจ้าพุ่งฝ่าความมืดลอยออกไปในอากาศ เสียงสนั่นสะท้านผืนฟ้า

เพียงแต่ว่า…ทิศทางที่ลำแสงพุ่งไปนั้นกลับเป็นเรือรบวีรชนม่วงอีกลำที่อยู่บนอากาศ พาให้ทุกคนในเหตุการณ์ตะลึงงัน ความทะนง ความคาดหวัง และความตื่นเต้นในจิตใจพลันมลายหาย ได้แต่อ้าปากค้าง

นะ นี่…นี่มันอะไรกัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด