Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 545 เศษเสี้ยวเจตจำนง

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 545 เศษเสี้ยวเจตจำนง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 545 เศษเสี้ยวเจตจำนง
โดย

การกลับมาอย่างปลอดภัยของหลินสวินทำให้ทุกคนล้วนตื่นตะลึง

มีชีวิตรอดกลับมาจากส่วนลึกของกองทัพวิญญาณอาฆาต นี่เป็นเรื่องที่ขนาดพวกเขายังไม่แน่ใจว่าจะทำได้ กระนั้นตอนนี้ หลินสวินผู้ติดตามจากโลกชั้นล่างคนหนึ่งกลับทำได้!

นี่ช่างดูผิดธรรมดาเกินไปแล้ว

ชั่วขณะหนึ่งสายตาที่พวกเขามองไปยังหลินสวินอดเจือความประหลาดใจไม่ได้ ทุกคนต่างครุ่นคิด

พวกเขาล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดในยุคนี้ ถือเป็นผู้กล้าในหมู่คนรุ่นเยาว์ ย่อมไม่ขาดสติปัญญาและวิจารณญาณ พอจะใคร่ครวญได้เลาๆ ว่าผู้ติดตามข้างกายจ้าวจิ่งเซวียนคนนี้ น่ากลัวจะไม่เรียบง่ายอย่างภายนอก

ทันทีที่หลินสวินกลับมาก็รับรู้ได้อย่างฉับไวถึงบรรยากาศแปลกๆ นี้ ราวกับทุกคนล้วนคาดไม่ถึงอยู่บ้างที่ตนปรากฏตัว

ทันใดนั้นหลินสวินก็ซวนเซ เกือบตกลงไปในทะเลกลืนวิญญาณ จ้าวจิ่งเซวียนรีบเข้าไปประคองไว้แล้วพาเขาขึ้นยานสำเภา

“หลินเสวียน เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือ” จ้าวจิ่งเซวียนถามอย่างใส่ใจ

“ไม่…ไม่เป็นไร…” หน้าหลินสวินซีดเผือดไร้สี เหมือนจะต้องการพิสูจน์ว่าตนไม่เป็นอะไรจริงๆ เขาฝืนหยัดกายขึ้น แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว พลันกระอักเลือดสีแดงสดออกมา สีหน้าอ่อนระโหยโรยแรง

“เจ็บหนักขนาดนี้แล้วยังบอกว่าไม่เป็นไรอีก!” จ้าวจิ่งเซวียนตำหนิ

“ไม่เป็นไรจริงๆ” หลินสวินฉีกยิ้ม เพียงแต่เพิ่งพูดจบ เขาก็ไอออกมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง ใบหน้าสุภาพหล่อเหลายิ่งซีดขาวลงไปอีก

“อย่าอวดเก่งเลย กลืนลูกกลอนโอสถนี้ลงไป” จ้าวจิ่งเซวียนนำลูกกลอนวิญญาณสีเขียวหยกเหมือนเนตรมังกรเม็ดหนึ่งออกมา แล้วส่งให้หลินสวิน

“ขอบคุณมากขอรับคุณหนู” หลินสวินกุมมือคารวะอย่างซาบซึ้ง

“ไม่คิดว่าผู้ติดตามศิษย์น้องจ้าวคนนี้จะดวงแข็งนัก ยังสามารถฝ่าวงล้อมของกองทัพวิญญาณอาฆาตกลับมาได้ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ” ซูซิงเฟิงสีหน้าเหี้ยมเกรียม น้ำเสียงฉายแววถากถางคลุมเครือ

จ้าวจิ่งเซวียนเลิกคิ้ว ในใจขุ่นเคือง ซูซิงเฟิงคนนี้ไม่ได้พุ่งเป้าหลินสวินแค่ครั้งสองครั้งแล้ว นี่ทำให้นางเริ่มทนไม่ไหว

เพียงแต่นางยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็เห็นว่าเซียวหรันยิ้มละมุนกล่าวว่า “บางครั้งโชคก็เป็นส่วนหนึ่งของความสามารถ เอาล่ะ คนกลับมาได้ก็เป็นเรื่องดี อย่าพูดอะไรอีกเลย”

เมื่อเขาเอ่ยปาก ไม่ว่าจะเป็นจ้าวจิ่งเซวียนหรือซูซิงเฟิงก็ล้วนเงียบกริบไม่ส่งเสียง

เห็นได้ชัดว่าสถานะของเซียวหรันพิเศษนัก ทำให้พวกเขาไม่อาจไม่เคารพ

เมื่อละครคั่นเล็กๆ ฉากนี้ผ่านไป ก็ไม่มีใครสนใจหลินสวินอีก ทำให้เขาลอบถอนหายใจโล่งอก เขาไม่ได้อยากถูกจำได้เพราะความสามารถเตะตาเกินไป

‘หลินสวิน ไม่เช่นนั้นเจ้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องหน่อยไหม’ จ้าวจิ่งเซวียนสื่อจิตเสียงเบา

‘ไม่ต้อง ข้าไม่เป็นไรจริงๆ เมื่อกี้เพียงตั้งใจกระอักเลือดออกมาให้พวกเขาดูสักหน่อย’ หลินสวินสื่อจิตตอบกลับอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นสายตาของจ้าวจิ่งเซวียนก็ฉายแววประหลาดขึ้นมา ชำเลืองมองหลินสวินเหมือนตำหนิ แล้วสื่อจิตว่า ‘พูดเช่นนี้ เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บเลยหรือ’

หลินสวินฉีกยิ้มนัยว่ายอมรับ

‘เจ้านี่มันเลวนัก หลอกให้ข้าเป็นห่วงเก้อ’ ดวงตากระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนเปล่งประกาย ริมฝีปากเปล่งปลั่งยกขึ้นเล็กน้อย

‘เฮ้อ ข้าก็ไม่มีทางเลือกนะ ข้าถูกซูซิงเฟิงเพ่งเล็งแล้ว หากถูกผู้อื่นจับจ้องเพราะความสามารถเตะตาเกินไปอีก เช่นนั้นจะไม่ดีเอา นี่ข้า…ก็ถือว่าเข้าใจโลก รู้รักษาตัวได้กระมัง’

หลินสวินยักไหล่

จ้าวจิ่งเซวียนหัวเราะ ทันใดนั้นก็พูดอย่างเห็นด้วยยิ่งว่า ‘เจ้าทำได้ไม่เลวสาเหตุที่ข้าให้เจ้ารับหน้าที่ผู้ติดตามก็เพราะกังวลว่าเจ้าจะถูกจำได้ อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นถึงปฐมาจารย์สลักวิญญาณ หากถูกพวกเขารู้ฐานะที่แท้จริงของเจ้าเข้า ต้องเกิดเรื่องคาดไม่ถึงมากมายแน่’

ก็ในตอนนี้เอง เงาร่างหนึ่งเคลื่อนตัวจากเวิ้งฟ้าไกล ลอยละล่องลงบนยานสำเภา เขามีท่วงท่าราวเซียน หนวดเคราเผ้าผมขาวราวหิมะ เป็นผู้เฒ่าเกาหยางนั่นเอง!

“ท่านผู้เฒ่า ท่านกลับมาแล้วหรือ”

“ท่านผู้เฒ่า ได้ฆ่าราชันวิญญาณอาฆาตนั่นหรือไม่ขอรับ”

พวกเซียวหรันเอ่ยปากถามเซ็งแซ่ เกาหยางกลับมา ทำให้พวกเขาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีหัวหน้าสั่งการแล้ว

“ครั้งนี้แม้ไม่ได้ฆ่าเจ้านั่นให้ตาย แต่ว่า ข้ากลับชิงเศษเสี้ยวเจตจำนงส่วนหนึ่งในตัวมันได้สำเร็จ!”

เกาหยางเอ่ยปากพร้อมรอยยิ้ม เขาในตอนนี้ดูสะบักสะบอมไปบ้าง บนเสื้อเปื้อนรอยเลือดไม่น้อย แต่สีหน้ากลับมีความยินดีและตื่นเต้นอย่างยากบดบัง

ทุกคนสะท้านใจยิ่ง อิจฉาตาร้อนกันขึ้นมา เศษเสี้ยวเจตจำนงของราชันตนหนึ่ง นี่เป็นสมบัติล้ำค่าเหนือสิ่งใด ในนั้นบรรจุการหยั่งรู้และประสบการณ์ฝึกปราณของราชันผู้หนึ่งอยู่ หากหลอมมันได้ ย่อมมีคุณประโยชน์ที่ไม่อาจประมาณค่าได้ต่อการฝึกปราณของตน!

มิน่าเล่าผู้เฒ่าเกาหยางถึงได้ตื่นเต้นเช่นนี้…

ทุกคนเคลิบเคลิ้มนัก อดอิจฉาไม่ได้

“เจ้าคนที่ประลองกับข้านั่น เป็นเสี้ยวความคิดที่แปรสภาพจากผู้แข็งแกร่งยุคบรรพกาลผู้หนึ่ง ตอนนี้มีพลังของราชันระดับสังสารวัฏแล้ว ด้วยเหตุนี้ก็คาดเดาได้เลยว่า ผู้แข็งแกร่งบรรพกาลคนนั้นจะแข็งแกร่งขนาดไหน กระทั่งข้ายังสงสัยเลยว่าเขาเป็นอริยะผู้หนึ่ง”

ผู้เฒ่าเกาหยางทอดถอนใจ ทำให้ทุกคนสะท้านอีกครั้ง เสี้ยวความคิดหนึ่ง ผ่านการเวลายาวนานไร้ที่สิ้นสุดแต่ไม่สลายไป ตอนนี้ถึงขั้นก้าวไปอยู่ในระดับสังสารวัฏแล้ว นี่…จะน่าหวาดหวั่นปานไหน

เงาร่างราชันวิญญาณอาฆาตตนนั้นปรากฏขึ้นในสมองหลินสวินอย่างอดไม่อยู่ ยืนตระหง่านระหว่างฟ้าดิน บนหัวสวมเกี้ยวประดับที่เหมือนหลอมจากทองเซียน มือถือกระบี่กระดูกขาว ก้มมองใต้หล้า พลานุภาพสะท้านสะเทือน!

แต่ตัวตนเช่นนี้ กลับเป็นเสี้ยวความคิดที่แปรสภาพจากผู้แข็งแกร่งสมัยบรรพกาลผู้หนึ่ง นี่ช่างเกินคาดคิดนัก

ทว่าที่ทำให้หลินสวินตกใจที่สุดก็คือ ผู้เฒ่าเกาหยางที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์สุดยอดผู้หนึ่ง ในการต่อสู้กับราชันวิญญาณอาฆาตตนนี้ไม่เพียงไม่พ่ายแพ้ กลับยังช่วงชิงเศษเสี้ยวเจตจำนงสายหนึ่งจากอีกฝ่ายมาได้ นี่ช่างน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก!

หลินสวินไตร่ตรองโดยละเอียด ฉับพลันนึกถึงเตาเทพหมื่นปักษาที่ผู้เฒ่าเกาหยางนำออกมา พอจะชี้ชัดได้ว่า ที่ผู้เฒ่าเกาหยางทำได้เช่นนี้ น่ากลัวจะเกี่ยวข้องกับสมบัติชิ้นนี้

อย่างไรเสียนี่ก็เป็นถึงสมบัติสำคัญพิทักษ์สำนักชิ้นหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ไม่ด้อยไปกว่าอาวุธเทพ!

หาไม่แล้วด้วยพลังปราณของผู้เฒ่าเกาหยาง คิดจะโจมตีข้ามระดับให้ราชันระดับสังสารวัฏผู้หนึ่งล่าถอย แทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ราชันคืออะไร

ก็คือตัวตนชั้นยอดที่เริ่มหยั่งถึงกฎแห่งสังสารวัฏ สามารถมีอำนาจเหนือโลกาได้!

บุคคลน่ากลัวระดับนี้ก็เหมือนไร้ศัตรู แทบไม่มีทางถูกผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติล้มได้ราวกับเย้ยฟ้า

“ท่านผู้เฒ่า ที่ข้าก็มีเศษเสี้ยวเจตจำนงชิ้นหนึ่ง ขอให้ท่านดูสักครั้ง”

ฉับพลันเซียวหรันเอ่ยปาก บนฝ่ามือปรากฏดวงแสงเปล่งประกายช่วงโชติดวงหนึ่ง มีท่วงทำนองมรรคอันลึกลับไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง มองรูปร่างที่แท้จริงไม่ชัดเจน

ทันใดนั้นสายตาทุกคู่บนยานสำเภาก็ถูกดึงดูด

เซียวหรันอธิบายว่า “นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้มาจากร่างวิญญาณอาฆาตที่ถูกข้าสังหารตนหนึ่งในการต่อสู้เมื่อครู่”

ผู้เฒ่าเกาหยางนำไปถือไว้ในมือแล้วมองดู จากนั้นจึงพูดชื่นชมว่า “นี่เป็นรอยประทับเจตจำนงที่เหลืออยู่ของผู้แข็งแกร่งบรรพกาลท่านหนึ่งจริงๆ ภายในมีประสบการณ์และความหยั่งรู้ของผู้แข็งแกร่งผู้นี้อยู่ ที่น่าเสียดายก็คือ มันคลุมเครือและไม่สมบูรณ์เกินไป”

ทุกคนได้ยินดังนั้นก็อดผิดหวังไม่ได้

“อย่าดูถูกสิ่งนี้ นี่เป็นถึงรอยประทับเจตจำนงที่เหลืออยู่ของผู้แข็งแกร่งบรรพกาลเชียวนะ…”

ผู้เฒ่าเกาหยางชี้แนะอย่างมีน้ำอดน้ำทน

ในยุคบรรพกาลมีผู้แข็งแกร่งมากมายนัก ผู้ที่สามารถทิ้งเสี้ยวความคิดไว้ได้โดยทั่วไปล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดแห่งยุค พลังของพวกเขาแข็งกล้ามาก หลังจากสิ้นชีพไปถึงสามารถทิ้งรอยประทับ ร่องรอย เจตจำนงที่แตกเป็นเสี่ยงส่วนหนึ่งไว้ได้ ไม่หวั่นว่าจะสึกกร่อนไปตามกาล ดำรงอยู่จนตอนนี้

เสี้ยวความคิดเหล่านี้เติบโตขึ้นเพราะวาสนา อาศัยเจตจำนงที่แตกเป็นเสี่ยงฝึกปราณใหม่อีกครั้ง ดังนั้นจึงกลายเป็นวิญญาณอาฆาตอย่างที่เห็นทุกวันนี้

แน่นอนว่าวิญญาณอาฆาตทั่วไปแปรสภาพมาจากความอาฆาตแค้น แต่ยอดฝีมือวิญญาณอาฆาตกลับครอบครอง ‘เจตจำนงแตกเป็นเสี่ยง’ ดังนั้นถึงได้ยิ่งทรงพลังขึ้น

อย่างราชันวิญญาณอาฆาตตนนั้น ก็เป็นตัวแทนที่ชัดเจนที่สุด

ส่วน ‘เศษเสี้ยวเจตจำนง’ ที่เซียวหรันเก็บมาได้ แม้ดูคลุมเครือและไม่สมบูรณ์ แต่อย่างไรก็ถือเป็นสิ่งที่ผู้โดดเด่นแห่งบรรพกาลผู้หนึ่งทิ้งไว้ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง หากนำไปหลอม จะส่งเสริมการฝึกปราณของตนอย่างยิ่ง

ด้วยคำอธิบายนี้ ทุกคนก็ล้วนเคลิบเคลิ้มพากันตื่นเต้น ด้วยในการสังหารดุเดือดเมื่อครู่ ไม่เพียงเซียวหรันที่ได้รับเศษเสี้ยวเจตจำนง พวกเขาแต่ละคนเองก็ได้มาเช่นกัน

“โธ่ ถ้ารู้เช่นนี้ก่อน ข้าก็จะตั้งใจไปฆ่ายอดฝีมือวิญญาณอาฆาตพวกนั้น แล้วชิงเศษเสี้ยวเจตจำนงในตัวพวกเขามา”

เด็กน้อยในชุดหลากสีเหวินเสียงถอนใจ เขาเพิ่งได้เศษเสี้ยวเจตจำนงมาสองชิ้นจึงไม่พอใจยิ่งนัก

สิ่งที่ผู้อื่นได้มาก็ไม่ต่างกันนัก เมื่อพูดถึงวาสนานี้ก็ล้วนเสียดายเหมือนเหวินเสียง

นี่เป็นถึงเศษเสี้ยวเจตจำนงที่ผู้แข็งแกร่งบรรพกาลเหลือทิ้งไว้ หากสามารถหลอมและหยั่งถึงได้ ถึงขั้นที่สามารถรับรู้ได้ถึงวิถีแห่งการฝึกปราณเมื่อครั้งบรรพกาล! นี่เป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง!

หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย ทว่าในใจกลับตื่นเต้นยิ่งนัก ในการต่อสู้เมื่อครู่ เขาใช้เจดีย์สมบัติไร้อักษรกำราบผู้แข็งแกร่งวิญญาณอาฆาตได้ถึงสิบกว่าตน!

แน่นอนว่าเรื่องนี้เขาย่อมไม่แพร่งพรายเด็ดขาด

“นี่ก็คือทะเลกลืนวิญญาณ แม้จิตสังหารปกคลุมไปทั่ว เต็มไปด้วนอันตราย แต่ในทะเลกลับมีวาสนาที่ไม่อาจคาดคิดมากมาย อย่างเศษเสี้ยวเจตจำนงนี้ ขนาดในดินแดนรกร้างโบราณยังพบได้น้อยนัก”

ผู้เฒ่าเกาหยางทอดถอนใจแล้วเอ่ยแนะว่า “ไม่ต้องท้อใจไป รอเข้าไปในแดนลับอสูรมารอริยะ จะยิ่งมีวาสนามากกว่านี้รอพวกเจ้าช่วงชิง”

สายตาทุกคนล้วนฉายแววไหวกระเพื่อม

ผ่านการสังหารฆ่าฟันเมื่อครู่มา พวกเขาต่างเข้าใจแล้วว่า วาสนาในทะเลกลืนวิญญาณเรียกได้ว่าหายากเกินที่ใดในใต้หล้า ต่างจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง!

นี่ทำให้พวกเขายิ่งตั้งตาคอยแดนลับอสูรมารอริยะที่กำลังจะได้พบแห่งนั้น

……

ยานสำเภาเดินทางต่อไป น่านน้ำกว้างใหญ่ไพศาลและลึกลับคืนสู่ความเงียบเชียบ ไอหมอกมืดมัวอบอวล ลึกลับและไม่อาจหยั่งรู้ได้

ทุกคนล้วนกลับเข้าไปในห้องผู้โดยสารแล้ว เพิ่งผ่านศึกใหญ่มาครั้งหนึ่ง ส่งผลให้พวกเขาใช้พลังไปมากยิ่ง จำต้องฟื้นพลังปราณกลับมา

บนยานสำเภามีผู้เฒ่าเกาหยางสั่งการ ทำให้พวกเขาไม่กังวลว่าจะเกิดอันตรายใด

‘ดูท่า ไม่ว่าจะเป็นพวกเซียวหรันหรือผู้เฒ่าเกาหยาง พวกเขาล้วนไม่รับรู้ว่าภิกษุประหลาดกับเงาร่างลึกลับนั้นเคยปรากฏตัวขึ้น…’

หลินสวินก็กลับไปยังห้องของตน นึกถึงบทสนทนาเมื่อครู่ ในใจเขาอดสงสัยอยู่บ้างไม่ได้

ภิกษุประหลาดกับเงาร่างลึกลับนั้น ต้องมีพลังของผู้แข็งแกร่งระดับสังสารวัฏแน่ กระทั่งยังน่ากลัวกว่าด้วยซ้ำ แต่การปรากฏตัวของพวกเขากลับไม่ดึงดูดให้ผู้อื่นสังเกตเห็น มีเพียงตนที่เคยเผชิญหน้ากันซึ่งหน้า นี่ช่างน่าตกใจเกินไปแล้ว

หรือว่า…

พวกเขาจะถูกตนดึงดูดงั้นหรือ

ไม่ใช่!

ดาบแตกต่างหาก!

หลินสวินนำดาบแตกขึ้นมาสังเกตใหม่อย่างละเอียดอีกครั้ง

สมบัติโบราณชิ้นนี้เป็นสิ่งที่เขาได้มาจากแหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่นในดินแดนรกร้างโบราณ ลึกลับและทรงพลัง ครอบครองพลานุภาพที่เรียกได้ว่าพลิกฟ้า แม้ไม่สมบูรณ์ แต่อานุภาพไม่ด้อยกว่าอาสัญสลายหรือกระถางสมบัติเก้ามังกร

แต่เมื่อผ่านเรื่องราววันนี้มา กลับทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า ที่มาของดาบแตกเล่มนี้ดูท่าจะลึกลับและทรงพลังกว่าที่ตนคาดไว้!

__

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด