Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 314

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 314 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ความวุ่นวายสิ้นสุดลง
โดย

เรือนโบราณ นครต้องห้าม

เพล้ง! เพล้ง!

ในห้องที่ปิดมิดมีเสียงแตกของสิ่งของและมีเสียงก่นด่า

องครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกห้องสองคนตัวสั่น หลังจากที่ทัพหน้าส่งข่าวมา ในห้องก็สั่นสะเทือนปานแผ่นดินไหว

“ผู้ฝึกปราณยอดฝีมือสามพันคน เหลือรอดอยู่ไม่กี่ร้อยอย่างนั้นหรือ พวกตัวขยะ!”

“ตู้ซิงชวนผู้นั้นสมควรตาย!”

“มีใครบอกข้าได้บ้างว่าเด็กคนนั้นโจรกรรมเรือรบวีรชนม่วงได้อย่างไร แล้วยังเอามายิงเรือรบของเราจนเละหมดเลย”

“เรือรบวีรชนม่วงรุ่นใหม่หกลำเชยวนะ ราคาลำละหนึ่งแสนสองหมื่นเหรียญทอง แถมยังเป็นของที่มีเงินก็ซื้อไม่ได้ แต่ตอนนี้…มีสองลำที่เสียหายอย่างหนัก ที่เหลือเสียหายไม่เป็นท่า! ใครจะรับผิดชอบ”

“บัดซบ!”

เหล่าบุตรหลานตระกูลใหญ่ที่เป็นผู้ช่วยก่นด่าไม่รักษาอาการกับข่าวที่เพิ่งได้รับ

ที่พื้น มีเศษแก้วชา เศษโต๊ะเก้าอี้และของต่างๆ แตกกระจาย

แสงเทียนสว่างไสวสะท้อนให้เห็นใบหน้าถมึงทึงคล้ำเขียวของแต่ละคน

ภารกิจที่วางแผนมาอย่างดี ระหว่างเส้นทางเมืองหมอกอำพรางจนถึงนครต้องห้าม จัดเตรียมกองกำลังและทรัพยากรของจำนวนมาก แต่สุดท้ายกลับพ่ายแพ้

แพ้ให้เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบกว่าปี!

แพ้ราบคาบ!

ใครจะไปรับได้

“ไม่ได้เรื่อง! พวกตัวขยะ! ถ้าตู้ซิงชวนกลับมา ข้าจะจัดการเขาเสีย!”

เสียงก่นด่ายังคงดำเนินต่อไป

มีเพียงฉือฉางเหมยที่ไม่ได้เอ่ยอะไรมาตั้งแต่ต้น นางนั่งอยู่ลำพัง ใบหน้าเข้มสวยไร้อารมณ์ นิ่งจนคล้ายรูปปั้น ไม่ว่ารอบข้างจะมีเสียงก่นด่าเพียงใดนางก็ยังเฉยเมย

ไม่รู้ผ่านมานานแค่ไหนเสียงก่นด่านั่นจึงเริ่มหายไป เหล่าบุตรหลานตระกูลใหญ่ด่าจนเหนื่อย ต้องนั่งพักทั้งที่ยังอารมณ์เสีย

“ไม่ด่าแล้วหรือ” ฉือฉางเหมยที่เงียบมานานเอ่ยขึ้น นางเงยหน้าสายตาดูแคลนไม่ปิดปังกวาดมองไปรอบๆ อย่างไม่ปิดใจ

เหล่าผู้ช่วยกระอักกระอ่วน ไม่กล้าสบตาฉือฉางเหมย

“กองกำลังพวกนั้นถึงจะไม่ได้เรื่องแค่ไหนก็เคยเอาชีวิตเข้าแลก ข้าเป็นพยานได้ว่าการตายเกิดขึ้นจากความพยายาม พวกเจ้าต่างหาก…” ฉือฉางเหมเสียงเย็น “ที่ควรจะเรียกว่าตัวขยะ!”

ตัวขยะ!

ถูกหยามตรงๆ เช่นนี้ เหล่าผู้ช่วยได้แต่กำหมัดแน่นไม่กล้าตอกกลับ

“ดูสิ แม้แต่จะต่อคำข้ากลับก็ไม่กล้า แล้วพวกเจ้าจะมีประโยชน์อะไร”

ฉือฉางเหมยเสียงราบเรียบลงเรื่อยๆ คำพูดกลับยิ่งแฝงความถากถาง “ข้าผิดเองที่คาดการณ์ผิดพลาด เก็บพวกเจ้าเอาไว้เป็นผู้ช่วยตั้งแต่คราวแรก บางทีนี่อาจจะบอกได้ว่าข้า ฉือฉางเหมยก็แค่คนโง่ตาถั่วเท่านั้น”

ยิ่งนางพูดอย่างนี้ยิ่งทำให้เหล่าผู้ช่วยกระอักกระอ่วน

“เหมยจวิ้นจู่ แม้ภารกิจครั้งนี้จะล้มเหลว แต่เป้าหมายยังไม่ได้เข้ามาในนครต้องห้าม นั่นหมายความว่าพวกเรายังมีโอกาส” ในที่สุดก็มีคนทนไม่ไหว เอ่ยขึ้น “ข้ายินดีเป็นทัพหน้าสังหารเด็กคนนี้”

“ใช่แล้ว พวกเราก็ยินดี”

คนอื่นเริ่มว่าตาม เพื่อแสดงความภักดี

ฉือฉางเหมยเมินเฉย มองคนเหล่านั้นด้วยความเวทนา “พวกเจ้าแน่ใจหรือ”

“แน่นอน” ผู้ช่วยเหล่านั้นเอ่ยไม่ลังเล

ฉือฉางเหมยคล้ายนึกอะไรได้ จึงแค่นหัวเราะออกมา “เช่นนั้นข้าขอถามหน่อย ใครกล้ารับรองว่าจะสามารถสังหารเป้าหมายได้ด้วยความสามารถตัวเอง พวกเจ้าไม่ต้องรีบตอบก็ได้ เพราะข้าถามจริงจัง”

เหล่าผู้ช่วยพากันนิ่งไป ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรอีก

หลายวันมานี้พวกเขาจับตามองภารกิจของทัพหน้าอยู่ตลอด จะไม่ทราบได้อย่างไรว่าเป้าหมายเป็นตัวประหลาดฝีมือร้ายกาจ แม้แต่เรือรบวีรชนม่วงหกลำและผู้ฝึกตนยอดฝีมือสามพันคนร่วมมือกันก็ยังพ่ายแพ้ให้กับเด็กคนนี้ หากพวกเขาไปจะชนะได้อย่างไร

ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาเอะอะอยากไปเป็นทัพหน้าก็เพียงเพราะถูกฉือฉางเหมยดูแคลนจนเสียหน้า จึงเอ่ยออกไปด้วยความโมโห หากให้พวกเราไปสู้กับเป้าหมายจริงๆ เกรงว่าจะวิ่งหนีไวเสียยิ่งกว่ากระต่าย

ฉือฉางเหมยหยัดกายลุกด้ายท่าทีห่างเหิน “งานเลี้ยงฉลองไม่มีแล้ว ทุกท่านตามสบายเถิด” นางว่าพลางผลักประตูจากไป

คำพูดคล้ายไม่ได้ข่มขู่ แต่เหล่าผู้ช่วยต่างตระหนกกันได้แล้ว พวกเขาทราบดี ฉือฉางเหมยกำลังโกรธจริงๆ แล้ว ผลลัพธ์ที่จะตามมานั้นมีไม่น้อยแน่ๆ

ยามค่ำคืน ฉือฉางเหมยนั่งอยู่ในรถม้า มองไข่มุกตรงหน้าด้วยความสับสน

ไม่ขุกนั้นสะท้อนสงภาพหนึ่ง เป็นภาพเด็กหนุ่มท่ามกลางความมืดเงยหน้ายิ้มโบกมือให้กับท้องฟ้า

ฉือฉางเหมยมองเงียบๆ คล้ายสบตาอยู่กับเขา นางรู้มานานแล้วว่าเด็กหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลานี้คือหลินสวิน เพียงแต่เมื่อได้มองเขาอีกครั้งในยามนี้ กลับพบว่าเด็กหนุ่มคนนี้ช่างแปลกหน้าเหลือเกิน คล้ายไม่ใช่คนที่นางคุ้นเคยมาก่อน

เขาในยามนี้ดูยิ้มแย้ม เป็นรอยยิ้มที่พูดได้ว่าสว่างไสว แต่สำหรับฉือฉางเหมยแล้ว รอยยิ้มนี้ขัดตานัก โดยเฉพาะในตอนที่สบตากับนัยน์ตาสีดำล้ำลึกราบเรียบปานน้ำนิ่งไร้ซึ่งระลอกคลื่นคู่นั้น มันทำให้นางเดาอารมณ์ของเขาไม่ออก และพาให้เกิดความรู้สึกหวาดหวั่น

ปัง!

นางบีบไข่มุกนั้นแหลกละเอียดด้วยท่าทีเย็นชา แม้เจ้าจะมาถึงนครต้องห้าม ข้าก็จะไม่รามือเด็ดขาด!

“ท่านพ่อ ภารกิจล้มเหลวแล้วเจ้าค่ะ”

เมื่อกลับมาถึงตระกูล ฉือฉางเหมยก็ตรงมาที่ห้องหนังสือของฉือหลิงเซียว ผู้เป็นบิดา

ฉือฉางเหมยปลดความเข้มแข็งที่แบกไว้ ท่าทีที่เคยมีเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานเชื่อฟัง เมื่อเห็นบิดาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ

“อืม เล่ามาให้ละเอียดสิ”

ฉือหลิงเซียวพูด เขาเป็นชายร่างผอม สวมชุดโบราณท่าทางสุภาพเรียบร้อย เต็มไปด้วยกลิ่นอายของหนังสือ เขานั่งหลังเหยียดตรง สองไหล่ไม่ได้กว้างแต่กลับแข็งแกร่งดั่งภูเขาที่แบกฟ้าได้ทั้งผืน

ฝ่ายบุตรสาวใคร่ครวญสักพักจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา

ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉือหลิงเซียวยังคงเปิดอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะเงียบๆ จนกระทั่งฉือฉางเหมยเล่าจบ เขาถึงพยักหน้าเอ่ย “ไม่เลว ที่ควรทำพวกเราก็ทำแล้ว ไม่ว่าสำเร็จหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเรา”

ฉือฉางเหมยงงงัน ไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง อะไรคือไม่ว่าสำเร็จหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเรา

ภารกิจครั้งนี้ล้มเหลว สูญเสียกองกำลังมากมาย เหตุใดจึงไม่เกี่ยวกับเรา

“ท่านพ่อ นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ” ฉือฉางเหมยอดไม่ได้ถามขึ้น

ผู้เป็นบิดาปิดตำราในมือ “นับแต่รับปากสัญญาว่าจะไม่ส่งกำลังที่พลังสูงกว่าระดับผสานวิญญาณร่วมในภารกิจครั้งนี้ ผลลัพธ์ก็ถูกกำหนดไว้แล้ว หากชนะเด็กคนนี้ก็จะตาย หากแพ้แล้ว เด็กคนนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาในนครต้องห้าม”

ว่าถึงตรงนี้ฉือหลิงเซียวก็ผุดยิ้ม “หากเจ้าคิดถึงเบื้องหลังของคำสัญญาก็จะเข้าใจ เบื้องหลังมีคนอยากให้เด็กตระกูลหลินคนนี้กลับมา แต่ก็มีคนที่ไม่อยากให้เขากลับมาเช่นกัน จึงจัดภารกิจครั้งนี้ขึ้นมา”

ฉือฉางเหมยเคยใคร่ครวญปัญหานี้ แต่เมื่อได้รับคำอธิบายจากบิดาก็ตกตะลึง “ที่แท้ ที่แท้ไม่ใช่ตระกูลฉือต้องการจัดการหลินสวินคนนั้นหรอกหรือ”

“สถานะของเด็กคนนี้ซับซ้อนอยู่บ้าง เขาเกี่ยวพันกับเรื่องราวเมื่อสิบกว่าปีก่อน เดิมทีทุกคนคิดว่าเขาตายแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะกลับมาอีก…” ฉือหลิงเซียวพยักหน้าขณะเอ่ย

“ท่านพ่อ เขาเป็นใครกันแน่”

เด็กสาวถามด้วยความประหลาดใจ นางคิดไม่ถึงว่าเพียงแค่สถานะของหลินสวิน จะสร้างความวุ่นวายได้ถึงเพียงนี้

แม้แต่ตระกูลฉืออย่างพวกเขายังเป็นได้เพียงตัวประกอบ แล้วอำนาจของตัวละครหลักหลังม่านจะยิ่งใหญ่เพียงใดกัน

“เมื่อเด็กคนนี้มาถึงนครต้องห้ามเจ้าก็จะรู้เอง”

ฉือหลิงเซียวเอ่ย “เหมยเอ๋อร์ เรื่องนี้เจ้าทำได้ดีมาก แม้จะล้มเหลว แต่ภารกิจก็ผ่านลุล่วงด้วยดี ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพ่อเถอะ”

แม้ออกมาจากห้องหนังสือแล้ว ฉือฉางเหมยก็ยังคงงุนงง เดิมทีนางคิดว่าหากภารกิจล้มเหลว คงจะถูกท่านพ่อลงโทษอย่างหนัก ใครจะคิดว่าความล้มเหลวก็นับเป็นการลุล่วงภารกิจอย่างหนึ่ง

นี่มันอะไรกัน

ฉือฉางเหมยเพิ่งเคยรู้สึกถึงความไม่กระจ่างเป็นครั้งแรก แต่ไม่นาน นางก็ลงความเห็นกับตัวเองว่า หากรู้สถานะที่แท้จริงของหลินสวินแล้ว ก็จะได้รับคำตอบที่ตัวเองต้องการ

“หลินสวิน เจ้าเป็นใครกันแน่”

นางหอบความสงสัยออกจากตระกูลไป เพื่อไปสืบเรื่องราวเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่เกิดขึ้นในนครต้องห้าม

ปราสาทรัตติกาล

ชายชราเดินเข้ามาในโถงโล่งมืดมิด น้อมกายทำความเคารพ “คุณหนู ภารกิจของตระกูลฉือล้มเหลวแล้วขอรับ”

“เด็กคนนี้มีชีวิตอยู่ได้ ดูแล้วก็คงมีสิทธิ์ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ผู้เฒ่าที่หอดูดาวหลวงมีท่าทีอย่างไรบ้าง” เสียงของราชินีแห่งรัตติกาลดังกังวานขึ้นท่ามกลางความมืด

ฝ่ายชายชรามีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย สักพักจึงเอ่ยตอบ “เขาคล้ายว่าจะคาดเดาผลลัพธ์ได้อยู่แล้ว จึงพูดออกมาเพียงไม่กี่คำเท่านั้น”

“คำไหนบ้าง”

“ความวุ่นวายกำลังจะบังเกิด”

“ตาเฒ่านี่ชอบมีลับลมคมใน ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเมื่อเด็กหลินสวินมาถึงแล้ว เขาจะสร้างความวุ่นวายอะไรให้นครต้องห้ามบ้าง”

ณ หอดูดาวหลวง

ชายชราผู้ถูกขนานนามว่าราชครูนั่งมองวัฏจักรดวงดาวอยู่เพียงลำพัง ดวงตานั้นมีแววบริสุทธิ์สดใสคล้ายนัยน์ตาของเด็กเล็ก

ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถึงรำพึงขึ้นด้วยความพอใจ “ปิดบังมาสิบกว่าปี ใครจะคิดว่าหลังจากถูกควักชีพจรวิญญาณหุบเหวกลืนกินออกไปแล้วเด็กคนนี้ยังมีโอกาสกลับมาในนครต้องห้ามอีก โลกนี้ไม่แน่นอนจริงๆ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด