Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 463 รังแกกันมากไปแล้ว

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 463 รังแกกันมากไปแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 463 รังแกกันมากไปแล้ว
โดย

ยามเช้าตรู่ เมื่อเดินออกมาจากตำหนักชำระจิตก็เห็นว่าเมฆเรียงกันเป็นชั้น แสงอุษาสว่างสดใส อวลไอหอมต้นหญ้าในอากาศ พาให้จิตใจเบิกบาน

สิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคยทำให้หลินสวินรู้สึกสงบใจอย่างประหลาด

เพียงแต่ที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ เขาไม่พบเงาร่างสักเงาระหว่างทาง แม้แต่หลินจงยังไม่เห็นร่องรอย

“อ๊ะ นายน้อยท่านออกด่านแล้วหรือเจ้าคะ”

ไม่นานนักข้ารับใช้หญิงคนหนึ่งรีบร้อนเดินมา เมื่อเห็นหลินสวินก็อดตะลึงไม่ได้ พลันคารวะอย่างลุกลี้ลุกลน

“พวกลุงจงล่ะ”

หลินสวินถาม

“พวกเขาไปหอแสงอุดรแล้วเจ้าค่ะ”

นางกล่าวอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย “ได้ยินว่า…ได้ยินว่านายน้อยท่านหนึ่งของสายรองตระกูลหลินของพวกเราถูกคนอื่นเล่นงานเจ้าค่ะ…”

หลินสวินอึ้งไป “เกิดอะไรขึ้นกัน”

ข้ารับใช้หญิงพูดตะกุกตะกัก “บ่าวก็ไม่ทราบแน่ชัดเจ้าค่ะ เพียงได้ยินว่าเหมือนจะเกี่ยวข้องกับเหล่าคนที่ขวางอยู่ด้านนอกภูเขาชำระจิตเจ้าค่ะ”

หลินสวินหรี่ตาลง “มีคนกล้าขวางด้านนอกภูเขาชำระจิตหรือ พวกเขาเป็นใคร ขวางอยู่ตรงนั้นจะทำอะไร”

ข้ารับใช้หญิงดูยิ่งร้อนรน ผ่านมานานยังพูดที่มาที่ไปไม่ออก

นี่ทำให้หลินสวินนิ่วหน้า หันกายรุดหน้าไปยังไหล่เขา

ห่างหายไปไม่ถึงสองเดือน แต่ดูท่าช่วงนี้ในภูเขาชำระจิตกลับเกิดเรื่องขึ้นมากมายเสียแล้ว

ณ หอแสงอุดร

เวลานี้คนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรที่ย้ายกลับมากลุ่มหนึ่งรวมตัวกัน แต่ละคนสีหน้าขัดเคือง กำลังโมโหโวยวาย

“รังแกกันมากไปแล้ว! รังแกกันมากไปแล้ว! ลูกหลานตระกูลจั่วกับตระกูลฉินพวกนั้น เหลือแต่วิ่งเข้ามาทำตัวเหิมเกริมบนภูเขาชำระจิตแล้ว!”

“ที่น่าโมโหที่สุดก็คือลูกหลานของสามตระกูลรองธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุ พวกเขากลับติดปีกให้เสือ ร่วมสำแดงพลัง ทั้งยังลงมือทำร้ายน้องอวิ๋นเหวิน ช่าง…ช่างขายหน้าตระกูลหลินของเรานัก!”

เมื่อหลินสวินมาถึงก็เห็นว่าสถานการณ์ชุลมุน แต่ละคนต่างโมโหเดือดดาล แค้นจนกัดฟันกรอด

เกี่ยวข้องกับตระกูลจั่วและตระกูลฉินหรือนี่

ดวงตาสีดำของหลินสวินฉายแววเย็นเยียบ เขาไม่ร่ำไร เข้าไปในหอแสงอุดร เขารับรู้ได้ว่าพวกหลินจง พญาแร้งและเสี่ยวเคอล้วนอยู่ที่หอแสงอุดรในเวลานี้

“เอ๊ะ น้องหลินสวินออกด่านเลิกเก็บตัวแล้ว!”

มีคนเห็นหลินสวิน พลันดึงดูดเสียงฮือฮาไปทั่ว ลูกหลานตระกูลหลินแห่งแสงอุดรเหล่านั้นเหมือนหาที่พึ่งเจอ ร่ำร้องทุกข์ทน

“น้องหลินสวิน เจ้าปรากฏตัวจนได้ ภูเขาชำระจิตของพวกเราตอนนี้ถูกผู้อื่นรังแกอย่างน่าสังเวชแล้ว!”

“ใช่แล้ว เจ้าต้องทำอะไรสักอย่าง ออกตัวแทนทุกคน หลายวันนี้พวกเราอึดอัดจะแย่แล้ว”

“ฮือๆๆ ในที่สุดพี่หลินสวินก็กลับมาแล้ว ช่างดียิ่งนัก”

มีเด็กสาวอายุสิบกว่าปีคนหนึ่งสะอึกสะอื้นขึ้นมา

เพียงดูสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้ว่า ในช่วงเวลานี้บนภูเขาชำระจิตต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ ทำให้ทุกคนล้วนแค้นเคืองและลำบากใจอยู่เต็มอก

“ทุกท่าน รอหลังข้าเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างแล้วจะตัดสินใจเอง!”

หลินสวินสูดหายใจลึก เอ่ยปากเสียงขรึม

เขาพูดจบก็หันกายเดินเข้าไปในโถงหลักของหอแสงอุดร

กลางโถงใหญ่โต บรรยากาศในเวลานี้กลับหนักอึ้ง บนพื้นมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งนอนราบอยู่ ทั้งร่างโชกเลือด หมดสติยังไม่ฟื้น

ชื่อเซวี่ยอยู่ข้างกายช่วยเด็กหนุ่มรักษาบาดแผล

เขาเป็นผู้ฝึกปราณสายแพทย์ในสนามรบผู้หนึ่ง ทั้งยังเป็นหมอยาที่โดดเด่น เมื่อเห็นว่าขนาดชื่อเซวี่ยยังถูกเรียกมา แค่คิดก็รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นต้องได้รับบาดเจ็บหนักอย่างยิ่งยวดแน่!

รอบด้าน พญาแร้ง เสี่ยวเคอ หลินจง รวมถึงบุคคลระดับสูงของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรบางคนล้วนสีหน้าอึมครึม กำลังพูดคุยอะไรกันอยู่

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

เมื่อหลินสวินเดินเข้ามาก็เห็นภาพเช่นนี้แล้ว

“นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว!”

หลินจงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ

พญาแร้งกับเสี่ยวเคอก็พากันหันหน้ามา ใบหน้าเผยแววยินดี

ครั้งนี้หลินสวินปิดด่านเก็บตัวจะสองเดือนแล้ว ไม่ถือว่ายาวนาน แต่ในช่วงเวลานี้เกิดเรื่องขึ้นไม่น้อย ทำให้พวกเขายากจะตัดสินใจ ในใจย่อมรอคอยให้หลินสวินปรากฏตัวเร็วขึ้นหน่อย

“อืม ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้น”

หลินสวินขมวดคิ้วถาม เขาไม่มีกะจิตกะใจมาบอกเล่าเรื่องราวที่พบเจอ ทุกอย่างที่เห็นเมื่อกี้ทำให้เขารับรู้ได้ว่าช่วงนี้ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นแน่

หลินจงถอนหายใจยาว สีหน้าทั้งขุ่นเคืองทั้งจนใจ ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหนดี

“ให้ข้าพูดเถอะ”

พญาแร้งนั่งอยู่บนรถเข็น ดวงตากระจ่าง เอ่ยเสียงเรียบ

ที่แท้หลังงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินี เนื่องจากหลินสวินบังคับให้หลิงเทียนโหวจ้าวจิ่งอิ้นคุกเข่าในการประลอง ก่อให้เกิดความครึกโครมไปทั้งนครต้องห้าม

หลายคนล้วนคิดว่า การกระทำนี้ของหลินสวินอันธพาลป่าเถื่อนเกินไป ล่วงเกินราชวงศ์อย่างร้ายแรงยิ่ง

อีกทั้งพวกเขาคิดว่าในกรประลองครั้งนั้น หลินสวินเอาแต่แผลงฤทธิ์โดยไม่สนใจการคัดค้านของกลุ่มคนใหญ่คนโต หนำซ้ำยังเอ่ยวาจาบ้าระห่ำ ไม่เคารพผู้มีอำนาจเหล่านั้นถึงที่สุด เท่ากับหมางใจกับขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลไม่น้อยไปด้วย

ในสถานการณ์เช่นนี้หลินสวินต้องประสบกับการกำราบและเอาคืนอย่างแน่นอน

หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือ ในงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาจักรพรรดินีตอนนั้น ไป๋หลิงซี เว่ยฉือเจ๋อ และซ่งอี้สำแดงความโดดเด่น เตะตาคนชั้นสูงจากต่างแดน ถูกเลือกเป็นลูกศิษย์ไปฝึกปราณที่สำนักลึกลับ

ทั้งที่หลินสวินก็แสดงฝีมืออย่างแข็งแกร่งชัดเจน แต่ในที่สุดกลับไม่ได้รับเลือก ทำให้หลายคนคิดว่านี่เป็นการลงโทษหลินสวินอย่างหนึ่งของจักรพรรดินี พรากโอกาสครั้งหนึ่งที่เดิมควรเป็นของเขาไป

และหลังจากเรื่องที่เขากลับจากพระราชวังวันนั้นก็ลาพักจากสำนักศึกษามฤคมรกต กลับไปเก็บตัวที่ภูเขาชำระจิตแพร่กระจายออกไป ยิ่งทำให้หลายคนในนครต้องห้ามคิดว่าเขารับรู้ว่าผลลัพธ์ที่ตามมาร้ายแรง จึงเก็บตัวหัวหดเหมือนเต่าหดเข้ากระดอง ไม่กล้าเหิมเกริมอีก

ในสถานการณ์เช่นนี้ ตระกูลจั่วและตระกูลฉินจึงชิงเอาคืนภูเขาชำระจิต!

ช่วงที่หลินสวินปิดด่านเก็บตัว ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งสองตระกูลอ้างว่าทำเพื่อลบคำดูหมิ่นราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ เอ่ยวาจาบ้าระห่ำว่าหากหลินสวินไม่ปรากฏตัวขอโทษชดใช้ความผิดเอง ก็จะขับไล่ตระกูลหลินออกจากภูเขาชำระจิต

อีกทั้งพวกเขายังลอบสั่งการให้ตระกูลหลินสาขารองสามสายคือธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุร่วมมือกัน มุ่งเป้าเอาคืนภูเขาชำระจิต

ที่เดือดร้อนก่อนใครเพื่อนก็คือตระกูลหลินแห่งแสงอุดร กิจการใต้การควบคุมของพวกเขาแทบถูกล้างบาง โดนธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุชิงไปสิ้น แหล่งหล่อเลี้ยงชีวิตได้รับผลกระทบใหญ่หลวง!

ที่ต้องรู้ก็คือ กิจการเหล่านั้นเกินครึ่งกลับคืนสู่ภูเขาชำระจิตแล้ว ทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับชิงกิจการของภูเขาชำระจิตไป

ยังดีที่ภายใต้การจัดการของพญาแร้ง กำลังคนของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรส่วนมากล้วนย้ายเข้าภูเขาชำระจิตแล้ว ไม่ได้ประสบความเสียหายด้านกำลังคนรุนแรง

“ทำไมไม่โต้กลับล่ะ”

หลินสวินได้ยินเช่นนี้ก็อัดอั้นขึ้นมา ดวงตาสีดำบังเกิดแววเย็นชา อดถามไม่ได้

“มีตระกูลจั่วกับตระกูลฉินสนับสนุน กำลังของพวกเขาเข้มแข็งเกินไป ไม่อาจปะทะซึ่งหน้าได้ง่าย มิเช่นนั้นแล้วความเสียหายจะยิ่งรุนแรงขึ้น”

เสี่ยวเคอที่อยู่ด้านข้างแจกแจง

หลินสวินเข้าใจเหตุผลนี้ แต่ความแค้นในใจกลับระงับได้ยาก ก่อนเขาปิดด่านเก็บตัว ได้ใช้ความพยายามมหาศาลถึงทำให้สถานการณ์ของภูเขาชำระจิตดีขึ้นมาได้

แต่ตอนนี้กลับดีนัก แหล่งหล่อเลี้ยงชีวิตของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรได้รับความเสียหายใหญ่ เท่ากับทำให้ภูเขาชำระจิตของเขาได้รับผลกระทบไปด้วย จะให้เขาทนได้อย่างไร

“ถ้าเพียงเท่านี้ก็ไม่ถือว่าเป็นอะไรมาก ที่รับมือยากที่สุดก็คือ ช่วงที่ผ่านมานี้พวกเขาส่งคนมากมายผลัดกันมาขวางนอกภูเขาชำระจิต โวยวายจะให้เจ้าปรากฏกายไปไถ่โทษที่ราชสำนัก มิเช่นนั้นก็จะใช้กำลังลบชื่อตระกูลหลินออกจากภูเขาชำระจิต”

พญาแร้งก็ถอนใจเบาๆ

“ลบชื่อตระกูลหลินออกจากภูเขาชำระจิตหรือ”

ทันใดนั้นนัยน์ตาดำของหลินสวินก็เหี้ยมเกรียมถึงที่สุด ทั้งร่างอวลไปด้วยจิตสังหารที่ยากจะระงับได้

พวกหลินจง เสี่ยวเคอ และพญาแร้งพากันหรี่ตา มองดูหลินสวินอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ยังไม่ถึงสองเดือน พลังปราณบนร่างเขากลับแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนหลายเท่า!

พลังปราณนั้นทำให้เสี่ยวเคอรู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางๆ นางมาถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับมหาสมุทรวิญญาณหลายปีแล้ว ทั้งยังมีฐานะเป็นผู้ฝึกสอนของหลินสวิน เห็นเขาเติบโตด้วยตาตัวเอง แต่ตอนนี้พลานุภาพที่อบอวลอยู่บนกายเขาทำให้ใจนางเกิดความไหวหวั่น

เจ้าหนูนี่เก็บตัวครั้งนี้ ดูท่าจะได้อะไรเยอะเชียวนะ!

ไม่เพียงเสี่ยวเคอ หลินจงและพญาแร้งก็ล้วนจิตใจสั่นไหว หลินสวินเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง บนกายมีพลานุภาพยากบรรยายราวเหวน้ำไพศาล ยามสงบเก็บงำไม่แสดงออก แต่เมื่อปะทุขึ้นกลับมีพลังที่สามารถกลืนฟ้าได้!

“นี่เกิดอะไรขึ้นอีก”

หลินสวินสูดลมหายใจลึก ระงับจิตสังหารในใจตน สายตามองไปยังเด็กหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหมดสติไป ถ้าเขาจำไม่ผิด เด็กหนุ่มมีนามว่าหลินอวิ๋นเหวิน เป็นญาติผู้น้องของเขา อายุเพิ่งสิบสี่ปี

“ถูกคนที่ขวางอยู่ด้านนอกทำร้ายจนบาดเจ็บขอรับ”

หลินจงสีหน้าอึมครึม เอ่ยว่า “หลายวันมานี้มีคนขวางอยู่ที่นั่นทุกวัน เพียงเห็นคนเดินออกมาจากภูเขาชำระจิตก็จะเหยียดหยามและท้าทายอย่างต่อเนื่อง อวิ๋นเหวินอายุน้อย ไม่รู้จักอดทน เมื่อประมือกับอีกฝ่ายก็ถูกพวกเขาทำร้ายอย่างโหดเหี้ยม นี่ก็ต้องโทษข้าที่ไม่ดูแลพวกเขาให้ดีจนเกิดเหตุร้ายเช่นนี้”

พญาแร้งพูดพลางถอนใจ “ไม่โทษเจ้า เป็นข้าที่ไม่รอบคอบ เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะจึงอดทนมาตลอด แต่ไม่คิดว่าฝั่งตรงข้ามจะยิ่งร้ายกาจขึ้น ยิ่งไม่สนใจกฎเกณฑ์ไม่เกรงกลัวสิ่งใดขึ้นไปอีก”

หลินสวินเพียงรู้สึกว่าในอกมีหินทับอยู่ หายใจไม่สะดวก หน้าประตูบ้านเขาถูกผู้อื่นขวางพลางท้าทาย เหยียดหยามและทำร้ายรุนแรง!

นี่เป็นแค่การกำเริบเสิบสานเสียที่ไหน เป็นการแผ่อำนาจคุกคามบนหัวหลินสวินต่างหาก!

“อวิ๋นเหวินเป็นอย่างไรบ้าง”

หลินสวินเอ่ยถาม

ชื่อเซวี่ยมุ่นคิ้ว ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ดีนัก ต่อให้รักษาบาดแผลได้ แต่หากคิดจะฟื้นฟูพลังปราณก่อนหน้า หากไม่ใช้เวลาสามปีห้าปีเกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้”

สามปีห้าปีหรือ

สำหรับเด็กหนุ่มคนหนึ่งแล้ว หากต้องรักษาบาดแผลไปสามปีห้าปี ด้านการฝึกวิชาน่ากลัวจะถูกคนรุ่นเดียวกันทิ้งห่างไปไกล!

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลินสวินรู้สึกเพียงความโกรธปะทุขึ้นในอกราวหินหนืด เขาสูดลมหายใจลึก หันหน้าเดินออกไปนอกโถงใหญ่

“หลินสวิน เจ้าจะไปไหน”

เสี่ยวเคออดถามไม่ได้

“ข้าจะไปดูข้างนอกภูเขาชำระจิต”

หลินสวินตอบโดยไม่หันหน้ามา

“นายน้อย เวลานี้จะใช้อารมณ์ทำการมิได้นะขอรับ”

หลินจงพูดอย่างร้อนรน

ผู้อื่นก็พากันเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมขัดขวางหลินสวิน

หลินสวินหยุดเดินอยู่หน้าประตูโถง หันหน้าที่เผยรอยยิ้มสดใสมา “ทุกท่านวางใจได้ มีคนเคยบอกข้าว่า หากข้ามีความสามารถ จะก่อเรื่องวุ่นวายสั่นสะเทือนฟ้าดินในนครต้องห้ามอย่างไรก็ได้ ก่อนหน้านี้ข้ายังใจดีเกินไป ทว่านับแต่นี้ ข้าจะก่อเรื่องให้พวกเขาดู!”

แม้มีรอยยิ้มสดใสเช่นนั้น แต่ในนัยน์ตาดำกลับไร้ซึ่งความอบอุ่นสักกระผีก เย็นเยียบราวน้ำแข็ง

เขาพูดจบก็หันกายเดินไป

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด