Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 376

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 376 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“คิดจะไปงั้นหรือ ง่ายดายเช่นนี้เสียที่ไหน จูเหล่าซาน จัดการเขาให้ข้า!”

เสียงดังกึกก้องทรงอำนาจ พลันก่อให้เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วลานประลอง

หรือเจ้าเด็กหลินสวินคนนี้ท่าจะบ้าไปแล้ว

ฮวาชิงหลินถอยกลับไปแล้ว เขากลับไม่คิดวางมือดังเดิมเช่นนี้ หรือต้องการสู้ชี้เป็นชี้ตายกับตระกูลทรงอำนาจอย่างตระกูลฮวาในเวลานี้จริงๆ

บ้าคลั่งเกินไปแล้ว!

“เจ้านี่ คิดอะไรอยู่กันแน่” พวกสืออวี่ หนิงเหมิงต่างไม่เข้าใจ ตื่นตระหนกกับท่าทีใจกล้าของหลินสวิน

“เจ้าเด็กนี่ ใจมันหาที่ตาย!” พวกหลินเทียนหลงต่างงุนงง แล้วยิ้มหยัน พวกเขาหวังใจยิ่งให้หลินสวินทำเช่นนี้ ดีที่สุดคือให้ตระกูลทรงอำนาจอย่างตระกูลฮวาหมายหัวให้ตายไปเลย

“เจ้าหนูนี่ ไว้หน้าให้ก็ไม่เอา!”

ฮวาชิงหลินพลันหยุดเดิน สีหน้าสุภาพปรากฏจิตสังหารที่ไม่อาจปิดบังไว้ได้

โครม!

แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น จูเหล่าซานเคลื่อนไหวโดยไม่มีความลังเลใจใด พุ่งเข้าสังหารฮวาชิงหลิน

ราวกับเขาไม่สนใจสิ่งใดอยู่แล้ว เชื่อฟังเพียงคำสั่งหลินสวิน ต่อให้หลินสวินสั่งให้เขาไปตาย ก็จะไม่ขมวดคิ้วแม้สักนิด

เวลานี้ขนาดจ้าวไท่ไหลเจ้าของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ก็คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ตะลึงงันอยู่เช่นนั้น

ใช่แล้ว เขาไม่คิดจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มหลินสวินผู้นี้จะโหดเหี้ยมร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้ ท่าทางราวไม่สนใจสิ่งใดเกินจากที่เขาคาดการณ์ไว้โดยสิ้นเชิง

“ก่อเรื่องกันมากแล้ว พอเสียทีเถอะ!”

ไม่ทันที่ฮวาชิงหลินกับจูเหล่าซานจะเข้าต่อสู้กัน กลับมีสายรุ้งเส้นหนึ่งบินมาจากท้องฟ้าอย่างเหนือความคาดหมาย

นั่นเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง!

ตัวกระบี่คดงอดังกิ่งเหมย ทั้งเล่มขมุกขมัว เต็มไปด้วยรอยสนิมพร่างพร้อย

กระบี่ปรากฏขึ้นเหมือนตกลงมาจากฟากฟ้า

กระบี่ลดลงปักเข้าที่กลางลานประลอง ระหว่างฮวาชิงหลินกับจูเหล่าซานพอดี

ชั่วเสี้ยวลมหายใจ ทั้งสองคนต่างหยุดเท้า

แทบจะในเวลานั้นเอง เสียงสูงวัยดังแว่วขึ้น สะท้อนออกไปสี่ด้านแปดทิศ ผู้คนไม่อาจรู้ได้ว่าเปล่งออกมาจากที่ใด

ถึงกระนั้นฝูงชนในลานประลองเมื่อได้ยินเสียงนี้เข้า ใจก็เกิดความเกรงกลัว วิญญาณสั่นระรัว ไม่กล้าเอ่ยปากอีก

บรรยากาศกลับแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสนิทหาใดเปรียบในทันใด!

เมื่อมองกระบี่ประหลาดรูปร่างเหมือนกิ่งเหมยเต็มไปด้วยสนิมนี้ สีหน้าของฮวาชิงหลินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับทั้งตกใจและไม่ยินยอม

ส่วนจูเหล่าซานในเวลานี้ก็เลือกที่จะนิ่งเงียบ ไม่กล้าหุนหันพลันแล่นอีก

ราวกับกระบี่นี้มีเวทมนต์น่าสะพรึงกลัว เป็นตัวแทนของอำนาจไร้รูปร่าง ทำให้ผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะอย่างฮวาชิงหลินและจูเหล่าซานต่างหวาดกลัวหาใดเปรียบ

คนใหญ่คนโตรุ่นอาวุโสที่อยู่ในที่นั้นบางคนต่างหน้าเปลี่ยนสีเหมือนรู้ที่มาของกระบี่นี้ พากันตกอยู่ในความเงียบงัน

ส่วนผู้ที่ไม่รู้จักกระบี่นี้นั้น เมื่อได้เห็นภาพนี้เข้าก็รับรู้ได้ถึงความรุนแรงของปัญหา ตกใจระคนสงสัย

หลินสวินเองก็ไม่รู้ที่มาที่ไปของกระบี่นี้เช่นเดียวกัน แต่เขาพอคาดเดาอะไรในใจได้แล้ว ดวงตาสีดำลุ่มลึกตกอยู่ในห้วงความคิด

ก่อนหน้านี้ที่เขาให้จูเหล่าซานลงมือโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น ไม่ได้หวังจะตัดสินชี้เป็นชี้ตายกับฮวาชิงหลินจริงๆ

จุดมุ่งหมายแท้จริงก็เพื่อลองดูว่า ยามตนก่อเรื่องโดยไม่สนใจสิ่งใดนั้น จะดึงดูดคนใหญ่คนโตบางคนที่หลบซ่อนอยู่ออกมาได้หรือไม่

ดูจากตอนนี้ เขาได้ทำสำเร็จแล้ว

กระบี่ประหลาดลายพร้อยรูปร่างเหมือนกิ่งเหมย ย่อมเป็นสัญลักษณ์แทนฐานะอย่างหนึ่งแน่!

ที่หลินสวินอนุมานได้ถึงจุดนี้ ก็เพราะการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของจ้าวไท่ไหล

เมื่อใคร่ครวญกับตนเองดู เขาไม่ได้รู้จักอีกฝ่ายมาก่อน แต่อีกฝ่ายกลับปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาสุดท้าย สลายการต่อสู้ทวงแค้นของฮวาชิงหลิน

อีกทั้งจ้าวไท่ไหลยังพูดว่า ที่เขาทำทั้งหมดนี้ ‘ไม่ได้เป็นท่าทีของเขาแต่เพียงผู้เดียว’ นั่นย่อมพิสูจน์แล้วว่า มีคนบงการให้จ้าวไท่ไหลทำเช่นนี้!

ชั่วพริบตานั้นก็ทำให้หลินสวินสงสัยว่า ผู้ที่อยู่ในเงามืดนั้นน่ากลัวจะเป็นคนใหญ่คนโตจากเบื้องลึกสุดของราชวงศ์!

ภาพตรงหน้าทั้งหมด ได้พิสูจน์จุดนี้รางๆ โดยไม่ต้องสงสัยแล้ว

“แยกย้ายเถอะ!” เสียงสูงวัยนั้นแว่วขึ้นราวออกคำสั่ง

ฮวาชิงหลินสูดหายใจลึก ถึงขั้นประสานมือขึ้นคารวะกระบี่เหมยลายพร้อยบนพื้นนั้นแล้วค่อยหันกายเดินออกไป

“กลับมาเถอะ จูเหล่าซาน”

หลินสวินก็เอ่ยปาก เขาบรรลุเป้าหมายแล้ว รามือได้แล้ว

เห็นเช่นนี้ฝูงชนในที่นั้นก็ราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน สีหน้าทั้งสะท้านตกใจและงุนงง การประลองระหว่างคนรุ่นเยาว์ เหตุใดจึงพัฒนามาถึงขั้นนี้ได้

แต่ไม่ว่าอย่างไร การประลองครั้งนี้ก็ปิดฉากลง ณ จุดนี้

จบลง ก็หมายความว่ารู้ผลแพ้ชนะแล้ว

ฮวาอู๋โยวย่อมพ่ายแพ้ แม้ว่าสุดท้ายนางจะไม่ถูกสังหาร แต่การต่อสู้วันนี้ สำหรับนางแล้วย่อมเป็นการกระทบกระเทือนที่หนักหน่วงถึงที่สุด

ส่วนหลินสวินนั้น ย่อมอาศัยชัยชนะจากการต่อสู้นี้สร้างชื่อสะเทือนนครต้องห้าม กลายเป็นผู้กล้าที่ไม่อาจมีใครเพิกเฉยได้ผู้หนึ่ง!

เช่นเดียวกัน ในการประลองนี้ ชื่อเสียงของตระกูลมากอำนาจอย่างตระกูลฮวาก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เป็นถึงหนึ่งในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง กลับผิดคำพูดตนเอง เหิมเกริมเหยียบย่ำกฎการประลอง นี่เป็นมลทินที่ไม่อาจชำระออกไปได้ เป็นการกระทำน่ารังเกียจ

โดยเฉพาะฮวาเชียนเฉิงและฮวาชิงหลิน ผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะทั้งสองคนที่ปรากฏกายบนลานประลองอย่างต่อเนื่อง หมายจะทำร้ายผู้เยาว์อย่างหลินสวิน การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการใช้อำนาจบาตรใหญ่ โหดร้ายไร้เหตุผลเกินไป

แต่ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น ตระกูลฮวาอย่างไรก็เป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง เสมือนสิ่งของมหึมาที่ไม่อาจทำให้สั่นคลอนได้ นอกจากได้รับชื่อเสียงในทางไม่ดีแล้ว ไม่มีทางโจมตีพวกเขาได้อย่างแท้จริง

“เจ้าหนู ตอนนี้พอใจแล้วล่ะสิ”

เมื่อหลินสวินออกมาจากลานประลองก็พบเข้ากับจ้าวไท่ไหล ฝ่ายหลังสีหน้าไม่พอใจยิ่ง ราวกับโทษที่หลินสวินหาเรื่องให้ตนลำบาก

“ไม่พอใจขอรับ”

ใครจะคาดคิด หลินสวินกลับหัวเราะแล้วพูดว่า “นอกจากท่านจะบอกข้าว่า เหตุใดกันแน่ท่านถึงต้องออกหน้ายับยั้งทุกอย่างนี้”

“เจ้าตรึกตรองเอาเองเถิด!”

สีหน้าของจ้าวไท่ไหลเหนื่อยหน่าย “ไปๆๆ เจ้าหนูเจ้าก่อเรื่องขนาดนี้ หาเรื่องให้ข้าวุ่นวายยกใหญ่ เป็นตัวหายนะดีๆ นี่เอง ข้าล่วงเกินไม่ไหว หรือกระทั่งจะหลบเลี่ยงก็หลบไม่ได้เลยหรือ”

หลินสวินหัวเราะขื่น ถูกไล่ตลอดทาง

ทว่าก่อนจากไป จ้าวไท่ไหลกลับพลันพูดขึ้นว่า “ถ้าคิดก่อเรื่อง ภายหน้าก็ไปก่อเรื่องที่สำนักศึกษามฤคมรกตสิ ถ้าเจ้าก่อเรื่องที่นั่นจนสะเทือนฟ้าดิน ถึงจะเรียกได้ว่ามีของจริงๆ”

หลินสวินอึ้งไป “ผู้อาวุโส นี่เป็นคำพูดที่คนอื่นไหว้วานให้ท่านฝากถึงข้าหรือขอรับ”

จ้าวไท่ไหลกลับไม่สนใจเขาอีก หันหน้าเดินจากมาแล้วหายลับไป

หลินสวินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ตกอยู่ในห้วงความคิด

ก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดินหรือ

ก่อนเขาเหยียบย่างเข้านครต้องห้าม ก็เคยมีคนใหญ่คนโตจากราชวงศ์ส่งจดหมายบอกเขาว่า ในนครต้องห้ามนี้ เขาสามารถก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดินได้เต็มที่!

เมื่อเชื่อมโยงทุกสิ่งที่ได้ประสบในวันนี้ รวมถึงท่าทีคลุมเครือของจ้าวไท่ไหล หลินสวินสังหรณ์ว่า ทั้งหมดนี้เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับคนใหญ่คนโตในราชวงศ์ท่านนั้น!

‘การประลองครั้งนี้สามารถดึงดูดความสนใจของผู้มีอำนาจมากมายเช่นนี้ได้ เบื้องหลังย่อมไม่ธรรมดาแน่…’

หลินสวินขบคิด

หอสรวลทรัพย์ ในพลับพลานพนภา

สถานที่เดียวกัน เมื่อเทียบกับสามวันก่อน มีเพียงสืออวี่ หนิงเหมิง กงหมิง เย่เสี่ยวชีและหลินสวินห้าคน แต่บรรยากาศครึกครื้นกว่าวันนั้นมากนัก

บุรุษอยู่ด้วยกันย่อมหนีไม่พ้นการร่ำสุรา

ก็เหมือนยามสตรีอยู่ด้วยกัน ย่อมหนีไม่ไม่พ้นการพูดคุยเรื่องความสวยความงาม

เพื่อฉลองให้หลินสวิน สืออวี่นำ ‘น้ำค้างหยกเปลวน้ำแข็ง’ ที่เทพเศรษฐีบิดาของตนเก็บถนอมไว้อย่างดีมาด้วยสองไหเต็มๆ ราคายากประเมินนัก ทุกคนดื่มกินกันอย่างเต็มที่ สนุกสนานครื้นเครง

การต่อสู้วันนี้ของหลินสวินถือได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ลือลั่นที่สุดในนครต้องห้ามปีนี้ การต่อสู้นี้มีจุดน่าสนใจมากมายนัก และหลินสวินในฐานะที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด ทำให้เพื่อนอย่างพวกสืออวี่ล้วนภูมิใจ ราวกับได้รับเกียรติไปด้วย

ดื่มกินมานานพอสมควร งานเลี้ยงใกล้เลิกรา

สืออวี่ดวงตาฉ่ำเยิ้มพร่ามัวพูดขึ้นว่า “ตอนออกมาจากสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ ข้าบังเอิญเจอไป๋หลิงซีกับจ้าวหยินเข้า พวกเจ้ารู้ไหมว่าไป๋หลิงซีวิจารณ์การต่อสู้นี้ไว้เช่นไร”

ทุกคนอดสงสัยไม่ได้ ไป๋หลิงซีถือเป็นผู้กล้าหญิงชั้นยอดของค่ายกระหายเลือด ทั้งยังได้ลำดับที่สามในการทดสอบระดับอาณาจักร ภูมิหลังใหญ่โต ถ้าได้ฟังความเห็นของนาง คงดีไปกว่านี้มิได้แล้ว

“แหะๆ นางบอกว่าหลินสวินเหมือนเมื่อก่อนเลย” สืออวี่พูดปนขำในลำคอ

พวกหนิงเหมิงตะลึงงัน “หมายความว่าอย่างไร”

“ก็วิปริตน่ะสิ!”

สืออวี่มีท่าทางเหมือนคนโง่

ทุกคนหัวเราะครืน หลินสวินกลับอึ้งอยู่บ้าง อดกล่าวไม่ได้ว่า “ถ้าพูดถึงความวิปริต นางคงเหนือกว่าข้าขั้นหนึ่งกระมัง”

สืออวี่ยิ้มแป้นแล้วพูดว่า “ชายวิปริตคนหนึ่ง กับหญิงวิปริตอีกคนหนึ่ง ลองหาโอกาสดู พวกเจ้าตีกันสักครั้ง ไม่แน่อาจจะตีกันจนเกิดบุพเพสันนิวาส ถ้าเจ้าได้ไป๋หลิงซีไป ก็นับวันรอตระกูลหลินของเจ้ารุ่งเรืองได้เลย!”

พวกหนิงเหมิงพากันหัวเราะเสียงดัง สีหน้าหยอกเย้า

หลินสวินสีหน้านิ่งเฉย แต่ในเวลาต่อมาก็ดวลเหล้าสืออวี่อย่างต่อเนื่อง ไม่นานนักก็คว่ำเขาได้

เห็นเช่นนี้ หนิงเหมิง กงหมิง เย่เสี่ยวชีต่างรู้ว่าท่าไม่ดี คิดจะขอตัวกลับก่อน แต่กลับถูกหลินสวินรั้งไว้ดวลเหล้าอีกรอบ

ในที่สุดเด็กหนุ่นเหล่านี้ก็เมามาย แต่ละคนนอนกระจัดกระจายอยู่เช่นนั้น ปากเอ่ยถ้อยคำอู้อี้ไม่ชัดเจน

ไม่สนฐานะหรืออำนาจอิทธิพล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเล่ห์เหลี่ยมและสติปัญญา สุดท้ายพวกเขาก็ยังเยาว์ อยู่ในช่วงวัยที่กำลังเฟื่องฟู มีความสามารถโดดเด่น

ในภายภาคหน้า พวกเขาอาจกระจัดกระจายไปคนละทิศ ได้ผูกสัมพันธ์กับผู้คนที่ต่างออกไป ไล่ตามวิถีทางฝึกปราณคนละทาง

แต่ไม่ว่าอย่างไร มิตรภาพที่สร้างขึ้นในวัยเยาว์ก็ย่อมลืมเลือนได้ยากนัก

ในค่ำคืนเดียวกันนั้น

ฉือฉางเหมยเดินอยู่บนถนนที่พลุกพล่าน ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในสมองยังมีภาพที่เกิดขึ้นในสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ปรากฏเป็นฉากๆ

ในใจเกิดความว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก หลินสวินผู้นี้ เติบโตรวดเร็วไปแล้ว!

ที่น่ากลัวที่สุดคือ เบื้องหลังของเขายังมีพลังมหาศาลที่ทำให้คนดูไม่ออกซุกซ่อนเอาไว้ นี่สิที่เป็นปัญหาที่สุด

“เจ้าว่า หลินสวินกับฉางเฟิงเทียบกันแล้วใครเก่งกว่ากัน”

ทันใดนั้นฉือฉางเหมยถามขึ้น ฉางเฟิงที่นางเอ่ยถึง ย่อมหมายถึงฉือฉางเฟิง

ข้ารับใช้ชราที่ติดตามข้างๆ มาตลอดทางเอ่ยเสียงขรึม “หลินสวินผู้นี้ด้อยกว่าขั้นหนึ่งขอรับ ในกายนายน้อยฉางเฟิงมีเส้นปราณดอกบัวม่วงกลางทะเลทอง ไม่ถึงสามปีก็สามารถเข้าสู่ระดับหยั่งสัจจะได้ ในรุ่นเดียวกันนั้น ผู้ที่พอจะเทียบเคียงได้มีน้อยนัก กลับกันเมื่อดูหลินสวิน แม้สุดท้ายจะชนะฮวาอู๋โยวได้ แต่รากฐานการฝึกปราณและพรสวรรค์กลับด้อยกว่าอยู่มากขอรับ”

ฉือฉางเหมยเลิกคิ้ว “เจ้าพูดเช่นนี้มีอคติเข้าข้างฉางเฟิงชัดเจน อีกอย่าง ฉางเฟิงสามารถเข้าระดับหยั่งสัจจะได้ในสามปี ในสามปีนี้หลินสวินจะไม่เหยียบย่างเข้าไปสักก้าวเลยหรือ”

พูดถึงตรงนี้นางก็สูดหายใจลึกแล้วพูดว่า “กลับกัน ข้ามีสังหรณ์ว่า ด้วยสิ่งที่หลินสวินแสดงออกมาในวันนี้ ภายในเวลาสามปี ถ้าเขาไม่ตาย พวกที่เรียกว่าเป็นผู้กล้าและปีศาจในนครต้องห้ามแห่งนี้ น่ากลัวจะไม่มีใครบดบังรัศมีเขาได้น่ะสิ!”

และก็เป็นเวลานี้ ไกลออกไปบนถนนเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมราวฟ้าผ่าดังขึ้น

ความคิดของฉือฉางเหมยถูกขัดจังหวะ อดนิ่วหน้าไม่ได้ ดวงตามองออกไป ที่แท้บนจอภาพวิญญาณนั้นกำลังรายงานข่าวเกี่ยวกับการต่อสู้ของหลินสวินกับฮวาอู๋โยวอยู่…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด