Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 490 สบตากันโดยไร้ถ้อยวจี

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 490 สบตากันโดยไร้ถ้อยวจี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 490 สบตากันโดยไร้ถ้อยวจี
โดย

ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว!

หลินสวินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ตั้งตระหง่านไม่ขยับเขยื้อน ประดุจต้นสนขจีที่หยั่งรากอยู่ริมหน้าผา

และภายในห้วงนิมิตของเขา เมื่อแสงวิบวับแวววาวสีครามที่คล้ายมีคล้ายไม่มีสายหนึ่งแฉลบผ่านดวงดาวแห่งจิตดวงแล้วดวงเล่า ดาวดวงแห่งจิตที่แต่เดิมเป็นประกายสีเงินยวง พริบตาพลันถูกแสงวารีเพริศพริ้งชั้นหนึ่งย้อมทับ กลายเป็นสีฟ้าครามแวววาม

เพียงแต่ไม่นานนักก็คืนสู่สีเดิมอีกครั้ง

ราวกับว่าแสงสีครามเส้นนั้นกำลังจุดดวงไฟแห่งดารา เพียงแต่เมื่อแสงสีครามจากไป แสงไฟก็พลอยมอดดับตามลงไปด้วย

หนึ่งสว่างหนึ่งดับสูญ ประดุจลมหายใจ อัศจรรย์หาใดเปรียบ

นี่ก็คือพลังแห่งสัจวิถีธาตุน้ำนั่นเอง!

แม้จะเป็นเพียงสายเดียวเท่านั้นก็ดุจดั่งธรรมชาติสรรสร้าง ครอบครองความลี้ลับยากคาดเดา เป็นการบ่งถึง ‘มรรค’ อย่างหนึ่ง

ยามนี้หลินสวินสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าในจิตวิญญาณมีท่วงทำนองมรรคแห่ง ‘น้ำ’ เพิ่มขึ้นมา ทำให้เขารับรู้ถึงพลังซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมรรค!

เปลี่ยมคุณธรรมดุจสายน้ำ หากกล่าวถึงความยิ่งใหญ่ ก็ทรงพลังน่าเกรงขาม ประดุจธารน้ำตกที่ไหลร่วงสู่เบื้องล่าง สายธารพันลี้ แหวกเขาผ่าดิน ไม่มีสิ่งใดรัดพันได้ หากว่าถึงความเล็กจ้อย น้ำหยดลงหินยังกร่อนหินได้ มองเห็นจุดเล็กรับรู้ถึงภาพรวม ชุ่มชื้นและไร้รูป

ยามนุ่มนวลเหมือนดั่งลมวสันต์ผันแปรเป็นหยาดฝน ยามแข็งกร้าวประหนึ่งทะเลคลั่งซัดนภา

ตรงกับสิ่งที่เรียกว่าใหญ่เล็กไม่จีรัง แข็งแกร่งนุ่มนวลสอดประสาน เป็นการอธิบายถึงหลักการลี้ลับแห่งฟ้าดิน!

วินาทีนี้ในที่สุดหลินสวินก็หยั่งถึงแล้ว ตระหนึกได้ถึงความแข็งแกร่งของพลังแห่งสัจจะ นั่นคือความเข้าใจอันลึกซึ้งที่มีต่อพลังแห่งฟ้าดินอย่างหนึ่ง หากสามารถควบคุมได้ ก็สามารถสำแดงอานุภาพน่าสะพรึงที่ไม่อาจคาดคิดออกมาได้

‘ถึงจะเป็นเพียงแค่ท่วงทำนองมรรคสายเดียว ทว่าสำหรับข้าแล้วกลับเป็นความรู้ความเข้าใจใหม่แบบหนึ่งเกี่ยวกับมรรควิถี ต่อไปเพียงแค่ต้องหล่อหลอมการตระหนักรู้ทำความเข้าใจ ก็จะสามารถควบคุมพลังแห่งธาตุน้ำ และผสานเข้าไปในการฝึกปราณได้!’

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ก่อนลืมตาขึ้นโดยพลัน

กลิ่นอายทั่วสรรพางค์กายของเขาในตอนนี้คล้ายเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน เพิ่มกลิ่นอายโดดเด่น บริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อน ใสกระจ่างดั่งสายน้ำขึ้นมา

หากถูกเจ้าสำนักมฤคมรกตและชายชรามอมแมมรู้ว่า หลินสวินที่อยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณแต่กลับหยั่งถึงและควบคุมพลังแห่งสัจวิถีธาตุน้ำสายหนึ่งได้ เกรงว่าคงไม่อาจสงบนิ่งควบคุมสติได้อย่างแน่นอน

สิ่งที่น่าเสียดายคือ จิตใจของทั้งสองในเวลานี้ต่างจับจ้องอยู่บนร่างของกู้อวิ๋นถิง ถูกด่านเคราะห์อสนีที่เขาชักนำมาดึงดูดความสนใจไปสิ้น ฉะนั้นจึงไม่ได้สังเกตว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลจากกู้อวิ๋นถิงนัก ได้ทำลายกฎซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ทำในสิ่งที่ผู้กล้าผู้โดดเด่นจำนวนมากนับแต่อดีตถึงปัจจุบันไม่เคยทำสำเร็จ!

และหากสิ่งนี้ถูกผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ จากโลกภายนอกรู้เขา ก็เพียงพอให้เกิดความวุ่นวายใหญ่โตดุจล้มล้างฉากหนึ่ง สั่นสะเทือนโลกแห่งการฝึกปราณในใต้หล้าได้เลยทีเดียว

“หืม?”

เวลานี้หลินสวินเองก็สังเกตเห็นว่ากู้อวิ๋นถิงกำลังข้ามด่านเคราะห์ ดึงดูดอสนีบาตแปดทิศมาหล่อหลอม ทะลวงระดับบรรลุขั้น

วงแสงที่เกาะตัวกันขึ้นมาดุจเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์วงหนึ่งส่องสะท้อนรอบกายกู้อวิ๋นถิง ทำให้รอบตัวของเขาอาบชโลมด้วยแสง เงยหน้าขึ้นเผชิญอสนีบาต พลานุภาพไร้เทียมทานราวกับเทพศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่งก็ไม่ปาน

‘เจ้าหมอนี่น่าทึ่งจริงๆ’

ในใจหลินสวินก็รู้สึกกริ่งเกรงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เขาเคยไปแดนวิญญาณโบราณ และเคยเจอผู้กล้าที่เรียกได้ว่าโดดเด่นมากมาย อาทิเช่นไป๋หลิงซี ซ่งอี้ ฉือฉางเฟิง หลิงเทียนโหวเป็นต้น แต่ผู้ที่สามารถเทียบชั้นกับกู้อวิ๋นถิงได้ กลับแทบจะหาไม่เจอเลยสักคน

บางทีคงมีเพียงผู้กล้าระดับดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถังเท่านั้นจึงจะพอประจันหน้าทัดเทียมกับเขาได้

‘มหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะที่อายุยี่สิบกว่าปี ทั้งยังมีกายสุวรรณมรรคอัคคี หากภายหน้าเจ้าหมอนี่เข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ คงไม่มีทางจมหายไปในหมู่ฝูงชนเป็นแน่’

หลินสวินคล้ายขบคิด

ในตอนนี้เขาไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีก เนื่องจากด่านเคราะห์อสนีโหมคลั่งพลุ่งพล่าน น่ากลัวหาใดเปรียบ เพียงเข้าใกล้บริเวณนั้น เป็นต้องได้รับลูกหลงด้วยแน่

แต่ว่าจากโอกาสในครั้งนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่หลินสวินได้ประจักษ์ถึงด่านเคราะห์อสนีของผู้ฝึกปราณ มันหาได้ยากจริงๆ โดยทั่วไปแล้วหากไม่มีพลังเย้ยฟ้า ก็ไม่มีทางชักนำด่านเคราะห์อสนีมาได้เลย

อย่างน้อยเท่าที่หลินสวินรู้ มหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะเก้าส่วนบนโลกในปัจจุบัน ครั้งแรกที่เลื่อนระดับก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ระดับนี้ขึ้น

เช่นนี้ก็ดูออกแล้วว่ากู้อวิ๋นถิงนั้นโดดเด่นน่าอัศจรรย์เพียงใดแล้ว

‘ด่านเคราะห์อสนี ตามคำเล่าลือในสมัยโบราณ มีเพียงผู้ฝึกปราณที่ก้าวออกจากด่านเคราะห์อสนีเท่านั้นจึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ…’

หลินสวินสงบจิตสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทำลายล้างที่อัดแน่นอยู่ในด่านเคราะห์อสนี ความรู้สึกนึกคิดลอยลิ่ว

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง

เมฆสายฟ้ากระจายตัว เวิ้งนภากลับสู่ความแจ่มใส กู้อวิ๋นถิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนบันได้หินขั้นที่เก้าสิบเก้า ทั่วกายชโลมเปลวไฟปลายอสนี นั่งขัดสมาธิสงบจิตใจ

เขาเพิ่งจะข้ามด่านเคราะห์เลื่อนระดับ จำเป็นต้องหล่อหลอมปราณให้มั่นคง

กลิ่นอายของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ภายในร่างประดุจมังกรจำศีล สามารถสั่นสะเทือนแปดทิศ เหยียดมองใต้หล้า ท่วงท่าสง่างามโดดเด่น

หลินสวินจ้องมองอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนเก็บสายตากลับมา ยกเท้าเหยียบลงบนบันไดหินขั้นต่อไป

หยั่งถึงสัจวิถีธาตุน้ำสายหนึ่งแล้ว เขาพึงพอใจเต็มที่แล้ว เริ่มใช้เรี่ยวแรงและพลังทั้งหมดในการบุกทะลวงด่าน

“น่าเสียดาย คนหนุ่มอย่างกู้อวิ๋นถิงถูกกำหนดให้ไร้หนทางรั้งอยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่า เส้นทางของเขามีเพียงต้องอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณเท่านั้นจึงจะสามารถส่องแสงเจิดจรัสได้”

ชายชรามอมแมมถอนใจเบาๆ พลังของกู้อวิ๋นถิงในวันนี้ทำให้เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจ ในดินแดนรกร้างโบราณที่มีผู้กล้าดาษดื่น วีรบุรุษโดดเด่นเปล่งประกายเช่นนั้นอาจไม่เรียกว่าหาตัวจับยาก ทว่าในจักรวรรดิจื่อเย่าแห่งนี้ กลับเรียกได้ว่าไร้ผู้ทัดเทียม ไม่เป็นรองใคร!

“ข้าเพียงหวังว่าเขาจะไม่ถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ถ่วงความก้าวหน้า”

เจ้าสำนักกล่าวราบเรียบ

ชายชรามอมแมมนิ่งไป ทันใดนั้นก็หัวเราะร่วนขึ้นมา “ดูเหมือนว่าท่านยังไม่ยินยอมพร้อมใจกับเรื่องราวในปีนั้นอยู่นะ”

เจ้าสำนักไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ

“บอกข้ามา ท่านคิดจะทำอย่างไรกับหลินสวินคนนั้นกันแน่”

ท่าทีชายชรามอมแมมเปลี่ยนเป็นจริงจัง “เด็กคนนี้แม้บนร่างกายจะมีเคราะห์กรรมมาก แต่ก็นับว่าเป็นของดีหายากชิ้นหนึ่ง ท่านคิดจะปล่อยไปตามมีตามเกิดอย่างนั้นหรือ”

เจ้าสำนักนิ่งเงียบไปสักพักค่อยเอ่ยปาก “มังกรเร้น ณ ห้วงเหวลึก ย่อมต้องรับการเคี่ยวกรำและความทรมานเป็นเท่าตัวจึงจะมีโอกาสทะยานขึ้นฟ้า สำหรับตอนนี้แล้ว ข้าไม่คิดจะยื่นมือเข้าแทรกด้วยซ้ำ”

“เคี่ยวกรำหรือ” ชายชรามอมแมมหัวเราะเย็นชา “กลัวแต่ว่าปัญหาของเขามากเกินไป จะสิ้นชีพก่อนวัยอันควร”

แววตาเจ้าสำนักไหววูบ ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดมากความอะไรอีก

……

พรวด!

บนภูผาบันไดสวรรค์ ยิ่งสูงขึ้นเท่าไร พลังที่ประทับบนบันไดหินก็ยิ่งน่ากลัวมากเท่านั้น หลินสวินไม่อาจไม่โคจรพลังทั้งหมดเพื่อรับมือมัน

ขั้นที่เก้าสิบเอ็ด

ขั้นที่เก้าสอบสอง

ขั้นที่เก้าสิบสาม

…จนเมื่อถึงขั้นที่เก้าสิบเก้า ทั่วร่างหลินสวินชุ่มโชกด้วยเหงื่อเย็น ลมหายใจหอบหนัก ดวงหน้าซีดเซียวเล็กน้อย

เพราะเสียแรงกายมากเกินไป ทำให้เขาแทบจะยืนหยัดไม่อยู่

ยังดีที่เหลือบันไดหินแค่ขั้นเดียวเบื้องหน้านี้เท่านั้นแล้ว!

ฟุ่บ!

ในเวลานี้เอง กู้อวิ๋นถิงที่นั่งสมาธิอยู่ข้างๆ พลันหยัดกายเต็มความสูง ทั่วกายเอ่อล้นด้วยกำลังวังชา อานุภาพพวยพุ่ง ทะยานขึ้นสู่ท้องนภา

เขาในขณะนี้เป็นผู้ซึ่งอยู่ในระดับหยั่งสัจจะเรียบร้อยแล้ว ทุกท่วงท่าอิริยาบถขับเคลื่อนพลังแห่งฟ้าดิน มีความน่าเกรงขามอันทรงพลัง

ทว่าเพียงพริบตาเขาก็เก็บกลิ่นอาย แปรเปลี่ยนเป็นวางตัวโดดเดี่ยวอีกครั้ง ดั่งเทพเซียนจุติลงมา ราบเรียบแต่ไม่ธรรมดา

ยามเห็นหลินสวินที่ยืนบนบันไดหินขั้นที่เก้าสิบเก้าอยู่ด้านข้างเช่นเดียวกัน กู้อวิ๋นถิงก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเก็บสายตากลับมา สีหน้าราบเรียบไม่ไหวติง

เขาแตกต่างจากหลินสวินแล้ว หลุดพ้นระดับมหาสมุทรวิญญาณ กลายเป็นมหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะอย่างแท้จริงคนหนึ่ง ส่วนหลินสวินถูกลิขิตให้ทำได้เพียงแหงนมองเท่านั้น!

พญาอินทรีบนท้องฟ้ามิอาจสนใจมดบนพื้นดิน เนื่องจากทั้งสองอยู่ในโลกที่แตกต่างกัน

ก็เหมือนสภาพจิตใจของกู้อวิ๋นถิงในเวลานี้ นี่ไม่ใช่ความเย่อหยิ่ง แต่เป็นท่าทางแห่งการแยกตัวและเพิกเฉยอย่างหนึ่ง

เดิมทีหลินสวินยังคิดจะทักทายอีกฝ่ายอยู่ แต่พอเห็นท่าทาง ‘สูงเด่นเหนือปวงชน’ ของอีกฝ่ายแล้ว เขาพลันยิ้มจืดเจื่อน สาวเท้าเดินขึ้นไป ไม่ได้ไยดีอีก

เกือบจะในเวลาเดียวกัน กู้อวิ๋นถิงก็ก้าวขึ้นไปบนบันไดหินขั้นสุดท้ายด้วยเช่นกัน

ฟุ่บ!

ทั้งสองมาถึงในเวลาเดียวกัน เพียงแต่ต่างฝ่างต่างไม่เคยสบตากัน คล้ายว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่

‘นี่ก็คือยอดภูผาบันไดสวรรค์หรือ’

หลินสวินกวาดตาสำรวจ พลันเห็นหมอกเมฆหลากสีสัน โขดหินเก่าเถาวัลย์เลื้อย กล้วยไม้งามหอมกรุ่น ดวงอาทิตย์แผดจ้าลอยสูง สาดแสงสีทองงดงามพราวระยับลงมา ธารคีรีงดงาม ทิวทัศน์ดั่งภาพวาด ทำให้ผู้คนสัมผัสถึงความกว้างใหญ่ไพศาลที่แปรเปลี่ยนเป็นเล็กจ้อยเมื่อทอดมองจากยอดเขาสูง

เพียงแต่นอกจากนี้แล้ว กลับไม่ได้มีสถานที่อัศจรรย์อื่นใดอีก

กู้อวิ๋นถิงยิ่งตรงไปตรงมา กวาดสายตาคราเดียวก็หมุนตัวออกไป อาภรณ์ขาวพลิ้วสะบัด อันตรธานหายลับไปที่ขอบฟ้า

ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่เคยเหลือบมองหลินสวินอีกเลยแม้แต่แวบเดียว

‘หวังแต่ว่าหลังจากนี้หากได้พบกันในดินแดนรกร้างโบราณ เจ้าจะยังทำเช่นนี้ได้อีกนะ…’

หลินสวินรู้สึกปลงตกเล็กน้อย

เขาไม่ได้รู้สึกเกลียดชังอะไรต่อกู้อวิ๋นถิง เพียงแต่จู่ๆ พลันนึกถึงถ้อยคำที่เจ้าสำนักเคยพูดไว้ รู้ว่าขอเพียงกู้อวิ๋นถิงเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ จะต้องไปฝึกปราณที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์อย่างแน่นอน และแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์นั่นก็เป็นสถานที่ที่นำพา ‘หายนะ’ มาสู่ตัวเขา!

สิ่งนี้ทำให้หลินสวินกังวลใจอย่างอดไม่ได้ ภายหน้าหากได้พบกู้อวิ๋นถิง เผลอๆ อาจจะกลายเป็นศัตรูกันไปแล้ว และคงจะไม่เหมือนกับวันนี้ แม้ว่าต่างฝ่ายต่างไม่ได้สบตากัน แต่ท้ายที่สุดก็ยังสามารถอยู่อย่างสันติได้

หน้ากระท่อมมุงจาก ตอนที่หลินสวินมาถึงเจ้าสำนักก็ไม่อยู่แล้ว เขาเองก็ไม่รู้ว่าตอนที่ปีนภูผาบันไดสวรรค์นั้น เคยถูกเจ้าสำนักและชายชรามอมแมมจดจ้องให้ความสนใจและพูดคุยเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเขา

“ราวสามร้อยกว่าปีแล้วที่ไม่มีใครสามารถปีนขึ้นยอดภูผาบันไดสวรรค์ได้ ทว่าวันนี้กลับมีเจ้าและกู้อวิ๋นถิงคนนั้นที่ทำได้ถึงขั้นนี้พร้อมกัน ช่างทำให้ข้ารู้สึกเหนือความคาดหมายจริงๆ”

ชายชรามอมแมมเอ่ยปากพลางยิ้มตาหยี

“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว”

หลินสวินยิ้มพลางประสานมือคารวะ

“เจ้าหนู จนป่านนี้เจ้ายังไม่มีอาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้กระมัง คิดจะมากราบเข้าสำนักข้าหรือไม่”

ในแววตาชายชรามอมแมมผุดเผยแววระอุออกมา คล้ายกับจ้องหยกงามไร้ที่ติชิ้นหนึ่งอยู่

“เอ่อ”

หลินสวินรู้สึกประหลาดใจทันใด

“ช่างเถอะ ข้าจะลองคิดดูอีกที อย่างไรเสียข้าเองก็แค่เลือดร้อนเดือดพล่านชั่ววูบเท่านั้น ยังไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเจ้าจะเหมาะสมสืบทอดวิชาก้นกรุของข้าหรือไม่”

ชายชรามอมแมมเอ่ยเรื่อยเปื่อย

หลินสวินแทบอดกลอกตาไม่ไหว ตาเฒ่าคนนี้ช่างเพ้อเจ้อเกินไปแล้ว ทำท่าทีแบบนี้จะให้กราบไหว้ขอฝากตัวเป็นศิษย์ได้อย่างไร!

ไม่นานนักหลินสวินก็ฉวยป้ายประจำตัวของตนกลับคืนมา ก่อนหมุนตัวเดินออกไป

“เฮ้อ น่าเสียดายชะมัด เหตุใดประวัติความเป็นมาของเจ้าหนูนี่ถึงได้พิเศษเยี่ยงนี้…”

หน้ากระท่อมมุงจาก ชายชรามอมแมมพ่นเสียงถอนหายใจออกมา

……….

ณ หอกิจวิญญาณ

เป็นดังเช่นวันวาน ผู้คนขวักไขว่ไปมาคับคั่ง ศิษย์จำนวนมากในสำนักศึกษารวมตัวกันอยู่ที่นี่ บางคนนำคะแนนมาแลกเป็นสิ่งของจำเป็น และบางคนก็มาเพื่อรับภารกิจฝึกฝน ดูครื้นเครงยิ่ง

“เอ๋ นั่นไม่ใช่…หลินสวินหรือ”

“อะไรนะ เขาก็คือหลินสวินหรือ ดูแล้วก็ยังเด็กเกินไปจริงๆ”

ยามหลินสวินมาถึง พลันถูกผู้คนจำได้ทันที ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมากมาย

หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานในสำนักศึกษามฤคมรกตแพร่ออกไป หลินสวินในตอนนี้ก็ถือได้ว่าเป็น ‘คนดัง’ ผู้หนึ่งในสำนักศึกษามฤคมรกต ใครต่างก็รู้ว่าเขาเอาชนะพวกหลันอวี่ จินจู๋หลิวได้ จากนั้นก็ไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งเกียรติประวัติ อันดับหนึ่งในกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณในก้าวเดียว

เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นหลินสวินปรากฏกายอยู่ในหอกิจวิญญาณ ย่อมต้องดึงดูดสายตาสนอกสนใจจำนวนมากได้เป็นธรรมดา

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด