Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 342

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 342 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
โต้กลับอย่างแข็งกร้าว
โดย

“ไม่เลว ถ้าแน่จริงก็เข้ามา!”

สือจั่นและฉางจื่อเหิงที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ ต่างยิ้มเยาะ สายตาฉายความเคียดแค้นเต็มประดา

เป็นถึงผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณกลับถูกบังคับให้คุกเข่ากับพื้น พวกเขารู้สึกอับอายเป็นที่สุด

แต่จู่ๆ หลินสวินกลับระบายยิ้ม “พวกเจ้าเดาไม่ผิด เหตุผลทั้งปวงที่ข้าอ้างมาก เพราะไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าพวกเจ้าตอนนี้”

ได้ยินเช่นนี้ พวกเซียวเฟิ่งหรูยิ่งดูย่ามใจ

ทว่าคำพูดต่อจากนั้นของหลินสวินกลับทำเอาสีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางใจ

“ยกเว้นโทษตาย หาใช่จะพ้นโทษ เพียงทำลายพลังปราณของพวกเจ้าเพื่อเป็นการลงโทษก็เห็นจะพอแล้ว”

ได้ยินแบบนี้ แม้แต่หลินต้าหงเองยังหัวใจกระเพื่อมไหวอย่างควบคุมไม่อยู่ โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว แบบนี้เรียกว่าลงโทษเสียที่ไหน มันโหดร้ายยิ่งกว่าฆ่าพวกเขาเป็นร้อยเท่าพันเท่า!

ผู้ฝึกปราณสูญเสียพลังปราณ หาใช่เพียงกลายเป็นคนพิการ แต่จะสูญเสียพลังในการดำรงชีวิต สถานภาพทั้งหมดที่มี รวมถึงเกียรติยศด้วยเช่นกัน!

ช่างเป็นการตอบโต้ที่น่ากลัวยิ่งนัก

ลองคิดดูว่าถ้าพวกเซียวเฟิ่งหรูถูกทำลายพลังปราณ พวกเขาจะยังมีที่ยืนในกลุ่มอำนาจสามตระกูลหลินสายรองอีกหรือ

ยิ่งมีอำนาจมาก การแข่งขันยิ่งโหดร้ายทารุณ ในฐานะผู้ดูแลต่างสกุลเรียกได้ว่ามีเกียรติเหนือใคร แต่ถ้าถูกทำลายพลังปราณ ทั้งฐานะ สถานภาพ รวมทั้งผลประโยชน์ทุกอย่างที่ได้รับก็จะถูกช่วงชิง!

ถึงตอนนั้น ผู้มีอำนาจคนไหนจะอยากเลี้ยงคนไร้ค่าพวกนี้ไว้

พวกเซียวเฟิ่งหรูเองก็ตระหนักถึงข้อนี้ ยามนี้ต่างมีท่าทางตื่นตกใจ อกสั่นขวัญแขวน ไหวหวั่นอย่างถึงที่สุด

“ไม่! เจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้! หากเจ้าทำเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นศัตรูกับทั้งสามตระกูล ถึงตอนนั้นก็อย่าหวังเลยว่าจะมีจุดจบที่ดี!” เซียวเฟิ่งหรูกรีดร้อง

“หลินสวิน ข้าไม่ได้มาเพื่อสร้างความลำบากใจให้เจ้า แต่มาตามคำสั่ง ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เจ้า…เจ้าอย่าคิดมาเอาคืนกับข้าเชียว” สือจั่นกลับลนลาน พลันเสียงสั่นใช้ไม้อ่อนเข้าสู้

ฉางจื่อเหิงกลัวจนใบหน้าไร้ซึ่งสีเลือดไปแล้ว ทำหน้าไม่ถูก ยิ่งพูดอะไรไม่ออก

เทียบสภาพของพวกเขาในตอนนี้กับความเย่อหยิ่งที่ผ่านมาแล้ว หลินต้าหงอดรู้สึกดีใจไม่ได้ โชคดีที่ตัวเองเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์แต่แรก ไม่เคยเข้าไปพัวพันกับวังวนความวุ่นวายนี้ มิเช่นนั้น…

หลินต้าหงตัวสั่น ไม่กล้าคิดต่อ

หลินสวินยิ้ม เห็นใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเวทนาของทั้งสามแล้ว ในใจรู้สึกชิงชังอย่างบอกไม่ถูก

“จูเหล่าซาน ลงมือเถิด”

หลินสวินยกมือขึ้นโบก

“เจ้ากล้า…!”

“ข้าไม่ยอมเจ้าแน่!”

พวกเซียวเฟิ่งหรูใจเสียไม่เหลือสภาพราวกับเสียสติไปแล้ว พลันพุ่งตัวขึ้นโดยมีเป้าหมายคือหลินสวิน คิดจะทำให้จูเหล่าซานพะวักพะวน

แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะลงมือ จิตสังหารที่ปกคลุมรอบๆ พวกเขาอย่างหนาแน่นก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น!

เสียงโครมครืนลั่นดัง พวกเขารับรู้ได้เพียงว่าข้อกระดูกทั่วทั้งร่างกายแทบจะแตกหัก ร่างกายพลันสะเทือนจนลงไปกองกับพื้น อย่าว่าแต่โต้ตอบ แค่เพียงกระดิกนิ้วยังไม่สามารถทำได้

ทันใดนั้น ในที่สุดจูเหล่าซานที่ยืนเงียบเป็นอิฐหินก็ขยับตัว เขาสะบัดแขนเสื้อ แสงสีดำสามสายม้วนตัวออกมาและแทรกเข้าร่างพวกเซียวเฟิ่งหรู

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

สีหน้าของพวกเซียวเฟิ่งหรูพลันซีดเซียว ก่อนจะกระอักเลือดออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน ในขณะที่พลังในตัวพวกเขากำลังสูญสิ้นอย่างรวดเร็วราวกับลูกหนังที่ถูกทิ่มทะลุจนคลายลม

เพียงพริบตาสายตาของพวกเขาก็หม่นแสงและดูล่องลอย ผิวหนังทั่วเรือนร่างสูญเสียความเรียบเนียน เหี่ยวเฉาราวกับคนแก่อายุนับร้อยปี

นี่คือจุดจบของการถูกทำลายพลังปราณ!

หลินต้าหงเองก็อึ้งงันไปกับภาพที่เห็น หัวใจเต้นระทึก หลินสวินดูสงบนิ่งมาโดยตลอด จนพาให้คนสงสัยว่าเขาใจกว้างเป็นมิตร

แต่ตอนนี้หลินต้าหงรู้ซึ้งแล้ว ว่าหลินสวินโหดเหี้ยมและน่ากลัวกว่าที่เขาคิด!

ด้านเซียวเฟิ่งหรู สือจั่น ฉางจื่อเหิงยามนี้ก็ราวกับวิญญาณสาบสูญ ทรุดกองกับพื้น สีหน้าดูหม่นแสงอย่างที่สุด

จากผู้ฝึกปราณผู้สูงส่งต้องกลายมาเป็นคนพิการ พวกเขารับไม่ได้จริงๆ

ต้องสูญเสียก่อน ถึงจะรู้คุณค่า น่าเสียดายที่เมื่อตระหนักได้ก็สายไปแล้ว

แต่หลินสวินยังคงพูดพร้อมรอยยิ้ม “กลับไปบอกเจ้านายของพวกเจ้าว่าข้าก็ให้ทางเลือกพวกเขาสองทางเช่นกัน”

“ทางแรก ยอมจำนนต่อข้าเสีย แล้วคายสมบัติที่ปล้นไปจากภูเขาชำระจิตออกมา เห็นแก่ที่เป็นตระกูลเดียวกัน ข้าจะไม่เอาผิด”

“ทางที่สอง หากพวกเขาไม่ยอม ข้าจะถือเสียว่าพวกเขาเป็นกบฏต่อตระกูลหลิน จะปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนเป็นศัตรู สะสางชำระความในตระกูลหลิน!”

หลินสวินตริตรองอยู่ครู่ ก่อนเอ่ยอย่างราบเรียบ “ข้าให้เวลาพวกเขาคิดเรื่องนี้สามปี อีกสามปีข้างหน้าหากพวกเขายังตัดสินใจไม่ได้ ข้าจะเป็นคนเลือกให้พวกเขาเอง!”

พูดจบ เขาก็โบกมือ “ลุงจง ส่งพวกเขาออกไป”

หลินจงลงมือตามคำสั่งทันที ยื่นมือไปหิ้วปีกทั้งสามที่หมดสภาพอยู่บนพื้นออกจากตำหนักชำระจิต

เด็กหนุ่มกลับไปนั่งที่เดิม “ท่านอา ได้เห็นทั้งหมดนี้แล้ว ไม่ทราบว่าท่านมีความเห็นอย่างไร”

ในที่สุดก็มาแล้ว!

หลินต้าหงหัวใจกระตุกวูบ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามสกัดกั้นทุกความรู้สึก ก่อนจะพูดด้วยเสียงต่ำพร่า “ข้าเพียงคิดว่า เจ้าทำแบบนี้ถือว่าเป็นการแตกหักกับสามตระกูลสาขาที่เหลือจนไม่สามารถหวนคืนได้อีก เช่นนี้ดูจะตัดเยื่อใยเกินไปหน่อยกระมัง”

หลินสวินยักไหล่ “ช่วยไม่ได้ ล้วนถูกบีบมาทั้งนั้น ข้าหัวเดียวกระเทียมลีบ เดิมทีสถานการณ์ก็ถือว่าเสี่ยงมากแล้ว ข้าย่อมถอยไม่ได้ เพราะการถอยหลังหนึ่งก้าวก็เท่ากับใกล้ความตายเข้าไปอีกก้าว”

เขาพลันยิ้มขื่นพูด “แน่นอนว่าท่านอาคงไม่เข้าใจ ตำแหน่งผู้นำภูเขาชำระจิตนี้… ได้มาง่าย ทว่าการจะรักษาเอาไว้กลับไม่ใช่เรื่องง่าย”

หลินต้าหงอารมณ์ซับซ้อนสับสน แม้เขาไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายของหลินสวิน แต่ก็มั่นใจว่าสิ่งที่หลินสวินพูดคือความจริงทุกประการ

สถานการณ์ของเขาเสี่ยงมากจริงๆ เหมือนร่ายรำอยู่บนปลายดาบ สิ่งที่ต้องเผชิญไม่เพียงแค่ศึกภายในอันหนักหน่วง ยังมีหนอนบ่อนไส้ที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืด!

เพียงแค่ตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลหลินอย่างเดียว ไม่สามารถพลิกผันสถานการณ์ให้หลินสวินได้

ยิ่งไปกว่านั้น หลินสวินยังเป็นเพียงเด็กอายุสิบกว่าปี

ในสถานการณ์แบบนี้ สำหรับเขาแล้วตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลหลิน ไม่เพียงไม่เป็นข้อได้เปรียบ แต่ยังกลายเป็นภาระที่สามารถทับถมเขาได้ตลอดเวลา!

“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เหตุใดยังให้เวลาคิดถึงสามปี” หลินต้าหงอดถามไม่ได้

เขารู้สึกว่าคำพูดนี้ของหลินสวินเหมือนกำลังบอกคนอื่นว่า ตอนนี้อำนาจของเขายังอ่อนด้อยนัก ต้องการเวลาถึงสามปีเพื่อเก็บเกี่ยว จึงจะมีพลังอำนาจมากพอที่จะตอบโต้ เพราะฉะนั้นหากคิดจะเล่นงานเขา ก็รีบลงมือในช่วงสามปีนี้!

อาจจะเพราะความหมายนี้ ทำให้หลินต้าหงรู้สึกว่าคำพูดนี้ของหลิวสวินฟังดู…ไม่ฉลาดนัก!

“แม้ข้าไม่กำหนดเวลาตายตัวให้ จากท่าทีของพวกเขา ภายในสามปีนี้ก็คงไม่ยอมให้ข้าครอบครองภูเขาชำระจิตนี้ต่อแน่”

หลินสวินยิ้มพูด “สู้ข้าบอกพวกเขาไป ข้าหลินสวินขอเพียงผ่านสามปีนี้ไปได้ ถึงตอนนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นตัวข้าที่พิจารณาว่าจะช่วยบรรพบุรุษตระกูลหลินปัดกวาดสะสางทั้งตระกูลหรือไม่”

น้ำเสียงประโยคสุดท้ายแฝงความเด็ดเดี่ยว

สามปี!

หลินสวินมั่นใจว่าสามารถรวมตระกูลหลินให้เป็นหนึ่งเดียวได้!

“สามปี…”

หลินต้าหงรำพึง เขาไม่รู้ว่าหลินสวินไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใด แต่เขากลับเห็นความมุ่งมั่นอันแรงกล้าจากเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขา!

“แน่นอนว่าภายในสามปีนี้ สถานการณ์ของข้าอาจจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก และอาจถึงขั้นอันตรายกว่าเดิม แต่ข้าก็ไม่ได้กังวลอะไร”

หลินสวินเปลี่ยนประเด็นพร้อมรอยยิ้มคลุมเครือ “ถึงอย่างไรหากผู้มีสิทธิ์สืบทอดภูเขาชำระจิตเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลหลินอย่างข้าตายไป เขาชำระจิตนี้ก็จะร่วงหลุดไปจากมือตระกูลหลินอย่างหมดสิ้น ข้าว่านี่เป็นจุดจบที่พวกท่านทั้งสี่ตระกูลไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุด”

สีหน้าของหลินต้าหงเปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดไม่ออกไปชั่วขณะ

ภูเขาชำระจิตว่างมาเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้วจริงๆ รกร้างมานานขนาดนี้แต่กลับไม่เคยถูกแย่งชิงไป เหตุผลที่แท้จริงก็เพราะฝั่งราชวงศ์แห่งจักรวรรดิได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนเสมอมาว่า มีเพียงทายาทสายตรงของหลินเต้าเฉินเท่านั้นที่มีสิทธิ์สืบทอดภูเขาชำระจิต

มิเช่นนั้น เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตระกูลหลินสายรองทั้งสี่จะยอมย้ายออกจากภูเขาชำระจิตได้อย่างไร

แต่ถ้าหลินสวินตาย ก็เท่ากับว่าสายเลือดสายตรงของหลินเต้าเฉินสูญสิ้น

ถึงตอนนั้นแม้ตระกูลหลินสายรองทั้งสี่คิดจะช่วงชิง ก็ต้องดูก่อนว่าราชวงศ์จะยินยอมหรือไม่!

หลินสวินยื่นมือออกไปคว้าหนังสือสัญญาที่พวกเซียวเฟิ่งหรูทิ้งไว้บนพื้น

“ไม่ว่าเงื่อนไขในสัญญาจะไม่ยุติธรรมเพียงใด พวกเขาก็ไม่กล้าฆ่าแกงข้า ตรงกันข้าม เพื่อให้สามารถย้ายกลับภูเขาชำระจิตมายึดครองอำนาจของตระกูลหลิน สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือควบคุมตัวข้าเอาไว้ ถึงขั้นที่ยอมแลกได้ทุกอย่างเพื่อเลี่ยงไม่ให้ข้าตาย”

หลินสวินเก็บสัญญาฉบับนั้นไปเงียบๆ ในขณะที่พูดอย่างราบเรียบ “ในสายตาของพวกเขา นี่คือสิ่งที่มีคุณค่าเพียงอย่างเดียวในตัวข้า ข้าจะจำทุกอย่างให้ขึ้นใจ”

คำพูดอันแสนธรรมดา แต่กลับทำให้หลินต้าหงตระหนักได้ว่า ท่าทีของตระกูลรองทั้งสามนั้น ได้ฝังรากความแค้นไว้ในใจหลินสวินแล้ว!

หากวันใดหลินสวินมีอำนาจเบ็ดเสร็จในตระกูลหลินได้จริง อีกสามตระกูลรองไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขแน่!

คิดถึงตรงนี้ สีหน้าของหลินต้าหงพลันฉายแววเคร่งขรึม พูดอย่างจริงจัง “จุดประสงค์ที่ข้ามาเป็นตัวแทนของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรในครั้งนี้ถือว่าต่างจากอีกสามตระกูล”

มุมปากของหลินสวินเผยรอยยิ้มอย่างสนใจ “ลองว่ามาสิ”

หลินต้าหงกล่าวเปิดเผย “พูดตามตรงที่ข้ามาคราวนี้ เพราะอยากเห็นกับตาว่าเจ้าเป็นคนอย่างไรกันแน่ แล้วค่อยตัดสินใจในขั้นต่อไป”

หลินสวินพยักหน้าพูด “เป็นการกระทำที่รอบคอบมาก และก็เป็นวิธีที่ฉลาดอย่างไม่ต้องสงสัย”

“ก็ไม่มีทางเลือก แม้เรามั่นใจแล้วว่าเจ้าคือทายาทสายตรงตัวจริงของตระกูลหลิน แต่ถ้ายังไม่แน่ใจว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรของเราก็ไม่สามารถแสดงท่าทีที่แน่ชัดได้”

เหมือนอย่างที่หลินสวินคิดไว้ไม่มีผิด

อันที่จริงจาก ‘เทียบเยี่ยมเยือน’ ของพวกเขาในครั้งนี้ และท่าทีก่อนหน้านี้ของหลินต้าหง หลินสวินก็พอจะดูออกแล้วว่า ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรปฏิบัติกับตัวเองต่างจากอีกสามตระกูลจริงๆ

แม้ไม่ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่เหมือนทั้งสามตระกูลที่คิดจะใช้วิธีก่อกบฏเพื่อกำจัดเขา

เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว!

หลินสวินมั่นใจว่า ขอเพียงตระกูลหลินแห่งแสงอุดรให้โอกาส เขาย่อมสามารถให้คำตอบที่เป็นที่ยอมรับและพึงพอใจกับพวกเขา!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด