Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 531 เจดีย์สมบัติไร้อักษร

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 531 เจดีย์สมบัติไร้อักษร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 531 เจดีย์สมบัติไร้อักษร
โดย

ชิ้ง!

หลินสวินเก็บอาสัญสลายลงไป

เหยาทั่วไห่ตายแล้ว สะสางความแค้นไปได้เรื่องหนึ่ง ทำให้หลินสวินเบาใจลงไม่น้อย

ไม่มีอะไรน่าทอดถอนใจ เขาเริ่มจัดการกับทรัพย์หลังศึกทันที

สิ่งที่ทำให้หลินสวินผิดคาดคือ เหยาทั่วไห่หัวหน้าตระกูลเหยาคนนี้ นอกจากผลึกวิญญาณและลูกกลอนโอสถที่จำเป็นต่อการฝึกปราณจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีของล้ำค่าอะไรมากมาย

แต่ไม่นานหลินสวินก็เหลือบสายตาไปยังเจดีย์สมบัติสีทองแปดเหลี่ยมเก้าชั้นนั่น

วู้ม…

เพียงเอื้อมมือออกไปคว้าสมบัตินั้น ก็รับรู้ได้ว่ามันหนักอย่างน่าแปลกใจ เสมือนกำลังประคองภูเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่งซึ่งหนักไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนชั่ง ทำให้หลินสวินไม่อาจไม่โคจรพลัง กว่าจะสามารถยกเอาไว้ได้

รูปร่างของมันดูเก่าแก่โบราณ ตัวเจดีย์เป็นทรงแปดเหลี่ยมสว่างไสวดุจหอคอยทองคำ แต่เมื่อดูอย่างละเอียด ตัวเจดีย์นั้นแท้จริงเป็นเนื้อหยกโบราณหลากสีชนิดหนึ่ง เพียงแต่แสงที่พวยพุ่งออกมาปรากฏเป็นสีทองงาม โอ่อ่าไพศาล

แม้ขนาดเพียงฝ่ามือแต่ดูออกได้ไม่ยากว่าเจดีย์นี้วิเศษมหัศจรรย์อย่างยิ่ง ตัวเจดีย์แปดเหลี่ยมแบ่งออกเป็นแปดส่วน แต่ละส่วนมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ปรากฏลักษณ์ลึกลับอย่างสุริยันจันทราภูผาสายนที ฟ้าเสถียรดินขนาน เทพธรรมบาลและหมู่ดาว สัตว์ตำนานบรรพกาลเป็นต้น

เสมือนร่องรอยพิภพบรรพกาล แบ่งเป็นแปดส่วนประทับอยู่บนตัวเจดีย์ มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ทรงพลังที่โอบรับนิรันดร์กาลเป็นของตนเอง

พริบตานั้นในใจหลินสวินก็อดรู้สึกเลื่อนลอยไม่ได้ ราวกับมองเห็นกาลเวลาไร้สิ้นสุดแต่กาลก่อน หมู่ดาวกว้างใหญ่ไพศาล พื้นปฐพีไร้ขอบเขต เจดีย์สมบัติองค์หนึ่งตั้งตระหง่าน ยันเปิดแผ่นฟ้า นั่งบัญชานั่งฟ้าดิน แสงสมบัติสาดส่องทั่วหล้า!

ที่น่าเสียดายคือ เจดีย์นี้เสียหายตรงส่วนยอด เดิมทีน่าจะสลักข้อความไว้ แต่มาวันนี้กลับเหลือเพียงร่องรอยที่ขาดหายไป

มองออกแค่คำว่า ‘ไร้’ อยู่เลือนรางเพียงคำเดียว!

ลายเส้นตัวอักษรนั้นเสมือนรวมท่วงทำนองมรรคแห่งฟ้าไว้ด้วยกัน ถูกสร้างเพื่อเก็บกักทุกขีดทุกลายเส้นไว้ภายใน แม้ขาดหายไม่สมบูรณ์ แต่กลับมีความน่าเกรงขามที่สั่นสะเทือนใจผู้คน ทำให้หลินสวินถึงขั้นรู้สึกว่าตัวเล็กกระจิดริด สัมผัสได้ถึงความรู้สึกกดดันยากจะเอ่ย

แค่ลายเส้นอักษรที่ไม่สมบูรณ์เพียงตัวเดียวเท่านั้น กลับมีอานุภาพอัศจรรย์เช่นนี้ ทำให้หลินสวินตระหนักได้ถึงความไม่ธรรมดาของเจดีย์นี้ยิ่งกว่าเดิม

อันที่จริงก็เป็นเช่นนั้น เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เขาถูกม้วนกลืนเข้าไปในพริบตาเดียว กักขังอยู่ในชั้นหนึ่งของเจดีย์นั่น ภายในนั้นเต็มไปด้วยแสงวิญญาณสีทอง พลังที่ปล่อยออกมาน่ากลัวหาใดเปรียบ เกือบทำให้หลินสวินถูกลบล้างอยู่ในนั้น

ที่โชคดีคือ แสงวิญญาณสีทองนี้เห็นชัดว่าไม่ได้ถูกเหยาทั่วไห่หล่อหลอมควบคุมไว้ ทำให้หลินสวินมีโอกาส ใช้พลังเต็มกำลังควบคู่กับอานุภาพของอาสัญสลายทั้งหมด ถึงได้ฝืนหลบหนีแรงกดดันของแสงวิญญาณสีทองและพุ่งทะยานออกมาได้

มิฉะนั้นล่ะก็ ผลที่ตามมาก็ไม่อยากจะคิด!

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เจดีย์สมบัติไร้อักษรนี้จะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าแห่งบรรพกาลอย่างหนึ่งแน่นอน อีกทั้งอานุภาพไร้ขีดจำกัด แม้แต่เหยาทั่วไห่ก็ไม่อาจควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์

หลินสวินเก็บสมบัตินี้ไว้ คิดว่าหลังจากนี้ต้องศึกษาค้นคว้าดีๆ สักหน่อย หากสามารถควบคุมมันได้ เท่ากับได้ไพ่ตายเพิ่มขึ้นอีกใบอย่างไม่ต้องสงสัย

ฟุ่บ!

ไม่ปล่อยให้ล่าช้าอีก หลินสวินเก็บเสามังกรจตุลักษณ์ ปลดเขตแดนมายาผืนนี้

การต่อสู้ของโลกภายนอกดำเนินมาถึงตอนจบแล้ว ตระกูลเหยาอันยิ่งใหญ่บัดนี้แทบกลายเป็นดินแดนแห่งบาดแผล เกลื่อนกลาดระเนระนาดทั่วทุกหนแห่ง เขม่าควันตลบอบอวล

แผ่นฟ้าผืนปฐพีบริเวณใกล้เคียงต่างได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ทุกหนแห่งล้วนเห็นซากศพกระจัดกระจาย โลหิตไหลย้อมพื้นดินที่แตกระแหงชวนให้ประหวั่นยิ่งนัก

คิดดูแล้วก็ไม่แปลก ถูกผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะกลุ่มหนึ่งที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นฆ่าฟันอย่างดุเดือด ตระกูลเหยาที่ยิ่งใหญ่แค่ในจังหวัดชิงเฟิงไหนเลยจะสามารถต่อต้านได้

เสียงร้องไห้โหยหวนเป็นระลอกดังจากที่ห่างไกล โศกเศร้าอาดูรหาใดเปรียบ หลินสวินเงยหน้ามองออกไป กลับเห็นเด็กสตรีคนชรากลุ่มหนึ่ง

เห็นชัดว่านั่นคือคนที่เหลืออยู่ของตระกูลเหยา เพียงแต่ไม่มีพลังการต่อสู้เท่าไหร่นัก เวลานี้แตกสลายไปพร้อมกับตระกูลเหยา ต่างตกเป็นเชลยที่กำลังโศกเศร้าเสียใจ

ส่วนอีกด้านหนึ่ง เหล่าผู้ฝึกปราณจากอัครการค้า ตระกูลหนิง ตระกูลเย่ ตระกูลกงนั้นกำลังตรวจสอบทรัพย์หลังศึกในครั้งนี้

นี่ก็คือหายนะล้างตระกูล ไม่ว่าอดีตจะมีอิทธิพลและเส้นสายยิ่งใหญ่มากมายเพียงใด เมื่อถูกทำลายพินาศย่อยยับ ท้ายที่สุดทุกสิ่งล้วนสลายหายไป

หลินสวินมองดูเหตุการณ์นี้อย่างเงียบๆ สีหน้าไม่โศกเศร้ายินดี จิตใจสงบนิ่ง นี่เรียกว่ากรรมใดใครก่อกรรมนั้นตามสนอง โทษใครไม่ได้

“เหยาทั่วไห่ตายแล้วรึ”

เวลานี้มู่หวั่นซูเดินใกล้เข้ามา สายตากวาดมองไปยังร่างไร้วิญญาณของเหยาทั่วไห่ที่อยู่ไม่ไกล สีหน้าอดเผยแววประหลาดใจไม่ได้ ภายในใจสั่นสะท้าน

นางคิดไม่ถึงเลยว่าหลินสวินจะฆ่าเหยาทั่วไห่จริงๆ! นี่เป็นถึงบุคคลใหญ่โตระดับหยั่งสัจจะขั้นกลางคนหนึ่ง หยิ่งผยองมีเกียรติ และมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ในมณฑลซีหนาน

แต่ตอนนี้กลับถูกเด็กหนุ่มระดับมหาสมุทรวิญญาณคนเดียวอย่างหลินสวินสังหาร หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เกรงว่าจะต้องก่อให้เกิดความวุ่นวายอย่างแน่นอน

หลินสวินเอ่ยรับคำหนึ่ง มองไปยังเหล่าเด็กสตรีตระกูลเหยาที่อยู่ห่างออกไปซึ่งร้องไห้ด้วยความเสียใจนั้น ก่อนเอ่ยถาม “คนเหล่านั้นจะจัดการอย่างไรต่อไป”

มู่หวั่นซูพูดเรียบๆ “ง่ายมาก ส่งมอบให้กรมทหารจัดการลงโทษก็เรียบร้อย พวกเขาตระกูลเหยาครานี้สมคบคิดเผ่ามืด พยานหลักฐานพร้อมมูล ต่อให้เป็นสังหารเก้าชั่วโคตรก็ไม่มีปัญหา”

หลินสวินร้องอ้อทีหนึ่ง ไม่ถามมากความอีก

“ไปเถอะ ราชันเลือดเหล็กกำลังรอเจ้าอยู่ที่เรือรบ”

มู่หวั่นซูกล่าวเสียงอ่อนโยน

หลินสวินใจกระตุกวูบ ตระหนักได้ว่าการต่อสู้ของราชันที่เกิดขึ้นเหนือฟ้านั่น ที่แท้ก็ปิดฉากลงแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดใครแพ้ใครชนะกันแน่

นึกถึงตรงนี้ เขาหันหลังเดินไปยังเรือรบอินทรีเหินที่อยู่ห่างออกไป

เพียงแต่เดินไปได้ครึ่งทางเขาก็หยุดชะงักอีก หันหลับไปมองตระกูลเหยาซึ่งอยู่ไกลออกไป ที่นั่นกลายเป็นซากปรักหักพัง เขม่าควันตลบอบอวล ยังมีเสียงร่ำไห้ท่ามกลางพื้นที่นองเลือดดังมาเป็นระลอก

จากนั้นหลินสวินก็ถอนสายตากลับ ไม่หันหน้าไปอีก

แต่ภายในส่วนลึกของจิตใจ เขาได้ตัดสินใจเรื่องหนึ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน จากนี้หากเขาหลินสวินยังมีชีวิตอยู่ จะไม่ให้หายนะล้างตระกูลเช่นนี้เกิดขึ้นกับตระกูลหลินเด็ดขาด!

เที่ยงวันวันนั้น เรือรบอินทรีเหินส่งเสียงกัมปนาทก่อนพุ่งทะยานหายไปจากขอบฟ้า

ภายในวันเดียว ตระกูลเหยาซึ่งมีอิทธิพลยาวนานหลายร้อยปีในมณฑลซีหนานแห่งจักรวรรดิ ล่มสลายในอรุณรุ่งเดียว อาณาเขตที่เคยยึดครองอยู่ล้วนกลายเป็นดินแดนแห่งบาดแผล

จังหวัดชิงเฟิงสะท้านสะเทือน ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนตระหนกตกใจ เรื่องนี้ถึงกับแพร่กระจายไปทั่วมณฑลซีหนาน ก่อให้เกิดความฮือฮาและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่รู้เท่าไหร่

ตระกูลเหยาที่ยิ่งใหญ่กลับถูกกำจัดออกไปเช่นนี้ หายไปจากแผนที่ของจักรวรรดิ! นี่ถือเป็นเหตุการณ์ใหญ่หลวงอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนตกตะลึง

และต่อมาความจริงก็ค่อยๆ แพร่ออกไป ทำให้ผู้ฝึกปราณจำนวนมากรู้เรื่องในที่สุด ว่าที่แท้ทั้งหมดนี้ก็มาจากน้ำมือของหลินสวิน!

เพียงแต่ใครก็ไม่อาจจินตนาการ ว่าปฐมาจารย์สลักวิญญาณรุ่นเยาว์ที่ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วคนหนึ่ง จะมีอานุภาพน่าหวาดกลัวเช่นนี้ เพียงแค่ชั่วข้ามคืนก็สามารถกำจัดตระกูลมากอำนาจตระกูลหนึ่งได้!

และขุมอำนาจใหญ่ๆ ส่วนหนึ่งต่างรู้ดีว่า เบื้องหลังเหตุการณ์ฆ่าล้างตระกูลนี้ ยังพัวพันกับเงาของเผ่ามืด ทั้งยังเคยเปิดฉากการต่อสู้ระหว่างราชันอย่างแท้จริงอีกด้วย!

เพียงแต่เรื่องนี้น่าอกสั่นขวัญแขวนเกินไป หากแพร่ออกไปจะก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมทั้งใต้หล้า ด้วยเหตุนี้ข่าวเรื่องนี้จึงถูกปิดผนึกไว้อย่างสิ้นเชิง

แม้แต่เรื่องราวที่ตระกูลเหยาทรยศจักรวรรดิก็มีน้อยคนนักที่รู้

เรือรบอินทรีเหินทะยานสู่ฟากฟ้า มุ่งหน้าไปยังนครต้องห้าม

โถงเรืออันกว้างใหญ่โอ่โถงหาใดเปรียบมีห้องใหญ่เล็กกระจายอยู่มากมาย และเวลานี้ในห้องหนึ่ง ราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุยกำลังหัวเราะเสียงดังอย่างองอาจผ่าเผย

“ฮ่าๆๆ คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะมาถูกทางจริงๆ ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ตัวข้าคิดอยากจะฆ่าเจ้าเรือดเฒ่านั่นมาตลอด น่าเสียดายเจ้าหมอนี่รักตัวกลัวตาย หลบซ่อนอยู่ในซ่องโจรไม่ยอมออกมาสักที ทำให้ข้าได้แต่มองตาปริบๆ”

หนิงปู้กุยเงาร่างสูงใหญ่ นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวตัวหนึ่งอย่างสบายอารมณ์ ท่าทางดูอิสระ หยาบกระด้างสบายๆ

“แต่น่าเสียดาย เจ้าเรือดเฒ่านี่เจ้าเล่ห์สับปลับหาใดเปรียบ แม้ถูกข้าโจมตีอย่างหนัก ท้ายที่สุดก็ยังปล่อยให้มันหนีไปได้…”

หนิงปู้กุยบ่นอุบ เสียดายไม่หาย

พูดถึงตรงนี้สายตาเขามองไปยังหลินสวินพลางกล่าว “เจ้าหนุ่ม ครั้งนี้เจ้ากลับจับพลัดจับผลูตีถูก ช่วยจักรวรรดิขุดรากถอนโคนบ่อเกิดหายนะไปได้อีกหนึ่ง ไม่เลวๆ”

หลินสวินรีบกล่าว “หากไม่ใช่เพราะมีผู้อาวุโสอยู่ด้วย ถึงแม้รู้ว่าตระกูลเหยาคิดทรยศ ผู้น้อยก็จนปัญญา”

หนิงปู้กุยหัวเราะร่า “เจ้าเด็กบ้าระห่ำคนหนึ่งเช่นเจ้า ทำไมเวลานี้กลับเปลี่ยนเป็นอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้เล่า”

สายตาเขาฉายแววชื่นชมวูบหนึ่ง เขาเองก็รู้ดีว่าฝีมือของหลินสวินในครั้งเรียกได้ว่าน่าตกตะลึงหาใดเปรียบ

คนๆ เดียวสังหารเหยาทั่วไห่ได้ บางทีอาจเพราะพึ่งพาพลังของอาสัญสลาย แต่หลินสวินไม่ใช่ทำได้เพียงเท่านี้ ก่อนหน้าที่จะสังหารเหยาทั่วไห่ เขายังสามารถรอดชีวิตภายใต้การโจมตีที่เกิดขึ้นฉับพลันจากราชันระดับสังสารวัฏได้!

อาศัยแค่จุดนี้ ก็เพียงพอให้หนิงปู้กุยเปลี่ยนมุมมองใหม่แล้ว

“ผู้อาวุโส ‘เจ้าเรือดเฒ่า’ นั่นแท้จริงแล้วคือใครหรือ” หลินสวินเปลี่ี่ยนประเด็นสนทนา เขาสนใจจุดนี้ที่สุด

“เขาเป็นราชันคนหนึ่งของสำนักคนเถื่อนวารีสายหนึ่งของเผ่าพ่อมดเถื่อน นามว่าสุ่ยเชียนซาน มีชื่อเสียงเมื่อหนึ่งพันกว่าปีก่อน ถือว่าเป็นคนที่ร้ายกาจที่สุดคนหนึ่ง”

หนิงปู้กุยพูดถึงตรงนี้ก็มุ่นคิ้วอย่างอดไม่ได้ “ไอ้แก่นี่นิสัยเจ้าเล่ห์รอบคอบ รักตัวกลัวตาย ทำไมจู่ๆ ถึงมายังจักรวรรดิได้ เจ้าหนุ่ม เจ้ารู้ไหมว่าทำไม”

“สำนักคนเถื่อนวารี…”

หลินสวินใจกระตุกวูบ คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา ปีนั้นตอนเขาอยู่ที่ค่ายกระหายเลือด ครั้งหนึ่งเคยสังหารผู้แข็งแกร่งของสำนักคนเถื่อนวารีไปไม่น้อย และในตอนนั้นก็บังเอิญได้ ‘มุกนักบุญอมตะ’ เม็ดนั้นมา

สมบัติชิ้นนี้เล่าลือว่าเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของสำนักคนเถื่อนวารีสายหนึ่ง มีความอัศจรรย์เหนือจินตนาการ ตอนนั้นที่หลินสวินรอดพ้นความลำบากจากทะเลกลืนวิญญาณในโบราณสถานบรรพกาลมาได้ ก็เพราะอาศัยอานุภาพของสมบัตินี้

แต่ตอนนี้มุกนักบุญอมตะเม็ดนี้ถูก ‘ประตูสวรรค์’ บดขยี้ไปนานแล้ว กลายเป็นพลังอันบริสุทธิ์ซึมซาบเข้าไปภายในร่างกายหลินสวิน

สุ่ยเชียนซานนั่น จะมาเพราะสมบัตินี้หรือไม่

หลินสวินไม่แน่ใจอยู่บ้าง

สามารถทำให้ราชันระดับสังสารวัฏคนหนึ่งไม่สนอันตราย ข้ามเขตชายแดนแฝงตัวเข้ามาในจักรวรรดิ และยังมีจุดประสงค์ชัดเจนว่าจะ ‘พา’ ตนไป ทั้งหมดนี้เพียงเพื่อ ‘มุกนักบุญอมตะ’ ง่ายๆ เช่นนั้นหรือ

“คิดไม่ออกขอรับ”

ท้ายที่สุดหลินสวินก็ส่ายศีรษะ

หนิงปู้กุยก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงอีก พลันลุกขึ้นพลางกล่าว “เอาล่ะ ข้าก็ควรไปได้แล้ว เจ้าหนุ่ม หลังจากนี้หากมีเวลาว่าง สามารถมาค่ายหลักกองทัพเลือดเหล็กที่ชายแดนตะวันตกของจักรวรรดิได้ ข้าจะพาเจ้าออกสนามรบ นำศีรษะศัตรูมาทำจอกสุรา ดื่มด่ำไปด้วยกัน!”

“ผู้อาวุโส ครั้งนี้ขอขอบคุณท่านมาก!”

หลินสวินรีบร้อนยืนขึ้น คารวะอย่างจริงจัง ครานี้หนิงปู้กุยช่วยเหลือเขาอย่างใหญ่หลวง หากไม่ใช่เพราะมีหนิงปู้กุยออกบัญชาการด้วยตนเอง ผลที่ตามมานั้นก็ไม่อยากจะคาดคิด

“ฮ่าๆ พยายามบำเพ็ญเข้าล่ะ ใต้หล้าหลังจากนี้ต้องพึ่งพาคนหนุ่มอย่างพวกเจ้า!” หนิงปู้กุยโบกมือแล้วลอยล่องจากไป

ในใจหลินสวินอดรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาไม่ได้ ครั้งนี้สามารถเชิญราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุยออกมือได้ ทำให้เขาเกินคาดหมายและประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

แต่เวลานี้ที่มากกว่านั้นก็คือความซาบซึ้งใจ ถึงอย่างไรนี่ก็คือบุคคลผู้ทรงอำนาจท่านหนึ่ง เป็นราชันระดับสังสารวัฏผู้สั่นสะเทือนใต้หล้า ใช่ว่าจะสามารถเชิญให้เคลื่อนไหวได้โดยง่าย!

……………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด