Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 488 ศิษย์น้องเจ้าสำนัก

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 488 ศิษย์น้องเจ้าสำนัก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 488 ศิษย์น้องเจ้าสำนัก
โดย

เพลิงโทสะลุกโชนกลางอากาศ สัตว์ปีกดุร้ายร่ายรำ สิ่งที่แปรเปลี่ยนออกมาล้วนเป็นร่องรอยมรรคแห่งไฟ ดุจสรรค์สร้างโดยสวรรค์ แสดงให้เห็นถึงพลังอันดุดันร้อนแรง

หลินสวินใช้เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ต่อสู้อย่างดุเดือด ทั้งร่างอบอวลด้วยแสงสีฟ้าอ่อน เงาร่างสูงโปร่งราวกับไม่อาจคลอนแคลน เคลื่อนย้ายหายวับอยู่ระหว่างฟ้าดิน

เพียงชั่วครู่เท่านั้น ทะเลเพลิงทลาย สัตว์ปีกดุร้ายแตกเป็นเสี่ยง ทุกสิ่งกลายเป็นเปลวเพลิงฝนแสง สาดเซ็นระหว่างฟ้าดิน ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายของสัจวิถีธาตุไฟ

หลินสวินจดจ่ออยู่กับการตระหนักรู้ แต่ไม่นานก็ต้องขมวดคิ้ว ทั้งที่สัจวิถีธาตุไฟนั้นอยู่ต่อหน้าแท้ๆ แต่ดุจอาชาสวรรค์จรผ่านอากาศ ไร้ร่องรอยให้เสาะหา

ในที่สุดสัจวิถีธาตุไฟก็หายลับไป ภาพลวงตาทั้งหมดพลันตกสู่ความสงัด

‘ดูเหมือนว่าหากไม่มีโอกาสทะลวงระดับหยั่งสัจจะ ก็คงยากจะหยั่งรู้และควบคุมพลังแห่งสัจจะมหามรรคจริงๆ สินะ’

หลินสวินมุ่นคิ้ว

จากนั้นเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าข้างกายยังมีเงาร่างสายหนึ่งยืนอยู่ อาภรณ์พิสุทธิ์กว่าหิมะ ท่าทางโดดเด่นเหนือธรรมดา เป็นกู้อวิ๋นถิงคนนั้นนั่นเอง

เขาก็มาปีนบันไดสวรรค์เหมือนกันหรือ

หลินสวินสังเกตเห็นว่า เวลานี้คนผู้นี้ได้ก้าวไปที่บันไดขั้นที่สองแล้ว เห็นได้ชัดว่าถึงเขาจะตามตนมาติดๆ แต่กลับแซงหน้าไปก่อนเสียแล้ว

‘จะแข่งกับตนสักตั้งหรือ’

หลินสวินไหวไหล่ส่ายหน้า เขาไม่มีความคิดจะแข่งขันแบบนี้ มิใช่เพราะหวาดกลัว แต่เพราะเขาไม่ต้องการแบ่งสมาธิไปกับเรื่องพรรค์นี้ก็เท่านั้น

หลังจากสัมผัสความอัศจรรย์ของ ‘การทดสอบบันไดสวรรค์’ อย่างแท้จริงแล้ว ทำให้ในใจหลินสวินเกิดความทะเยอทะยานแรงกล้าขึ้นมาฉับพลัน ปรารถนาจะลองหยั่งรู้พลังแห่งสัจจะด้วยระดับปราณของมหาสมุทรวิญญาณสักตั้ง!

เนินนานก่อนหน้านี้ตอนที่เขาสำแดง ‘เพลงดาบวัฏจักรฟ้า’ ก็เคยใช้ ‘คว้าดารา’ และ ‘สอยจันทรา’ สองกระบวนท่านี้สำแดงอานุภาพยิ่งใหญ่ เคลือบแฝงกลิ่นอายของสัจจะมหามรรค

แต่นั่นเป็นพลังที่หลอมรวมอยู่กับเพลงดาบ ต่อให้สามารถควบคุมมันได้ แต่สัจจะมหามรรคนั้นกลับไม่ได้เป็นของหลินสวิน แต่เป็นเพียงแค่การหยิบยืมพลังมาใช้งานอย่างหนึ่งเท่านั้น

แต่ตอนนี้บนบันไดสวรรค์ ณ ที่นี้ ปกคลุมด้วยร่องรอยมหามรรคแน่นขนัด สามารถพัฒนาออกมาเป็นแก่นจริงแท้แห่งมหามรรค วาสนาหายากเพียงนี้ หลินสวินย่อมไม่อยากพลาดมันไปทั้งอย่างนี้แน่นอน

หากมองเป็นเพียงการประชันสูงต่ำกับกู้อวิ๋นถิง แล้วรีบร้อนบุกฝ่าปีนบันไดสวรรค์ เช่นนั้นคงพลาดวาสนาหนนี้ไปโดยไม่ต้องสงสัยเลย

หลินสวินก้าวต่อไปโดยไม่ลังเล เหยียบขึ้นสู่บันไดขั้นที่สอง บัดนั้นภาพลวงตาสัจจะมหามรรคผืนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ครานี้เป็นโลกแห่งพฤกษาขจี ไม้เขียวผงาดฟ้า ใบไม้ปกคลุมห้วงอากาศ อบอวลด้วยพลังชีวิตหาใดเปรียบพวยพุ่งออกมา

สัจวิถีธาตุไม้!

ไม้ให้กำเนิดเป็นหลัก ไหลเคลื่อนไม่ขาดสาย เป็นหนึ่งในสัจวิถีปัญจธาตุ อัศจรรย์ยากหยั่งถึง กล่าวกันว่ามหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะที่ควบคุมสัจวิถีธาตุไม้บางคนสามารถครอบครองพลังต่อสู้อันไร้ที่สิ้นสุด มีชีวิตยาวนานต่อเนื่อง ดุจดั่งกายอมตะก็ไม่ปาน กร้าวแกร่งถึงขีดสุด

อีกทั้งพวกเขาสามารถสูดคลายพลังชีวิตแห่งฟ้าดินผ่านวิญญาณต้นไม้ใบหญ้า ชิดใกล้ธรรมชาติฟ้าดินมากที่สุด เมื่อฝึกปราณจึงง่ายดายกว่าผู้ฝึกปราณสายอื่นๆ

โครม~~

ทันใดนั้นเถาวัลย์ใหญ่หนาราวๆ ถังน้ำเส้นแล้วเส้นเล่าต่างพุ่งออกมาจากพื้นดินราวกับงูหลามร่ายรำอย่างบ้าคลั่ง ครอบฟ้าคลุมดิน พุ่งเข้าสยบหลินสวิน

ฉัวะ!

เถาวัลย์ที่ดูเหมือนอ่อนนุ่มนั้นกลับฉีกทลายห้วงอากาศได้อย่างง่ายดาย เต็มไปด้วยพลังทะลุทะลวงอันน่าหวาดกลัว

ปลายเท้าหลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง เงาร่างดั่งภาพลวงตา เข้าสู้ประจัญบาน พลังหมัดดุจมังกรใหญ่ ทลายฟ้าทุบดิน กวาดพุ่งสิบทิศ บดขยี้เถาวัลย์แต่ละเส้นให้แตกกระจาย ปลิวสลายล่องลอย

สิ่งที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจก็คือ เถาวัลย์ที่แตกเป็นเสี่ยงเหล่านั้นฟื้นตัวกลับมาทันทีที่ร่วงกระทบพื้น และโผนทะยานขึ้นฟ้าอีกครั้ง

นี่ก็คือสัจวิถีธาตุไม้ เกิดใหม่ไม่มีหยุดหย่อน เว้นแต่จะสามารถกำราบพลังที่แท้จริง มิเช่นนั้นก็แทบจะฆ่าไม่ตาย!

หลังผ่านไปหนึ่งถ้วยชา หลินสวินถึงได้อาศัยพลังหมัดทับซ้อนสามเท่าระเบิดสัจวิถีธาตุไม้ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้มันกลายเป็นฝนแสงมากมาย

เขากลั้นลมหายใจรวบรวมสติ กำจัดความคิดฟุ้งซ่านในสมองออกไปและพยายามหยั่งรู้

เพียงแต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ทั้งที่เขารู้สึกว่าเพียงแค่เอื้อมมือก็สามารถไขว่คว้าแก่นแท้ของสัจวิถีธาตุไม้ได้แล้วแท้ๆ ทว่ามักจะคว้าน้ำเหลว เสมือนว่าถูกกั้นกลางด้วยโลกหนึ่งใบอย่างไรอย่างนั้น ได้เพียงมอง ได้เพียงเห็น แต่กลับไร้หนทางหยั่งถึง

แต่หลินสวินก็มิได้ย่อท้อ นับแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน น้อยคนนักที่สามารถควบคุมพลังแห่งสัจจะมหามรรคได้ในระดับมหาสมุทรวิญญาณ ต่อให้มี โดยมากก็เป็นเรื่องราวในตำนาน ไม่สามารถพิสูจน์ความจริงได้

ด้วยเหตุนี้ก็สามารถรู้ได้ว่า หากหมายจะทำให้ได้ถึงขั้นนี้ในระดับมหาสมุทรวิญญาณ ไม่ใช่แค่คำว่ายากลำบากง่ายๆ แค่นั้น แต่แทบจะไร้ซึ่งความหวังเลยต่างหาก!

เป็นดังเช่นป้อมปราการที่ขวางเขตแดน หากไร้ซึ่งคุณสมบัติแห่งระดับหยั่งสัจจะ ก็ยากจะทะลวงปราการแห่งการหยั่งรู้มหามรรคได้

พูดง่ายๆ ก็คือนี่เป็นหนทางที่มองไม่เห็นความหวังเส้นหนึ่ง ในอดีตไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกปราณโดดเด่นน่าทึ่งตั้งเท่าไรที่เคยลองมาก่อน แต่ท้ายที่สุดล้วนจบลงด้วยความล้มเหลวทั้งสิ้น

หลินสวินไม่รู้เรื่องพวกนี้ ย่อมไม่อาจตระหนึกถึงมันได้อย่างลึกซึ้ง การเคลื่อนไหวของเขาในเวลานี้ บางทีอาจเรียกได้ว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่หวั่นเกรงจริงๆ ก็เป็นได้

แต่ว่านี่ก็คือการฝึกปราณ มีเพียงการแสวงหาและเสาะสำรวจเท่านั้นจึงจะสามารถพิสูจน์มหามรรคของตนได้

……

เบื้องหน้าภูผาบันไดสวรรค์ เนื้อสัตว์ในหม้อเหล็กถูกกินไปจนเกลี้ยง ชายชรามอมแมมยังทำปากแจ๊บๆ ต่อไปอย่างติดใจ

เขาเอนกายลงบนหินสีครามหน้ากระท่อมอย่างเกียจคร้าน เหลือบสายตาทอดมองไกลออกไป อิ่มอกอิ่มใจอย่างไม่อาจบรรยายได้

“ศิษย์น้อง เจ้าว่าเด็กหนุ่มสองคนนั่นเป็นอย่างไรบ้าง”

ทันใดนั้นเสียงที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนเสียงหนึ่งดังขึ้น ชายชราร่างผอมคนหนึ่งมาอยู่หน้ากระท่อมตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจรู้ สองมือไพล่หลัง จ้องมองภูผาบันไดสวรรค์ที่อยู่ในระยะไกล

หากหลินสวินอยู่ที่นี่ จะต้องจำชายชราร่างผอมได้อย่างแน่นอนว่าเขาคือเจ้าสำนักศึกษามฤคมรกต!

“เห แม้แต่ท่านยังตื่นตระหนกเลย ยังต้องถามข้าอีกหรือ”

ชายชรามอมแมมหยิบไม้จิ้มฟันก้านหนึ่งออกมา ดูราวกับไม่แปลกใจเลยที่เจ้าสำนักมาเยือนด้วยตัวเอง

“ข้าอยากรู้ความคิดเห็นของเจ้า”

เจ้าสำนักเอ่ยถาม

“เจ้าหนูชุดขาวคนนั้นน่าจะเป็นเจ้าคนที่ไต่ขั้นกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณเมื่อวานนี้สินะ หากข้าเดาไม่ผิดละก็ ครั้งนี้เขามาทะลวงระดับขั้น และเป็นไปได้มากว่าจะประสบความสำเร็จด้วย”

น้ำเสียงชายชรามอมแมมเหน็ดเกียจคร้าน คล้ายกำลังพูดเรื่องไม่สลักสำคัญอะไร “คนหนุ่มเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วคงเข้าไปฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณ”

“แล้วอีกคนเล่า”

ท่าทีเจ้าสำนักดูราบเรียบ ไม่ได้แปลกใจอะไร เนื่องจากเขารู้แจ้งถึงพลังแฝงของกู้อวิ๋นถิงยิ่งกว่าชายชรามอมแมมเสียอีก

“อืม ยังไม่เห็นถึงความลี้ลับอะไร”

ชายชรามอมแมมตอบอย่างขอไปที เขาดูคร้านจะให้ความสนใจแล้ว

“เจ้าดูอีกทีสิ”

เจ้าสำนักเอ่ย คล้ายจะสนใจความคิดเห็นของชายชรามอมแมมเป็นอย่างมาก

ชายชรามอมแมมฉงนใจอยู่บ้าง เหล่มองเจ้าสำนักปราดหนึ่งก่อนกล่าว “เจ้าหนูนี่ยังมีอะไรโดดเด่นอีกงั้นหรือ”

“แต่เดิมเขามีโอกาสทิ้งชื่อไว้บนกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ เพียงแต่สุดท้ายกลับปฏิเสธโอกาสครั้งนี้ไป หลายพันปีนับตั้งแต่ข้านำป้ายหินวิญญาณมรรคเข้าสู่สำนักศึกษามฤคมรกต ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเลย”

เจ้าสำนักเอ่ยง่ายๆ

“อะไรนะ”

ชายชรามอมแมมตวาดร้องออกมาแล้วลุกนั่งหลังตรง ในสีหน้าเกียจคร้านปรากฏแววแปลกประหลาด “ท่านจะบอกว่า บนร่างเด็กคนนี้มีพลังที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ต้องกายอย่างยิ่งดำรงอยู่หรือ”

เห็นชัดว่าเขารู้ความลับบางอย่าง

เจ้าสำนักพยักหน้า “ไม่ผิด พลังที่สามารถกีดกันและปฏิเสธ ‘ป้ายหินวิญญาณมรรค’ ได้ ก็คือสิ่งที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ปรารถนาจะครอบครองมากที่สุด ข้าเพียงได้ยินมาว่าเมื่อหลายปีก่อนพลังชนิดนี้ถูกคนนำมาจากดินแดนรกร้างโบราณเข้าสู่จักรวรรดิจื่อเย่า แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่านี่อาจเป็นเรื่องจริงก็ได้”

ท่าทางชายชรามอมแมมเปลี่ยนเป็นไหววูบ ครู่ใหญ่ก็หัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “พูดแบบนี้ ท่านคิดจะส่งเด็กคนนี้ให้แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ หรือว่าจะจัดการด้วยตัวเอง ยึดครองพลังที่อยู่บนร่างเด็กนี่เอาไว้เอง?”

รอยยิ้มนั้น เห็นชัดว่าออกจะเขย่าขวัญไปหน่อย

เจ้าสำนักกล่าวราบเรียบ “หากเป็นเมื่อก่อนบางทีข้าอาจจะทำเช่นนี้ แต่ว่าตอนนี้ ข้าแค่คิดจะเป็นผู้ชมอยู่ข้างสนาม หลีกเลี่ยงเคราะห์กรรมฉากนี้”

ชายชรามอมแมมหัวเราะเย็นชา “ท่านยอมได้หรือ หรือท่านลืมไปแล้วว่าตอนแรกเป็นใครที่ไสส่งท่านออกมาจากดินแดนรกร้างโบราณ”

เจ้าสำนักมีท่าทีสงบนิ่ง กล่าวว่า “เรื่องราวในปีนั้นเดิมก็เป็นข้าที่เริ่มก่อน มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าหลายพันปีมานี้ ข้าจะไม่มีโอกาสหวนกลับไปอีกเลยหรือ”

ชายชรามอมแมมไม่เชื่อถืออย่างยิ่ง หัวเราะเสียงเย็นว่า “ข้าไม่เชื่อ ท่านต้องมีแผนอื่นแน่”

เจ้าสำนักขมวดคิ้ว เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยพลางถอนใจเบาๆ “เจ้าไม่เข้าใจ ปีนั้นข้าแพ้แล้ว แพ้อย่างราบคาบ ไม่สามารถโทษใครได้”

“แต่ท่านก็ไม่ยินยอม มิเช่นนั้นเหตุใดวันนี้ถึงได้สนใจเด็กหนุ่มนี่ขนาดนี้กันเล่า”

ชายชรามอมแมมเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ

ขณะพูดสายตาของเขาทอดมองไปยังภูผาบันไดสวรรค์ที่อยู่ห่างออกไป มองเห็นได้ชัดเจนว่าเงาร่างของหลินสวินกำลังเดินขึ้นบันไดหินขั้นแล้วขั้นเล่าด้วยท่วงท่าเนิบนาบอย่างหนึ่ง

ส่วนอีกฝั่ง กู้อวิ๋นถิงผู้นั้นกลับสาวเท้าสวบดั่งโบยบิน ห้อทะยานดุจอัศวานึก ลอยล่องแผ่วพลิ้วประหนึ่งเทพจุติลงมา ปีนถึงช่วงกลางเขาแล้ว นำหลินสวินลิบลิ่ว

“หากท่านคิดจะบ่มเพาะเด็กหนุ่มนี่ให้แย่งชิงสิ่งที่ท่านสูญเสียไปในปีนั้นแทนท่าน เช่นนั้นคงต้องผิดหวังแล้ว เพราะข้ามองไม่ออกจริงๆ ว่าเด็กคนนี้ควรค่าแก่การให้ความสนใจตรงไหนกัน”

คราวนี้เจ้าสำนักจมสู่ความเงียบงัน ผ่านไปนานกว่าจะเอ่ยวาจา “ข้าไม่ได้คิดจะทำเช่นนี้ บนตัวเด็กหนุ่มคนนี้มีเคราะห์กรรมมากเกินไป ยังจำหลินเหวินจิ้งกับลั่วชิงสวินได้หรือไม่”

ชายชรามอมแมมหรี่ตาลง “อันดับหนึ่งและสองของการทดสอบระดับอาณาจักรเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน?”

เจ้าสำนักพยักหน้า “ปู่ของหลินเหวินจิ้งคือหลินเต้าเฉินราชันแห่งระดับสังสารวัฏ ตายในสนามรบชายแดน แต่ตายอย่างไรนั้นยังคงเป็นปริศนาเรื่อยมา”

“ส่วนลั่วชิงสวินก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน ทุกคนต่างบอกว่านางถือกำเนิดในครอบครัวยากจนต้อยต่ำ บิดามารดาเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ไร้ญาติขาดมิตร แต่พรสวรรค์ของนางกลับโดดเด่นไม่เป็นรอง เป็นเพชรยอดมงกุฎตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน อีกทั้งนิสัยเฉลียวฉลาด ยอดเยี่ยมไม่ธรรมดา ตอนนั้นเจ้าเองก็เคยพูดว่านี่มันผิดปกติมาก”

ชายชรามอมแมมจมดิ่งในความทรงจำ เนิ่นนานกว่าจะพยักหน้า “ความประทับใจที่ข้ามีต่อแม่นางน้อยอย่างลั่วชิงสวินคนนี้ลึกล้ำมาก ดูจากกลิ่นอายท่าทางรอบตัวนางแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่คนมีชาติกำเนิดยากจนข้นแค้นจะสามารถปลูกฝังออกมาได้อย่างแน่นอน”

กล่าวถึงจุดนี้เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ “แต่พวกเขาล้วนตายกันหมดแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน เหตุใดยังต้องเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ด้วย”

เจ้าสำนักกล่าวอย่างราบเรียบ “หลินสวินคนนั้นก็คือลูกของพวกเขา”

ชายชรามอมแมมนิ่งอึ้งไป สีหน้าผุดแววแปลกประหลาดขึ้นมา “ที่แท้เป็นเด็กคนนี้นี่เอง ตอนที่เขาถือกำเนิดนั้นเกิดมาพร้อมชีพจรวิญญาณ ‘หุบเหวกลืนกิน’ ทำเอาทั้งนครต้องห้ามตื่นตระหนก เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าหลังจากถูกชิงชีพจรวิญญาณไปแล้ว เขายังถึงขั้นสามารถเอาชีวิตรอดมาจนถึงป่านนี้ได้ หากถูกอวิ๋นชิ่งไป๋แห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้ารู้เข้า ก็คงมีปาหี่สนุกๆ ให้ดูแน่แล้ว”

เจ้าสำนักกล่าวราบเรียบ “ปีนั้นมีคนช่วยชีวิตเขาเอาไว้”

ชายชรามอมแมมขมวดคิ้ว “ใครกันที่กล้าช่วยคนจากเงื้อมมือของอวิ๋นชิ่งไป๋”

“ลู่ป๋อหยา” เจ้าสำนักเอ่ยชื่อหนึ่งออกมา

“เป็นเขา!”

ชายชรามอมแมมถึงกับผงะ หยัดตัวยืนโดยพลัน สีหน้าท่าทีฉงนสนเท่ห์ “ความเป็นมาของเจ้าเฒ่าคนนี้ลึกลับมาก!”

เจ้าสำนักพยักหน้าน้อยๆ

“พูดแบบนี้หมายความว่าปัญหาวุ่นวายบนตัวหลินสวินคนนี้มีมากพอตัวจริงๆ การตายของปู่ทวดของเขา การตายของพ่อแม่ของเขา ล้วนเกี่ยวข้องกับเคราะห์กรรมน่าหวาดกลัวทั้งสิ้น และเขาดันไปเกี่ยวข้องมีความสัมพันธ์กับลู่ป๋อหยาอีก ช่างซับซ้อนจริงๆ”

ชายชรามอมแมมจมสู่ภวังค์ความคิด

“ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะเอาเรื่องในปีนั้นไปฝากฝังไว้ที่เขา”

เจ้าสำนักกล่าวง่ายๆ เพียงแต่สายตาที่จับจ้องภูผาบันไดสวรรค์ซึ่งอยู่ห่างออกไปและตกลงบนเงาร่างสูงโปร่งสายนั้น กลับเจืออารมณ์ซับซ้อนคล้ายมีแต่ไม่มีสายหนึ่ง

………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด