Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 505 คลื่นลมผันเปลี่ยน วาจายั่งยืน

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 505 คลื่นลมผันเปลี่ยน วาจายั่งยืน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 505 คลื่นลมผันเปลี่ยน วาจายั่งยืน
โดย

ที่น่าแปลกคือ รุ่งเช้าวันที่สอง เหตุการณ์เข่นฆ่านองเลือดซึ่งเกิดขึ้นที่ตระกูลฉือ จั่ว และฉินกลับถูกปิดบังและควบคุม เปลี่ยนเป็นสลับซับซ้อน

ไม่มีใครกล้ายืนยันว่าพลบค่ำวานนี้ที่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงสามตระกูลใหญ่แท้จริงแล้วมีคนตายไปกี่ศพ ทั้งเกิดการปะทะรุนแรงดุเดือดถึงขั้นไหน

แต่สิ่งที่สามารถแน่ใจได้คือ ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากฝีมือของเด็กหญิงคนหนึ่งนามซย่าจื้อ

ซย่าจื้อ!

ชื่อที่แสนเรียบง่ายและอบอุ่นชื่อหนึ่ง ทว่าภายในเวลาข้ามคืนกลับขจรขจายทั่วนครต้องห้าม แม้ไม่ทราบความเป็นมาของนาง แต่ทุกคนต่างรู้สึกได้ถึงความสั่นสะเทือน

กล่าวได้ว่า นางคือคนเดียวที่กล้าเปิดฉากสังหารนองเลือดกับขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งสามในช่วงกว่าพันปีมานี้

ที่คาดไม่ถึงที่สุดคือ คำอธิบายที่เกี่ยวข้องกับนางในทุกข่าวลือ ล้วนเป็นภาพลักษณ์ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง!

เหตุใดนางจึงทำเช่นนี้?

ผู้คนมากมายต่างสันนิษฐานว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับหลินสวินเป็นแน่ ถึงอย่างไรยามนี้ผู้ฝึกปราณทั่วนครต่างรู้ดีว่า ขุมอำนาจศัตรูที่ไม่ถูกกับหลินสวินประหนึ่งน้ำกับไฟ ก็เหลือเพียงตระกูลฉือ ตระกูลจั่ว ตระกูลฉินเท่านั้น

และซย่าจื้อไม่ไปหาขุมอำนาจอื่น แต่กลับมาหาสามตระกูลนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างนั้นแน่

โลกภายนอกต่างคนต่างพูด ตระกูลฉือ จั่ว ฉิน สามตระกูลกลับใช้ท่าทีที่แข็งกร้าวที่สุดเพื่อปิดข่าว พวกเขาย่อมไม่ยอมทนให้เรื่องขายหน้าเช่นนี้ฉาวโฉ่ต่อไป

แต่เรื่องราวได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือสัญญาณอย่างหนึ่ง บอกกล่าวผู้คนในใต้หล้าว่าบนโลกนี้ยังมีคนกล้าท้าทายตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอยู่!

ซย่าจื้อ!

นางเป็นใครกันแน่?

นางรู้จักกับหลินสวินหรือไม่?

นี่คือสิ่งที่ทุกคนต่างสงสัย

มีเพียงขุมอำนาจใหญ่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่รู้ชัด ว่าเด็กหญิงคนนี้มีที่มาไม่ธรรมดา เพียงแต่พวกเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเหตุใดนางต้องทำเช่นนี้

โลกภายนอกเต็มไปด้วยคลื่นลม ในสำนักศึกษามฤคมรกตกลับฟื้นคืนความสงบเงียบดังแต่ก่อนนานแล้ว ดุจดั่งแดนสุขาวดีที่ไม่ถูกรบกวนจากโลกภายนอก

สองวันให้หลัง

หลินสวินตื่นจากสมาธิ ประจวบเหมาะเป็นเวลารุ่งเช้าพอดี นอกหน้าต่างเสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว แสงอรุณส่องผ่านช่องหน้าต่าง สาดแสงลงบนพื้นห้องให้สว่างและอบอุ่น

กลิ่นหอมสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้าลอยล่องในอากาศ มีพลังวิญญาณดังเส้นไหมที่ถักทอ ทำให้หลินสวินมีชีวิตชีวา รู้สึกกะปรี้กะเปร่าไปทั้งตัว

หลินสวินเอนกายบนเตียงอย่างเกียจคร้าน นึกถึงเรื่องราวแต่ละฉากที่เกิดขึ้นก่อนตนจะหลับไป อดพึมพำขึ้นมาไม่ได้ “ชุดศึกสลักวิญญาณหลอมสำเร็จแล้ว แม้แต่เจ้าสำนักก็ยังตกตะลึง การเคลื่อนไหวครั้งนี้น่าจะสร้างความโกลาหลที่ใหญ่พอแล้วกระมัง…”

พิจารณาใคร่ครวญเงียบๆ อยู่ครู่ใหญ่ หลินสวินพลิกตัวลุกขึ้นก่อนจะยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย

เมื่อเปิดหน้าต่างออกก็เห็นแสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมา ต้นไม้ใหญ่เขียวชอุ่ม กระเรียนวิญญาณร่ายรำเวียนวนในท้องฟ้าโปร่ง กล่อมบรรเลงด้วยเสียงกระจ่างใส

ในจุดที่ห่างออกไป สิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ตั้งตระหง่าน อาบไล้ด้วยแสงตะวันยามอรุณรุ่ง บางครามีศิษย์ชายหญิงสองสามคนเดินผ่านมา ทิ้งร่องรอยแห่งวัยเยาว์ไว้

ไม่นานนักเสิ่นทั่วก็มาเยี่ยมเยือน เห็นชัดว่าได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงรู้ว่าหลินสวินตื่นแล้ว

“ยินดีด้วยปรมาจารย์หลินสวิน เจ้ารู้ไหมว่าเวลานี้ในนครต้องห้ามบุคคลที่น่าจับตามองที่สุดเป็นใคร”

เพิ่งจะพบหน้ากัน เสิ่นทั่วก็ยิ้มแย้มเปิดบทสนทนาหยอกล้อ

“ดูท่าแล้วผู้อาวุโสคงอารมณ์ดีไม่เลว”

หลินสวินหัวเราะขึ้นบ้าง

กลับเห็นเสิ่นทั่วทอดถอนใจเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าพูดผิดแล้ว ข้าอารมณ์ไม่ดีมาก”

พูดจบเขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง หยิบเอาเทียบเชิญหนาๆ ตั้งหนึ่งออกมา ต่างล้วนงดงามหาใดเปรียบ มีบางเทียบถึงกับทำจากหยกวิญญาณชั้นสูง แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา

“นี่ เจ้าดูสิ เวลาสั้นๆ ไม่กี่วันก็มีขุมอำนาจทั้งใหญ่เล็กหลายสิบแห่งส่งเทียบเชิญมา เจาะจงอยากจะเชิญเจ้า เทียบเชิญพวกนี้ข้าคัดเลือกออกมาให้แล้วด้วยนะ”

เสิ่นทั่วยัดเทียบเชิญกองนั้นใส่มือหลินสวิน “เจ้าจัดการเองแล้วกัน ราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงชั้นกลาง กรมทหาร ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ… สรุปคือ ขุมอำนาจพวกนี้ข้าล่วงเกินไม่ได้ทั้งนั้น ได้แต่ให้เจ้าไปตัดสินใจเอาเอง”

หลินสวินอึ้งงัน ใคร่ครวญเล็กน้อยก็เข้าใจขึ้นมา ก่อนจะโยนเทียบเชิญเหล่านั้นไว้ที่มุมห้องสั่วๆ เสิ่นทั่วที่เห็นดังนั้นก็เบิกตาโพลงทันที

หลินสวินพูดขึ้นง่ายๆ “ผู้อาวุโสอย่าได้มองข้าเช่นนั้น ก็แค่เทียบเชิญเท่านั้น ต่อให้ข้าไม่ไป พวกเขายังกล้ามองข้าเป็นศัตรูอีกหรือ”

เสิ่นทั่วกล่าวทอดถอนใจ “ก็จริง เจ้าในตอนนี้ไม่เหมือนกับแต่ก่อนแล้ว ย่อมไม่มีใครกล้าล่วงเกินเจ้าง่ายๆ”

“จริงสิ เจ้าเคยได้ยินชื่อซย่าจื้อบ้างไหม” เสิ่นทั่วพลันเอ่ยปากถาม

หลินสวินนัยน์ตาหดรัดทันที ในใจไหวสะท้านไม่หยุด กล่าวว่า “ใยผู้อาวุโสจึงกล่าวถึงเรื่องนี้”

สีหน้าเสิ่นทั่วดูแปลกออกไป เอ่ยว่า “ช่วงพลบค่ำเมื่อหลายวันก่อน เด็กหญิงลึกลับคนนี้ได้ทำเรื่องใหญ่เอาไว้…”

จากนั้นก็เล่าข่าวลือเรื่องเหตุการณ์นองเลือดที่ประตูหน้าเขาของตระกูลฉือ จั่ว ฉินออกมา

หลินสวินได้แต่ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น อารมณ์ไหวหวั่นโหมซัดอย่างเห็นได้น้อยครั้งนัก ยากจะสงบนิ่งลงได้

เขานึกถึงเรื่องมากมาย นึกถึงเหตุกาณ์ครั้งแรกยามพบเจอซย่าจื้อ นึกถึงวันเวลาที่อยู่ร่วมกันทุกเช้าค่ำกับเด็กหญิงตัวน้อย ณ หมู่บ้านเฟยอวิ๋น

และนึกถึงยามแยกจากกันที่เมืองตงหลิน คำพูดที่จริงจังและนิ่งสงบนั้นของแม่นางน้อย… ‘หลินสวิน ก่อนที่ข้าจะกลับมา เจ้าห้ามตายนะ’

ในใจหลินสวินสั่นสะท้านอย่างไม่อาจอธิบายได้ ในสมองปรากฏใบหน้าน้อยๆ ที่งดงามสงบเงียบหาใครเปรียบของเด็กหญิงตัวน้อย นางพิเศษยิ่งเสมอ โดดเด่น เงียบสงบ ไม่คิดแก่งแย่งผู้ใด ราวกับอยู่กันคนละโลก

เพียงแต่หลินสวินคาดไม่ถึงว่า หลังแยกจากกันสองปีซย่าจื้อจะปรากฏตัวในรูปแบบนี้ นาง… เหตุใดจึงไม่อยากพบเจอตน?

“หลินสวิน เจ้าเป็นอะไรไป”

ข้างหูแว่วเสียงของเสิ่นทั่ว ทำให้หลินสวินตื่นจากห้วงคิด

“ไม่มีอันใด ผู้อาวุโสท่านบอกข้าได้หรือไม่ ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน”

หลินสวินหายใจเข้าเฮือกหนึ่งก่อนกล่าวถาม

“ไม่รู้สิ”

เสิ่นทั่วส่ายศีรษะ อย่าว่าแต่เขาเลย ผู้คนมากมายทั่วทั้งนครต้องห้ามจนถึงบัดนี้ต่างก็ไม่รู้ว่าเด็กหญิงคนนั้นมาจากที่ใด

“ตำหนักรัตติกาล…” หลินสวินพึมพำ “ใช่ นางต้องอยู่ที่นั่นแน่…”

เสิ่นทั่วฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ กล่าวว่า “เจ้าบอกว่าเด็กหญิงคนนั้นมาจากตำหนักรัตติกาลงั้นรึ? มิน่าเล่า ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”

หลินสวินชะงักกึก รู้สึกรางๆ ว่าเสิ่นทั่วดูเหมือนจะนึกอะไรออก

เป็นดังคาด พลันเห็นเสิ่นทั่วพูดว่า “หากเด็กหญิงคนนั้นมาจากตำหนักรัตติกาลจริง ต่อให้เจ้าไปก็ไม่ได้เจอนางแน่”

“เพราะเหตุใด” หลินสวินขมวดคิ้วมุ่น

“เพราะเมื่อวานนี้ตำหนักรัตติกาลหายไปแล้ว”

“หายไปแล้ว?”

“ใช่ หายไปพร้อมปราสาทรัตติกาล เรื่องนี้เร้นลับเป็นอย่างมาก มีคนไม่มากนักที่จะรู้ ข้าก็บังเอิญนคนเขาพูดกันต่อมาถึงได้รู้เรื่องนี้ ว่ากันว่าเป็นเพราะราชินีแห่งปราสาทรัตติกาลคนนั้นต้องข้ามอมตะเคราะห์เป็นครั้งแรก ไม่อาจไม่ปิดด่าน เลี่ยงไม่ให้ถูกรบกวนจากศัตรูภายนอก”

เสิ่นทั่วทนอธิบาย

อมตะเคราะห์!

หลินสวินตะลึงงันอยู่ตรงนั้น เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ ในบรรดาราชันแห่งระดับสังสารวัฏ หากปรารถนาก้าวเข้าสู่วิถีแห่งความอมตะอย่างแท้จริง ต้องข้ามผ่านด่านเคราะห์ที่ราวกับยื้อแย่งชะตาชีวิตกับฟ้าเบื้องบน

ด่านเคราะห์นี้ถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอมตะเคราะห์ จากตำนานเล่าขานด่านเคราะห์นี้เกี่ยวข้องกับพลังแห่งความลับสวรรค์มหามรรค ความน่ากลัวไร้ซึ่งขีดจำกัด เมื่อใดที่ต้องข้ามผ่านด่านเคราะห์ เท่ากับเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย!

แม้ใช้พลังของราชันระดับสังสารวัฏก็ยังไม่กล้าบุ่มบ่ามข้ามด่านเคราะห์นี้ เพราะผลลัพธ์นั้นน่าหวาดกลัวเกินไป หากพลาดพลั้งเพียงคราเดียว ร่างจะแหลกสลายไม่เหลือซาก ถูกพลังแห่งมหาเคราะห์ลบหายไปจากโลก ไม่เหลือเศษเสี้ยวความหวังที่จะอยู่รอดโดยสิ้นเชิง!

ที่น่ากลัวที่สุดคือ ในโลกมีคำเล่าลือว่าบนหนทางสู่อมตะไอสังหารหนักหน่วง ก้าวเดียวเคราะห์เดียวความเป็นตายเดียว!

หรือเรียกได้ว่า ไม่ใช่เพียงแค่ข้ามผ่านด่านเคราะห์คราเดียวก็จะสามารถได้รับความเป็นอมตะ หากแต่เป็น เมื่อก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งอมตะ ก็ถูกกำหนดให้เจอพิบัติเคราะห์หนักหน่วงไม่อาจถอยร่น

“ราชินีแห่งรัตติกาลเป็นบุคคลที่ทำให้คนใหญ่คนโตนับไม่ถ้วนในจักรวรรดิต่างขวัญหนีดีฝ่อ แต่ก็ด้วยเหตุนี้ ในใต้หล้าจึงมีศัตรูที่จับจ้องนางอยู่มาก ครั้งนี้หากนางต้องการข้ามอมตะเคราะห์จริง เกรงว่าจะต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย”

เสิ่นทั่วกล่าวอย่างทอดถอนใจ

ราชินีแห่งรัตติกาล ชื่อนี้ราวกับชื่อต้องห้าม เปรียบเสมือนเงามืด เหมือนดั่งความมืดมิดที่ปกคลุมจักรวรรดิตลอดหลายพันปีมานี้ เมื่อใดที่เอ่ยถึงก็ทำให้คนใหญ่คนโตนับไม่ถ้วนหน้าถอดสี

แต่มาวันนี้นางต้องการก้าวผ่านด่านอมตะเคราะห์ ศัตรูเหล่านั้นจะต้องไม่นิ่งดูดายอย่างแน่นอน!

“ยังดีที่พลังของตำหนักรัตติกาลได้หายไปแล้ว ราวกับระเหยหายไปจากโลกมนุษย์ เห็นชัดว่าราชินีแห่งรัตติกาลก็รู้ดีว่า ขณะที่นางข้ามด่านเคราะห์จะต้องมีคนเข้ามาทำลาย ด้วยเหตุนี้จึงเตรียมตัวไว้ก่อนล่วงหน้า”

เสิ่นทั่ววิเคราะห์เบาๆ “ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่ศัตรูพวกนั้นของนางก็คงไม่สามารถเสาะหาร่องรอยของนางได้โดยง่ายแน่”

หลินสวินเงียบไปครู่ใหญ่ ท้ายที่สุดก็ถอนหายใจแผ่วเบา

ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นได้ การปรากฏตัวของซย่าจื้อที่ใช้ท่าทีแข็งกร้าวบุกสังหารตระกูลฉือ ตระกูลจั่ว ตระกูลฉินถึงหน้าประตู หรือเป็นเพราะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะหายตัวไปพร้อมราชินีแห่งรัตติกาล ดังนั้นจึงตัดสินใจฉวยโอกาสนี้ช่วยทำอะไรเพื่อตนบ้าง?

‘ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันหนึ่ง ข้าจะไปรับเจ้ากลับมา ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถพรากเจ้าไปจากข้าได้อีก!’

หลินสวินพึมพำในใจ

เขานึกถึงเหตุการณ์ที่ซย่าจื้อถูกราชินีแห่งรัตติกาลพาตัวไปในปีนั้น ภายในใจก็รู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกบีบเค้น นั่นแสดงให้เห็นถึงความไร้กำลัง ทำให้รู้สึกสิ้นหวังและหมดหนทาง

ถึงแม้มาถึงวันนี้ ชายชราคนนั้นที่ตำหนักรัตติกาลจะช่วยเขาไว้ไม่น้อย แต่สำหรับเรื่องที่ซย่าจื้อถูกพาตัวไปในปีนั้นก็ยังคงทำให้หลินสวินมิอาจลืมเลือน!

เพราะความรู้สึกที่ถูกบีบบังคับให้จำต้องยอมรับในลิขิตชะตาแบบนั้น ทำให้หลินสวินไม่อาจอภัยให้ได้จริงๆ!

“หลินสวิน เจ้าเป็นอะไรกันแน่ คงไม่ใช่ว่าซย่าจื้อนั่นเป็นญาติพี่น้องเจ้าหรอกกระมัง”

เสิ่นทั่วสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่หลินสวินได้ยินชื่อซย่าจื้อนี้ก็เหมือนมีบางอย่างผิดแปลกไป

“ไม่มีอะไรขอรับ”

หลินสวินหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง พยายามทำให้ตัวเองใจเย็นลง กล่าวว่า “จริงสิ ผู้อาวุโสท่านมาหาข้าวันนี้ยังมีเรื่องอื่นใดอีกหรือไม่”

เสิ่นทั่วรู้ได้ในทันที หลินสวินไม่คิดจะกล่าวถึงเรื่องของซย่าจื้ออีกแล้ว

เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ที่จริงแล้วมีเรื่องหนึ่งต้องการให้เจ้าไปด้วยตนเอง เถ้าแก่สังเวียนสวรรค์ยุทธ์จ้าวไท่ไหลมาถึงวานนี้ รอเจ้าอยู่ในสำนักศึกษาโดยตลอด ไล่ก็ไล่ไม่ไป โหวกเหวกว่าหากไม่ได้พบหน้าเจ้าต่อให้ตีให้ตายก็ไม่ไป”

พูดถึงตอนท้ายเสิ่นทั่วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขื่น เห็นได้ชัดว่าเขาถูกจ้าวไท่ไหลเซ้าซี้จนหมดปัญญาแล้วจริงๆ

จ้าวไท่ไหล?

หลินสวินใจกระตุกเล็กน้อย รู้ว่าการเคลื่อนไหวของตนในครั้งนี้ดึงดูดความสนใจของบุคคลสำคัญในราชวังท่านนั้นแล้ว

ไม่อย่างนั้นคนเจ้าเล่ห์อย่างจ้าวไท่ไหลไม่มีทางเป็นฝ่ายมาหาตนก่อนแน่

นึกถึงตรงนี้มุมปากหลินสวินก็ระบายยิ้ม “เขามาได้พอดีเชียว ข้าเองก็มีเรื่องจะหาเขาอยู่พอดี”

เขาเคยรับปากจะช่วยจูเหล่าซานแก้ไขปัญหาการบรรลุระดับปราณเอาไว้ และในส่วนลึกของราชวังก็มีวิธีแก้ไขปัญหานี้อยู่!

……………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด