Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 400 กระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 400 กระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 400 กระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ
โดย

“จริงสิ เจ้าจะไปรับตำแหน่งที่สำนักศึกษามฤคมรกตเมื่อไร”

พญาแร้งถามขึ้นฉับพลัน

“กำหนดไว้ว่าอีกสิบวัน” หลินสวินเอ่ย

การไปรับตำแหน่งที่สำนักศึกษามฤคมรกตครั้งนี้ หลินสวินไม่เพียงต้องรับหน้าที่อาจารย์ สอนวิชาในศาสตร์สลักวิญญาณบางวิชา ยังต้องรับภาระงานของภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณและสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิด้วย ย่อมต้องยุ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนแน่

“ภูเขาชำระจิตขณะนี้รุ่งเรืองขึ้นทุกวัน ธุระทุกอย่างมอบให้พวกเราจัดการก็พอแล้ว เจ้ารีบจดจ่อกับการไปรับตำแหน่งเถอะ”

พญาแร้งพึมพำ “แต่เจ้าต้องระมัดระวังไว้หน่อย ออกจากภูเขาชำระจิตแล้ว จูเหล่าซานกับหลินจงไม่อยู่ข้างกาย ถ้าประสบเรื่องยุ่งยากเข้าคงรับมือได้ยาก”

หลินสวินยิ้มพลางพูดว่า “นี่ย่อมแน่นอน”

ในความคิดของเขา แม้สถานที่อย่างสำนักศึกษามฤคมรกตจะอันตรายแค่ไหน ก็ไม่มีทางยอมให้ชีวิตของตนถูกคุกคามแน่

แน่นอนว่าการปลุกปั่นกับเรื่องวุ่นวายบางเรื่องย่อมหลีกหนีได้ยาก

หลินสวินได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว

เพียงแต่ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายเสมอ ค่ำวันนั้นสืออวี่ก็มาเยือนกะทันหัน นำข่าวร้ายเรื่องหนึ่งมาบอกหลินสวิน

“เจ้าต้องระวังตัวไว้ ข้าได้ข่าวมาว่าตระกูลหลินสายรองอย่างธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุถูกบีบจนกลายเป็นหมาจนตรอก เริ่มขอให้คนนอกที่แข็งแกร่งช่วยลงมือแล้ว!”

ใบหน้าของสืออวี่แสดงสีหน้าหนักใจ “ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด อำนาจภายนอกเหล่านี้ก็คือผู้ร้ายที่เคยแบ่งฮุบสมบัติตระกูลหลินของพวกเจ้าไปแต่แรก!”

ในใจของหลินสวินเย็นเยียบ “พวกเขาเป็นใคร”

“ตระกูลจั่วกับตระกูลฉิน” สืออวี่กล่าว

นัยน์ตาหลินสวินพลันหรี่ลง ตระกูลใหญ่สองตระกูลนี้ ล้วนถูกจัดอยู่ในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง!

“ข้าก็คิดไม่ถึงว่าจะเกี่ยวพันไปถึงสองตระกูลใหญ่ในคราวเดียว” สืออวี่ขมวดคิ้ว “ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ ก็คงไม่แหวกหญ้าให้งูตื่นเร็วเกินไป พาให้สถานการณ์พลันเปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมา”

“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดอยู่ดี”

หลินสวินสูดลมหายใจลึก ดวงตาสีดำมีแต่ความสงบนิ่ง “ได้รู้ว่าคนร้ายที่ช่วงชิงสมบัติตระกูลหลินของข้าไปจนหมดในตอนนั้นเป็นใครก็ทำให้ข้าพอใจแล้ว อย่างน้อยตัวข้าก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยคิดว่า ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลจั่วและตระกูลฉินจะทำเรื่องเลวร้ายพรรค์นี้ได้”

“เฮอะ อย่าว่าแต่สองตระกูลนั้นเลย ในนครต้องห้ามแห่งนี้ผู้มีอำนาจหน้าไหนบ้างไม่โหดเหี้ยมโลภมาก”

สืออวี่ยิ้มหยัน เขาเติบโตในอัครการค้ามาแต่อ้อนแต่ออก รู้ซึ้งถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้มีอำนาจพวกนั้นดีที่สุด

“พูดเช่นนี้ พวกเขาคงเตรียมการช่วยสามตระกูลรองโต้กลับแล้วสินะ” หลินสวินเอ่ยถาม

“เปล่า จากข่าวที่ข้าได้มา พวกเขาไม่กล้าออกหน้าต่อกรกับภูเขาชำระจิตหรอก”

สืออวี่ส่ายหัว “อย่างไรเสียตอนนี้เจ้าก็เป็นผู้มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งของนครต้องห้าม กิตติศัพท์โดดเด่นราวอาทิตย์เที่ยงวัน ใครจะกล้ามีเรื่องกับเจ้าซึ่งหน้าตอนนี้เล่า”

ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วพลางถอนหายใจ “คาดการณ์ได้เลยว่าพวกเขาต้องแอบลอบทำอะไรบางอย่างในที่ลับกับเจ้า ทวนในที่แจ้งหลบง่าย แต่ธนูในที่มืดป้องกันยาก นี่สิกลับยิ่งอันตรายกว่า”

หลินสวินใคร่ครวญแล้วพูดว่า “ประเดี๋ยวข้าก็ไปรับตำแหน่งที่สำนักศึกษามฤคมรกต บนภูเขาชำระจิตยังมีพวกจูเหล่าซานและหลินจงรักษาการณ์อยู่ เพียงระวังหน่อยก็ไม่น่าถูกโจมตีถึงแก่ชีวิตโดยไม่คาดฝันหรอก”

สืออวี่ส่ายหัวอีกครั้ง “ตามข่าวที่ข้าได้มา หากตระกูลจั่วกับตระกูลฉินจะลงมือ ย่อมเป็นที่สำนักศึกษามฤคมรกตแน่!”

“อะไรกัน” หลินสวินแปลกใจ

“เหอะๆ ไม่ต้องแปลกใจเลย ในสำนักศึกษามฤคมรกตมีผู้คนมากหน้าหลายตาปะปนกันไปหมด ผู้เก่งกล้าที่ดำรงตำแหน่งต่างๆ ในนั้น ส่วนใหญ่ล้วนมาจากกลุ่มอำนาจชั้นยอดในนครต้องห้าม ตระกูลจั่วและฉินเองก็ไม่เว้น”

สืออวี่หัวเราะเบาๆ “แต่ก็เหมือนที่เจ้าพูด เพียงระวังตัวหน่อย ไม่ให้พวกเขาฉวยโอกาสได้ ในสำนักศึกษามฤคมรกตก็ไม่มีใครกล้าจงใจทำร้ายเจ้า อย่างไรเสียสำนักศึกษามฤคมรกตก็เป็นสำนักศึกษาอันดับหนึ่งของจักรวรรดิ! ขนาดราชวงศ์ยังต้องให้ความเคารพอยู่บ้าง ตระกูลทรงอิทธิพลพวกนั้นคงไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานในนั้นหรอก”

พูดถึงตรงนี้สืออวี่ก็เตือนอย่างจริงจัง “ขอเพียงความสามารถของเจ้ายิ่งโดดเด่น ยิ่งถูกจับตามองมากขึ้นเท่าไร สถานการณ์ก็จะปลอดภัยยิ่งขึ้นเท่านั้น จะทำตัวราบเรียบเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ได้แล้ว ยามที่ควรแสดงความสามารถของตนจะมามัวออมมือไม่ได้เด็ดขาด”

หลินสวินพลันหัวเราะขึ้น “ที่ข้าสร้างเรื่องไว้ที่ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณเมื่อหลายวันก่อนยังไม่เด่นพออีกหรือ”

สืออวี่นิ่งอึ้งไป พลันเอ่ยอย่างโมโห “ข้าลืมไปเลย เจ้าหนูอย่างเจ้านี่ตั้งแต่เข้านครต้องห้ามมาก็ไม่เคยทำตัวราบเรียบเลยนี่”

สนทนากันอีกครู่หนึ่ง หลินสวินถึงเพิ่งรู้ว่าพวกสืออวี่ หนิงเหมิง กงหมิงและเย่เสี่ยวชีนั้นเริ่มเรียนกันแล้ว ตอนนี้กำลังฝึกปราณที่สำนักศึกษามฤคมรกต

แต่ที่น่าเสียดายก็คือ กลุ่มศิษย์ใหม่อย่างพวกสืออวี่ อีกสามวันจะถูกอาจารย์ของสำนักศึกษามฤคมรกตพาไปยังสถานที่โหดร้ายน่ากลัวแห่งหนึ่งในจักรวรรดินามว่า ‘แดนสังหารวิญญาณ’ เพื่อดำเนินการทดสอบฝึกฝนเป็นเวลาสามเดือน

หรือพูดได้ว่า เมื่อหลินสวินเข้าไปยังสำนักศึกษามฤคมรกต อย่างน้อยในสามเดือนก็ไม่มีโอกาสพบหน้าสหายเหล่านี้

สำนักศึกษามฤคมรกตตั้งอยู่ชานเมืองฝั่งตะวันตกของจักรวรรดิ สร้างขึ้นบนภูเขาห่างไกลลูกหนึ่งในบรรดายอดเขาสลับซับซ้อน กินพื้นที่หลายพันหมู่ ขนาดใหญ่โตมโหฬารราวกับเมืองย่อมๆ เมืองหนึ่ง

สิ่งก่อสร้างภายในสำนักศึกษามฤคมรกตล้วนเก่าแก่โบราณ เรียงรายเป็นระเบียบ เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งกาลเวลา

สำนักศึกษาตั้งตระหง่านกลางภูเขาลึกห่างไกลความอึกทึกของโลกมนุษย์ ราวกับสวนท้อที่อยู่นอกโลก เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับฝึกปราณในใจของผู้ฝึกปราณทุกคนในจักรวรรดิ

ความจริงแล้วฐานะของสำนักศึกษามฤคมรกตในจักรวรรดินั้นสามารถพูดได้ว่าเกินธรรมดา ไม่เพียงมีอำนาจยิ่งใหญ่และภูมิหลังแข็งแกร่งเท่านั้น เพราะหลายพันปีมานี้สำนักศึกษามฤคมรกตได้บ่มเพาะผู้มีความสามารถที่เป็นเสาหลักโดดเด่นยิ่งรุ่นแล้วรุ่นเล่าให้แก่จักรวรรดิ

ผู้มีความสามารถเหล่านี้หากไม่เข้ากองทัพจักรวรรดิ ก็เข้าราชสำนัก ไม่ก็กระจัดกระจายไปทั่วสี่ทิศ สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่เพื่อความรุ่งเรืองของจักรวรรดิ

สามารถพูดได้อย่างไม่เกินเลยว่า สำนักศึกษามฤคมรกตเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีผู้มีความสามารถมากมายไม่ขาดสาย ผู้กล้าแน่นขนัดราวผืนเมฆ เพียงเลือกออกมาสักคนหนึ่ง ก็ล้วนขนานนามได้ว่าเป็นคนชั้นยอดของรุ่นเดียวกัน

เมื่อผู้กล้าเหล่านี้รุ่งเรืองเติบโตขึ้น ไม่กลายเป็นเจ้าครองดินแดนสักฝั่งหนึ่ง ก็เป็นผู้โดดเด่นแห่งยุคสมัย ไม่ก็เป็นผู้มีพลังมหาศาลที่แข็งแกร่งราวภูผากลางกระแสน้ำเชี่ยวในโลกา

พวกเขาอาจมีพื้นเพจากกลุ่มอำนาจที่ต่างกันไป แต่ทุกคนล้วนมีฐานะที่เหมือนกันฐานะหนึ่ง ก็คือศิษย์สำนักศึกษามฤคมรกต!

นี่ก็คือสาเหตุที่แท้จริงของความพิเศษเหนือธรรมดาทางฐานะของสำนักศึกษามฤคมรกต

รูปกวางสีมรกตสง่างามที่ประทับบนเหรียญของจักรวรรดิในปัจจุบัน ก็เป็นตัวแทนของสำนักศึกษามฤคมรกต!

เกียรติยศยิ่งใหญ่ขั้นนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าสำนักศึกษามฤคมรกตมีตำแหน่งไม่ธรรมดาเพียงใดในจักรวรรดิจื่อเย่า

เช้าวันนี้ ฟ้าเพิ่งสาง

เกี้ยวสมบัติงามวิจิตรคันหนึ่งพาหลินสวินไปยังชานเมืองฝั่งตะวันตกของจักรวรรดิ เคลื่อนไหวเชื่องช้าเข้าไปยังสำนักศึกษามฤคมรกตที่อยู่ในภูเขาลึก

เมื่อลงจากเกี้ยวสมบัติ ประตูใหญ่ที่สร้างจากหินแร่สีเขียวโบราณสูงสามจั้ง กว้างสิบจั้งบานหนึ่งก็ปรากฏขึ้นสู่สายตา

ธรรมดามาก

นี่คือความประทับใจแรกของหลินสวิน เขาไม่คิดเลยว่า ประตูใหญ่ของสำนักศึกษามฤคมรกตที่เป็นถึงสำนักศึกษาอันดับหนึ่งของโลกกลับเรียบง่ายปานนี้

บนยอดประตูใหญ่ถึงกับมีตะไคร่เขียวขึ้นเป็นลายพร้อย

ทันใดนั้นหลินสวินก็สังเกตเห็นว่า ท่ามกลางตะไคร่ที่ปกคลุมซ้อนทับกันอยู่นั้น แท้จริงแล้วมีรอยอักษรเก่าแก่หยาบกระด้างเข้มแข็งอยู่

เป็นและตาย เหลือบแลด้วยสายตาเย็นชา ผู้ฝึกตน ต้องก้าวไปข้างหน้า!

ใจหลินสวินพลันสะท้านขึ้นมา ประโยคนี้ดูเหมือนเรียบง่าย แต่กินความรุ่มรวยว่าเพื่อการฝึกตนแล้ว อย่ากลัวความเป็นตาย ท้าทายโอหังต่อใต้หล้า

“นี่ก็คือสิ่งที่เจ้าสำนักศึกษาคนแรกทิ้งไว้”

เสียงอบอุ่นจริงใจเสียงหนึ่งดังขึ้น ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เสิ่นทั่วมายืนรออยู่ที่ข้างประตูใหญ่อยู่ก่อนแล้ว มองดูหลินสวินพร้อมรอยยิ้ม

“ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปสาขาสลักวิญญาณ” เสิ่นทั่วเอ่ยขึ้น

หลินสวินสั่งให้จูเหล่าซานและหลินจงที่ขับเกี้ยวสมบัติมาจากไป แล้วจึงตามเสิ่นทั่วเดินเข้าไปยังสำนักศึกษามฤคมรกต

เช้าตรู่พอดี สำนักศึกษามฤคมรกตเต็มไปด้วยไอหมอกลอยสูง สิ่งก่อสร้างใหญ่โตโอฬารเรียงรายเป็นระเบียบ โผล่พ้นไอหมอกคลุมเครือราวภาพฝัน

สิ่งก่อสร้างเหล่านั้นทั้งเก่าแก่ ใหญ่โตมโหฬาร อีกทั้งยังมีมากมาย เมื่อทอดสายตาออกไปถึงกับมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด

ระหว่างทาง เสิ่นทั่วแนะนำข้อมูลพื้นฐานของสำนักศึกษามฤคมรกตให้หลินสวินฟังอย่างใจเย็น

เดิมทีสำนักศึกษามฤคมรกตแบ่งออกเป็นห้าสาขาใหญ่ ได้แก่ สาขามังกรเร้น สาขายุทธ์วิถี สาขายอดยุทธศาสตร์ สาขาสลักวิญญาณและสาขากลยุทธ์เทพ

ศิษย์แรกเข้าสำนักศึกษามฤคมรกต ล้วนต้องฝึกในสาขามังกรเร้น ฝึกตนเคี่ยวกรำตัวเองอย่างหนักที่นี่

ผู้มีความสามารถโดดเด่นสามารถผ่านการทดสอบที่จะมีขึ้นปีละครั้ง จะถูกคัดเลือกเข้าไปในสาขายุทธ์วิถี

สาขายุทธ์วิถี หรือถูกเรียกอีกชื่อว่า ‘สาขาอัจฉริยะ’ หมายความว่าผู้ที่สามารถเข้าสาขายุทธ์วิถีได้นั้น ล้วนเป็นอัจฉริยะที่สำนักศึกษาคัดสรร!

อัจฉริยะเช่นนี้ไม่สามารถเทียบกับคนทั่วไปที่พบเห็นดาษดื่นในท้องถนน แต่เป็นอัจฉริยะโดยแท้ที่เลือกสรรมาจากผู้เก่งกล้าที่มีพรสวรรค์โดดเด่น มีความสามารถเกินธรรมดากลุ่มหนึ่ง!

เช่นฮวาอู๋โยวที่หลินสวินเคยประลงด้วยก่อนหน้านี้ ก็เป็นศิษย์สาขายุทธ์วิถีผู้หนึ่ง

ส่วนสาขายอดยุทธศาสตร์นั้น สูงชั้นกว่าสาขายุทธ์วิถีขั้นหนึ่ง เป็นที่ที่ศิษย์ผู้ครอบครองปราณระดับหยั่งสัจจะฝึกปรือฝีมือ ที่นั่นเป็นสถานที่สำคัญแกนกลางของสำนักศึกษามฤคมรกต ผู้ที่เข้าไปได้มีจำนวนเพียงนับนิ้วได้ ล้วนเป็นผู้กล้าที่มีพลังมหาศาล

ด้านสาขาสลักวิญญาณ แค่ชื่อก็บ่งบอกความหมาย เป็นที่ที่เอาไว้ฝึกฝนศาสตร์การสลักรอยสลักวิญญาณ

ส่วนสาขากลยุทธ์เทพนั้น เป็นที่ที่สอนศิษย์จัดวางกองทัพและความสามารถทางการทหาร

โดยทั่วไป ศิษย์ที่สนใจศาสตร์สลักรอยวิญญาณ ล้วนสามารถมาเรียนควบวิชาสลักวิญญาณที่สาขาสลักวิญญาณได้

สาขากลยุทธ์เทพเองก็เช่นกัน

แต่ไม่ว่าอย่างไร สาขามังกรเร้นก็เป็นสถานที่หลักสำหรับการฝึกปราณและฝึกยุทธ์ของศิษย์สำนักศึกษามฤคมรกต

สำหรับสาขายุทธ์วิถีและสาขายอดยุทธศาสตร์นั้น ศิษย์ทั่วไปน่ากลัวจะไม่มีคุณสมบัติเข้าไปฝึกได้ยันเรียนจบ

นี่ก็ช่วยไม่ได้ ด้วยเพราะเงื่อนไขในการคัดเลือกนั้นเข้มงวดเกินไปนั่นเอง

นอกจากห้าสาขาใหญ่นี้ สำนักศึกษามฤคมรกตยังแบ่งพื้นที่ออกเป็นหอเก็บตำรา หอเก็บโอสถเป็นต้น เพื่อตอบสนองต่อความจำเป็นในการฝึกฝนของศิษย์

เสิ่นทั่วแนะนำอย่างเข้าใจง่าย ทำให้หลินสวินพอจะเข้าใจภาพรวมคร่าวๆ ของสำนักมฤคมรกต ส่วนรายละเอียดแน่ชัดนั้น อย่างไรเขาก็ต้องไปรับรู้และสัมผัสด้วยตัวเอง

“หืม นั่นอะไรหรือขอรับ”

ฉับพลัน ดวงตาของหลินสวินชำเลืองมองไปโดยไม่ตั้งใจ เห็นว่าที่ไกลลิบๆ มีป้ายศิลาทองอร่ามลอยขึ้นกลางควันเมฆหนาแน่น สูงหลายสิบจั้ง ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น ดูสูงใหญ่สะดุดตา

“นั่นคือรายชื่อกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ ศิษย์ระดับมหาสมุทรวิญญาณในสำนักศึกษานี้ มีเพียงผู้มีความสามารถด้านการต่อสู้อยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกเท่านั้นถึงจะปรากฏชื่อบนนั้นได้”

เสินทั่วหยุดเดินแล้วอธิบายออกมา

กระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ!

ในใจหลินสวินพลันเกิดความสนใจ นี่ไม่ได้หมายความว่า หนึ่งร้อยชื่อที่ปรากฏบนแท่นศิลานั้น คือผู้แข็งแกร่งที่สุดหนึ่งร้อยคนในหมู่ศิษย์ระดับมหาสมุทรวิญญาณของสำนักศึกษามฤคมรกตหรอกหรือ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด