Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 381 บุปผาเบ่งบานและโรยร่วง กาลเวลาผันผ่านเนิ่นนาน

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 381 บุปผาเบ่งบานและโรยร่วง กาลเวลาผันผ่านเนิ่นนาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 381 บุปผาเบ่งบานและโรยร่วง กาลเวลาผันผ่านเนิ่นนาน
โดย

หลังอึ้งไปนาน พญาแร้งก็อดถามไม่ได้ “เจ้า…ทำได้จริงหรือ”

หลินสวินตอบตามตรง “ยังไม่เคยลองหลอมดู ยังไม่รู้”

พญาแร้งกลอกตาใส่โดยพลัน คนที่สุขุมมั่นคงอย่างเขา ยามนี้กลับกลอกตาใส่ เท่านี้ก็พอจะบ่งบอกได้ว่าเขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเพียงใด

“แต่ข้าลองดูได้ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นคนออกแบบเรือรบวีรชนม่วงรูปแบบใหม่ของจักรวรรดิ”

หลินสวินยิ้มน้อยๆ เขาต้องสร้างความมั่นใจให้พญาแร้งสักหน่อย ไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าตนเป็นเพียงเด็กที่ดีแต่พูดโอ้อวดเกินจริง

พญาแร้งเตือนอย่างจริงจัง “แต่เรือรบวีรชนม่วงไม่เหมือนชุดศึกสลักวิญญาณ”

หลินสวินคิดๆ แล้วหยิบดาบเวทเรืองแสงของตัวเองออกมายื่นให้พญาแร้ง

พญาแร้งตะลึงงัน มองดาบเวทเรืองแสงในมือเพียงครู่เดียวแววตาของเขาก็ทอประกาย “สมบัติวิญญาณ?”

เพียงสองคำง่ายๆ ก็ยืนยันได้แล้วว่าสายตาของพญาแร้งนั้นเฉียบคมเพียงใด

หลินสวินพยักหน้า “นี่เป็นดาบที่ข้าหลอมเมื่อครั้งอยู่เมืองหมอกอำพราง คราวนี้ท่านคงจะเชื่อแล้วกระมังว่าข้ามีความสามารถในการสร้างชุดศึกสลักวิญญาณ”

พญาแร้งพยักหน้าเล็กน้อย “ก็จริง นี่สามารถยืนยันได้ว่าเจ้ามีพรสวรรค์และความสามารถในด้านการสลักวิญญาณ แต่…”

พูดถึงตรงนี้เขาพลันเผยความเย้ยหยันอย่างเก็บไม่อยู่ “เจ้าอย่าหาว่าข้าทำลายขวัญกำลังใจของเจ้า แต่ชุดศึกสลักวิญญาณนั้นแตกต่างจากสมบัติวิญญาณเช่นกัน”

ไม่รอให้หลินสวินได้พูดอะไร พญาแร้งสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวว่า “ช่างเถอะ เรื่องนี้เอาไว้ก่อน ข้าเพียงอยากถามเจ้าว่า ที่เจ้าบอกว่ายิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัวหมายความว่าอย่างไร”

หลินสวินใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วเอ่ย “อีกหน่อยท่านจะเข้าใจเอง พูดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ รอให้ข้าสร้างชุดศึกสลักวิญญาณให้สำเร็จจริงๆ ก่อนถึงจะทำแบบนั้นได้”

พญาแร้งอึ้งงันไป ครู่ใหญ่จึงค่อยยิ้มพูด “ได้ เช่นนั้นข้าจะคอยดู”

หลังจากได้คุยกับหลินสวิน ลึกๆ ในใจเขาก็มีความหวังขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ อยากเห็นว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าจะสร้างปาฏิหาริย์เหนือความคาดหมายให้เขาได้จริงๆ หรือไม่!

……

ตั้งแต่วันนั้นหลินสวินจึงจัดแผนการฝึกปราณในทุกวันของตัวเองใหม่ โดยโยกช่วงกลางวันมาทุ่มเทกับการทบทวนและฝึกฝนการสลักรอยสลักวิญญาณ

รอยสลักวิญญาณ เป็นศาสตร์หนึ่งที่หลินสวินคุ้นเคยมากที่สุดมาตั้งแต่เด็ก

ตลอดเวลาที่ฝึกอยู่กับท่านลู่ ทำให้หลินสวินมีความรู้แน่นมากเกี่ยวกับพื้นฐานรอยสลักวิญญาณ รวมทั้งวิธีสลักอันเหนือจินตนาการ

ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านเฟยอวิ๋น เขาใช้การสลักวิญญาณช่วยคนในหมู่บ้านกำจัดแมลงร้ายในนาข้าววิญญาณจนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในหมู่บ้านเฟยอวิ๋น

ตอนที่อยู่ในค่ายกระหายเลือด เขาช่วยเหล่าโม่ออกแบบเรือรบวีรชนม่วงรูปแบบใหม่รวมถึงสร้างอาวุธวิญญาณออกมา จึงได้รับความสนใจรอบด้านจากทั้งเสี่ยวหม่าน เสี่ยวเคอ สวีซานชีและเหล่าโม่

เหล่าโม่พูดอยู่บ่อยๆ ว่าหลินสวินมีพรสวรรค์และความสามารถในด้านการสลักวิญญาณ จนเทียบหญิงอัจฉริยะอย่าง ‘เฟิงชิงโยว’ แห่งสำนักศึกษามฤคมรกตได้ หรืออาจถึงขั้นเหนือกว่าด้วยซ้ำ!

ตอนนั้นก็เพราะความสามารถด้านการสลักวิญญาณที่เผยออกมาของหลินสวิน ทำให้สวีซานชีเสียดายความสามารถ จึงไม่ปล่อยให้หลินสวินถูกซินหรูเถี่ยพาตัวไป

ส่วนเหล่าโม่เป็นคนที่แบกรับคลื่นลมและผลกระทบที่ไม่จำเป็นบางอย่างแทนหลินสวิน

หลังจากนั้นตอนที่อยู่ในเมืองหมอกอำพราง หลินสวินก็ได้ใช้วิธีสลักวิญญาณผ่านการทดสอบของภาคีนักสลักวิญญาณจนได้ผูกมิตรกับฉู่เฟิง

แม้แต่ผู้ฝึกปราณสายศิลป์ระดับแนวหน้าของจักรวรรดิอย่างหลิ่วชิงเยียนยังให้หลินสวินซ่อมขลุ่ยวิญญาณโบราณให้ และการซ่อมก็เป็นไปอย่างราบรื่น

ตอนนั้นเองที่สมบัติวิญญาณอย่างดาบเวทเรืองแสงที่หลินสวินสร้างขึ้นได้สร้างความตะลึงให้เสวี่ยจินและท่านย่าลมครวญโดยถ้วนหน้า และยอมรับว่าความสามารถด้านการสลักรอยสลักวิญญาณของหลินสวินเรียกได้ว่าพบเห็นได้ยาก!

เพียงแต่ตอนที่ออกจากเมืองหมอกอำพรางและเข้ามาอยู่ในนครต้องห้ามจนถึงตอนนี้ หลินสวินภารกิจรัดตัวจนไม่มีเวลาว่างพอไปฝึกด้านการสลักวิญญาณ

แต่ตอนนี้ ไม่ว่าทำเพื่อแก้ปัญญาการบรรลุปราณของจูเหล่าซานหรือช่วยพญาแร้งขับพิษมารพบเคราะห์ วิธีเดียวที่หลินสวินคิดออกก็คือศาสตร์การสลักวิญญาณ!

ขอเพียงสามารถสร้างชุดศึกสลักวิญญาณได้ ก็จะมีความหวัง

……

ด้ามสลัก หมึกวิญญาณ ตัวนำ

ช่วงกลางวันของทุกวัน หลินสวินราวกับฤาษีเฒ่าที่นั่งสมาธิเปล่าเปลี่ยว

เขานั่งตัวตรงอยู่ตรงหน้าโต๊ะหนังสือ ใช้พลังการรับรู้จิตวิญญาณอันพลุ่งพล่านเป็นตัวกระตุ้น ใช้ด้ามสลักและหมึกวิญญาณเป็นสื่อกลาง และสลักรอยสลักวิญญาณไว้บนหนังสัตว์ อิฐหิน ใบไม้ กระดาษ เศษผ้า

ทุกเรื่องในภูเขาชำระจิต ทุกเสียงอึกทึกภายนอก ราวกับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลินสวินอีกแล้ว

ในสายตาของเขามีเพียงรอยสลักวิญญาณ ในใจมีเพียงร่องรอยอันลึกลับของรอยสลัก ในขณะที่ในหัวเต็มไปด้วยกระบวนรอยสลักวิญญาณอันสลับซับซ้อนแต่ละลาย

สิบวันหลังจากนั้น

หลินสวินไม่นั่งสันโดษนั่งในห้องอีก เขาเดินเล่นอยู่ในภูเขาชำระจิตพร้อมสองมือที่ว่างเปล่า บางทีวนเวียนอยู่ตรงหน้าน้ำตก บางทีก็นั่งอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ใบหญ้า บางครายืนอยู่บนหน้าผาอย่างสง่า บางครั้งก็ไปอยู่ระหว่างภูเขาหินอันขรุขระ

เขาใช้นิ้วแทนพู่กัน ใช้การรับรู้ในการควบคุม ใช้พลังวิญญาณของตัวเองเป็นแหล่งพลัง วาดรอยสลักวิญญาณอันลึกลับซับซ้อนเหล่านั้นบนหินบ้าง บนดินบ้าง บนใบไม้บ้าง

จากนั้นเขาเริ่มลงมือวาดรอยสลักท่ามกลางก้อนเมฆ น้ำตก หมอก

ประหนึ่งยันต์ผีวาดอย่างไรอย่างนั้น ในสายตาของคนอื่นหลินสวินราวกับถูกปีศาจร้ายครอบงำ ทุกวันเอาแต่วิ่งวนอยู่บนภูเขาชำระจิตวาดรอยสลักวิญญาณที่คนอื่นต่างไม่เข้าใจ การกระทำดูผิดแผกยิ่งนัก

แม้จะดูแปลกแต่ก็ไม่มีใครห้ามเขา เพราะพญาแร้งได้กำชับไว้ และก็มีเพียงพญาแร้งที่รู้ว่าหลินสวินทำอะไรอยู่

……

กาลเวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไปอีกหนึ่งเดือนแล้ว

สิ้นสุดฤดูใบไม้ร่วงและเข้าสู่ฤดูหนาว ต้นไม้ใบหญ้าบนภูเขาชำระจิตแห้งเหี่ยว เหลือเพียงดอกไม้วิเศษและหญ้าประหลาดบางอย่างที่ยังพลิ้วไหวตามสายลม

หลินสวินเอาแต่เก็บตัวราวกับหายเข้ากลีบเมฆไป ข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเขาไม่ครึกครื้นเหมือนก่อนหน้านี้นานแล้ว

ถึงอย่างไรนครต้องห้ามก็เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ มีเรื่องแปลกใหม่มาสร้างความฮือฮาไม่เว้นแต่ละวัน จะให้ใครมานึกถึงทุกวันก็คงเป็นไปไม่ได้

ในช่วงที่ผ่านมา เรื่องที่สร้างความฮือฮามากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องที่สำนักคนเถื่อนวารีแห่งเผ่าพ่อมดเถื่อนได้ส่งขบวนราชทูตขนาดใหญ่มาเยือนนครต้องห้าม

ระหว่างจักรวรรดิและเผ่าพ่อมดเถื่อนนั้นมีความแค้นอันยิ่งใหญ่ต่อกัน มักเปิดศึกนองเลือดต่อกันเสมอมา

การที่จู่ๆ ขบวนราชทูตของสำนักคนเถื่อนวารีมาเยือน ย่อมต้องเป็นที่จับตาของทุกฝ่ายและสร้างความฮือฮาอย่างดุเดือดไปทั่วทั้งนครต้องห้าม

ผู้มีอำนาจหลายฝ่ายต่างคาดเดาจุดประสงค์การมาของขบวนราชทูตแห่งสำนักคนเถื่อนวารี แต่ที่น่าแปลกคือ หลังจากขบวนมาถึงนครต้องห้ามก็เข้าพักในตึกโบราณที่ราชสำนักเสนอมาโดยเฉพาะแห่งหนึ่งแล้วไม่ออกมาอีกเลย และไม่ยอมปริปากถึงจุดประสงค์การมาเยือนนครต้องห้ามของตัวเองในครั้งนี้

การกระทำที่ดูผิดปกติแบบนี้ทำให้ผู้คนในนครต้องห้ามต่างมึนงง

แต่ไม่ว่าอย่างไร เพราะความแค้นระหว่างจักรวรรดิและเผ่าพ่อมดเถื่อน ทำให้คนหนุ่มเลือดร้อนมากมายต่างวิ่งไปหาเรื่องที่ ‘คฤหาสน์เถื่อน’ ไม่เว้นแต่ละวัน ประกาศกร้าวว่าจะฆ่าพวกเผ่ามืดเพื่อแก้แค้นให้กับทหารหาญของจักรวรรดิที่ตายในสนามรบ

‘คฤหาสน์เถื่อน’ นี้ ก็คือที่พำนักของคณะทูตสำนักคนเถื่อนวารี จากชื่อก็รู้ว่าจักรวรรดิมีท่าทีอย่างไรต่อทูตต่างแดนเหล่านี้

แต่ไม่ว่าจะไปหาเรื่องอย่างไร คณะทูตแห่งสำนักคนเถื่อนวารีก็ไม่ยอมโผล่หัวออกมา เก็บเนื้อเก็บตัว ทำทีเหมือนจะมาอยู่นครต้องห้ามในระยะยาวอย่างไรอย่างนั้น

ท่าทีของราชสำนักอันเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิเองก็แปลกมาก ไม่ถามไม่ไถ่คณะทูตกลุ่มนี้ ทำเหมือนพวกเขาเป็นอากาศธาตุ

ดูผิดปกติอย่างชัดเจน

ที่น่าเสียดายคือไม่มีใครรู้สาเหตุของเรื่องทั้งหมด พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ แต่คณะทูตแห่งสำนักคนเถื่อนวารีก็ไม่มีการกระทำที่ผิดแผกอันใด เหล่าผู้มีอำนาจในนครต้องห้ามจึงเลิกสนใจไป

นอกจากเรื่องนี้แล้ว ในช่วงนี้ตระกูลรองทั้งสามของตระกูลหลินอย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุประสบปัญหาไม่หยุดหย่อน วุ่นวายอลหม่านกันถ้วนหน้า

ช่วงที่ผ่านมากิจการทั้งหมดของพวกเขาถูกคู่แข่งกดดันอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นที่จงใจกดราคาจนกระทบต่อรายได้ของพวกเขาอย่างรุนแรง

ในวันนี้ หัวหน้าตระกูลหลินแห่งธารประจิมหลินเทียนหลงฟังรายงานข่าวล่าสุดจากข้ารับใช้เหมือนปกติ

“หัวหน้าตระกูล เมื่อวานนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับแร่วิญญาณ ‘เหล็กยอดโลหิต’ ที่อยู่ในการครอบครองของเรา เหล็กยอดโลหิตทั้งหมดที่ผลิตออกมาถูกคู่ค้าปฏิเสธเหมือนกับช่วงก่อนหน้านี้ บอกว่าเหล็กยอดโลหิตของพวกเราคุณภาพแย่เกินไป เรียกร้องให้พวกเราขายในราคาสามสิบเหรียญทองต่อหนึ่งชั่ง แต่หากทำเช่นนั้นอย่าว่าแต่กำไรเลย แม้แต่ต้นทุนยังยากจะรักษาไว้”

“นอกจากนี้ร้านธัญพืชวิญญาณทั้งหกแห่งทางตะวันตกของเมือง กับร้านยาสามแห่งทางใต้ก็ซบเซา ไม่มีลูกค้าเข้าร้านเลย”

“เมื่อคำนวณเช่นนี้ เพียงแค่เดือนเดียวพวกเราก็ขาดทุนถึงสามแสนเก้าหมื่นเหรียญทอง! หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ถึงหนึ่งปีกิจการพวกนี้ของเราคง…คงดำเนินต่อไปไม่ไหวแล้ว”

ข้ารับใช้คนนั้นทำการค้าได้ยากลำบาก ใบหน้ามู่ทู่

สีหน้าของหลินเทียนหลงเองก็เขียวคล้ำเช่นกัน เต็มไปด้วยความเยียบเย็น โกรธจนกัดฟันกรอด รังแกกันเกินไปแล้ว ต้องมีคนจงใจกลั่นแกล้งพวกเขาอยู่แน่!

เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติมาสักระยะแล้ว แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาถึงได้มั่นใจว่านี่เป็นการโจมตีที่มีการวางแผนไว้ก่อนแล้ว!

“ท่านหัวหน้า ไม่เพียงแต่ตระกูลหลินแห่งธารประจิมของเรา กิจการของทั้งคานเมฆาและยอดวายุต่างถูกโจมตีอย่างหนักไม่ต่างจากเรา”

ข้ารับใช้คนนั้นเอ่ยเตือนว่า “แต่มีเพียงกิจการของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรที่ไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังดีขึ้นกว่าเดิม แบบนี้มันดูผิดปกติ ท่านว่า…จะเป็นฝีมือของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรกับเด็กหนุ่มบนภูเขาชำระจิตนั่นร่วมมือกันหรือไม่”

“เหลวไหล! ต่อให้ไม่ใช่ฝีมือของพวกเขา แต่ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาแน่!”

หลินเทียนหลงตะเบ็งเสียงอย่างกราดเกรี้ยว เขาแทบจะควบคุมเพลิงโกรธในใจไม่อยู่ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกตื่นตระหนกอยู่บ้างเช่นกัน คนที่สามารถใช้วิธีร้ายกาจขนาดนี้มาโจมตีพวกเขา ต้องไม่ใช่ผู้มีอำนาจทั่วๆ ไปแน่

ด้วยความสามารถของเจ้าเด็กหลินสวินนั่น แม้จะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลหลินแห่งแสงอุดรแต่ก็ไม่มีทางทำได้ขนาดนี้แน่!

และในตอนนั้นเอง ชายวัยกลางคนในชุดเทาผู้หนึ่งพุ่งปราดเข้าพร้อมสีหน้าร้อนรน

เขายังเดินมาไม่ถึงเสียงรายงานก็นำมาก่อนแล้ว “ท่านหัวหน้า สืบได้ความแล้วขอรับ คนร้ายที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีเราในช่วงที่ผ่านมาคือกลุ่มอำนาจตระกูลสือแห่งอัครการค้า ตระกูลหนิงแห่งกองทัพเลือดเหล็กจักรวรรดิ รวมทั้ง ‘ตุ๊กตาล้มลุก’ ตระกูลกง และ ‘ราชันแห่งทะเลตะวันออก’ ตระกูลเย่ขอรับ!”

ได้ยินชื่อขุมอำนาจยาวเป็นหางว่าวนี้ หลินเทียนหลงรู้สึกเพียงว่ากำลังหูดับ ตัวแข็งค้างอยู่กับที่ประหนึ่งถูกฟ้าผ่า ดูเสียการควบคุมไปทั้งตัว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด