Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 540 อะไรคือระดับหยั่งสัจจะ

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 540 อะไรคือระดับหยั่งสัจจะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 540 อะไรคือระดับหยั่งสัจจะ
โดย

ภายในห้อง หลินสวินใคร่ครวญเพียงลำพัง

หลังจากได้เห็นเซียวหรัน ซูซิงเฟิง อวิ๋นเช่อ เหวินเสียงและคนอื่นๆ ที่เป็นดั่งผู้กล้าแห่งยุค ทำให้อารมณ์ของหลินสวินไม่สงบนัก

ดินแดนรกร้างโบราณ!

เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับการฝึกปราณที่กว้างใหญ่และเจริญรุ่งเรืองอย่างไรกันแน่

‘จะต้องรีบยกระดับความสามารถแล้ว…’

ครู่ใหญ่หลินสวินจึงสูดหายใจลึก ในดวงตาดำลึกล้ำกลับสู่ความราบเรียบ จิตใจก็พลอยสงบนิ่ง ไม่แปดเปื้อนโลกีย์ตามไปด้วย

บุคคลเฉกเช่นพวกเซียวหรันแม้จะสะดุดตา แต่หลินสวินจะไม่มีทางได้รับผลกระทบเพราะเรื่องนี้ ถึงขั้นที่ว่าแม้ปัจจุบันยังไม่บรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะ เขาก็ไม่กลัวพวกเซียวหรันเลยแม้แต่คนเดียว!

นี่คือความเชื่ออย่างแน่วแน่อย่างหนึ่ง เป็นการยึดมั่นในมรรควิถีของตน หากไม่มีจิตใจที่มั่นคงในการก้าวไปข้างหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ต่อไปก็ยากจะประสบความสำเร็จในด้านการฝึกปราณ

ฮูว~

ลมหายใจของหลินสวินเปลี่ยนเป็นเนิบช้าและยาวขึ้น เริ่มสงบจิตใจทำสมาธิ รับรู้และสัมผัสกับของสัจวิถีธาตุน้ำสายหนึ่งที่หยั่งถึงมาก่อนหน้านี้

ในจิตวิญญาณของเขา ท่วงทำนองแห่งวารีที่คล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นเกิดคลื่นกระเพื่อม นั่นคือท่วงทำนองแห่งมรรค เป็นแก่นแท้จริงอันยอดเยี่ยมอย่างหนึ่งในสัจวิถีธาตุน้ำ

ตามความคิดก่อนหน้านี้ของหลินสวิน เขาต้องการควบคุมสัจวิถีธาตุน้ำนี้ให้ได้อย่างสมบูรณ์ แล้วจึงเริ่มดำเนินการบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะ!

ระดับหยั่งสัจจะ!

ระดับใหญ่ที่สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณเกิดการเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ครั้งใหญ่ เมื่อบรรลุสู่ระดับนี้ จะสามารถหยั่งรู้และควบคุมมหามรรคแห่งฟ้าดิน เปิดถ้ำผสานแห่งหนึ่งในร่างกายของตน

สิ่งใดคือถ้ำผสาน

คือความพร่ามัวเลือนรางเหมือนอยู่ในถ้ำสถิตแห่งความว่างเปล่า และเป็นเหมือนต้นแบบมหามรรคแห่งตน ขอเพียงหลอมกลั่นสำเร็จ พลังแห่งสัจจะมหามรรคที่ผู้ฝึกปราณควบคุมได้ รวมทั้งการหยั่งถึงและวิถียุทธ์ที่สั่งสมมาทั้งชีวิตจะถูกประทับเอาไว้บนนั้น!

เมื่อผ่านการเปลี่ยนแปลงนี้ ก็จะกลายเป็นถ้ำสวรรค์หยั่งสัจจะ!

ความว่างเปล่าของถ้ำผสาน ควบคุมต้นแบบมหามรรค ประหนึ่งเป็นการเปิดร่องรอยของโลกใบใหญ่ภายในร่างกาย นี่ก็คือระดับหยั่งสัจจะ!

ถึงตอนนั้น ภายในถ้ำสวรรค์ประทับสัจจะมหามรรค แก่นวิชาที่หยั่งถึง วิถียุทธ์ รวบรวมต้นกำเนิดทั้งร่างของผู้ฝึกปราณ ยิ่งถ้ำสวรรค์แข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็หมายความว่าอานุภาพที่ผู้ฝึกปราณสามารถสำแดงออกมาได้ยิ่งน่าสะพรึงกลัว

มีเพียงผู้ที่บรรลุสู่ระดับนี้เท่านั้น จึงจะถูกเรียกว่า ‘มหายุทธ์’

คำว่า ‘มหา’ เป็นสัญลักษณ์ของความโดดเด่นและแข็งแกร่ง!

เมื่อบรรลุสู่ระดับนี้ การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดและตรงไปตรงมาที่สุด คืออายุขัยจะยืนยาวถึงหกร้อยปี…

ตั้งแต่เมื่อนานมาแล้วหลินสวินก็สามารถบรรลุสู่ระดับนี้ได้ทุกเมื่อ แต่เมื่อเขาควบคุมสัจวิถีธาตุน้ำได้เสี้ยวหนึ่ง ทำให้เขาตระหนักได้ว่า ตนที่อยู่ในระดับมหาสมุทรได้เกิดสภาพที่เรียกว่า ‘มหามรรคบกพร่อง’ จึงเลือกที่จะอยู่ในระดับนี้ต่อ

โดยสรุปก็คือ หลินสวินต้องการให้พลังปราณ จิตวิญญาณ กายหยาบ รวมทั้งพลังสัจจะมหามรรคไปถึงระดับสมบูรณ์อย่างที่สุดก่อน ถึงค่อยเริ่มยกระดับรอบด้านในระดับหยั่งสัจจะ!

……

ครึ่งวันหลังจากนั้น

ยานสำเภาแล่นผ่านอากาศ ในที่สุดก็มาถึงชายแดนฝั่งตะวันออกของจักรวรรดิ เมื่อมองไปรอบๆ ทะเลที่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุดปรากฏขึ้นในสายตา

ทะเลนั้นกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด เชื่อมต่อกับท้องฟ้า กว้างขวางโอ่อ่าอย่างที่สุด แต่ที่น่าประหลาดคือน้ำทะเลเป็นสีดำลึกและไม่สงบ คลื่นน้ำซัดสาดคำรามรุนแรงน่าขนพองสยองเกล้า เสียงนั่นราวกับเสียงฟ้าร้อง สะเทือนฟ้าดิน

นี่ก็คือทะเลกลืนวิญญาณ!

ไม่เพียงแค่ในจักรวรรดิจื่อเย่าเท่านั้น แม้แต่ในจักรวรรดิมืด ท้องทะเลอันลึกลับและน่าสะพรึงกลัวนี้ก็เรียกได้ว่าชื่อเสียงโด่งดัง

เหตุผลเพราะว่าทะเลแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไป มีภัยพิบัติและไอสังหารที่แทบจะไม่มีที่สิ้นสุดกระจายอยู่ในนั้น มีหลุมอากาศว่างเปล่าที่สร้างความปั่นป่วนขวางกั้นอยู่ระหว่างท้องฟ้าและทะเล มีสายฟ้ารุนแรงที่สามารถทำลายล้างโลกได้ มีภูเขาไฟอันน่าสะพรึงกลัวที่ปะทุจากก้นทะเล มีคลื่นยักษ์ พายุน้ำวน…

นอกจากนี้ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณยังมีสัตว์ทะเล อสูรมารทะเล วิญญาณผู้ล่วงลับ จิตวิญญาณร้ายที่ทรงพลัง… ถึงขั้นที่ไม่ขาดแคลนสิ่งมีชีวิตบรรพกาลที่แปลกประหลาดหายาก!

เป็นเวลาหลายพันปีที่ทะเลกลืนวิญญาณแห่งนี้เป็นดั่งสถานที่ต้องห้าม ทำให้สีหน้าของผู้คนต้องเปลี่ยนไปทุกครั้งที่พูด แม้แต่ราชันระดับสังสารวัฏยังไม่กล้าเข้ามาง่ายๆ

มีคำเล่าลือว่าทะเลกลืนวิญญาณนี้มีมาตั้งแต่สมัยบรรพกาลแล้ว และเคยเกิดสงครามระหว่างเทพมาร เป็นที่ฝังศพของวิญญาณวีรชนนับไม่ถ้วน

นอกจากนี้ยังมีคำเล่าลือที่เกินจริงยิ่งกว่า นั่นคือทะเลกลืนวิญญาณอันกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดและลึกลับนี้ ความจริงเกิดจากน้ำตาเพียงหยดเดียวของเซียนเท่านั้น…

แต่ไม่มีใครยืนยันข้อเท็จจริงได้

โชคดีที่ในทุกๆ ปีทะเลกลืนวิญญาณจะมี ‘ช่วงจำศีล’ สามเดือนติดต่อกัน ระหว่างนั้นเหล่านักผจญภัยที่มาจากจักรวรรดิจะเข้ามาแสวงหาวาสนาในทะเลกลืนวิญญาณ

แม้ว่าท้องทะเลอันกว้างใหญ่นี้จะน่ากลัวมาก แต่ถ้าไม่เข้าไปในส่วนลึกก็จะปลอดภัย อีกทั้งภายในแม้จะมีอันตรายมากมายนับไม่ถ้วน แต่ก็มีสมบัติจากธรรมชาติที่หายากมากผืนแผ่นดิน อย่างเช่นปะการังเพลิงวิญญาณ ไขกระดูกหยกวิญญาณทะเลและอื่นๆ

ทว่าในฤดูกาลนี้ยังคงอยู่ใน ‘ช่วงแปรปรวน’ ของทะเลกลืนวิญญาณ ดังนั้นเมื่อยานสำเภาของพวกหลินสวินมาถึง บริเวณชายฝั่งจึงเงียบเชียบ แทบไม่มีใครเลย

“นี่คือทะเลกลืนวิญญาณหรือ ตามบันทึกโบราณ ที่แห่งนี้เป็นที่แห่งมหันตภัย ภายในเต็มไปด้วยไอสังหาร ลึกลับอย่างยิ่ง”

บนดาดฟ้าของยานสำเภาพวกเซียวหรัน ซูซิงเฟิง อวิ๋นเช่อ เหวินเสียงยืนมองทะเลกลืนวิญญาณที่อยู่ในระยะไกล สีหน้าต่างแฝงความตะลึง

ในสายตาของพวกเขา เหนือทะเลกลืนวิญญาณนี้ อากาศแปรปรวน สายฟ้าผ่าทั่ว ลมพายุคำราม ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ใช้คำว่า ‘มหันตภัย’ มาเปรียบเทียบยังไม่เพียงพอ!

หลินสวินเองก็รู้สึกแปลกอยู่บ้าง เขาเคยถูกกระแสน้ำวนหนึ่งม้วนเข้าไปในโบราณสถานบรรพกาลในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณโดยบังเอิญ ในนั้นหลินสวินได้พบกับตะพาบเขียวที่ถูกกักขังไว้ภายในมานานหลายพันปี

ทว่าเมื่อมาเยือนทะเลกลืนวิญญาณหนนี้ หลินสวินจึงพบว่าทะเลอันกว้างใหญ่นี้น่ากลัวกว่าที่เขาคิดอยู่มาก!

ทันใดนั้นหัวใจของหลินสวินพลันสั่นไหว เป็นไปได้หรือไม่ว่า ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ ที่บรรดาคนในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณต้องการเสาะหา คือ ‘โบราณสถานบรรพกาล’ ที่ตะพาบเขียวถูกขังอยู่?

เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว สีหน้าของหลินสวินก็แปลกประหลาดขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ เขาจำได้แม่นว่าตะพาบเขียวถูกขังอยู่ในชั้นแรกของโบราณสถานแห่งนั้น!

ยิ่งไปกว่านั้นตะพาบเขียวพูดเองว่าโบราณสถานนั่นน่าจะมีหลายชั้น แต่แค่ผนึกต้องห้ามของชั้นที่สองก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถสั่นสะเทือนได้ ถ้าเข้าไปก็มีแต่ตาย!

ตอนที่หลินสวินจากมายังคิดอยู่ว่า ในอนาคตถ้ามีโอกาส จะต้องกลับมาสำรวจในโบราณสถานบรรพกาลแห่งนั้นอีกครั้ง

แต่ไม่คิดว่าหลังจากนั้นไม่ถึงสองปี เขาก็ได้กลับมาอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้มาในฐานะผู้ติดตามข้างกายจ้าวจิ่งเซวียน

“สถานที่แห่งมหันตภัยระดับทะเลกลืนวิญญาณนี้ หายากมากในดินแดนรกร้างโบราณ โลกชั้นล่างนี้ไม่ได้ธรรมดาแบบที่เล่าลือกันดังคาด…”

ทันใดนั้นเสียงชราเสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับชายชราหนวดเคราขาวดั่งหิมะ มีสง่าราศีเดินออกมาจากท้องเรือ

พวกเซียวหรันคารวะโดยพลัน สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นไม่น้อย

และบรรดาผู้ติดตามยิ่งดูระมัดระวัง ประสานมือยืนอยู่อีกด้าน ไม่กล้าหายใจด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าชายชราคนนี้คือผู้เฒ่าเกาหยางแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ผู้แข็งแกร่งที่มีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นสูงสุด

หลินสวินอดรู้สึกเกรงไม่ได้ เขาเคยเห็นชายชราคนนี้ตั้งแต่ตอนที่ก้าวขึ้นยานสำเภาลำนี้แล้ว เพียงแต่ตอนนั้นได้เห็นเพียงแวบเดียวเท่านั้นและยังไม่ได้รู้สึกแตกต่างแต่อย่างไร

ทว่ายามนี้เมื่อได้สัมผัสในระยะประชิด ทำให้เขาราวกับได้เห็นแสงอันศักดิ์สิทธิ์สะดุดตาสาดลงบนโลก เป็นประกายเจิดจรัส พาให้รู้สึกถึงแรงกดดันยากอธิบาย

แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

หลินสวินเองก็เคยเห็นคนที่เพิ่งบรรลุสู่ระดับกระบวนแปรจุติอย่างจูเหล่าซาน ถึงขั้นที่เคยสังหารหลินเฟยเฟิงผู้ยิ่งใหญ่อาวุโสระดับกระบวนแปรจุติมาแล้ว

ทว่าไม่ว่าจะเป็นจูเหล่าซานหรือหลินเฟยเฟิง เมื่อเทียบกับผู้เฒ่าเกาหยาง ก็เหมือนเอาแสงหิ่งห้อยไปเทียบกับแสงตะวันจันทรา ต่างกันอย่างลี้ลับ

หลินสวินถึงขั้นเกิดภาพลวงตาว่า ต่อให้เทียบกับ ‘สุ่ยเชียนซาน’ ราชันระดับสังสารวัฏที่มาจากจักรวรรดิมืดคนนั้น ระดับของผู้เฒ่าเกาหยางก็แตกต่างกันไม่มาก!

นี่ก็เพียงพอที่จะทำให้หลินสวินตกตะลึงในใจ สัตว์ประหลาดเฒ่าเช่นนี้ แม้ยังเทียบราชันระดับสังสารวัฏไม่ได้ แต่พลังกลับห่างกันไม่มากแล้ว ช่างน่าสะพรึงกลัวนัก

จากการแนะนำของจ้าวจิ่งเซวียนก่อนหน้านี้ แม้แต่ในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ผู้เฒ่าเกาหยางคนนี้ยังเรียกได้ว่าเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ระดับแนวหน้า พลังปราณลึกล้ำเกินคาดเดา ลือกันว่าขาข้างหนึ่งได้ก้าวเข้าสู่ระดับสังสารวัฏตั้งนานแล้ว เพียงแต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ก็เท่านั้น

“ท่านผู้เฒ่า โลกชั้นล่างไม่ธรรมดาอย่างไร ข้าว่าก็งั้นๆ”

ซูซิงเฟิงขมวดคิ้ว เขาในชุดคลุมดำมีเข็มขัดหยกขาวคาดอยู่บนเอว ผมดำพลิ้วไหว ดวงหน้าหล่อเหลางดงามเย็นชา ดูโดดเด่นอย่างมาก

เห็นได้ชัดว่าเขาดูถูกโลกชั้นล่างมากโข พอได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของผู้เฒ่าเกาหยางจึงออกจะไม่เห็นด้วย

“โลกชั้นล่างมหามรรคบกพร่อง แม้ไม่อาจเทียบดินแดนรกร้างโบราณ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่า ‘ความบกพร่อง’ ของมหามรรคเช่นนี้ เกิดขึ้นจากสาเหตุใด”

ประโยคเดียวจากผู้เฒ่าเกาหยางทำให้ทุกคนต่างจมสู่ห้วงความคิด

ปัญหานี้เกี่ยวโยงไปถึงปริศนาแห่งฟ้าดิน เป็นระดับที่พวกเขาไม่อาจเอื้อม จึงไม่เคยสังเกต ยามนี้เมื่อผู้เฒ่าเกาหยางพูดถึง จึงพลันสงสัยขึ้นมา

“ยามพวกเจ้าขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับข้าก็จะเข้าใจเองว่า การที่โลกชั้นล่างสามารถคงอยู่อย่างยาวนานนับตั้งแต่บรรพกาลจนถึงปัจจุบัน ย่อมไม่ได้แย่อย่างที่พวกเจ้าคิด เสียดายที่แม้ว่านับตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบันมีผู้เก่งกาจมากมายเข้ามาสืบสาวเหตุผลที่ซ่อนอยู่ แต่สุดท้ายต่างต้องคว้าน้ำเหลว”

สายตาของผู้เฒ่าเกาหยางทอดมองไปยังทะเลกลืนวิญญาณอันห่างไกล นัยน์ตานั่นลึกล้ำและกว้างไกล ราวกับสามารถสะท้อนภาพสรรพสิ่งแห่งฟ้าดิน “อย่างเช่นทะเลกลืนวิญญาณนี้ ภายในมีความลับมากมายซ่อนอยู่ จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เคยถูกคลี่คลายทั้งหมด”

ทันทีที่ประโยคนี้เอ่ยออกมา แม้แต่หลินสวินยังอดคิดไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินผู้ยิ่งใหญ่ที่เรียกได้ว่าน่าสะพรึงกลัวมอง ‘โลกชั้นล่าง’ จากมุมนี้

“คำพูดของท่านผู้เฒ่าเป็นความจริง เช่นเดียวกับโบราณสถานบรรพกาลที่เรากำลังจะไปสำรวจในครั้งนี้ เล่าลือกันว่าอสูรมารอริยะท่านหนึ่งทิ้งเอาไว้ ฝึกตนจนเป็นอริยะ ปัจจุบันในดินแดนรกร้างโบราณแทบจะไม่มีผู้ที่สามารถฝึกตนจนกลายเป็นอริยะได้”

เซียวหรันพูดขึ้น เขาในชุดสีขาวเรียบๆ บุคลิกเลื่อนลอยราวกับควันเมฆ จิตวิญญาณโดดเด่น มีลักษณะที่ทำให้ไม่อาจมองข้ามได้

“ใช่แล้ว เพียงแค่อมตะนพเคราะห์ จวบจนปัจจุบันยังน้อยมากที่จะมีคนทะลวงได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเส้นทางสู่อริยะ ยากเกินไปแล้ว…”

ผู้เฒ่าเกาหยางถอนหายใจ

“อย่างไรอสูรมารอริยะบรรพกาลก็เป็นคนในยุคบรรพกาล อีกร้อยปีเมื่อมหาสงครามมาเยือน ถึงตอนนั้นฟ้าดินนี้จะเจิดจ้ารุ่งโรจน์ ชะตาฟ้าจะเปลี่ยนไป ในบรรดาคนรุ่นเราถูกกำหนดให้มีอัจฉริยะที่สั่นสะเทือนไปทั่วปรากฏตัวขึ้นมากมาย และจะมีคนที่ทะยานก้าวข้ามอมตะเคราะห์ เข้าสู่เส้นทางแห่งอริยะ!”

เด็กชายชุดหลากสีพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนเยาว์แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่นมั่นคง ทำให้ทุกคนต่างหัวใจสะท้าน

สายตาของเกาหยางเผยความชื่นชมอย่างอดไม่ได้ “คำพูดนี้เป็นความจริง ดังนั้นในร้อยปีนี้พวกเจ้าจะต้องรีบเติบโตขึ้นโดยเร็วที่สุด มหาสงครามที่ว่านี้ คือวิถีมรรคนับหมื่นจะเกิดขึ้นพร้อมกัน วาสนาชะตาฟ้านี้จะต้องสร้างยุคแห่งความรุ่งโรจน์ของการฝึกปราณที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างแน่นอน ใครสามารถคว้าโอกาสเอาไว้ได้ คนนั้นก็จะสามารถก้าวขึ้นมาโดดเด่นและสร้างตำนานเหนืออดีตและปัจจุบัน!”

สีหน้าของเหล่าผู้กล้าอย่างเซียวหรัน อวิ๋นเช่อ เหวินเสียว จ้าวจิ่งเซวียนและกงหยางอวี่ต่างเผยความมุ่งหวัง

แม้แต่บรรดาผู้ติดตามยังตื่นเต้นไปด้วย มหาสงคราม สร้างเส้นทางตำนานที่เหนืออดีตและปัจจุบัน ผู้ฝึกปราณคนไหนบ้างจะไม่ปรารถนา

หลินสวินเองก็ฟังจนเลือดเดือดพลุ่งพล่าน เพียงแต่ไม่นานก็สงบลง มหาสงครามยังหมายความถึงโลกแห่งมหันตภัย ผู้กล้ามากมายบนโลกจะลุกขึ้นพร้อมกัน ปีศาจอัจฉริยะไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่จะปรากฏตัวขึ้น ดูเหมือนจะเป็นความรุ่งโรจน์ แต่การแก่งแย่งแข่งขันก็จะโหดร้ายอย่างที่สุด!

อย่าว่าแต่ในอีกร้อยปีเลย แค่อยากอยู่รอดได้อย่างราบรื่นท่ามกลางการชิงดีชิงเด่นจนมหาสงครามมาเยือน ล้วนถูกกำหนดให้มาพร้อมกับการแก่งแย่งที่อันตรายมากมาย!

ยิ่งไปกว่านั้น ใครจะมั่นใจได้ว่าตนจะอยู่รอดได้เป็นศตวรรษ แม้จะมีชีวิตรอด แล้วใครจะรับประกันได้ว่าระดับพลังปราณจะบรรลุสู่ระดับสังสารวัฏ

ต่อให้ก้าวสู้ระดับสังสารวัฏ แต่ใครจะรับรองได้อีกว่าจะสามารถช่วงชิงวาสนาอันยิ่งใหญ่ได้

ยาก!

ยากเกินไปแล้ว!

เพียงแค่ความฮึกเหิมแน่นอนว่าไม่เพียงพอ

“ที่พาพวกเจ้ามาสำรวจแดนลับอสูรมารอริยะในครั้งนี้ สำนักล้วนทำเพื่อให้พวกเจ้าเติบใหญ่โดยเร็วที่สุด จึงตั้งใจจัดให้พวกเจ้าโดยเฉพาะ”

ผู้เฒ่าเกาหยางพูดเนิบช้า “แต่พวกเจ้าต้องจำไว้ว่าวาสนาทั้งหมดล้วนต้องพึ่งความสามารถของตนในการช่วงชิงมา!”

ไม่จำเป็นต้องกำชับ พวกเซียวหรันก็รู้อยู่แล้ว สีหน้าจึงสงบราบเรียบมาก

“ออกเดินทาง!”

ผู้เฒ่าเกาหยางสะบัดแขนเสื้อควบคุมยานสำเภา มุ่งหน้าไปยังทะเลกลืนกินที่อยู่ห่างออกไปด้วยตัวเองโดยไม่เสียเวลาไปมากกว่านี้

ครื้นโครม…

ยามนี้หลินสวินรู้สึกเหมือนกำลังเคลื่อนย้ายในพริบตา ยานสำเภาเปล่งประกาย เผยลวดลายโบราณอันลึกลับ กลายเป็นแสงประกายเจิดจรัสปกคลุมไปทั้งยานสำเภา

ท้องฟ้าเหนือทะเลกลืนวิญญาณเต็มไปด้วยสายฟ้าและพายุ ทันทีที่เข้าใกล้ยานสำเภาก็ถูกพลังล่องหนหนึ่งพุ่งไปคลี่คลาย

สิ่งที่เหลือเชื่อที่สุดคือ ตอนที่ตรงหน้าปรากฏพื้นที่ปั่นป่วนในห้วงอวกาศที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ยานสำเภากลับไม่มีท่าทีว่าจะหลบ พลันพุ่งทะลุผ่านไป!

เฮือก!

หลินสวินสูดหายใจเข้าอย่างตกใจ ความปั่นป่วนในห้วงอากาศน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง สามารถกักตัวราชันระดับสังสารวัฏไว้ภายในได้ สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติ จะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ร่างสลายพลังยุทธ์ดับสูญ

แต่ตอนนี้ยานสำเภากลับประหนึ่งแล่นอยู่บนพื้นเรียบ ทะลุผ่านไปอย่างง่ายดาย…

ในตอนนี้หลินสวินถึงตระหนักได้ว่า ยานสำเภาลำที่พวกเขานั่งอยู่นี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นสมบัติลับที่มีอานุภาพเหนือความคาดหมาย!

และครั้งนี้เพื่อเข้าสู่ ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณได้เตรียมความพร้อมมามาก

สิ่งที่ปรากฏในสายตาหลินสวินตอนนี้เป็นภาพที่แปลกประหลาดมาก แม้ว่าท้องฟ้าจะเกิดสายฟ้าคะนอง อากาศปั่นป่วน พายุในทะเลโหมกระหน่ำทั่วท้องฟ้า… แต่ยานสำเภาก็ยังส่องแสงระยิบระยับ เผยลวดลายอันลึกลับและคลี่คลายภัยพิบัติเหล่านี้จนเหมือนไม่มีตัวตน ราวกับอยู่บนพื้นเรียบ!

และหลังจากนั้นเพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น ความเร็วของยานสำเภาก็ค่อยๆ ชะลอลง ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป

ไม่มีทั้งสายฟ้าคะนอง พายุรุนแรงและความปั่นป่วนบนอากาศ แม้แต่ผิวน้ำทะเลสีดำยังสงบไร้คลื่น เงียบผิดปกติจนน่ากลัว!

การเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงเช่นนี้ไม่เพียงไม่ทำให้รู้สึกสบายใจ แต่กลับทำให้ทุกคนรู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายจนหายใจไม่ทั่วท้อง

และในยามนี้เอง สีหน้าของผู้เฒ่าเกาหยางพลันจริงจังขึ้นมา…

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด