Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 453 ดินแดนอันน่ากลัว

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 453 ดินแดนอันน่ากลัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 453 ดินแดนอันน่ากลัว
โดย

เด็กหนุ่มร่างกายหมดสภาพ เสื้อผ้าชุ่มเลือด แต่ยามนี้เขายืนตระหง่านอยู่กลางอากาศเช่นนั้น ในมือถือดาบแตกประกายดวงดาว แต่ดูราวกับเทพมารที่สร้างความตะลึงไปทั่ว

ไม่มีใครกล้าเสี่ยงอีก แม้แต่ระดับหยั่งสัจจะยังถูกฆ่าตาย ใครยังจะสู้เด็กหนุ่มคนนี้ได้

“มีใครอยากชิงดาบนี้อีกหรือไม่”

หลินสวินเอ่ย เสียงราบเรียบแต่มีพลังดุจสายฟ้าน่าตะลึงดังสนั่นไปทั่ว แต่เนิ่นนานก็ยังไม่มีใครกล้าตอบกลับ

ถึงขั้นที่ทุกคนที่ถูกสายตาของหลินสวินกวาดผ่าน สีหน้าต่างเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตัวแข็งค้างไม่กล้าสบตากับเขา

นี่คือความน่าเกรงขาม!

กำราบดาบแตกก่อน แล้วฟาดฟันเหล่าผู้กล้า สังหารระดับหยั่งสัจจะ วิธีอันโหดร้ายและนองเลือดของหลินสวินทำให้ทุกคนหวาดกลัวไปหมดแล้ว

พรึ่บ!

หลินสวินเก็บสายตา ใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งโดยไม่รั้งรออีก ทะยานผ่านอากาศมุ่งหน้าไกลออกไปประหนึ่งสายรุ้ง

เห็นเช่นนี้มีผู้ฝึกปราณหลายคนที่ไม่จำยอม ยังนึกอยากลอง แต่สุดท้ายก็หักห้ามใจเอาไว้ พวกเขารู้ตัวว่าขัดขวางหลินสวินไม่ได้

เด็กหนุ่มป่าเถื่อนคนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วทุกสารทิศ

จวบจนกระทั่งเงาร่างของหลินสวินหายลับตาไป เหล่าผู้ฝึกปราณจึงได้สติจากความตะลึง มองกองเลือดและศพในบริเวณนั้น ยังมีภูเขาแม่น้ำกับพื้นดินที่ถูกทำลายทั่ว ต่างอดวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้

“เหตุใดเด็กหนุ่มคนนั้นจึงน่าสะพรึงกลัวเพียงนี้ ในระดับมหาสมุทรวิญญาณเรียกได้ว่าไม่มีใครเทียบแล้ว ทั้งยังข้ามระดับไปสังหารระดับหยั่งสัจจะได้อีก เหลือเชื่อจริงๆ!”

มีคนทอดถอนใจ

“ต้องเป็นผู้สืบทอดสำนักโบราณที่ปลีกวิเวกเป็นแน่ มิเช่นนั้นจะไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนเลยได้อย่างไร”

“ใช่ ข้าเองก็เคยได้ยินว่าในดินแดนต้องห้ามโบราณหลายแห่งและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในการฝึกปราณที่ปลีกวิเวก มีผู้กล้าชั้นยอดไม่มีใครเทียบ ราวกับเป็นอมตะและปราบศัตรูได้เหมือนเด็กหนุ่มป่าเถื่อนคนนั้น!”

“พวกเจ้าคิดว่า เด็กหนุ่มป่าเถื่อนคนนี้เทียบกับบุคคลที่ถูกยกย่องว่าเป็นผู้กล้าแห่งยุคมาเนิ่นนาน อย่างหลิงจื่อนั่วแห่งเขาเมฆาสวรรค์ เถี่ยเชียนหานแห่งสำนักสงัดดารา อวิ๋นเคอแห่งสำนักกระบี่แรกวิญญาณ หยวนจั้นแห่งสำนักเทพโลหิต เหลียนเตี๋ยอีแห่งแดนวิญญาณหมื่นมายา… ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน”

“ยากบอกได้ ที่เมื่อครู่นี้เด็กหนุ่มคนนั้นสังหารยอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะได้ เหตุผลแรกเพราะพลังต้องห้ามภายในแหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่นทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้พลังที่แท้จริงได้ เหตุผลที่สองเพราะดาบแตกในมือเด็กหนุ่มคนนั้นพลิกฟ้ามากเกินไป ถ้าเป็นพวกหลิงจื่อนั่ว เถี่ยเชียนหาน ก็น่าจะทำได้ขนาดนี้เช่นกัน”

“อยากเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นสู้กับผู้กล้าเหล่านั้นจริงๆ ดูซิว่าใครจะโดดเด่นกว่า”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นทั่วทุกสารทิศ

และในวันนั้นเอง ข่าวเกี่ยวกับ ‘เด็กหนุ่มป่าเถื่อน’ ก็แพร่สะพัดออกไปทั่วพื้นที่ในแหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่น เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความตะลึงขึ้นมากมาย

คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มที่ก่อนหน้านี้ดูเงียบๆ ไม่พูดจา กลับดุดันป่าเถื่อนได้ถึงเพียงนี้ ถึงขั้นที่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าเขามาจากไหนและชื่ออะไร

……

ภูเขาลูกใหญ่รกร้างที่เหมือนซากปรักหักพังปรากฏขึ้น ที่แห่งนี้ไม่มีต้นไม้ใบหญ้างอกเงยแม้แต่ต้นเดียว แผ่กระจายกลิ่นอายดุร้ายปกคลุมฟ้าดิน

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นดินแดนอันน่ากลัวแห่งหนึ่ง ถ้าผู้ฝึกปราณปกติมาเห็นเข้าคงหลบหลีกไปไกล

พรึ่บ!

ไม่นานเงาร่างของหลินสวินก็ปรากฏขึ้น ณ ที่แห่งนี้

แตกต่างกับการแผลงฤทธิ์ไม่มีใครเทียบเมื่อครู่นี้ ยามนี้สีหน้าของเขาขาวซีด หว่างคิ้วเผยความร้อนรนและจนใจ

ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้เขาสร้างความตื่นตะลึงให้คนทั้งบริเวณ แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าพลังอันแข็งแกร่งเกรียงไกรของเขานั้นเสื่อมทรุดจนเป็นม้าตีนปลายแล้ว และเกือบจะยันไว้ไม่ไหว!

เหตุผลก็เพราะชีพจรวิญญาณ

แม้ว่าการปะทะกับดาบแตก ทำให้สุดท้ายหลินสวินสามารถรวมชีพจรวิญญาณได้สำเร็จ แต่กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่เหนือความคาดหมายของเขา

ชีพจรวิญญาณเพิ่งจะเป็นรูปเป็นร่าง มันราวกับโหยหาพลังที่มั่นคงยิ่ง จึงเริ่มกลืนพลังวิญญาณในร่างของเขา!

ทีแรกนี่เป็นสิ่งที่หลินสวินอยากให้เป็นที่สุด เดิมเขาก็แทบจะควบคุมพลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านในร่างไม่ไหวแล้ว ถ้าสามารถคลี่คลายได้ด้วยชีพจรวิญญาณย่อมเป็นเรื่องที่ดีอย่างที่สุด

ทว่าหลังจากนั้น หลินสวินกลับพบว่าชีพจรวิญญาณนั่นราวกับหลุมดำที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งกลืนกินและหลอมพลังวิญญาณในร่างกายอย่างต่อเนื่อง

ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป คงจะรีดเค้นพลังปราณในร่างหลินสวินไปจนเหือดแห้งแน่!

ซึ่งก็เพราะเหตุผลนี้ ในศึกเมื่อครู่หลินสวินจึงรีบออกมา แม้แต่ทรัพย์หลังศึกยังไม่มีกะจิตกะใจจะไปชิง

โชคดีที่เหล่าผู้ฝึกปราณตะลึงกับพลังของเขา ถ้าพวกเขายังดื้อด้านอีกสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจสามารถฉวยโอกาสตอนที่หลินสวินอ่อนแรง จัดการเขาได้ตามปรารถนา

‘ต้องปรับสภาพเงียบๆ สักหน่อย…’

หลินสวินไม่คิดอะไรด้วยซ้ำ เงาร่างก็แวบหายเข้าไปในส่วนลึกของภูเขาที่กลายเป็นเศษซากและมีหมอกหนานั้น

ตั้งแต่ชีพจรวิญญาณกำเนิดและเริ่มต่อสู้กับเฉียนไหว จวบจนกระทั่งเข้ามาอยู่ในแหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่น ก็เป็นเวลาสิบกว่าวันแล้ว หลินสวินยกทัพจับศึกโดยตลอด ไม่เคยพักเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อจัดการพลังที่พลุ่งพล่านราวกับภูเขาไฟปะทุในร่างกาย

และยามนี้การรวมชีพจรวิญญาณสำเร็จแล้ว คลี่คลายวิกฤตได้ แต่ก็ทำให้เขาตกอยู่ในอีกวิกฤตหนึ่ง

นั่นก็คือพลังปราณในร่างกายของเขากำลังถูกชีพจรวิญญาณกลืนกินอย่างบ้าคลั่ง!

ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปโดยไม่แก้ไข อย่าว่าแต่ต่อสู้เลย เกรงว่าหลินสวินเองยังต้านทานไม่ไหว ตกอยู่ท่ามกลางความอ่อนแรงอย่างสิ้นเชิง พลังยุทธ์พังทลาย!

จากปลายยอดหนึ่งไปอีกปลายยอด ล้วนแล้วแต่เป็นวิกฤต ต่างมาจากชีพจรวิญญาณ ทำให้หลินสวินเองก็พูดอะไรไม่ออก

อย่างไรก็ตามเมื่อมองอีกด้าน เป็นเพราะการกำเนิดของชีพจรวิญญาณที่ก่อตัวอีกครั้งในที่สุด จึงทำให้พลังต่อสู้ของหลินสวินพุ่งสูงขึ้น ยิ่งแพ้ยิ่งห้าวหาญ ยิ่งสู้ยิ่งแข็งแกร่ง พลังรอบตัวเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า

จึงสามารถยกทัพจับศึกกับระดับสัจจะอย่างพวกเฉียนไหว นักพรตสยง ฉู่หลินเทียนพวกนั้นได้ ทั้งยังกำราบดาบอันดุร้ายพลิกฟ้าเล่มนั้นจนสร้างความตะลึงให้ผู้ฝึกปราณมากมาย

หลินสวินมีลางสังหรณ์ว่า หากเขาสามารถฉวยโอกาสนี้รักษาความมั่นคงของชีพจรวิญญาณได้และคลี่คลายวิกฤตในครั้งนี้ พลังของเขาจะสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!

ภูเขาลึกหมอกหนาเงียบสงัดจนน่ากลัว ราวกับว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ แม้แต่เสียงลมยังเงียบ บนพื้นเต็มไปด้วยคราบเลือดสีแดงเข้มแปลกๆ

แม้ว่าหลินสวินจะต้องการหาสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับการทำสมาธิ แต่เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ในใจก็เคร่งเครียด ไม่กล้าประมาท

ไม่นานโครงกระดูกขนาดใหญ่ของอสูรมารก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ความยาวประมาณสิบกว่าจั้ง กะโหลกศีรษะแหลกละเอียดทั้งหมด เหลือเพียงแค่ศพที่ไม่สมประกอบ

โครงกระดูกเป็นสีทองซีด พลังร้ายรายล้อม แผ่กระจายกลิ่นอายแห่งกาลเวลา เห็นได้ชัดว่าอยู่มาตั้งแต่โบราณ

โฮก~

มองจากไกลๆ มีเสียงคำรามน่าตระหนกจากโครงกระดูกดังขึ้นอยู่รางๆ ทำให้จิตวิญญาณสั่นสะเทือน หลินสวินขนลุก รู้สึกถึงอันตรายที่ชวนให้หายใจติดขัด

ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่มันต้องเป็นอสูรมารที่ดุร้ายและทรงพลังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แน่ แม้สึกกร่อนไปตามกาลเวลาก็ยังคงรักษากลิ่นอายที่ดุร้ายน่ากลัวเอาไว้

หลินสวินไม่กล้าเข้าไปใกล้ หลีกเลี่ยงออกห่างแล้วเดินหน้าต่อ

ไม่นานแม่น้ำเลือดสายหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอกหนาอย่างคลุมเครือ ไหลอย่างเงียบๆ ไม่มีคลื่นแม้แต่น้อย แปลกประหลาดหาที่เปรียบไม่ได้

สิ่งที่ทำให้หลินสวินตกใจที่สุดคือ สิ่งที่ไหลอยู่ในแม่น้ำสายนั้นเป็นเลือดเข้มข้น ส่องแสงประกายระยิบระยับ ราวกับแปลงมาจากเลือดโบราณ

และในแม่น้ำเลือดสายนั้นมีศพโบราณจมอยู่ มีซากสมบัติโบราณปรากฏอยู่รางๆ กำลังไหลตามน้ำไปยังส่วนลึกของภูเขาอย่างเงียบๆ

หลินสวินรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวอันยากจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ราวกับว่ามีพลังต้องห้ามที่น่ากลัวอยู่ในแม่น้ำเลือด เหมือนมันเคยเป็นที่ฝังเทพและเคยเกิดเหตุการณ์ที่สะเทือนโลกขึ้น

นี่มันแม่น้ำอะไรกัน!

หลินสวินกวาดตามองอย่างไม่ใส่ใจและเห็นศพโบราณศพหนึ่ง เป็นผู้หญิงในชุดกระโปรงรุ้ง ตรงบริเวณลำคอมีกระบี่กระดูกสีเขียวเล่มหนึ่งปักในแนวเฉียง กระบี่กระดูกส่องแสงประกายดุจภาพมายา

เพียงเหลือบมองเท่านั้นหลินสวินก็รู้สึกแข็งทื่อไปทั้งตัว หัวใจเต้นระรัวดั่งลั่นกลอง แผ่กระจายความเย็นเยียบที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้

เขาไม่กล้ามองอีก หลีกหนีแม่น้ำเลือดสายนี้ไปไกล เดินลึกเข้าไปในบริเวณที่หมอกหนากว่า เพียงแต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้เขาดูระมัดระวังขึ้นมาก

ไม่นานหลินสวินก็เห็นเนินดินสุสานอีกครั้ง มันธรรมดามาก มีเพียงกองดินและป้ายหินแตกพังตั้งอยู่

ป้ายหินเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ ไม่มีตัวหนังสือสลักอยู่

แต่แม้จะยืนอยู่ห่างจากสุสานที่โดดเดี่ยวนี้ กลับทำให้หลินสวินรู้สึกหวาดกลัวและขนลุกไปทั้งตัว หัวใจหล่นวูบ ราวกับว่าภายใต้สุสานที่ดูไม่โดดเด่นนั้นฝังร่างของผู้ยิ่งใหญ่สะเทือนโลกเอาไว้ กำลังหลับใหลไม่อนุญาตให้ล่วงเกินได้

นี่มันที่บ้าอะไรกัน

หลินสวันพลันหลีกหนีอีกครั้งอย่างไม่ลังเล

จิตใจของเขาไม่สงบเลยสักนิด ภายในภูเขาลูกใหญ่ที่ราวกับซากปรักหักพังแห่งนี้ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าเลยแม้แต่ต้นเดียว เงียบสงบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่กลับมีโครงกระดูกของอสูรมารที่ดุร้ายเกินจะคาดเดา มีแม่น้ำเลือดที่มีซากศพจมอยู่ รวมทั้งสุสานดินโดดเดี่ยวที่ทำให้ทุกคนไม่กล้าก้าวเข้าไปใกล้

ถ้าไม่ใช่เพราะหลินสวินจิตแข็ง คงหันหลังออกจากที่บ้าๆ แห่งนี้ไปตั้งนานแล้ว ความอันตรายอันแปลกประหลาดนั่นทำให้รู้สึกเหมือนตกอยู่ในขุมนรก

ในที่สุดหลินสวินก็มาหยุดอยู่ตรงปากถ้ำที่เกิดจากรอยแตกของหิน เห็นได้ชัดว่าที่นี่เกิดการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัว บนพื้นมีคราบเลือด แดงคล้ำน่าสยดสยองไม่มีจืดจางมาตั้งแต่โบราณ

หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ นั่งขัดสมาธิในถ้ำและเริ่มเข้าสู่สมาธิ

ในส่วนลึกของภูเขาลูกใหญ่ที่ราวกับซากปรักหักพังนี้ดูเหมือนอันตรายและแปลกประหลาดอย่างยิ่ง แต่ทุกอย่างเงียบสงัด เกรงว่าใครก็คงคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะนั่งสมาธิอยู่ตรงนี้

ครืนโครม~~

บริเวณหน้าอก ชีพจรวิญญาณส่องแสงประกายสีขาว สาดฉายกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ ราวกับผืนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลที่กำลังกลืนกินพลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านในทะเลปราณ

สามารถมองเห็นได้ว่าชีพจรวิญญาณดูสมจริงขึ้น สดใสขึ้น กลิ่นอายแห่งความศักดิ์สิทธิ์แผ่กระจาย ดูยอดเยี่ยมเกินคาดเดาอย่างที่สุด

หลายปีที่ผ่านมา หลินสวินคิดมาโดยตลอดว่าชีพจรวิญญาณที่ถูกชิงไปตั้งแต่เด็กของตนเป็นอย่างไรกันแน่

ยามนี้มันฟื้นคืนชีพอีกครั้ง พาดขวางอยู่ภายในเส้นปราณหัวใจ ทำให้หลินสวินเองเพิ่งได้เห็นรูปร่างแท้จริงของมันเป็นครั้งแรก!

ยอดเยี่ยมมาก

เมื่อสัมผัสอย่างละเอียดแล้ว หลินสวินสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามีชีพจรวิญญาณแล้วจริงๆ ภายในร่างกายของตนราวกับมีขุมทรัพย์ลับๆ มีพลังอันยอดเยี่ยมที่ไม่มีใครเทียบ

แต่ไม่นานหลินสวินก็ไม่อาจสนใจเรื่องพวกนี้ได้อีก ในใจร้อนรนขึ้นมา เพราะพลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านอย่างหาที่เปรียบไม่ได้นั่นค่อยๆ แห้งเหือดลงไปแล้ว

แต่ชีพจรวิญญาณกลับยังไม่หยุดกลืนกิน!

เห็นได้ชัดว่ามันเพิ่งจะรวมตัว จึงกระตือรือร้นที่จะเพิ่มความมั่นคงและเสริมพลัง

หลินสวินกัดฟัน เอาโอสถวิญญาณที่อยู่ในแหวนเก็บของออกมาแล้วอ้าปากกลืนลงไป เพื่อเข้าสู้กระบวนการหลอม ชดเชยทะเลปราณที่กำลังจะแห้งเหือด

แต่ไม่นานพลังโอสถอันยิ่งใหญ่นั่นก็ถูกดูดกลืนจนหมด!

หลินสวินหัวใจสะท้าน จำเป็นต้องเอาโอสถวิญญาณออกมาอีกครั้ง

ทุกครั้งที่พลังวิญญาณกำลังจะแห้งเหือด หลินสวินก็จะกลืนลูกกลอนวิญญาณวิเศษเรื่อยๆ กระบวนการนี้ดำเนินต่อไปหลายชั่วยาม

แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ชีพจรวิญญาณก็ยังคงกลืนกิน!

จวบจนถึงตอนหลัง โอสถวิญญาณ ลูกกลอนวิญญาณที่หลินสวินเก็บสะสมมาถูกใช้จนหมด ก็ยังไม่สามารถหยุดทุกอย่างได้ ทำให้เขาตะลึงจนอ้าปากค้าง

ชีพจรวิญญาณนี่จะ…กินเก่งไปแล้วหรือเปล่า

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด